เจ้าของร่างระหงยืนแหงนหน้าแผดเสียงหัวเราะดังลั่น เรียกได้ว่าไม่สนฟ้าแคร์ดินใดๆ ทั้งสิ้น เธอในตอนนี้ไร้ความรู้สึกเสียใจต่อการจบชีวิตของตัวเองอย่างสิ้นเชิง ความยินดีนั้นมีมากมายจนทำให้ไม่ทันได้สังเกตว่าห่างออกไปยังมีสายตาอีกสองคู่จับจ้องมาที่ตน
“แน่ใจแล้วหรือท่านผู้เฒ่า ว่านางเป็นวิญญาณจากเขตของท่าน” หนึ่งในสองเป็นชายหนุ่มผู้มีใบหน้าหล่อใสกับการแต่งตัวสไตล์เกาหลี ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในยุคสมัยกล่าวขึ้น
“แล้วนั่นนางเป็นอะไรของนาง ดวงวิญญาณก็เป็นบ้าได้ด้วยหรืออย่างไรกัน”
สายตาของเขาจับจ้องร่างที่อยู่ห่างออกไปเบื้องหน้าอย่างไม่ลดละ ในแววตายังแฝงไว้ด้วยความหวาดระแวงลึกๆ ผู้ที่ถูกเรียกว่าผู้เฒ่าหันหน้ามามองคู่สนทนา ก่อนจะเบือนหน้าหันกลับไปมองร่างบอบบางนั้นอีกครั้ง แล้วเอ่ยตอบอย่างจนปัญญา
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก ไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น หรือว่าวิญญาณของนางจะได้รับผลกระทบจากความผิดพลาด”
คนหนุ่มกว่าเม้มริมฝีปากแน่นกับคำตอบที่ได้รับ ก่อนจะยอมรับเงียบๆ ในใจ
‘ใช่แล้ว มันไม่เคยเป็นแบบนี้ ไม่เคยมียมทูตหรือผู้รับดวงวิญญาณคนไหนที่เคยบันทึกเอาไว้ว่าเคยพบเจอวิญญาณคนตายที่เป็นบ้า! เพราะต่อให้เป็นคนบ้าสติไม่ดี หรือคนพิการไม่สมประกอบใดๆ เมื่อตายตกมาแล้วก็จะคืนรูปเป็นวิญญาณที่สมประกอบเสียสิ้น แตกต่างกับสตรีตรงหน้าที่แลดูจะวิปลาสโดยแท้’
“แล้วแบบนี้ ถ้าโดนนางกัดเข้าละก็ พวกเราจะติดไหม”
คนแก่หันมามองหน้าคนหนุ่มกว่าพลางขมวดคิ้ว ก่อนจะถามด้วยความงุนงง เนื่องจากไม่เข้าใจความหมายในคำถามเท่าใดนัก
“ติดสิ่งใดกัน”
“ข้าเคยได้ยินผู้คนพูดกันว่าที่โลกมนุษย์นั้นจะมีโรคชนิดหนึ่ง หากถูกกัดจะถ่ายทอดทางน้ำลาย เรียกกันว่าโรคพิษสุนัขบ้า”
โป๊ก!
“โอ๊ย! แล้วอยู่ๆ ท่านมาเขกหัวข้าด้วยเรื่องอะไรกันเล่า” ผู้อ่อนวัยกว่าร้องด้วยความเจ็บปวดพลางยกมือขึ้นลูบศีรษะป้อยๆ ใบหน้าหงิกงอแสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างชัดเจน
“เขกให้เจ้าหายบ้าน่ะสิ ดูท่าว่าเจ้าจะคลุกคลีกับพวกมนุษย์มากเกินไปแล้วกระมัง ถึงได้คิดอะไรโง่ๆ แบบนี้ออกมาได้” ชายชราก่นด่าอีกฝ่าย น้ำเสียงที่ใช้บ่งบอกถึงความหงุดหงิด ก่อนที่เขาจะหันกลับไปมองเป้าหมายของตนเองต่ออีกครั้ง
“แว้กๆๆ”
สิ้นเสียงร้องร่างของผู้เฒ่าก็ผวาเฮือก กระโดดตัวลอยขึ้นไปเกาะกอดคนหนุ่มโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ตั้งตัว แต่เขาก็อ้าแขนรับด้วยสัญชาตญาณ
“เจ้าๆๆ มาเมื่อไรกันนี่”
ชายชราร้องถามร่างบาง ที่บัดนี้มายืนอยู่ข้างตนอย่างเงียบเชียบโดยที่เขาไม่ทันรู้สึกตัว เกวลินเหลือบตามองคนทั้งสอง เห็นอีกฝ่ายอยู่ในท่าคล้ายแม่ลิงกำลังอุ้มลูก ร่างบางพลันมีรอยยิ้มมุมปากน้อยๆ ตอบด้วยน้ำเสียงสดใสผิดกับใบหน้าซีดขาว
“ก็มาเมื่อเห็นนั่นแหละ ลุงคือคนที่จะมารับดวงวิญญาณฉันใช่ไหม”
คราวนี้ทั้งคู่ต่างรีบพยักหน้าให้เธอรัวๆ เป็นการตอบรับ
“อา... งั้นก็ไปกันเถอะ ฉันพร้อมแล้ว”
ผู้มารับหันหน้ามองสบตากัน แล้วก็นิ่งอึ้งงงงวยไปชั่วครู่หนึ่งด้วยความแปลกใจกับเหตุการณ์ดวงวิญญาณเป็นฝ่ายรีบร้อนให้พาไปเสียเอง
ตั้งแต่พวกเขาทำหน้าที่นี้มา จวบจนจะปลดเกษียณแล้ว ก็เพิ่งเคยพบเคยเห็นเรื่องราวเช่นนี้ เพราะโดยทั่วไปแล้วมนุษย์ทุกผู้ทุกคนเมื่อสิ้นชีพดับชีวาวายลงจะแบ่งแยกได้อยู่สามจำพวกหลัก
จำพวกแรกเป็นผู้มีบุคคลอันเป็นที่รักเป็นห่วงยึดติด พอได้รับรู้ว่าตนเองได้สิ้นชีพลงแล้วก็มักจะอาลัยอาวรณ์ต่อชีวิตเมื่อครั้งยังไม่ตาย เป็นเหตุให้โศกเศร้าเสียใจกับการตายของตนยิ่งนัก
จำพวกที่สองนั้นหรือ มักเป็นผู้ที่ถูกทำร้ายทั้งจากคนที่ไม่รู้จัก หรือคนที่ไว้ใจ แม้กระทั่งคนที่ตนรัก คนจำพวกนี้เมื่อรับรู้ว่าตนได้ตายกลายเป็นวิญญาณแล้วมักจะมีความอาฆาตพยาบาท เกลียดชังโกรธแค้นต่อผู้ที่ทำร้ายตนเองอย่างยิ่ง จนเกิดเหตุวิญญาณบางดวงที่มีพลังแกร่งกล้าจากแรงแค้นหลบหนีจากพวกเขาเพื่อไปล้างแค้นต่อผู้ที่ทำร้ายตนอยู่เนืองๆ
ส่วนจำพวกที่สามนั้นเป็นผู้ที่คิดทำลายชีวิตตนเอง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใดก็ตาม ทว่าส่วนใหญ่เมื่อสิ้นชีพลงตามการกระทำก็ใช่ว่าทุกคนจะมีความสุขอย่างที่คิด เพราะเมื่อได้สูญสิ้นชีวิตอันมีค่าลงกลับกลายเป็นดวงวิญญาณมองเห็นภาพผู้ที่อยู่เบื้องหลังร้องไห้คร่ำครวญถึงตัวเอง ได้รับรู้ถึงผู้ที่รักและปรารถนาดีแก่ตน พวกเขาเหล่านั้นก็มักจะร่ำร้องว่า ‘ไม่อยากตาย’ หรือไม่ก็มักเอ่ยว่า ‘รู้อย่างนี้คงไม่ทำแบบนี้’
แต่ชีวิตหาใช่การเล่นเกม ต่อให้คิดได้เพียงใด ผลออกมาก็มักจะสายเกินไปเสียแล้ว ต่อให้ร้องไห้โศกาเพียงใด ก็มิอาจทำให้ตนเองฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาได้อีก ทุกคนจึงจำต้องก้มหน้ารับผลกรรมที่ตนได้กระทำมา โดยรวมส่วนมากแล้ววิญญาณทุกดวงมักจะมีอารมณ์คล้ายคลึงกันคือมีความอาลัยอาวรณ์หรือโกรธเคืองเคียดแค้น ไม่ก็รันทดเสียใจคล้ายๆ กัน
ทว่าวิญญาณหญิงสาวเบื้องหน้าพวกเขานั้นกลับไม่มีความรู้สึกอาทรร้อนใจที่ตัวเองตายให้เห็นสักนิด แถมเจ้าตัวยังเป็นฝ่ายเร่งเร้าให้พาดวงวิญญาณไป โดยไม่มีท่าทีแสดงออกถึงความอาวรณ์ในชีวิตแม้แต่น้อย กล่าวได้ว่าหญิงสาวนั้นสงบนิ่งคล้ายผู้หลุดพ้นจากข้อผูกรั้งใดๆ ทั้งมวลแล้วก็ว่าได้
“ฮะแอ้มๆ งั้นในฐานะที่ข้าเป็นผู้มารับดวงวิญญาณเจ้า ข้าจะอนุโลมให้เจ้าสามารถกลับไปร่ำลาคนที่เจ้ารักได้ ดีไหมล่ะ”
ผู้เฒ่าเอ่ยขึ้นเพื่อแก้หน้าและรักษาภาพพจน์อันเหลือเพียงน้อยนิดของอาชีพตนไว้ หลังจากไต่ลงมาจากเอวของเพื่อนร่วมงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ไม่จำเป็น” เสียงเย็นชาขัดขึ้นทันทีเมื่อได้ยินคำพูดประโยคนั้น
“เจ้าไม่ปรารถนาจะไปลาพวกพ้อง?”
“ใช่”
“เจ้าไม่คิดจะไปลาคนรัก?”
“ฉันไม่มีคนรัก”
“ครอบครัวเล่า”
“ฉันไม่มีครอบครัว”
เธอบอกอีกฝ่ายเรียบๆ ทว่าในใจหวนคิดถึงคำว่าครอบครัว นั่นยิ่งทำให้เธอรู้สึกอยากอาเจียนกับคำคำนี้ยิ่งนัก ใบหน้างดงามนิ่งเรียบ ดวงตาสีดำเผยแววเย็นชา แต่น้ำเสียงที่ตอบกลับเย็นชายิ่งกว่า เป็นผลให้ผู้เฒ่าไม่คิดซักถามสิ่งใดต่อ
‘ไม่รู้ว่านางไปเจอกับอะไรมา ถึงได้ดูเฉยเมยต่อทุกสิ่งทุกอย่างได้เยี่ยงนี้’
คนหนุ่มครุ่นคิดกับตัวเอง แต่เขาก็เลือกที่จะไม่เอ่ยสิ่งใดต่อไปอีก เพราะทุกคนบนโลกล้วนแล้วแต่มีชะตากรรมเป็นของตนเอง ไม่ว่าจะพบเจอสิ่งใดมานั่นถือเป็นโชคชะตาของนางทั้งสิ้น พวกเขามีหน้าที่มารับดวงวิญญาณเพียงเท่านั้น
ร่างบางของเกวลินก้าวตามแถวเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ ส่วนผู้มารับทั้งสองเมื่อหมดหน้าที่ลงแล้วจึงหายไปหลังจากที่นำเธอมาต่อแถว พอมาถึงคิวของหญิงสาว สตรีชราหลังค่อมในชุดสีดำมอซอก็ตักน้ำสีใสใส่ชามพลางยื่นมือเหี่ยวย่นที่มีชามน้ำแกงใสๆ ส่งมาให้
“นี่คือ?”
“นี่คือน้ำแกงลืมเลือน หลังจากเจ้าไปเกิดยังชาติภพใหม่จะได้ลืมความทรงจำของชาติภพเก่าๆ ให้สิ้น” เสียงแหบพร่าของหญิงชราตรงหน้าเอ่ย
‘ฮึ! ลืมงั้นหรือ ลืมแล้วเธอก็อาจจะต้องตายทั้งเป็นเหมือนที่เคย เพราะไม่รู้เล่ห์เหลี่ยมของคนที่คิดร้าย เช่นนั้นชาติเดียวก็เกินพอแล้วมั้ง’
ไวเท่าความคิด มือขาวพลันพลิกคว่ำชามน้ำแกงในมือที่รับมาทิ้งทันทีโดยไม่คิดจะดื่มแม้แต่น้อย หญิงชราเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่ายชั่ววูบหนึ่ง ก่อนจะชี้มือไปยังบ่อน้ำสีทองส่องประกายสดใสไกลออกไปข้างหน้า โดยไร้คำพูดอธิบายใดๆ จากนั้นนางก็หันไปตักน้ำแกงให้ดวงวิญญาณอื่น คล้ายกับว่าเมื่อครู่ไม่มีสิ่งใดผิดปกติเกิดขึ้น
ทว่าในชั่วขณะที่ประสานสายตากับคนตรงหน้า เกวลินกลับรับรู้และรู้สึกได้ถึงแววตาเวทนาสงสารของอีกฝ่ายที่ฉายมาให้เธออย่างท่วมท้น ร่างบางจึงเดินไปยังบ่อน้ำที่นางชี้เมื่อครู่อย่างช้าๆ ก่อนจะทิ้งกายลงสู่พื้นน้ำสีสว่างนั้นโดยไม่มีความลังเล
‘เกิดชาติใหม่ ฉันจะไม่ยอมให้ใครมาอยู่เหนือตัวเองได้อีก ไม่ว่าเรื่องอะไรจะไม่ยอมให้ใครมาบังคับได้ ฉันขอสาบาน!’
หญิงชราผู้ตักน้ำแกงหันไปมองทางทิศที่หญิงสาวเมื่อครู่จากไป ในดวงตาแห้งแล้งคู่นั้นพลันมีน้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาจางๆ ก่อนจะก้มหน้าลงมือก็ตักน้ำแกงให้ผู้ที่มายืนต่อแถวเบื้องหน้าต่อ หยดน้ำสีใสที่คลออยู่ในดวงตาหญิงชราหยดรินร่วงลงสู่พื้นโดยไม่มีผู้ใดได้ทันสังเกต นางรับรู้ดีว่าหญิงสาวเมื่อครู่ผ่านเหตุการณ์ใดมา
‘นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่แม่ผู้เลวทรามคนนี้จะทำให้เจ้าได้ แม้ไม่อาจชดเชยกับสิ่งที่แม่ทำร้ายเจ้าในภพก่อน แต่ก็ขอให้ภายหน้าเจ้าได้พบกับสิ่งดีๆ ด้วยเถิด’
แม้เป็นเพียงหนึ่งชาติที่เคยพบปะก็ถือเป็นวาสนาแล้วมิใช่หรือ...