เข้าสู่ระบบ“ถ้าฉันยอมแพ้ แล้วที่ฉันทำมาทั้งหมดจะมีความหมายอะไร”
ฉันพร่ำบอกตัวเองอยู่ตลอดสัปดาห์หลังจากเจอภาพสงครามวาบหวิวบนดาดฟ้า คราวนี้ฉันเลือกที่จะขึ้นไปนอนห้องบนดาดฟ้าให้เร็วเป็นพิเศษเลย ตั้งใจจะหลับให้สนิทก่อนที่ตึกข้างๆ จะขึ้นมาก่อสงครามกัน
ในที่สุดฉันก็ได้ฤกษ์ขึ้นไปเริ่มต้นไลฟ์สไตล์แบบเจ๋งๆ บนดาดฟ้าสักที โดยอาศัยประสบการณ์ครั้งก่อนๆ คือฉันจะเลี่ยงคืนวันศุกร์และเสาร์ที่คนมักไปเที่ยวปาร์ตี้กันแล้วมาจบที่เตียง เพราะฉะนั้นโอกาสที่ฉันต้องเผชิญกับเหตุการณ์ติดเรทของเพื่อนบ้านก็น่าจะลดลง ฉันไม่เชื่อหรอกนะว่าจะมีใครที่ไหนสวีทกันทุกคืน
...แต่รู้สึกว่า ฉันจะคิดผิด...
เธอคนนั้นพาผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ขึ้นมาสวีทตั้งแต่พระอาทิตย์เพิ่งตกมุมตึก แต่ฝันไปเถอะค่ะ ว่าฉันจะหนีลงไปนอนชั้นสามเหมือนคราวก่อน ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ เลี่ยงก็ไม่สำเร็จ ฉันก็ต้องเผชิญกับสถานะถ้ำมองแบบไม่ตั้งใจให้ได้ซะเลย เพราะดูเหมือนเธอคนนั้นจะไม่หยุดนิสัยชอบทำอะไรๆ กับสาวๆ บนดาดฟ้าแน่ๆ ให้ฉันใช้ประโยชน์เป็นบทเรียนนอกตำราประเภทสังเกตการณ์เก็บข้อมูลหน่อยแล้วกัน
เธอคนนั้น ที่ฉันพูดถึง คือ ผู้หญิงตัวสูง ผมยาวประบ่าและชอบสวมเสื้อสีเทานั่นแหละ เธอคือเพื่อนบ้านของฉัน และ ดาราประจำของซีรีส์วาบหวิวบนดาดฟ้าที่มีแขกรับเชิญไม่ซ้ำหน้าเลย ตั้งแต่ฉันได้รับตำแหน่งเป็นผู้ชมเพียงคนเดียว
ฉันย่องไปทรุดตัวลงนั่งที่เดิมด้วยความชำนาญ ก็นะ... ฉันนั่งแอบมองอยู่ตรงข้างรั้วปูนนี่มากี่ครั้งแล้ว ไม่เคยถูกจับได้เลย เรียกว่า ชำนาญกับการแอบตรงมุมนี้ก็คงได้อยู่
ภาพใต้แสงจันทร์ยามค่ำของเมืองกรุงที่ยังมีเสียงรถราวิ่งกันวุ่นวายในชุมชนตลาด บนดาดฟ้าตึกแถวสี่ชั้น ผู้หญิงสองคนกำลังแสดงความปรารถนาเบื้องลึกต่อกัน มันเป็นภาพที่สวยงามจัง แต่คงจะดีงามกว่านี้มาก ถ้าผู้หญิงของเพื่อนบ้านฉันเป็นคนเดิมตลอด มันคงจะเป็นภาพความสัมพันธ์คนรักที่งดงามและมั่นคง
ฉันมองผิวขาวภายใต้ชุดชั้นในสีดำสนิทและผิวสวยนวลที่ปิดบังด้วยชุดชั้นในสีแดงสดตัวเล็กๆ แนบชิดกัน สร้างอารมณ์เร่าร้อนจนฉันรู้สึกร้อนตามไปด้วย ยิ่งได้เห็นริมฝีปากที่ขบจูบไปทั่วเรือนร่างของทั้งสองคนนั้นฉันยิ่งหายใจไม่ทั่วท้อง
ฉันละสายตาจากภาพเหล่านั้นมานั่งพิงผนังปูนข้างเก้าอี้นวมใกล้ประตูเหล็ก ฉันนั่งกอดเข่าตัวเองแน่นกว่าทุกวัน และรู้ตัวดีว่า ต้องสงบสติอารมณ์ให้ได้ แม้ภาพติดเรทพวกนั้นจะติดตาจนพาใจกระเจิงแค่ไหนก็ตาม ฉันยังไม่รู้วิธีระงับความต้องการแบบนี้ ที่ดีไปกว่าการใช้จิตสั่งตัวเองให้นิ่ง ฉันไม่รู้เลยว่า หากปล่อยให้ตัวเอง รู้สึก ต่อไป มันจะเกิดอะไรขึ้น เพราะงั้นฉันต้องหยุดคิด หยุดรู้สึก และที่สำคัญหยุดแอบดูเพื่อนบ้านสักที
...พอกันที ยิ่งดูยิ่งไปกันใหญ่...
ฉันพยายามสั่งร่างกายให้ขยับออกจากที่ซ่อนไปห้องนอนอย่างเงียบๆ ให้ชำนาญสุดๆ แต่มันไม่ง่ายเลยค่ะ เพราะตอนนี้ขาฉันมันเกิดไม่มีแรงขยับเอาดื้อๆ ซะงั้น ฉันถอนหายใจแรงๆ ออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจจนต้องรีบเอามือปิดปากตัวเองไว้ ส่วนไอ้ขาที่ไม่ยอมขยับในตอนแรกก็ดันไปเตะกระป๋องน้ำอัดลมเก่าๆ ซะกระเด็นดัง ก๊อง! แล้วกลิ้งไปไกล
...เจ้ เจ้แน่ๆ เอาโคล่าขึ้นมากินแล้ววางกระป๋องทิ้งไว้ เดี๋ยวเถอะ เจอหน้าเมื่อไหร่จะคิดบัญชีให้หนัก แต่ตอนนี้หวังว่าเพื่อนบ้านกับสาวคู่นอนของเธอคงจะไม่ทันได้ยินนะ...
ด้วยความที่ฉันอยากจะแน่ใจแบบชัวร์ๆ ว่า พวกเธอไม่ได้ยินเสียงอะไรจากดาดฟ้าของฉัน ฉันก็เลยลองข่มใจเข้าไปใกล้รั้วปูนอีกครั้งเพื่อแอบดูสถานการณ์ที่ดาดฟ้าเพื่อนบ้านอีกรอบ ซึ่งภาพที่เห็นก็คือ เธอสองคนยังนัวเนียกันและตั้งหน้าตั้งตาปรนเปรอกันจนเริ่มส่งเสียงดังขึ้น
...หน้ามืดจนหูดับเลยสินะ ถึงไม่รู้ตัวว่ามีฉันอยู่ตรงนี้อ่ะ...
ตอนนี้นะ ฉันคิดว่าต่อให้คลานเข้าห้องนอนไปได้ก็คงไม่พ้นต้องนอนฟังเสียงครางสยิวไปตลอดคืน อันที่จริงต่อให้ฉันกระโดดโลดเต้นยังไง สองคนนั้นก็คงไม่ว่างพอจะเงยหน้ามาสังเกตเห็นฉันหรอกมั้ง เหอะๆ แต่เอ๊ะ! จะว่าไป ความรู้สึกบ้าๆ ของฉันมันหายไปแล้วแฮะ สงสัยเป็นเพราะความตกใจกลัวจะโดนจับได้เมื่อกี๊แน่ๆ เลย
เฮ้อ... รีบกลับเข้าห้องดีกว่า...
ถึงฉันจะคิดอย่างนั้นก็เถอะค่ะ แต่ฉันลืมไปซะสนิทเลย ว่าฉันยังโผล่หัวเลยขอบรั้วปูนและมองไปที่โซฟาเบดสีน้ำเงินตัวใหญ่ตัวนั้นอยู่ ซึ่งสภาพการณ์แบบนี้มันทำให้ฉันหลบสายตาของคนที่บังเอิญมองมาไม่ทันซะแล้ว..
เราสบตากันอย่างจังเป็นครั้งแรก ในสถานการณ์สุดแปลกพิลึก เป็นการสบตาที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลย เพราะฉันกำลังทำตัวเหมือนโรคจิตถ้ำมองและเธอคนนั้นกำลังสาละวนปฏิบัติภารกิจชนิดมือเป็นระวิง หัวใจฉันเต้นรัวพร้อมกับขาสองข้างที่ก้าวเร็วๆ เข้าห้องนอนและปิดประตูทันที เสียงครางจากดาดฟ้าของเพื่อนบ้านยังดุเดือดจนดังแทรกเข้ามาในห้อง ขณะที่ฉันยืนพิงประตูห้องทั้งหอบหายใจถี่ๆ
...ซวยละสิหมวยเล็ก...
ในคืนที่กรุงเทพคึกคักเป็นบางจุด เพราะใครต่อใครก็ต่างทยอยไปหาที่เคาท์ดาวน์กันหมดนั่นแหละ อาจเป็นเวทีคอนเสิร์ตตามห้างดังๆ สักแห่ง หรือ สถานที่เที่ยวฮิตๆ ต่างจังหวัด บางคนก็กลับบ้านไปรับลมหนาวนอกกรุง แถวละแวกบ้านฉันจึงเงียบสงบกว่ามากในคืนสิ้นปีแบบนี้อาม่าไม่อยู่ตั้งแต่สองวันก่อน โดยบอกไวเพียงแค่จะไปกินผัดไท ฉันเดาว่าคงเป็นร้านแถวบ้านเก่าพี่บอมส์แน่ๆ เลย ส่วนเจ้ก็ไปค้างกับคุณบรรณารักษ์ คนงานร้านข้าวมันไก่ลากลับบ้านกันหมด คืนนี้ฉันจึงนัดเคาท์ดาวน์กับพี่บอมส์ที่บนดาดฟ้าซะเลย แต่ฉันชวนวาวมาด้วยนะคะ และคงเพราะวาวก็มาด้วยนี่แหละมั้งคะที่เป็นเหตุให้พี่บีมบอกว่าจะมาเคาท์ดาวน์กับเราด้วยกว่าวาวจะมาถึงบ้านฉันก็ดึกพอควรแล้ว แถมคุณเพื่อนดันขออาบน้ำก่อนจะขึ้นดาดฟ้าอีกนะ ฉันเลยเดินขึ้นดาดฟ้าไปก่อนเลยค่ะ เพราะรอวาวอาบน้ำไม่ไหวจริงๆ เมื่อรู้ว่าพี่บอมส์รออยู่บนดาดฟ้าสักพักแล้ว ฉันหยิบผ้าห่มและถุงขนมที่ซื้อมาติดมือขึ้นไปด้วย และพอขึ้นไปถึง ฉันก็เจอพี่บีมที่กำลังง่วนอยู่กับการจัดพวกเครื่องดื่มและอาหารให้พร้อมอยู่บนโต๊ะไม้เตี้ยๆ ใกล้ที่นอนปิกนิคขนาดใหญ่อย่างเงียบๆ เมื่อพี่บีมหันมาเห็นฉันเพราะได้ยินเสียงประ
หลังจากมื้อเย็นผ่านไป ทุกคนแยกย้ายกันพักผ่อน แล้วความอึ้งก็บังเกิดกับฉันอีกระลอก คือ พี่บอมส์เอ่ยปากขออนุญาตอาม่านอนค้างกับฉัน และอาม่าก็อนุญาตอย่างง่ายๆ จนฉันงง ฉะนั้นเมื่อได้อยู่กับพี่บอมส์ตามลำพังในห้องนอนของฉันที่ชั้นสาม คำถามมากมายในหัวฉันจึงถูกเอ่ยออกมาเพื่อหาคำตอบจากเธอ เนื่องจากเมื่อเย็นฉันมัวแต่อึ้งจนไม่ทันได้เอ่ยถามอะไรใครเลย “พี่รู้จักอาม่ามานานแล้ว บ้านเก่าพี่อยู่ใกล้บ้านแฟนอาม่าน่ะ” พี่บอมส์ตอบมาอย่างนั้น เมื่อฉันถามว่า ทำไมเธอถึงได้ดูสนิทสนมกับอาม่านัก มันเป็นคำตอบที่สร้างความประหลาดใจต่อฉันมาก เพราะฉันเข้าใจว่า อาม่าของฉันเป็นโสดมาตลอด เพราะอาม่าไม่ใช่ย่าแท้ๆ ของฉัน แต่รับภาระเลี้ยงฉันกับเจ้มาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่พ่อกับแม่ของฉันเสียไปนั่นแหละ เนื่องด้วยอาม่าแท้ๆ ของฉันมีหลานชายอีกหลายคนที่ต้องดูแล และไม่มีใครในตระกูลว่างพอที่จะสืบทอดกิจการข้าวมันไก่เลย อาม่าของฉันซึ่งเป็นสาวโสดไร้ภาระลูกผัวจึงเข้ารับสืบทอดกิจการนี้เพียงคนเดียว ตั้งแต่ยังอายุไม่เข้าใกล้เลขสี่เลยด้วยซ้ำ “แฟนอาม่า...” ฉันทวนคำพูดพี่บอมส์อย่างครุ่นคิด “ใช่... สมัยนั้นพี่ยังเรียนประถมอยู่เลย ตอนที่อาม่ากับป
ขอโทษนะคะ ที่หายไปนาน แต่หลังจากวันนั้นบนดาดฟ้า ชีวิตของฉันก็ยิ่งวุ่นมากขึ้น เพราะการเป็นแฟนพี่บอมส์มันไม่ง่ายเลยที่ฉันจะสามารถปลีกตัวจากเธอเพื่อหาเวลามาเล่าบรรยายให้คุณๆ ได้ฟังกันว่า มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง โดยเฉพาะบทลงโทษสองชั่วโมงที่พี่บอมส์คาดโทษฉันไว้เสียแน่นในคืนนั้นตามจริงแล้ว คืนนั้น ฉันถูกกักตัวไว้เกินสองชั่วโมงนะคะ แต่เราไม่ได้ทำอะไรต่ออะไรกันต่อเนื่องตลอดสองชั่วโมงหรอกค่ะ เพราะพี่บอมส์กับฉันมีเรื่องต้องคุยกันอีกเรื่อยๆ พี่บอมส์เลยใช้วิธีลงโทษแล้วพักคุยแล้วลงโทษอีก จนรวมเวลาลงโทษครบสองชั่วโมง ฉันแทบจะหลับสลบอยู่บนดาดฟ้านั่นแหละค่ะ ถ้าหากไม่นึกถึงวาวขึ้นมาได้และรีบขอตัวลงจากดาดฟ้ามาหาเพื่อนเอาตอนที่ฟ้าเริ่มจะสว่าง และช่างน่าอัศจรรย์เมื่อฉันพบว่าในเช้าวันนั้น วาวมีสภาพจิตใจดีขึ้นอย่างเห็นชัด ไม่มีน้ำตาให้ฉันต้องช่วยซับเลยสักหยด ฉันก็ดีใจนะคะที่เพื่อนดีขึ้น แม้จะสงสัยว่าดีขึ้นได้อย่างไร แต่ก็ไม่มีเวลามาซักไซ้เพื่อนมากนัก เพราะพักหลังๆ มานี่ฉันมีผู้ปกครองคนพิเศษคอยตามรับตามส่งที่โรงเรียนแทบทุกวันน่ะสิคะ ทุกเย็นวันธรรมดาที่ฉันเคยเดินกลับบ้านกับวาว นอกจากวาวจะชอบหายตัวไปบ่อยๆ ตอนนี้
“ไม่ได้ One night stand เหรอคะ” ฉันพูดทวนในสิ่งที่ได้ยินจากปากพี่บอมส์อีกรอบเลยค่ะ กลัวว่าฉันจะฟังผิดไป“อื้ม นี่อย่าบอกนะ ว่าเธอเข้าใจว่าเรา One night stand กันน่ะ” พี่บอมส์ย้อนถาม ท่าทางเธอทึ่งมากๆ กับความเข้าใจของฉันที่เธอเพิ่งจะได้รับรู้“โธ่ หมวยเล็ก อันดับแรกนะ One night stand สำหรับพี่คือต้องไม่ซ้ำคนเพื่อไม่ให้เกิดความผูกพัน ต้องไม่ติดต่อกันอีกเลยไม่มีการโทรหรือแชทกันเด็ดขาด และที่สำคัญ พี่จะบอกกับทุกคนก่อนทำทุกครั้งให้เข้าใจว่า จะแค่ One night stand กันเท่านั้น เอาล่ะ ทีนี้ลองคิดดีๆ ทบทวนใหม่นะคะ เรามีอะไรกันกี่ครั้งแล้ว”...สาม...“พี่ขอเบอร์หมวยเล็กรึเปล่า” ...ขอ...“แล้วพี่พูดสักคำมั้ย ว่าเราจะแค่ One night stand กันอ่ะ”...อืม ไม่ได้พูดเลยค่ะ...“แล้ว ที่พี่ว่า ถ้าเจอกันเราคงทักทายกันเหมือนเดิมไม่ได้ล่ะคะ” ฉันวกกลับไปถามเรื่องเก่าทันที ก็แหม ถึงฉันจะยอมจำนนในความเข้าใจผิดของตัวเอง แต่ฉันก็ยังไม่หมดข้อข้องใจนี่คะ“อ่อ ก็ตอนนั้นเรามีอะไรกันแล้วไง มีพยานรักแล้วด้วย จะให้คุยกัน ทักกัน เหมือนคนรู้จักเหมือนเพื่อนบ้านทั่วไปได้ไงล่ะ จริงๆ พี่เริ่มหาจังหวะจะขอหมวยเล็กเป็นแฟนตั้งแต
“แค่ก แค่กๆ ”เสียงที่แผ่วเบานั้น ดังชัดในความเงียบสงัด มันแทรกผ่านเสียงลมมากระทบโสตประสาทฉัน และดึงให้ฉันหยุดเดินได้สำเร็จ ฉันมองจ้องไปที่เก้าอี้นวมซึ่งยังคงวางชิดรั้วปูนอยู่ ซอฟต์ครีมโดดขึ้นมายืนบนรั้วและโดดลงมานั่งที่เก้าอี้นวมของฉัน ฉันเอื้อมมือไปเกาคางมันเบาๆ แต่ฉันรู้ค่ะ ว่าเมื่อครู่นี้มันไม่ใช่เสียงแมวแต่น่าจะเป็นเสียงคนมากกว่า จากที่ตอนแรกฉันจะถอยกลับเข้าหลังประตูเหล็ก เท้าฉันก็ก้าวพาตัวเองไปยืนเกาะรั้วปูน ชะโงกมองหาต้นเสียงจนพบพี่บอมส์นอนขดอยู่บนพื้นข้างเก้าอี้นวม เป็นสภาพที่น่าตกใจนะ พอฉันเห็นแบบนั้นก็แทบจะปีนข้ามรั้วไปหาเธอทันที แต่ซอฟต์ครีมเร็วกว่าฉัน มันทำให้พี่บอมส์รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาด้วยการกระโดดข้ามรั้วปูนลงไปที่พื้นดาดฟ้าพี่บอมส์โดยเทคตัวถีบเท้าตรงกลางหลังพี่บอมส์ซะเต็มกำลังแมวเลยค่ะ “ปลุกดีๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องโยนแมวใส่กันเลยนี่” ประโยคทักทายจากพี่บอมส์ทำเอาฉันเลิกคิ้วก่อนหันมองไอ้แมวตัวแสบที่ตอนนี้กลับมานั่งบนรั้วปูนข้างๆ มือฉันที่จับค้ำกับรั้วปูนอยู่ ฉันโดนแมวหาคดีให้อีกกระทงซะงั้นแหละค่ะ“ไม่ได้โยน มันโดดไปเอง มันคงเห็นว่าเจ้านายมันเริ่มจะขี้เซากว่ามันแล้วมั้ง” ฉั
“คืนนี้สามทุ่ม เจอกันบนดาดฟ้า พี่จะนอนทั้งวัน หวังว่าจะหายไข้ มีแรง มีสติ มากพอจะคุยกันรู้เรื่องกว่านี้” พี่บอมส์ว่าอย่างนั้น ก่อนปล่อยฉันให้เป็นอิสระและมาโรงเรียนสักที แต่ก็เพราะอย่างนั้น ทั้งวันที่โรงเรียน ในหัวฉันถึงมีแต่เสียงพี่บอมส์ซึ่งบอกนัดหมายดังก้องอยู่ตลอดทุกชั่วโมงเรียนชั่วโมงพัก คืนนี้... จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ฉันไม่อยากคาดเดา เพราะหากเริ่มคิด ฉันคงแอบหวัง ว่าทุกอย่างจะเป็นไปทางที่ดี และอย่างที่เรารู้กันดี ความคาดหวังน่ะน่ากลัว ผิดหวังกันทีก็เสียหลักกันนานเป็นปีได้เลยมั้ง ฉันว่า ถ้าต้องเกลียดความรัก ฉันคงเกลียดมันเพราะข้อนี้แหละ บ่ายวันนี้ฉันไม่เจอวาวเลย นี่นานวันเข้า ฉันยิ่งรู้สึกเหมือนว่าเพื่อนฉันถูกลักพาตัวแทบทุกวันเลยค่ะ วาวมักจะหายตัวไปแบบไม่บอกกล่าว และโผล่กลับมาเองจนฉันเริ่มชินไปแล้วค่ะ ฉันเลยไม่ค่อยห่วงกังวลอะไรนัก เพราะฉันรู้ดีว่า โจรลักพาตัวคือใคร ถ้าฉันจะห่วงวาวล่ะก็ ฉันห่วงเรื่องผลการเรียนของคุณเพื่อนมากกว่าค่ะ ตั้งแต่เจอพี่บีม วาวก็มีเหตุต้องขาดเรียนบ่อยเกินไปแล้ว ฉันคิดว่าฉันต้องเตือนคุณเพื่อนสักหน่อย ถ้าฉันหาตัววาวเจออ่ะนะคะ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นระหว่างที่ครู







