หนิงเซียนนั่งลงข้างแปลงผักกาดต้นอวบใบเขียวใหญ่น่าทาน นางเริ่มลงมือถอนหญ้าออกจากแปลงผักไปเรื่อย ๆ แดดที่เริ่มจะร้อนทำให้หลังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ กระนั้นหนิงเซียนก็ยังคงนั่งทำสวนต่อไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
หญ้าในแปลงผักถูกถอนออกแปลงแล้วแปลงเล่า ในที่สุดมันก็ทำเสร็จจนครบทุกแปลง จากนั้นหญิงสาวจึงเตรียมนำปุ๋ยคอกที่ได้จากการไปขอมูลวัวของชาวบ้าน นำมาโรยใส่แปลงผักเพื่อให้สารอาหารจากมูลวัวช่วยให้ผักเจริญงอกงามยิ่งขึ้น
“เสียดายที่ข้าไม่ได้ศึกษาเกี่ยวกับปุ๋ยหมัก ไม่เช่นนั้นผักคงจะงามได้ยิ่งกว่านี้” ใบหน้างามยิ้มออกมาด้วยความภาคภูมิใจ ในตอนที่นางยังอยู่โลกเดิมทำงานแทบตาย กลับไม่มีเงินเหลือเก็บ แต่พอได้ใช้ชีวิตแสนธรรมดา ไม่ต้องดิ้นรนตื่นเช้าเพื่อออกไปทำงานหาเงินกลับมีกินมีใช้ไม่ขาดมือ
อีกฟากหนึ่งห่างออกไปหนึ่งหลี่ (500เมตร)
สายตาคมเฝ้ามองสตรีร่างเล็กทำงานสวนอย่างขยันขันแข็ง ใบหน้างามที่เดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวหัวเราะมันทำให้เขาละสายตาจากนางไม่ได้เลย เมื่อไรกันที่เอาแต่เฝ้ามองการกระทำทั้งหมดของนาง ทั้งที่เมื่อก่อนก็เอาแต่เพิกเฉยไม่เคยใส่ใจ
กายหนายืนมือไพล่หลังมองสตรีตรงหน้าไม่ไหวติง พลางครุ่นคิดถึงการเปลี่ยนไปของหนิงเซียน สตรีอ่อนแอทำตัวปวกเปียกช่วยตนเองมิได้สักอย่าง ไฉนเลยตอนนี้นางกลับดูมีชีวิตชีวา มีความสุขกับความยากลำบากเช่นนี้กัน มันเหมือนกับไม่ใช่คนเดิม
“พระองค์จะไม่เข้าไปหรือพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์คู่กายเอ่ยถามขึ้นอย่างใคร่รู้ เดิมทีอนุหนิงได้ถูกขับไล่ออกจากวังอ๋อง พระองค์ต้องการถอนรากถอนโคนคนของศัตรู ทั้งยังเป็นการตัดปัญหาเรื่องหลังเรือนอันน่าปวดหัว
สตรีก็รังแต่จะนำความวุ่นวายเข้ามาไม่รู้จักจบสิ้น ในความคิดของท่านอ๋องสตรีเป็นอะไรที่น่ารำคาญที่สุด มิใช่เพียงแค่อนุหนิงเท่านั้น อนุทุกคนก็ถูกจัดการด้วยเช่นกัน จะต่างเพียงแค่วิธีที่ทำให้ออกไปเท่านั้น วังอ๋องในตอนนี้ว่างเปล่าไร้เงานายหญิง
“ไม่” การพบกันครั้งนี้มันเป็นแค่ความบังเอิญก็เท่านั้น ไม่จำเป็นจะต้องออกไปแสดงตัว
“จะกลับเมืองหลวงเลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์หนุ่มได้แต่มองอนุหนิงอย่างเห็นใจ ในตอนที่เข้ามาเป็นอนุแต่แรกเริ่มก็มิได้เต็มใจอยู่แล้ว อีกทั้งยังต้องออกจากวังอ๋องไปตกระกำลำบาก โดนร่างแหไปด้วย โดยที่หนิงเซียนมิได้มีส่วนรู้เห็น เป็นเพียงคนที่บังเอิญรับเข้ามาอย่างช่วยไม่ได้
“อืม”
เหลียงเฟิงหมุนกายเดินกลับตรงไปยังรถม้าที่จอดรออยู่แล้ว ด้วยใบหน้าที่ไม่อาจคาดเดาอารมณ์ได้ แต่ภายในใจเขามันรู้สึกสับสน
ภาพการร่วมเตียงกันหลายคืนที่ผ่านมา ยังคงติดตรึงอยู่ภายในใจเขา ชายหนุ่มรีบสลัดทุกอย่างทิ้งไป เขาก็แค่ใช้นางเพื่อให้หลุดพ้นจากฤทธิ์ยากำหนัดน่ารังเกียจนั่น ถือเสียว่ามันคือคราวซวยของนางก็แล้วกัน ไม่จำเป็นจะต้องรู้สึกผิด สตรีทุกคนก็น่ารำคาญเหมือนกันหมด
องครักษ์คู่ใจเดินตามหลังผู้เป็นนายไปทันที กระนั้นก็ยังคงหันกลับไปมองสตรีร่างเล็กด้านหลังเป็นระยะ ท่านอ๋องดูเหมือนจะไม่ให้ความสนใจอนุหนิง
ทว่าในตอนที่อาการกำหนัดกำเริบ แทนที่จะเรียกนางคณิกามาปรนนิบัติสักคน เพื่อช่วยให้พิษในตัวคลายลง แต่พระองค์กลับเลือกที่จะทนทรมาน เพื่อมาหาอนุหนิงไกลถึงหมู่บ้านในชนบท เขาไม่เข้าใจท่านอ๋องเลยสักนิด พระองค์คิดอะไรอยู่กันแน่
“เจ้าจะมองอีกนานหรือไม่ หากไม่อยากถูกควักลูกตาก็หยุดการกระทำนั่นเสีย”
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง” เสียงเย็นยะเยือกที่รับสั่งออกมา ทำเอาองครักษ์หนุ่มเย็นวาบไปทั้งตัว รีบเก็บสายตาตนเองโดยไว ก็ไหนท่านอ๋องบอกว่ามิได้สนใจอนุหนิง แต่การกระทำช่างสวนทางกันเหลือเกิน
“ไฉฉือหยุดความคิดของเจ้าเดี๋ยวนี้” คำพูดจากปากสาวเจ้าไม่ค่อยจะเข้าหู มู่หลางพยายามข่มกลั้นความโกรธของตนเองอย่างสุดความสามารถ“พวกเจ้าเป็นอันใดกัน น่ารำคาญยิ่งนัก จะไปไหนก็ไป” หลังจากเขากับภรรยาแอบฟังมู่หลางพูดคุยอยู่นาน ได้จังหวะเหมาะจึงแสร้งทำเป็นไม่พอใจไล่คนทั้งสองไปที่อื่นเสีย“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง กระหม่อมขอเวลาสักครู่พ่ะย่ะค่ะ” หากวันนี้ตกลงกันไม่เข้าใจ เห็นทีว่าไฉฉือคงต้องได้ยืดเวลากลับบ้านไปหาท่านป้าแล้ว“ไม่ต้อง อีกสองวันค่อยกลับมาทำหน้าที่ของเจ้า ไปแก้ปัญหาให้จบ อย่าให้ข้าเห็นเช่นนี้อีก” เหลียงเฟิงตวาดเสียงดุ ความจริงแล้วเขาก็อยากจะเล่นงิ้วต่อ แต่ภรรยาสุดที่รักกลับให้เขารีบจบบทบาทเจ้านายอารมณ์ร้ายนั่นเสีย ช่างน่าเสียดาย“ขออภัยอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก” องครักษ์หนุ่มสำนึกผิดที่ตนทำให้นายเหนือหัวต้องรำคาญใจ ทั้งที่วันนี้ท่านอ๋องกับหวังเฟยควรจะได้ออกมาทานข้าวนอกอย่างสำราญใจแท้ ๆ กายหนาหันกลับไปคว้ามือเล็กคนข้างกาย พาอีกฝ่ายขึ้นชั้นสามไปอย่างรวดเร็ว“ว๊าย! พี่มู่เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ” ไฉฉือร้องทัดทาน มือบางรวบเก็บชุดส่วนบนไว้แน่น ยิ่งพี่มู่ของนางดึงแรงเพียงใด
“เป็นอะไรไปไฉฉือ” หนิงเซียนเอ่ยถามขึ้น เมื่ออีกฝ่ายเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินผิด ๆ ถูก ๆ“นายหญิงเจ้าคะ ให้ข้ากลับเถอะเจ้าค่ะ คนมองเต็มเลย สงสัยข้าน้อยแต่งตัวประหลาด” หญิงสาวกระซิบกระซาบเสียงเบา ตั้งแต่นางพาเข้าในโรงเตี๊ยม ก็ถูกผู้คนจับต้องตลอดทางเดิน ทำให้นางไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าใดนัก“เป็นเพราะเจ้างดงามพวกเขาจึงได้มอง ไปกันเถอะ ไม่มีอะไรต้องกลัว ไม่อยากเจอพี่มู่ของเจ้าหรือ”“พี่มู่อยู่ที่นี่หรือเจ้าคะ” เมื่อนายหญิงเอ่ยชื่อพี่ชายที่แสนดี หญิงสาวก็หูผึ่งขึ้นมาทันที หลงลืมความอายไปชั่วขณะ“ใช่แล้ว ไปกันเถอะ” มู่หลางจงจำไว้ที่เจ้าพูดว่าจะไม่แต่งงานน่ะ ข้าจำคำนั้นขึ้นใจเชียวละ หุ หุเพราะหลายครั้งที่นางได้ยินคำนี้ออกจากปากองครักษ์หนุ่ม หนิงเซียนก็เฝ้ารอวันที่มู่หลางจะพลาดพลั้งบ้าง ส่วนมากคนพูดเช่นนี้ก็มักจะไม่พ้นผิดไปจากที่พูดเสียทุกรายมู่หลางหายใจฟึดฟัดเมื่อเห็นอีกคนเดินเข้ามาด้านในโรงเตี๊ยม วันนี้ไม่รู้ว่าท่านอ๋องคิดอะไรอยู่ ถึงได้ออกมานั่งรอหวังเฟยที่โต๊ะด้านนอก แทนที่จะเปิดห้องพิเศษเหมือนทุกครั้งไป นั่นใครสั่งใครสอนให้แต่งกายประหลาดเช่นนั้น เดินทีกระโปรงเปิดเปลือยไปถึงขาอ่อน แต่งมายั่
“น้องสาวทางสายเลือดหรือไม่” ตรงส่วนนี้ที่นางรู้สึกสงสัย ก็ไหนมู่หลางเคยบอกว่าไม่มีครอบครัวแล้วอย่างไร เหตุใดถึงได้มีน้องสาวโผล่มาได้“ไม่ ๆ เจ้าค่ะ ข้าน้อยเป็นเพียงบุตรสาวคนข้างบ้านพี่มู่ แต่ว่าเติบโตมาด้วยกันจึงสนิทกันเจ้าค่ะ” หญิงสาวรีบชี้แจงให้นายหญิงคนงามเข้าใจ นางและพี่มู่ห่างกันตั้งหกปี แม้จะเคยสนิทสนมกันมาก ทว่าเมื่อโตขึ้นพี่มู่กลับเว้นระยะห่าง แม้แต่เคยเล่นกอดคอกันเมื่อตอนเด็ก ๆ เขายังสั่งห้ามมิให้เข้าใกล้ ซึ่งนางก็ไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าใดนัก“จริงหรือ แล้วเขาดูแลเจ้าดีหรือไม่” ที่หนิงเซียนซักถามเช่นนั้น ก็เพราะว่ามู่หลางเป็นคนค่อนข้างจะทึ่มทื่อปากหนักในเรื่องชายหญิง นางก็อยากจะรู้เขาจะมีความรู้สึกพิเศษอะไรกับไฉฉือหรือไม่ สตรีหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักออกปานนี้ ไม่มีความรู้สึกอันใดก็คงจะแปลกไม่น้อย“ดีมากเจ้าค่ะ มีอะไรก็นึกถึงข้ากับท่านแม่ตลอดเลย นี่ก็ห่วงว่าพี่มู่จะหาภรรยาไม่ได้ แก่ไปคงได้อยู่ตัวคนเดียว ท่านแม่จึงให้ข้ามาดูให้เห็นกับตาเจ้าค่ะ” ด้วยความใสซื่อ ไฉฉือจึงพูดออกมาอย่างไม่มีปิดบัง แต่เมื่อถึงตอนนั้น หากเขามีคนรักขึ้นมาจริง นางก็ไม่รู้ว่าตนเองจะทำใจรับได้หรือไม่ ที่ผ่านมาต
ไฉฉือสาวน้อยจากหมู่บ้านชนบทยืนชะเง้อคอยาวอยู่หน้าประตูวังอันใหญ่โต นางไม่คิดว่าพี่มู่จะอยู่ดีเกินคาดไปมาก เมื่อได้เห็นกับตาก็สบายใจไปเปลาะหนึ่งที่ผ่านมานางและมารดากลัวว่าเขาจะอยู่อย่างยากลำบาก เงินที่แบ่งปันให้นางกับครอบครัวทุกเดือนก็มากโข แล้วไหนจะมีของฝากราคาแพงอีกมากมาย เพราะแบบนี้มารดาจึงไม่สบายใจ เกรงว่ามู่หลางจะเอาแต่ทำงานหนักไม่รู้จักดูแลตนเอง เงินที่ได้มาก็คงจะส่งให้พวกตนทั้งหมด ด้วยเขามีนิสัยคิดถึงผู้อื่นมากกว่าตนเองเสมอครอบครัวไฉฉือและมู่หลางไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแต่อย่างใด เป็นเพียงเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันเท่านั้น ตอนเด็กนางและเขาสนิทกันมาก ในตอนมู่หลางอายุได้สิบหนาวบิดามารดาตายจากด้วยโรคระบาด ไม่มีญาติมิตรคอยดูแล มารดาไฉฉือสงสารจึงได้ส่งเสียเลี้ยงดูราวกับลูกในไส้ สำหรับสายตาของหญิงสาว มารดาออกจะรักมู่หลางมากกว่านางที่เป็นบุตรสาวแท้ ๆ เสียอีกเมื่อเติบโตต่างฝ่ายต่างแยกย้าย ไฉฉือเป็นเพียงสตรีจึงทำได้แค่ช่วยมารดาทำสวนทำไร่อยู่บ้านนอก ส่วนมู่หลางเขาได้เดินทางมาเมืองหลวงเพื่อหางานทำ หลังจากนั้นก็ไม่ได้พบหน้ากันอีกเลย มีเพียงจดหมายพร้อมกับตั๋วเงินแนบมาให้ในทุก ๆ เดื
เด็ก ๆ สามคน รวมไปถึงมู่หลางนั่งล้อมวงดื่มชากินขนมกันอยู่ศาลาพัก พร้อมกับพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน จวนแม่ทัพหยางให้ความเอ็นดูเด็กแฝดเป็นอย่างมาก ฮูหยินหยางอยากให้บุตรชายได้มีบุตรแบบนี้สักคู่ทว่าแต่งงานมาได้สองปีกลับยังไม่มีหลานให้อุ้ม พวกเขาจึงแก้เหงาด้วยการขอท่านหญิงน้อย ท่านอ๋องน้อย มาเล่นที่จวนแม่ทัพในบางครั้งขนมพร้อมกับน้ำชาแสนอร่อยถูกลำเลียงมาวางจนเต็มโต๊ะ ทำเอาเด็ก ๆ ทั้งสามตาลุกวาวอย่างถูกอกถูกใจ มาจวนแม่ทัพทีไรล้วนแล้วแต่มีของอร่อยให้ได้กินจนเต็มคราบแต่เมื่อกลับถึงวังของหวานเหล่านี้จะกินตามใจปากไม่ได้แล้ว เพราะท่านแม่มักจะจำกัดการกินของพวกเขาเสมอ ท่านแม่บอกว่าเด็กกินของหวานไม่ดี ฟันจะผุ ถูกแมลงตัวร้ายกินหมดปาก“เฮ้อ” เด็กหญิงเคี้ยวขนมแก้มตุ่ย นั่งถอนหายใจราวกับมีเรื่องให้หนักใจเป็นหนักหนา กระนั้นก็ยังยกขนมในมือขึ้นกัดเข้าไปอีกคำโต“ไม่สบายตรงไหนหรือพ่ะย่ะค่ะท่านหญิง” หลี่หยุนรีบวางขนมในมือทันที พร้อมกับถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง“เราไม่เป็นไร เราแค่กังวลใจ”“ท่านหญิงกังวลใจเรื่องอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ เล่าให้กระหม่อมฟังได้หรือไม่” มู่หลางรู้สึกเป็นห่วง ท่านหญิงเป็นเด็กร่าเริง น้อยนักท
“หนิงหนิง พี่ทนไม่ไหวแล้ว”กายหนาจับภรรยาหันหน้าเข้าผนังห้องทันที ก่อนจะถลกกระโปรงหญิงสาวขึ้นถึงเอว จากนั้นท่อนเนื้ออันใหญ่โตสอดเข้าผสานเนินสาวอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังออกแรงโยกไปตามอารมณ์ดิบเข้าออกเป็นจังหวะช้าเร็วตามแรงอารมณ์ ไม่แม้แต่จะเล้าโลมให้เสียเวลา“ท่านพี่เดี๋ยวก่อน” หนิงเซียนบัดนี้นางได้ถูกคนตัวโตตอกอัดตนเองเข้ากับผนังอย่างไม่ทันตั้งตัว นางและเขาใช้ชีวิตรักฉันสามีภรรยามานาน จนบุตรแฝดทั้งสองอายุได้สามหนาวแล้ว ทว่าความต้องการของสามีก็มิได้ลดน้อยลงจากเดิม ในบางครั้งออกจะมีความต้องการมากล้นเสียด้วยซ้ำตั้งแต่เจ้าสองแสบเริ่มโต นางและเขาก็มิได้มีเวลาให้กันมากเท่าใดนัก ด้วยบุตรทั้งสองต่างงอแงอ้อนขอนอนด้วยทุกค่ำคืน แม้พวกเขาจะโตมากพอที่จะแยกห้องนอนกันได้แล้ว แต่ก็ยังเกาะติดผู้เป็นมารดาราวกับลูกลิง บิดาผู้หลงบุตรมีหรือจะไม่ยอมตามใจ ผลกรรมทั้งหมดได้ตกมาอยู่ที่เขาแทน“พี่ขอเถอะ ประเดี๋ยวลูกก็คงกลับจากเรียนวิชาดาบแล้ว” เขาอดกินภรรยามาเกือบเจ็ดวันแล้ว เวลานี้ได้โอกาสเหมาะ จึงไม่พลาดที่จะกลืนกินภรรยาสาว ทุกเวลาล้วนมีค่าสำหรับเขา“อ๊ะ! แรงไปแล้วนะเจ้าคะ” หนิงเซียนหัวโยกหัวคลอน เขาไม่ยอมผ่อน