มันเหมือนทุกอย่างหยุดนิ่งไปนะคะ ในวินาทีที่พี่บอมส์โน้มตัวเข้ามาใกล้ และจูบลงที่แก้มฉัน มือทั้งสองข้างของฉันจับรั้วปูนแน่นขึ้นเพื่อทรงตัวจากอาการอึ้งช็อค
...คนใจร้าย เกือบได้จูบแรกฉันไปซะแล้วสิ...
ฉันอยากจะต่อว่าอะไรพี่บอมส์สักหน่อยนะ แต่ก็พูดไม่ออกเลยสักคำ เพราะความเขินมันพุ่งขึ้นสูงเกินขีดจำกัดไปแล้ว
“นี่ หมวยเล็ก” พี่บอมส์เรียกและเขย่าตัวฉันเบาๆ แต่พอฉันขยับตัวได้เท่านั้นแหละ ฉันก็วิ่งจากรั้วปูนกลับเข้ามายืนตั้งหลักหลังประตูเหล็กทันที ฉันเลยได้ยินเพียงเสียงพี่บอมส์พูดไล่หลังมาว่า “ยังไม่บอกเลยนะ ว่า อายุเท่าไหร่”
...จะถามอายุกันไปทำไมนะ...
ฉันคิดสงสัยในความอยากรู้ของคนๆ นั้น แต่ก็ไม่คิดจะกลับออกไปถามอะไรหรอกนะ ไม่รู้จะเอาความกล้าที่ไหนสั่งให้ขามันเดินกลับออกไปที่รั้วปูนตรงนั้น เพราะฉันยังคงยืนพิงผนังเย็นๆ ข้างประตูเหล็กที่ปิดไม่สนิท มือข้างหนึ่งก็ยังแตะนิ่งอยู่ที่แก้มขวา ซึ่งฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ไม่กี่วินาทีก่อน มันเพิ่งจะได้สัมผัสริมฝีปากสวยๆ ของพี่บอมส์ ที่ฉันเฝ้ามองจนเคยเก็บมาคิดฟุ้งซ่านเป็นวันๆ ได้น่ะ
ในเช้าวันต่อมา ฉันมาโรงเรียนอย่างใจลอยเอาเรื่องเลย ทั้งเสียงของพี่บอมส์ ทั้งสัมผัสที่แก้ม มันเหมือนตามหลอนฉันอยู่เรื่อยๆ ทั้งวัน
“แกๆ อาจารย์เรียก”
เสียงเพื่อนที่เรียกพร้อมสะกิดที่ไหล่ทำให้ฉันหลุดจากภวังค์ และรู้ตัวว่าเหม่อมากไป จนอาจารย์บอกให้ออกไปล้างหน้าล้างตาเรียกสติซะหน่อย แถมวานให้ฉันกับเพื่อนยกกองสมุดการบ้านไปไว้ในห้องพักครูอีกด้วย แต่ฉันถือสมุดไปได้ยังไม่ถึงครึ่งทางก็ทำสมุดร่วงกราวลงพื้นซะอย่างงั้น
“หมวยเล็ก ฉันว่าแกไปล้างหน้าซะหน่อยก็ดีนะ ดูแกง่วงๆ มึนๆ แปลกๆ อ่ะ เดี๋ยวสมุดพวกนี้ฉันจัดการเอง” คุณเพื่อนสุดที่รักออกปากกับฉัน ทั้งสนับสนุนคำแนะนำของอาจารย์อย่างนั้น ฉันก็ไม่กล้าดื้ออะไรแล้วล่ะ แต่ว่า...
“ไหวเหรอแก สมุดตั้งกองเบ้อเร้อ”
“ไหวน่า... ไม่ต้องห่วง” คุณเพื่อนบอกอย่างนั้นแล้วหอบเอาสมุดตั้งสูงๆ ลุกขึ้นยืน
...ดูแข็งแกร่งจนน่าทึ่งเลยแฮะ...
ขณะที่สัญญาณเข้าคาบเรียน คาบต่อไปดังขึ้น ฉันได้แต่ยืนมองจนคุณเพื่อนเดินเลี้ยวลงบันไดตึกไปพร้อมกับสมุดราวๆ ห้าสิบเล่มที่เกือบจะท่วมหัวคุณเพื่อนจนมิด ตลอดทางที่เดินไปห้องน้ำนอกตึกเรียน ฉันเลยได้แต่ภาวนาให้คุณเพื่อนปลอดภัยจากกองสมุดกองนั้น
ในห้องน้ำโรงเรียน ฉันมองภาพตัวเองที่สะท้อนออกมาจากกระจกเงาบานใหญ่ แล้วได้แต่ถอนหายใจให้ความเขินเกินเหตุที่ทำเอาฉันไม่เป็นอันเรียนหนังสือเลยวันนี้ เพราะฉันยังเผลอนึกถึงตอนที่พี่บอมส์โน้มตัวเข้ามาใกล้แล้วฉันก็จะเผลอตัวยกมือแตะแก้มตัวเองอยู่บ่อยๆ นั่นแหละ ฉันก้มลงวักน้ำขึ้นล้างหน้าอีกครั้งก่อนเดินออกมาจากห้องน้ำ ตอนนั้นมีนักเรียนหญิงสองคนเดินสวนเข้ามาในห้องน้ำ ทำให้ฉันต้องเบี่ยงตัวหลบพวกเธอขณะที่ฉันเดินออกจากห้องน้ำ กว่าฉันจะรู้ตัวว่าเข็มกลัดบนอกเสื้อหายไปฉันก็เดินไปจนเกือบถึงห้องเรียนแล้ว และการที่ฉันเดินกลับมาหาเข็มกลัดที่ห้องน้ำนี่แหละ ที่ทำให้ฉันบังเอิญเปิดประตูไปเจอนักเรียนหญิงสองคนนั้น ยืนจูบกันอยู่ตรงหน้ากระจก แม้จะตกใจและรีบออกมาจากตรงนั้น แต่ฉันก็ไม่ลืมที่จะปิดประตูให้สนิทตามเดิม เพราะเธอทั้งสองคนนั้นยังไม่รู้ตัวว่ามีคนเห็นอะไรๆ ที่เธอทำกันซะแล้ว
...บ้าจริง จะถอยเข้าไปจูบกันในห้องน้ำสักห้องก็ไม่ได้นะพวกเธอ...
สิ่งที่ฉันเจอมาตลอดหลายสัปดาห์ตั้งแต่วันที่มีฝนดาวตก มันกำลังจะทำให้ฉันสติกระเจิง ทำไมคนรอบๆ ตัวฉันถึงได้ดูจะกระหายเรื่องพวกนั้นกันนักนะ
ฉันเดินเตร็ดเตร่ปล่อยอารมณ์อยู่นานเลยนะ กว่าจะกลับเข้าบ้านด้วยอาการเหม่อไม่หาย และยังมาเจอพี่สาวกำลังนั่งคุยกับคุณบรรณารักษ์ในห้องนอน ท่าทางสวีทกันจนฉันแอบจินตนาการต่อได้เลยว่า สักพักคงมีเหตุได้ทำอะไรๆ ติดเรทกันอีกแน่ ฉันเลยไม่อยากจะขัดจังหวะ จึงเลือกที่จะย่องผ่านประตูห้องพี่ที่เปิดทิ้งไว้ ขึ้นไปชั้นสามอย่างเงียบๆ พอเข้าห้องได้ฉันก็เปิดเพลงให้ดังที่สุด ฉันหวังว่ามันจะกลบเสียงอะไรก็ตามที่จะมากวนให้ฉันเผลอคิดอะไรฟุ้งซ่านอีก
แต่อะไรๆ มันก็ยังไม่จบลงง่ายๆ เพราะฉันยังแอบคิดอยู่ว่า พี่สาวกับคุณบรรณารักษ์จะแอบทำอะไรๆ กันอีกรึเปล่า และถ้าหากคืนนี้ฉันขึ้นไปบนดาดฟ้า ฉันจะต้องทนเห็นพี่บอมส์พาใครมามีอะไรๆ กันอีกมั้ย แล้วถ้าฉันเอาแต่นอนนิ่งๆ อยู่ในห้องอย่างนี้ ฉันจะหลับไปเองมั้ยนะ เพราะฉันยังฟุ้งซ่านไม่ต่างกับตอนที่เดินเล่นในสวนสาธารณะเมื่อตอนเย็นเลย ไม่ว่ายังไงฉันก็ฟุ้งซ่านและทำท่าว่าจะหลับลงได้ยากในคืนนี้ มันเหมือนฉันกำลังถูกคุกคามโดยอะไรบางอย่าง
...อะไรบางอย่าง ที่อาจเป็นความคิดของฉันเอง...
ฉันตัดสินใจลุกจากเตียงมายืนที่นอกระเบียงห้อง ตอนที่ฟ้ามืดไปแล้วนั่นแหละ ฉันถึงได้เห็นพี่สาวกับคุณบรรณารักษ์เดินข้ามสะพานลอยมาจากฝั่งตรงข้าม และหยุดยืนคุยกันอยู่ที่กลางสะพาน ท่าทีหยอกเย้ากันของสองคนนั้นทำให้ฉันหลุดยิ้มออกมา
...น่าอิจฉาชะมัด พวกคนมีแฟนเนี่ย...
ความจริงแล้ว ใครจะทำอะไรๆ กันยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องของฉันซะหน่อย นี่ฉันเก็บอะไรพวกนั้นมาคิดฟุ้งซ่านทำไมก็ไม่รู้สิ แล้วอีกอย่างนะ ทำไมฉันต้องเลิกล้มความคิดที่จะขึ้นไปอยู่บนดาดฟ้าเพราะเพื่อนบ้านคนนั้นด้วยล่ะ ถึงเธอจะลามปามขนาดมา...เอ่อ มาทำแบบนั้นกับฉันก็เหอะ ฉันคิดว่า ฉันคงต้องไปเคลียร์กับพี่บอมส์ให้เข้าใจกันไปว่า เธอไม่ควรทำอะไรล่วงเกินฉันอีก เพราะฉันไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่พี่บอมส์ชอบพามาบนดาดฟ้านั่น ไม่ใช่เลย...
ฉันเดินขึ้นบันไดแต่ละขั้นอย่างเชื่องช้า ใจก็คิดไปด้วยว่า จะพูดอะไรกับพี่บอมส์บ้าง จะทำตัวอย่างไรดีต่อหน้าพี่บอมส์ ทั้งๆ ที่ฉันไม่แน่ใจเลยว่า ขึ้นไปแล้วจะเจอพี่บอมส์รึเปล่า และถ้าเจอ จะเจอพี่บอมส์ในสภาพไหน
“เอ้า...โชนนนน”
หืม? อะไรกันอีกล่ะวันนี้ นี่ฉันยังเดินไม่ถึงประตูเหล็กเลยนะ
สิ่งแรกที่ฉันเห็นทันทีที่เปิดประตูเหล็กแล้วโผล่หน้าออกไปมองดาดฟ้าของเพื่อนบ้านก็คือ ผู้หญิงหน้าตาสะสวย หุ่นเซ็กซี่ และ เมาได้ที่ กำลังเต้นยั่วยวนพี่บอมส์ไปตามเสียงเชียร์ของคนในวงเหล้านั้น ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนตักพี่บอมส์ที่นั่งอยู่บนโซฟาเบดตัวเดิม และพยายามจะจูบพี่บอมส์แต่อยู่ๆ พี่บอมส์ก็ลุกออกมาจากตรงนั้น โดยพลิกตัวปล่อยให้แม่สาวคนนั้นนอนลงมองท้องฟ้าอยู่บนโซฟา
ฉันว่านะ ฉันคงเผลอส่งรังสีอะไรออกไปถึงพี่บอมส์แน่ๆ เลย พี่แกถึงได้เดินออกจากวงเหล้ามายืนเกาะรั้วปูนมองหน้าฉันอยู่อย่างนี้ ทั้งๆ ที่ฉันแค่โผล่หน้าออกมาจากประตูเท่านั้น
“แอบดูพี่อีกแล้วนะ... แล้วทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะคะ เหมือนหึง เอ๊ย เหมือนหงุดหงิดอะไรอยู่งั้นแหละ”
เอ่อ...นี่ฉันขมวดคิ้วแถมเอามือจิกวงกบประตูตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย ไม่นะ...
“จะยืนแอบอยู่ตรงนั้นอีกนานมั้ยคะ”
นั่นสิ ฉันจะอยู่อย่างนี้อีกทำไมล่ะ พี่บอมส์ก็เห็นแล้วว่าฉันอยู่ตรงนี้ แถมยังเดินมาคุยกับฉันเหมือนยืนพูดคนเดียวโดยไม่แคร์สายตาเพื่อนๆ อีกสี่ห้าคนที่นั่งมองงงๆ อยู่เลย
ฉันเดินออกไปยืนต่อหน้าพี่บอมส์ สมองรีบรื้อเอาคำพูดที่เรียบเรียงไว้ในใจก่อนจะเห็นภาพเต้นยั่วเมื่อกี้กลับมา แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะได้พูดอะไร ก็มี เสียงจากวงเหล้าดังมาว่า
“เฮ้ย บอมส์ระวัง...”
หลังจากเสียงนั้น ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก... เท่าที่ฉันเห็นนะ พี่บอมส์หันหลังไปเจอแม่สาวนักเต้นคนนั้นกำลังเตรียมจะสาดน้ำจากถังน้ำแข็งใส่พี่บอมส์ แต่พี่บอมส์ก็คว้าถังน้ำแข็งไว้ได้ทันนะ ทำให้คนที่ปะทะกับน้ำเย็นๆ จากถังนั้น กลายเป็น ฉัน
ทุกคนดูจะอึ้งๆ ไปเลยแหละที่เห็นฉันเปียกโชกไปทั้งตัวแบบนี้ เพราะพี่บอมส์คว้าไว้ได้แค่ถังน้ำแข็ง แต่น้ำในถังดันสาดข้ามรั้วมาโดนฉันเต็มๆ เลยน่ะสิ
“เห้ย หมวยเล็ก พี่ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ มานี่เลยแกน่ะ เล่นอะไรเนี่ย...” พี่บอมส์เอ่ยขอโทษพลางรวบตัวผู้หญิงคนนั้นให้กลับไปที่วงเหล้า
ฉันยืนคิดอยู่ได้ไม่กี่วินาทีก็ตัดสินใจเดินเข้าห้องเก็บของทันที เพราะฉันไม่อยากเดินลงบันไดไปทั้งที่ตัวยังเปียกๆ อย่างนี้เลย ถ้าเกิดเจออาม่าหรือใครเข้าล่ะก็ ฉันขี้เกียจอธิบายน่ะ ว่าทำไมฉันถึงตัวเปียกอย่างนี้ ยังดีหรอกนะที่ฉันขนของขึ้นมาไว้ที่ห้องนี้จนพร้อมอยู่แล้ว ฉันถึงมีเสื้อผ้าให้เปลี่ยน ไม่งั้นคงต้องเดินลงไปเปลี่ยนที่ชั้นสามแน่ๆ แต่ปัญหาใหม่ก็ผุดขึ้นมาอีกข้อจนได้ ฉันเพิ่งจะรู้เอาวันนี้แหละ ว่าประตูห้องเก็บของมันปิดได้ไม่สนิท แถมกลอนก็ดูไม่ค่อยแน่นหนาเลย ฉันคิดมากไปมั้ยเนี่ย ทำไมถึงเพิ่งรู้สึกว่า ห้องนี้มันไม่ปลอดภัยเอาซะเลย
...ระแวงไปมั้งเรา...
เอาล่ะค่ะ... ฉันจะพยายามคิดว่า ฉันสายตาหาเรื่องไปเอง เลยเห็นว่า ประตูมันดูแปลกๆ ทั้งๆ ที่มันก็ไม่น่าจะมีอะไรให้ต้องกังวลขนาดนั้นเลย ฉันก็แค่ต้องรีบเปลี่ยนเสื้อให้เสร็จแล้วกลับลงไปชั้นสาม เพื่อนอนซะ ฉันถอดเสื้อที่เปียกออกมาวางพาดที่เก้าอี้ก่อนจะเอื้อมหยิบเสื้อตัวใหม่มาวางไว้ใกล้ๆ มือก่อนจะเริ่มปลดตะขอบรา ฉันตัดสินใจเปลี่ยนแค่เสื้อเพราะกางเกงขาสั้นของฉันมันไม่เปียกเท่าไหร่
...ไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะเปียกเข้าไปถึงบราได้...
และตอนนี้เองที่ฉันได้ยินเสียงลมพัดแรงๆ ตามด้วยเสียงโวยวายจากวงเหล้าก่อนที่ประตูห้องเก็บของจะเปิดกระชากออกด้วยแรงลมที่ใกล้เคียงพายุขนาดย่อม ทำให้ร่างเกือบเปลือยของฉันปรากฏต่อสายตาพี่บอมส์ที่ยืนเกาะรั้วปูนอยู่ตรงกับประตูห้องเก็บพอดีเป๊ะๆ
...เราสบตากัน ในเวลาที่ไม่เหมาะควรอีกแล้วสิเนี่ย...
พี่บอมส์เองดูจะทำอะไรไม่ถูกพอๆ กัน และยิ่งไปกว่านั้น เมื่อถูกเพื่อนเรียกให้ไปช่วยเคลียร์ของที่กระจัดกระจายเพราะลมบ้านั่น พี่บอมส์ก็เหมือนจะไม่ได้ยิน จนเพื่อนต้องเดินมาหาพี่บอมส์ที่รั้วปูน ทำให้พี่บอมส์รีบจับตัวเพื่อนหันหลังให้ห้องเก็บของทันที ฉันรีบเบี่ยงตัวหลบให้พ้นช่องประตูก็ตอนนั้นแหละ
“มาช่วยกันเก็บของก่อน เดี๋ยวค่อยมารอขอโทษน้องเขาก็ได้น่ะ”
ฉันได้ยินเสียงเพื่อนพี่บอมส์ดังแว่วๆ มา ตอนที่ยืนหลบอยู่หลังตู้เก็บของในห้อง ด้วยอาการใจเต้น ก่อนก้มลงมองสิ่งเดียวที่ติดตัวฉันท่อนบนอยู่อย่างหมิ่นเหม่
นี่... พี่บอมส์เห็นอะไรไปบ้างแล้วนะ
มันเหมือนทุกอย่างหยุดนิ่งไปนะคะ ในวินาทีที่พี่บอมส์โน้มตัวเข้ามาใกล้ และจูบลงที่แก้มฉัน มือทั้งสองข้างของฉันจับรั้วปูนแน่นขึ้นเพื่อทรงตัวจากอาการอึ้งช็อค...คนใจร้าย เกือบได้จูบแรกฉันไปซะแล้วสิ...ฉันอยากจะต่อว่าอะไรพี่บอมส์สักหน่อยนะ แต่ก็พูดไม่ออกเลยสักคำ เพราะความเขินมันพุ่งขึ้นสูงเกินขีดจำกัดไปแล้ว“นี่ หมวยเล็ก” พี่บอมส์เรียกและเขย่าตัวฉันเบาๆ แต่พอฉันขยับตัวได้เท่านั้นแหละ ฉันก็วิ่งจากรั้วปูนกลับเข้ามายืนตั้งหลักหลังประตูเหล็กทันที ฉันเลยได้ยินเพียงเสียงพี่บอมส์พูดไล่หลังมาว่า “ยังไม่บอกเลยนะ ว่า อายุเท่าไหร่”...จะถามอายุกันไปทำไมนะ...ฉันคิดสงสัยในความอยากรู้ของคนๆ นั้น แต่ก็ไม่คิดจะกลับออกไปถามอะไรหรอกนะ ไม่รู้จะเอาความกล้าที่ไหนสั่งให้ขามันเดินกลับออกไปที่รั้วปูนตรงนั้น เพราะฉันยังคงยืนพิงผนั
หลายวันแล้วหลังจากที่ฉันได้รู้จักพี่บอมส์บนดาดฟ้า ฉันก็ไม่มีเวลาจะมาเหม่อคิดเรื่อง One night stand อะไรนั่นอีกแล้ว เพราะเป็นช่วงวันหยุดยาวที่คนงานลากลับบ้านกันหลายคน ฉันเลยวุ่นๆ อยู่กับการช่วยงานร้านข้าวมันไก่จนเหนื่อยเกินกว่าจะมีแรงตะกายขึ้นไปนอนที่ห้องบนดาดฟ้า จะว่าไป ฉันก็ไม่ได้ขึ้นดาดฟ้าเลยตั้งแต่วันนั้นนั่นแหละ แต่วันนี้ดูเหมือนสถานการณ์ในบ้านจะเข้าสู่โหมดปกติ ฉันเลยเดินตรงขึ้นห้องนอนได้เลย ไม่ต้องไปนั่งล้างหม้อน้ำซุปหรือจานชามอะไรที่ในครัวอย่างสองสามวันที่ผ่านมาฉันรื้อการบ้านที่หมกทิ้งไว้เป็นกองๆ ตั้งแต่ช่วงกลางเทอมออกมาเรียบเรียงว่าควรจะทำวิชาไหนก่อนโดยลำดับตามวันที่คุณครูนัดส่งงาน และเริ่มทำรายงานวิชาประวัติศาสตร์ที่ต้องส่งวันมะรืนก่อนรายงานวิชาภาษาอังกฤษที่ต้องส่งถัดไปอีกสองวัน เมื่อเห็นว่ารายงานคืบหน้าไปเกินครึ่งฉันก็ตัดสินใจลุกจากโต๊ะหนังสือแล้วคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำทันที หลังจากอาบน้ำเสร็จฉันก็เดินเพลียๆ ขึ้นไปนั่งเล่นที่เก้าอี้นวมตัวเดิมบนดาดฟ้า คืนนี้ดาวสวยกว่าทุกวันจริงๆ หรือ ฉันเบลอจนตาพร่ามองเห็นอะไรๆ ก็ดูฟุ้งๆ ไปหมดล่ะเนี่ย ...ได้สูดหายใจลึกๆ แล้วมองท้องฟ้ากว้า
แสงแดดยามเช้าที่สาดเข้ามาในห้องนอนฉันไม่เคยร้อนขนาดนี้มาก่อนเลย หรือเมื่อคืนฉันจะลืมปิดประตูระเบียง ลืมรูดม่าน แล้วก็ลืมเปิดแอร์ เดี๋ยวนะ... ฉันไม่ได้นอนหลับบนเตียงตามปกตินี่ ...โอย นี่ฉันนั่งหลับคาประตูระเบียงเลยเหรอ แล้วเมื่อคืนฉันมาทำอะไรที่ระเบียงห้องกันล่ะ... วันนี้ระเบียงห้องเรากว้างจังแฮะ แถมตึกฝั่งตรงข้ามก็หายไปด้วย มีแต่ดาดฟ้ากับโซฟาเบดสีน้ำเงินของตึกข้างๆ ...“บ้าไปแล้วฉัน ตึกหายเนี่ยนะ คิดได้ไง”กว่าฉันจะรู้ตัวในความเพี้ยนของตัวเองก็ใช้เวลาหลายนาทีเลยค่ะ สมองคงกำลังเรียบเรียงความทรงจำอยู่ เพราะฉันยังไม่ชินกับการนอนที่ห้องบนดาดฟ้า แถมคืนแรกก็ยังทรุดลงหลับพิงประตูห้องซะอีก การนั่งหลับนี่มันแย่จริงๆ นะคะ ทำเอาฉันปวดไปทั้งตัว ตอนขยับตัวเปิดประตูห้องทั้งที่คิดว่าเป็นประตูระเบียงน่ะ...กี่โมงแล้วนะ ถ้าไปโรงเรียนสายล่ะแย่เลย...ฉันเดินเซๆ ออกจากห้องในอาการที่สายตายังปรับไม่เข้ากับแสงรอบตัว แต่ฉันก็ต้องฝืนหอบสังขารตัวเองลงจากดาดฟ้าเดี๋ยวนี้ แม้จะมีสภาพเหมือนผีดิบโดนแดดก็ตาม“มอร์นิ่งค่ะ นักถ้ำมองคนสวย” เสียงทักทายจากใครบางคนทำให้ฉันชะงักฝีเท้าเพื่อมองหาเจ้าของน้ำเสียงที่เหมือนจะคุ
“ถ้าฉันยอมแพ้ แล้วที่ฉันทำมาทั้งหมดจะมีความหมายอะไร”ฉันพร่ำบอกตัวเองอยู่ตลอดสัปดาห์หลังจากเจอภาพสงครามวาบหวิวบนดาดฟ้า คราวนี้ฉันเลือกที่จะขึ้นไปนอนห้องบนดาดฟ้าให้เร็วเป็นพิเศษเลย ตั้งใจจะหลับให้สนิทก่อนที่ตึกข้างๆ จะขึ้นมาก่อสงครามกันในที่สุดฉันก็ได้ฤกษ์ขึ้นไปเริ่มต้นไลฟ์สไตล์แบบเจ๋งๆ บนดาดฟ้าสักที โดยอาศัยประสบการณ์ครั้งก่อนๆ คือฉันจะเลี่ยงคืนวันศุกร์และเสาร์ที่คนมักไปเที่ยวปาร์ตี้กันแล้วมาจบที่เตียง เพราะฉะนั้นโอกาสที่ฉันต้องเผชิญกับเหตุการณ์ติดเรทของเพื่อนบ้านก็น่าจะลดลง ฉันไม่เชื่อหรอกนะว่าจะมีใครที่ไหนสวีทกันทุกคืน...แต่รู้สึกว่า ฉันจะคิดผิด...เธอคนนั้นพาผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ขึ้นมาสวีทตั้งแต่พระอาทิตย์เพิ่งตกมุมตึก แต่ฝันไปเถอะค่ะ ว่าฉันจะหนีลงไปนอนชั้นสามเหมือนคราวก่อน ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ เลี่ยงก็ไม่สำเร็จ ฉันก็ต้องเผชิญกับสถานะถ้ำมองแบบไม่ตั้งใจให้ได้ซะเลย เพราะดูเหมือนเธอคนนั้นจะไม่หยุดนิสัยชอบทำอะไรๆ กับสาวๆ บนดาดฟ้าแน่ๆ ให้ฉันใช้ประโยชน์เป็นบทเรียนนอกตำราประเภทสังเกตการณ์เก็บข้อมูลหน่อยแล้วกันเธอคนนั้น ที่ฉันพูดถึง คือ ผู้หญิงตัวสูง ผมยาวประบ่าและชอบสวมเสื้อสีเทานั่นแหล
เอาล่ะค่ะ ไม่ว่าต่อจากนี้ฉันจะต้องเจอกับอะไร ตอนนี้ฉันก็เริ่มทยอยแอบเอาของใช้ที่จำเป็นขึ้นมาบนดาดฟ้าทีละอย่างสองอย่างโดยไม่ให้อาม่ารู้ เพราะอาม่าไม่อนุญาตให้ฉันขึ้นมานอนที่ห้องเก็บของบนดาดฟ้าน่ะสิคะ แต่ก็เอาเถอะ กว่าอาม่าจะรู้นะ ฉันคงย้ายของมาหมดห้องแล้วแหละเนอะฉันใช้เวลาหลายวันเอาเรื่องเลยค่ะ กับการแอบย้ายของและค่อยๆ แอบทำความสะอาดห้องเก็บของบนดาดฟ้าเพื่อดัดแปลงเป็นห้องนอน แต่พอทำเสร็จจนได้ผลลัพธ์เป็นห้องนอนลับๆ เล็กๆ มันก็น่าภูมิใจบอกไม่ถูกนะคะ ฉันรักห้องนี้มาก เพราะมันคือห้องนอนที่อยู่บนดาดฟ้าอย่างที่ฉันต้องการแถมระยะนี้ดูเหตุการณ์ต่างๆ บนดาดฟ้าจะสงบดีค่ะ ไม่มีโชว์หวือหวาอะไรมารบกวนฉันอีกเลยตั้งแต่วันที่มีฝนดาวตก ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญเลยนะที่ทำให้ฉันไม่ตัดใจที่จะขึ้นมาทำห้องนอนบนดาดฟ้าเนี่ย“โอ้โห เอาจริงแฮะ”“อ่าว เจ้ มาเงียบๆ ตกใจหมด แล้วช่วยพูดเบาๆ หน่อยได้มั้ย เดี๋ยวอาม่าก็ได้ยินหรอก”พี่สาวฉันขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ฉันนี่รีบวิ่งออกจากห้องไปปิดประตูเหล็กแทบจะทันที“บ้า อาม่าอยู่ตั้งชั้นลอยจะได้ยินได้ไง”...เออ นั่นสิ ระแวงไปนะฉัน...“แล้วเจ้มีอะไร ขึ้นมาเพื่อ...”“ก็
ริ้วแสงสีขาวราวๆ สิบเส้น เคลื่อนตัวพาดผ่านท้องฟ้าเมืองกรุงที่แสงไฟยามราตรีสว่างโร่จนแทบจะกลบแสงดาวหมดสิ้น นี่ถ้าฉันไม่ได้มีบ้านเป็นตึกแถวสูงสี่ชั้นและมีดาดฟ้าให้นอนดูดาว ฉันก็คงไม่ได้เห็นแม้แต่ดาวในวันธรรมดา ไม่ต้องพูดถึง ฝนดาวตกสวยๆ แบบในวันนี้หรอกมั้ง ฉันชักจะติดใจกับอากาศเย็นๆ และท้องฟ้ากว้างๆ บนดาดฟ้านี่ซะแล้วสิ ตอนนี้ฉันนอนดูฝนดาวตกอยู่คนเดียวบนดาดฟ้าตึกที่ชั้นล่างสุดเปิดเป็นร้านข้าวมันไก่ มีชั้นลอยเป็นห้องพักของอาม่า ส่วนชั้นถัดมาเป็นห้องของพี่สาวที่มีระเบียงติดสะพานลอย ชั้นสามเป็นห้องของฉันเองซึ่งแน่นอนว่ามันไม่สูงพอที่จะดูดาวได้ นอกจากนั้นชั้นสี่ก็เป็นห้องเก็บของซึ่งยังไม่ใช่ที่พักที่ฉันต้องการอยู่ดี...ขออาม่าขึ้นมานอนห้องเก็บของบนดาดฟ้าเลยดีกว่า จะได้ดูดาวทุกคืน...อากาศหนาวๆ บนดาดฟ้าทำให้ฉันต้องตัดใจลงจากดาดฟ้ามานอนสักที แต่ความกระหายก็พาให้ฉันเดินลงบันไดมาชั้นล่างเพื่อหาน้ำดื่มในครัวติดมือขึ้นห้องสักขวด ระหว่างที่เดินกลับขึ้นบันไดมาแล้วผ่านห้องนอนพี่สาว ฉันก็สังเกตเห็นว่า ประตูห้องของพี่ปิดไม่สนิทอีกแล้ว นี่แหละนะ เข้าออกทางระเบียงจนชิน ไม่เคยเลยที่จะเช็คประตูห้องว่า ปิ