ขบวนรถแล่นช้าๆ ไปตามทางภูเขาซึ่งทั้งแคบและลื่นเพราะเป็นหินปนกรวด อีกทั้งตลอดเส้นทางยังเปียกชื้นเนื่องจากน้ำละลายจากหิมะบนภูเขา รถจึงแล่นด้วยความเร็วไม่เกินยี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง ทัศนียภาพสองข้างทางสวยงามตามธรรมชาติ ด้านหนึ่งเป็นขุนเขา ส่วนอีกด้านเป็นทุ่งนาสลับทุ่งหญ้า ดอกหญ้าสีม่วง สีเหลือง สีคราม และสีขาวบานสะพรั่งเต็มท้องทุ่งสุดลูกหูลูกตา ฝูงจามรีและฝูงแกะยืนและเล็มใบหญ้า
รถแล่นผ่านทุ่งหญ้า ถัดไปเป็นทิวเขาสลับซับซ้อน หุบเหว โตรกธารที่ไหลรวมกันเป็นสระกว้าง มีขนาดใหญ่บ้างเล็กบ้าง หาดทรายริมสระกว้างบ้างแคบบ้าง ถัดจากหาดทรายมีหญ้าขึ้นปกคลุมเป็นแห่งๆ แต่ไม่มีต้นไม้ใหญ่พอจะให้ร่มเงา
ยิ่งสายแดดยิ่งร้อนแรงจนผู้โดยสารหลายคนในรถต้องรีบคว้าแว่นกันแดดมาสวมรวมทั้งเณรคัง ธีราหันไปเห็นเข้าก็อดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้
วิษณุมองตามแล้วพูดจาเหน็บแนมทันที “ฮึ! อย่างกับบ้านนอกเข้ากรุง”
“พี่ณุ จะพูดจะจาอะไรระวังปากระวังคำหน่อยได้ไหม?” หญิงสาวกระซิบเบาๆ พอได้ยินกันสองคน เพราะวิษณุนั่งอยู่ข้างๆเธอ
ทว่าวิษณุกลับตอบกลับ “ก็พี่ไม่ชอบขี้หน้าพวกพระพวกเณรนี่ เป็นพระเป็นเณรน่าจะอยู่วัด สวดมนต์ภาวนา นี่อะไรกลับวิ่งตะลอนๆ ตามเขามาหวังค้นหาสมบัติ”
เอ่ยถึงท้ายประโยควิษณุหยุดพูดกึก อยากกัดลิ้นตัวเองที่พูดโพล่งออกไป เหลียวมองคนในรถเพื่อจับสังเกตสีหน้าของแต่ละคน โดยเฉพาะจามิลก็เห็นพระหนุ่มยังมีทีท่าสงบ
ทว่ารินเซนกลับแสดงสีหน้าฉงนก่อนเอ่ยถาม “สมบัติอะไรคะ?”
หลิงซึ่งนั่งคู่กับรินเซนอยู่บนเก้าอี้แถวที่สองแสร้งยิ้มแล้วชิงตอบ “อ๋อ คุณวิษณุเค้ารักงานศิลปะ รักวัตถุโบราณน่ะ กันเดนซึ่งว่ากันว่าเป็นนครในตำนานก็คงจะมีของพวกนี้เยอะแยะ”
“อ้อ” รินเซนพยักหน้ารับรู้แล้วถามต่อ “คุณธีราก็รักพวกวัตถุโบราณเหมือนกันหรือคะ?”
“ไม่จ้ะ ฉันไม่สนใจข้าวของอะไรพรรค์นั้น ที่ฉันสนใจก็คือข่าวคราวของคุณพ่อฉัน” ธีราตอบตามตรง
“แต่คุณวิษณุยังเข้าใจไขว้เขวเกี่ยวกับกันเดน” รินเซนเอ่ยต่อ “กันเดนสำหรับพระสงฆ์คีรีมันแล้วมีคุณค่าและความหมายมากกว่าวัตถุโบราณเป็นไหนๆ”
“หมายความว่าอะไร?” วิษณุถามไปอย่างนั้นเอง
“ผู้ที่จะไปถึงกันเดนต้องประกอบด้วยบุญวาสนา พระสงฆ์ที่ไปถึงกันเดนได้จะต้องเป็นผู้สำเร็จ” รินเซนตอบ
“ผู้สำเร็จน่าจะหมายถึงผู้ที่ตัดกิเลสทางโลกได้แล้ว ตัดรัก โลภ โกรธ หลง จนหมดสิ้น แต่ฉันไม่เห็นใครคนใดในขบวนของพวกเราเข้าข่ายสักนิด” วิษณุไม่วายพูดประชด
รินเซนนิ่งอึ้ง
คังหันไปถามจามิลที่นั่งอยู่เก้าอี้แถวหลังสุดคู่กับตนด้วยภาษาคีรีมัน “ศิษย์พี่ เขาพูดอะไรกันครับ?”
ทว่าจามิลกลับนิ่งเฉย
คังจึงหันไปถามเป้าหมายใหม่ “นี่ รินเซน เขาพูดอะไรกันน่ะ?”
รินเซนอึดอัดใจที่โต้ตอบไม่ได้ จึงเล่าทุกอย่างให้เณรน้อยฟังตั้งแต่ต้นจนจบ
คังพูดโพล่งขึ้น “ผมนี่แหละจะเป็นผู้สำเร็จ”
“เจ้าโล้นเล็ก มันพูดเอะอะอะไร?” วิษณุถามขึ้นลอยๆ
ธีราได้ยินคำเรียกขานเณรน้อยจากปากญาติผู้พี่ก็แสดงสีหน้าไม่พอใจ ครั้นจะเอ่ยปากห้ามปราม หลิงก็รีบพูดขัดขึ้นอย่างพยายามกลั้นเสียงหัวเราะ “เณรว่าตนเองจะเป็นผู้สำเร็จ”
วิษณุหัวเราะร่วน แสดงออกอย่างชัดเจนว่าหัวเราะเยาะอีกฝ่ายว่าพูดจาเหลวไหล หลิงพลอยผสมโรงหัวเราะร่วนไปด้วยอีกคน
“เขาหัวเราะอะไรกัน?” คังถามรินเซน
“เขาหัวเราะที่เณรพูดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ก็เรื่องเณรจะเป็นผู้สำเร็จน่ะ” รินเซนอธิบายอย่างอึดอัดใจ
“เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว” คังเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ผมว่าผมจะเป็นผู้สำเร็จเมื่อไปถึงกันเดน ไม่ใช่ว่าผมเป็นผู้สำเร็จแล้ว”
รินเซนแปลข้อความที่เณรน้อยพูดเป็นภาษาไทย
วิษณุยักไหล่พลางถาม “แล้วมันต่างกันตรงไหน?”
รินเซนแปลเป็นภาษาคีรีมันให้เณรน้อยฟัง
“ต่างกันมากมายมหาศาล” เณรคังพูดด้วยทีท่าราวกับเป็นผู้ใหญ่ผู้อธิบายเรื่องราวต่างๆ ให้เด็กฟัง “ผู้สำเร็จแล้วไม่จำเป็นต้องแสวงหากันเดน ทุกที่ทางล้วนเป็นกันเดนสำหรับผู้สำเร็จแล้ว ส่วนพระสงฆ์และเณรที่ยังไม่สำเร็จแต่จะแสวงหาความสำเร็จต่างหากจึงออกแสวงหากันเดน”
รินเซนรีบแปลคำต่อคำ
วิษณุกลับมีทีท่าไม่สนใจจึงไม่ใคร่ครวญถ้อยคำของอีกฝ่ายด้วยดูถูกว่าเป็นคำพูดของเด็ก จึงหัวเราะเยาะแล้วถามหยั่งเชิง “งั้นเณรก็คงรู้สิว่ากันเดนเป็นยังไง?”
หลิงอยากพูดแหย่เณรคังจึงเป็นคนแปลคำถามเอง
“กันเดนเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ซึ่งมีแสงทิพย์ส่องสว่างตลอดเวลา ผู้ใดเข้าไปถึงกันเดนได้และได้รับแสงทิพย์ แสงทิพย์จะชำระล้างจิตใจให้ละจากกิเลสตัณหาทั้งปวง ทำให้คนๆ นั้นสำเร็จ แต่ถ้าเป็นคนที่มีกิเลสตัณหาหนาหนักจนเกินจะชำระ คนๆ นั้นก็จะหากันเดนไม่พบ” เณรคังเอ่ยราวกับเป็นพระเถระผู้ใหญ่
รินเซนนึกหมั่นไส้วิษณุจึงแปลทุกถ้อยกระทงความอย่างไม่ตกหล่น
“หมายความว่าคณะเดียวกัน แต่ก็ยังมีคนไปถึงและไปไม่ถึงอย่างนั้นเหรอเณร?” วิษณุถามกลั้วเสียงหัวเราะ
หลิงพลอยหัวเราะขบขันพลางแปลเป็นภาษาคีรีมัน
“ใช่แล้ว คนจิตใจดีงามเท่านั้นที่จะเข้าสู่กันเดนได้ คนจิตใจไม่ดีจะหาทางเข้ากันเดนไม่พบ” เณรน้อยตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ
รินเซนแปลเป็นภาษาไทยทันที
กลายเป็นว่าหลิงแปลคำพูดของวิษณุเป็นภาษาคีรีมัน ส่วนรินเซนแปลคำพูดของเณรคังเป็นภาษาไทย
“นั่นน่ะมันแค่ตำนาน” วิษณุพูดอย่างไม่ใส่ใจ “แต่คนสมัยใหม่ทำให้ตำนานร้องไห้มานักต่อนักแล้ว สุสานฟาโรห์มีคำสาปคนโบราณผนึกเอาไว้นับพันๆ ปีก็ถูกคนสมัยใหม่ขุดกระจุยไปเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่แล้ว”
หลิงแปลเป็นภาษาคีรีมัน
เณรคังมีสีหน้างุนงงพลางถามรินเซน “ฟาโรห์คือใคร?”
รินเซนไม่รู้จักเช่นกันจึงเอ่ยถามธีรา “คุณธีราคะ ฟาโรห์คือใคร? อยู่ที่ไหน?”
วิษณุได้ยินก็เลยหัวเราะดังลั่น ไม่ออมเสียง
ธีราเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายกับนิสัยของลูกพี่ลูกน้องก่อนตอบรินเซน “ฟาโรห์เป็นพระราชาของประเทศอียิปต์ในสมัยโบราณ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกไกลโพ้น ไม่ต้องไปสนใจหรอก”
“ธีราพูดผิดแล้ว” วิษณุพูดขัด “เณรคัง รินเซน กับคนที่มีหูตาคับแคบควรสนใจโลกภายนอกบ้างถึงจะถูก ไม่ใช่รู้อะไรแคบๆ แค่วัดแค่คีรีมันแล้วหลงเข้าใจว่าตนเองทรงภูมิรู้มากมาย”
ธีรารู้ทันทีว่าวิษณุพูดจาเหน็บแนมจามิล
“พี่ณุ พวกเรากำลังมุ่งหน้าไปกันเดน คนรู้จักอียิปต์ดีไม่มีทางช่วยพวกเราได้หรอกนะ ที่พวกเราต้องการคือคนที่รู้จักคีรีมันและรู้จักกันเดนดีต่างหาก” ธีราพูดน้ำเสียงจริงจัง
วิษณุรู้สึกเสียหน้าที่ถูกขัดคอจึงเอ่ยอย่างพาลๆ “อ้อ ลืมไปว่าพระรูปนี้รู้จักกันเดนดี”
จามิลจึงเอ่ยปากบ้าง “ผมไม่กล้าพูดเต็มปากเต็มคำว่าผมรู้จักกันเดนดี กันเดนเป็นนครในตำนาน เล่าขานกันต่อๆมาว่าผู้คนทุกคนในกันเดนล้วนเป็นคนมีศีลธรรมและบำเพ็ญภาวนาจนสำเร็จทำให้เกิดแสงทิพย์ส่องสว่างไปทั่วนคร นครกันเดนจึงเคลื่อนย้ายจากดินแดนธรรมดาเข้าสู่แดนอารยะที่ซึ่งผู้ไปถึงต้องเป็นผู้มีศีลธรรม มีบุญวาสนา และเมื่อคนธรรมดาสามารถเข้าสู่กันเดนแสงทิพย์จะอาบร่างคนๆ นั้นและแทรกซึมเข้าสู่จิตใจทำให้กลายเป็นผู้สำเร็จ”
พระหนุ่มหยุดพูดเล็กน้อยก่อนเอ่ยต่อ
“ท่านอาจารย์ทำนายว่าเณรคังเป็นผู้มีวาสนาจะไปถึงกันเดน ผมจึงอนุญาตให้ติดสอยห้อยตามไปด้วยเพื่อจะเป็นประโยชน์ทั้งต่อตัวเณรเองและต่อการเดินทาง”
“ตลกน่า เด็กตัวกะเปี๊ยกจะเป็นประโยชน์อะไรได้ คำทำนายอะไรนั่นก็ดูไม่น่าเชื่อถือ” วิษณุพูดขัดขึ้น
“ผมไม่แปลกใจที่คุณไม่เชื่อ” จามิลกล่าวเสียงเรียบ “คนเราเปรียบได้กับบัวสี่เหล่า ความศรัทธาต้องเกิดจากใจ เหมือนภาษิตที่ว่า ดอกไม้บานเองโดยธรรมชาติจะส่งกลิ่นหอม แต่ถ้าคนไปพยายามแกะให้บานกลับจะส่งกลิ่นเหม็นเขียว”
“นี่แกหลอกด่าฉันเรอะ?” วิษณุโวยวายลั่น
“พี่ณุ คุณจามิลเปรียบเทียบสุภาษิตให้ฟังเท่านั้น พี่ณุอย่าพูดโวยวายได้ไหม?” ธีราพูดเสียงแข็ง
วิษณุจำใจสงบปากสงบคำ แต่ภายในใจกลับแค้นเคืองราวไฟสุม
ขบวนรถวิ่งโขยกเขยกไปตามถนนที่แสนทุรกันดาร จะแวะพักก็เฉพาะช่วงกินอาหารตามหมู่บ้านรายทางและพักนอนตอนกลางคืน จนกระทั่งเข้าเย็นวันที่สี่
“พวกเราจะพักค้างคืนที่นี่เป็นหมู่บ้านสุดท้ายแล้วครับ ต่อจากนี้ไปพวกเราต้องเดินเท้าเอา” จามิลเอ่ยบอกทุกคน
“เราควรบอกท่านเพียงว่าคุณวิษณุประสบอุบัติเหตุ คุณเจอเขาอีกทีเขาก็มีอาการอย่างนี้แล้ว ไม่มีใครเห็นว่าเขาประสบอุบัติเหตุอย่างไร เพียงพบเขานอนอยู่บนพื้นในเช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากเขาหายตัวไปจากโรงแรมที่พัก ไม่พบร่องรอยบาดแผลหรือได้รับบาดเจ็บอะไร” ชายหนุ่มออกความคิด “เป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นกว่าถูกสูบขวัญวิญญาณเป็นไหนๆ” หญิงสาวยิ้มฝืดๆ อย่างจนปัญญา “ฉันจะส่งพี่ณุเข้าโรงพยาบาลไปตรวจเช็กสมองอย่างละเอียด เผื่ออาจจะช่วยอะไรเขาได้บ้าง” “ดีครับ” ชายหนุ่มเห็นด้วย แม้จะรู้แก่ใจว่าไม่มีวิทยาศาสตร์แขนงไหนสามารถช่วยเหลือวิษณุให้กลับมาเหมือนเดิมได้ เครื่องบินที่ธีรา จามิล และวิษณุโดยสารมาถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ธีราพาวิษณุขึ้นแท็กซี่เพื่อกลับบ้าน เธอไม่ได้บอกทางบ้านถึงเวลาที่เดินทางกลับ ส่วนจามิลก็มาส่งธีราและวิษณุถึงบ้านก่อน จึงเข้าพักในโรงแรมสภาพค่อนข้างดีแห่งหนึ่งในกรุงเทพ กลับถึงบ้านธีราโผเข้ากอดมารดาที่มองมาด้วยสายตายินดี แม้จะประหลาดใจที่อยู่ๆ ลูกสาวก็กลับมาถึงบ้านโดยไม่บอกไม่กล่าว “คิดถึงแม่จังเลยค่ะ” หญิงสาวกล่าวจากใจจริง “แม่ก็
สิ่งที่ได้ฟังทำให้หญิงสาวชาวไทยพลอยยินดีกับนางพญาอาโรจนาและพญานาคราชชมพูจนอดแย้มยิ้มออกมาไม่ได้ “ดิฉันดีใจจริงๆ ค่ะ ที่ทั้งสองสมหวังในความรักสักที...แต่ เอ้อ...” ราชฤาษีเห็นหญิงสาวมีท่าทางอึกอัก ก็รู้ว่าเธอมีเรื่องบางอย่างอยากจะพูด “เจ้าอยากจะพูดอะไรก็พูดออกมาเถอะ” พอได้รับคำอนุญาตจากราชฤาษี ธีราก็รวบรวมความกล้าเอ่ยขอร้อง “ดิฉันอยากจะขอให้ท่านช่วยพี่วิษณุค่ะ ให้เขามีสติเป็นปกติ ไม่ใช่คนเอ๋อแบบนี้” “ปกติเจ้าไม่ชอบเขามิใช่หรือ?” ราชฤาษีถาม “ค่ะ ดิฉันไม่ชอบเขาเพราะว่าเขาเอาแต่ใจตัวเองเกินไป” “แล้วทำไมถึงได้ขอร้องแทนเขา?” “ดิฉันสงสารคุณป้าจิตราคุณแม่ของพี่ณุค่ะ คุณป้ามีลูกคนเดียวคือพี่ณุ แล้วพี่ณุมาเป็นแบบนี้ คุณป้าคงต้องเสียใจมากค่ะ” “เจ้าขอได้ แต่เราไม่ให้” ราชฤาษีตอบด้วยสุรเสียงเรียบๆ “ทำไมคะ?” หญิงสาวถามอย่างสงสัย “ทุกคนมีบาปบุญเป็นของตนเอง” ราชฤาษีกล่าวหนักแน่น “เวลานี้วิษณุกำลังรับผลแห่งบาปที่เขาเคยก่อเอาไว้อยู่ ส่วนนารีผลที่สูบขวัญวิญญาณของเขาไปนั้น นางได้กลายเป็นมนุษย์มีเลื
หญิงสาวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “คุณเก็บผลไม้นี้ให้ดีเสียก่อนเถอะ เพราะไม่ว่ามันจะหอมหรือเหม็น มันก็ผ่านด่านตรวจไม่ได้” จามิลเตือน สีหน้าระบายยิ้มจางๆ “ถูกต้องค่ะ ฉันต้องใส่ถุงพลาสติก ผูกปากถุงให้แน่น ป้องกันกลิ่นโชยออกมา” หญิงสาวเอ่ยพลางทำตามที่พูด นำถุงพลาสติกบรรจุผลไม้จากกันเดนเก็บใส่กระเป๋าสะพาย “คุณเก็บของให้เรียบร้อยนะครับ พรุ่งนี้เช้าพวกเราจะออกเดินทางกัน” จามิลบอก “พวกเรา?” หญิงสาวเลิกเรียวคิ้วงามเป็นเชิงถาม “ครับ คุณ ผม และคุณวิษณุ ผมว่าจ้างรถเอาไว้เรียบร้อยแล้ว” ชายหนุ่มกล่าวชัดถ้อยชัดคำ “คุณจะไปกับฉันและพี่ณุหรือคะ?” หญิงสาวถามเพื่อความมั่นใจ “ครับ คุณอยากรู้เหตุผลไหมครับ?” ชายหนุ่มย้อนถาม หญิงสาวนิ่ง เธอดีใจที่จะมีเขาไปด้วย ไม่ว่าเขาจะมีเหตุผลหรือไม่มีก็ตาม ทว่าจามิลยังคงอยากอธิบายเหตุผล “ผมมีเหตุผลทั้งทางฝ่ายคุณและฝ่ายผม ฝ่ายคุณคือคุณต้องการคนดูแลคุณวิษณุระหว่างเดินทาง คุณเป็นผู้หญิงคงไม่สะดวก แต่ผมเป็นผู้ชายผมสะดวก ส่วนทางนี้...ไม่ช้าก็เร็วคนในคีรีมันจะต้องรู้ว่าผมไปกันเดนมา แล้วผมก็จะ
“ใครบอกให้คุณดูแลพี่ณุ?” ธีราเพิ่งมีโอกาสเปิดปากถามเป็นประโยคแรก “ก็ราชฤาษีน่ะสิ อยู่ๆ ก็พูดเจาะจงให้ฉันดูแลคุณณุ” หลิงสะบัดเสียงตอบ “ท่านมีเหตุผลอะไรที่ให้ทำอย่างนั้น?” หญิงสาวถามเสียงเรียบ “ก็…” หลิงพูดอึกอัก หวนนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ราชฤาษีชนะกานตะอย่างไม่ยากเย็น เป็นการต่อสู้ที่สวยงามและตื่นตาตื่นใจ แม้ได้รับชัยชนะแต่ราชฤาษีไม่คิดทำร้ายกานตะ เพียงรับสั่งสุรเสียงเฉียบ “เจ้าแพ้เราแล้ว เจ้าจะต้องเลิกยุ่งเกี่ยวกับหญิงสาวที่ไปกันเดนนั่น” กานตะขบฟันกรอดๆ จนเห็นสันข้างแก้ม ไม่พูดไม่จา สะบัดหน้าแล้วผละจากไปโดยไม่สนใจคณะเดินทางแม้แต่น้อย “แล้วพวกเราจะทำอย่างไร?” ต้าเอ่ยขึ้น “เราจะส่งพวกเจ้ากลับไปยังโลกที่พวกเจ้ามา แต่พวกเจ้าจะต้องรวมใจกันเป็นหนึ่ง นึกถึงสถานที่เดียวกันให้ดี” ราชฤาษีรับสั่ง คณะเดินทางจึงปรึกษาหารือกันแล้วลงความเห็นว่าวัดกัมโปเป็นศูนย์กลางที่ทุกคนรู้จัก จึงเลือกวัดกัมโปเป็นจุดหมายปลายทางในใจของทุกคน “พวกผมจะกลับไปวัดกัมโปขอรับ” ต้าและหลงเอ่ยขึ้นพร้อมเพียง “ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้
สวนดอกไม้มีพระสงฆ์วัยกลางคนรูปหนึ่งยืนรออยู่ “ท่านคุรุ” ดอกเตอร์ธีระตรงเข้าไปยกมือพนมไหว้และค้อมศีรษะ ธีราและจามิลเดินไปยกมือไหว้ตามอย่างดอกเตอร์ธีระ คุรุกันปะพยักหน้าก่อนเอ่ยถาม “เตรียมตัวพร้อมหรือยัง?” “พร้อมครับ” จามิลเป็นคนตอบ “ถ้าเช่นนั้นก็ตั้งจิตนึกถึงสถานที่ที่จะไปให้มั่นคง แล้วเจ้าทั้งสองคนจะไปถึงที่นั่น” ท่านคุรุกล่าวช้าๆ “ครับ” จามิลรับคำพลางพนมมือและโค้งคำนับอีกครา แล้วหันไปเอ่ยกับดอกเตอร์ธีระ “ดอกเตอร์ ผมลานะครับ” “ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ” ดอกเตอร์ธีระกล่าว ยื่นมือให้จามิลจับ ทั้งสองจับมือกันกระชับมั่น “ผมฝากลูกสาวด้วยนะจามิล” ผู้สูงวัยกว่าเอ่ยเสียงแผ่วต่ำ “ครับ ผมจะดูแลเธออย่างดีที่สุด” หนุ่มผู้อ่อนวัยกว่ารับคำหนักแน่น “ฝากความคิดถึงท่านอาจารย์ด้วยนะศิษย์พี่” เณรคังเอ่ย “อย่าลืมบทสวดที่ท่านอาจารย์สอนละ” คนเป็นศิษย์พี่เอ่ย “ผมไม่ลืมแน่นอนครับ” เณรคังรับคำด้วยรอยยิ้มแจ่มใส “คุณธีรากราบลาคุณพ่อสิครับ” จามิลพูดเตือนหญิงสาว หญิงสาวร้องไห้โฮพร้อมกับ
ที่นี่ ตอนแรกที่พ่อมาถึงที่นี่และรู้ตัวว่ากลับไม่ได้พ่อแทบคลั่งตาย แต่สภาพอากาศของที่นี่ค่อยๆ ชะล้างความทุกข์ ความเศร้าโศกออกจากใจ คนที่นี่ยังมีลักษณะของคนอยู่ประการหนึ่งก็คือต้องสูดลมหายใจ แต่อากาศของที่นี่มีคุณสมบัติพิเศษ สามารถชะล้างอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง ความเศร้าโศกต่างๆ นานาให้หมดไป จึงไม่เหมาะสำหรับคนที่ไม่คิดจะอยู่ที่นี่ชั่วนิรันดร” เอ่ยถึงตรงนี้ดอกเตอร์ธีระได้พาธีราและจามิลมาถึงกระท่อมที่พัก กระท่อมก่อด้วยทับทิมสกัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมเหมือนอิฐบล็อก “นี่คือบ้านของพ่อ” ดอกเตอร์ธีระเอ่ย “ที่จริงคนที่นี่ไม่จำเป็นต้องสร้างบ้านก็ได้ เพราะที่นี่ไม่มีฝนตก ไม่มีแดดออก ไม่มีพายุ ไม่มีร้อน ไม่มีหนาว แต่พ่อยังชอบความเป็นส่วนตัวอยู่” เมื่อธีราและจามิลเดินเข้าไปในกระท่อมก็เห็นเณรคังกำลังนั่งขัดสมาธิ หลับตาพริ้มอยู่บนตั่งที่เป็นพลอยไพลินทั้งก้อน “คัง” จามิลเรียกเบาๆ เณรคังลืมตา ดวงตาสดใสเปี่ยมสุข ก่อนโห่ร้องเบาๆ “ศิษย์พี่!” แล้วผุดลุกจากที่นั่ง เดินเข้ามาหาพลางพูดด้วยความดีใจ “ศิษย์พี่กับคุณผู้หญิงที่สวยเหมือนพระโพธิสัตว์มาถึงจนได้ พวกเราจะได้อยู่พร้อมห