เพ้นท์เฮาส์สุดหรูตั้งอยู่บนชั้นบนสุดของตึกระฟ้าใจกลางเมือง ลิฟต์เปิดออกสู่ห้องโถงที่ตกแต่งด้วยงานศิลปะร่วมสมัยชิ้นเอก ผนังกระจกสูงจรดเพดานเผยให้เห็นวิวพาโนรามาของเมืองที่ทอดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา ห้องนั่งเล่นเปิดโล่งมีเตาผิงหินอ่อนขนาดใหญ่ โซฟาหนังอิตาลีนุ่มนิ่มหันหน้าเข้าหากัน บาร์ไม้มะฮอกกานีเข้มขลับตั้งอยู่มุมห้อง พร้อมด้วยชั้นวางไวน์หายากจากทั่วโลก
ดวงตาคมกริบนั่งจ้องมองแท็บเล็ตอยู่ในมือ สายตาของเขาดูดุร้ายใครเห็นต่างจ้องพากันหวาดหวั่น ใบหน้าเงยมาจ้องมองลูกน้องคนสนิทที่นั่งอยู่ตรงหน้า
หวังจินห้าว หรือผู้คนมักเรียกเขาว่าดัสติน หวัง หนุ่มลูกครึ่งจีน-อเมริกัน อายุ 34 ปี เจ้าของกาสิโนและโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในเกาะฮ่องกง มาเก๊า
ใบหน้าหล่อเหลาโดดเด่นตามฉบับลูกผสม ดวงตาที่น้ำตาลเช่นเดียวกับสีผมผิวขาวแบบสุขภาพดี จมูกโด่งเป็นสัน ดวงตาคมกริบชวนมอง
ความสมบูรณ์แบบมีเงินทองมักมาพร้อมกับผู้หญิงเพราะเขายังไม่มีคนรู้ใจ เขามักใช้เงินซื้อความสุขของตัวเองพอเบื่อจบแยกย้ายพร้อมกับเงินก้อนโตเป็นขวัญถุง บางคนไม่ยอมจบง่ายๆ แต่เขามีวิธีจัดการ
ผู้หญิงทำให้เขาอ่อนแอเขาจึงไม่อยากรักใคร ศัตรูมีรอบด้านมากมายเขาเหมาะที่จะอยู่คนเดียว ชีวิตที่อยู่บนเส้นด้ายไม่ควรดึงใครเข้ามาในชีวิต
“เรื่องที่ดินผืนนั้น คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว?” เขาเรียกโทนี่ลูกน้องคนสนิทเข้าไปถามเรื่องที่ดิน เขาให้โทนี่ไปเจรจาขอซื้อกับเจ้าของที่ดินผืนงามที่เขาอยากได้ เขาถามแต่ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองสายตายังคงไล่อ่านเอกสารสำคัญ
“เจ้าของไม่ยอมให้ผมเข้าไปเจอเลยครับ” โทนี่รู้สึกหวาดหวั่นครั้งนี้เขาทำงานไม่สำเร็จอีกแล้ว เจ้านายของเขาไม่ชอบความผิดหวังข้อนี้เขารู้ดีเจ้านายต้องหงุดหงิดแน่ที่ได้รับคำตอบแบบนี้
ดัสตินปิดแท็บเล็ตพร้อมกับถอนหายใจแรง แม้เขาจะรู้ว่าเจ้าของที่ดินไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน ทว่าเขาก็ตั้งความหวังไว้สูงที่จะได้ครอบครองที่ดินผืนนั้น
เขาหวังจะได้ครอบครองมันในเร็ววันแต่เป็นเวลาเกือบสามเดือนที่ต้องการของเขายังไม่บรรลุเป้าหมาย เขาพยายามเจรจาก็แล้วแต่ฝ่ายนั้นเหมือนจะเล่นตัว
“หรือเราจะล้มเลิกดีครับ”
“คนอย่างดัสตินไม่เคยผิดหวังต้องได้ในสิ่งที่ต้องการ” ที่ดินผืนงามในมาเก๊านั้นต้องเป็นของเขาต่อให้ใช้วิธีสกปรกเพื่อได้มันมาครอบครองเขาก็จะทำ
“ผมจะหาวิธีเขาพบเขาให้ได้”
“ในเมื่อขอซื้อดีๆ ไม่ยอมฉันคงต้องหาวิธีอื่นเอง” เขาเกิดความคิดเกมโกงขึ้นมาในหัว มือหนาหยิบแก้วที่มีน้ำสีอำพันขึ้นดื่มดวงตาของเขาว่างเปล่า จนโทนี่เดาความคิดเขาไม่ออก
“ไปสืบประวัติคนตระกูลนี้มาให้หมด”
“ครับ”
“ฉันต้องการพรุ่งนี้หวังว่านายจะมีความเป็นมืออาชีพมากพอ” เขาลุกขึ้นปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตจนเห็นแผงอกอยู่รำไร เขาวางแก้วกระแทกกับโต๊ะเสียงดังจนโทนี่สะดุ้งด้วยความตกใจ
“บอกลี่ถังให้หาผู้หญิงให้ฉันด้วย”
“ครับ”
โทนี่เป็นมือขวาคนสนิทฝีมือการทำงานนั้นยอดเยี่ยม รับมือกับปัญหาต่างๆ ได้อย่างดีเยี่ยมเขาจึงถูกวางไว้ใจในดูแลในงานเอกสารทุกอย่าง
ส่วนลี่ถังหัวหน้าบอดี้การ์ดคนสนิทของดัสติน เก่งเรื่องอาวุธปืนละการต่อสู้ป้องกันตัวหากเจอดัสตินที่ไหนต้องเจอหน้าพวกเขาสองคนเสมอ
“ผมเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้วว่าแต่จะไปไนต์คลับหรือโรงแรมดีครับ”
“ไปไนต์คลับ” เขาใช้เวลาผู้กับสตรีไม่กี่ชั่วโมงเพราะไม่ชอบหลับนอนกับใคร พอเขาเสร็จพวกเธอจะต้องไสหัวออกไปจากห้องทำราวกับว่าไม่รู้จักกันมาก่อน
รถหรูสีดำเคลื่อนตัวออกจากเพ้นท์เฮ้าส์ไปตามถนนมุ่งหน้าสู่ลานไควฟง ที่คับคั่งไปด้วยนักท่องราตรีในยามค่ำคืน
เขามองออกไปนอกหน้าต่างจนสายตาไปสะดุดกับหญิงสาวคนหนึ่งเธอดูตัวเล็กเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ผมยาวออกสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้ารูปไข่จมูกโด่งรับเข้ากับใบหน้า ดวงตากลมโตทุกอย่างบนใบหน้าของหญิงสาวนั้นดูมีเสน่ห์น่าหลงใหล
ขนาดรถแล่นออกมาไกลเขายังจำใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นได้ดี มือหนาจับที่หน้าอกด้านซ้ายเมื่อหัวใจเต้นระรัวเหมือนเจอเรื่องที่น่าเต้นตื่น เขารู้สึกเจ็บหัวใจแปลกๆ
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“ฉันเจ็บ”
“เจ็บตรงไหนครับ” ลี่ถังเอ่ยถามเขาจะได้พาเจ้านายไปโรงพยาบาล เมื่อจู่ๆ ดันบอกเจ็บขึ้นมาหลายเดือนมานี่ไม่ค่อยมีเหตุการณ์ที่ทำให้ได้รับบาดเจ็บเท่าไร
“เจ็บตรงนี้” เขาจับหัวใจตัวเองที่ยังคงกระหน่ำเต้นไม่หยุด จนเขาอึดอัดเพราะไม่สามารถควบคุมได้
“นายใหญ่เป็นอะไรครับไปโรงพยาบาลดีไหม”
“ไม่ฉันเจ็บแปลกๆ หัวใจเต้นเร็วด้วย” เมื่อเจอหน้าผู้หญิงคนนั้น คำนี้เขาไม่ได้พูดออกไปตรงๆ
“ไม่สบายหรือเปล่าครับ”
“ฉันไม่เป็นอะไรไปไนต์คลับ”
ดัสตินไม่เข้าใจตัวเองว่าเป็นอะไรถึงได้จดจำใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นตลอด ตอนที่ร่วมรักกับนางแบบสาวเขายังจินตนาการถึงใบหน้าของหญิงสาว หากได้มานอนครางอยู่ใต้ร่างเขาคงดีไม่น้อย
.
“แกหายไปไหนมานี่มันกี่ทุ่มแล้ว!” เซี่ยเหมยหลินเอ่ยเสียงขุ่น ขมวดคิ้วไม่พอใจ คนตรงหน้าถูกใช้ให้ไปซื้อของ แต่กลับมาเอาป่านนี้
“พอดีรถติดค่ะเฟย์เลยกลับช้า”
“อย่าให้ฉันรู้ว่าแอบไปแรดที่ไหนฉันไม่ปล่อยแกไว้แน่”
“เฟย์ไม่ได้ไปไหนมาค่ะ” เธอก้มหน้าเมื่อรู้ว่าหญิงสาวกำลังอารมณ์ไม่ดี
“พรุ่งนี้เตรียมตัวฉันไปถ่ายแบบ”
“ค่ะ”
“จำไว้ให้ดีนะ เฟรินทร์ ฐานะของแกเป็นแค่คนใช้ อย่าคิดเทียบชั้นกับฉัน!” เซี่ยเหมยหลินเอ่ยเสียงเย็น เธอไม่เคยชอบเฟรินทร์หญิงสาวที่เกิดมาสวยโดดเด่นโดยไม่ต้องพึ่งมีดหมอ ต่างจากเธอที่ทุ่มเงินไปหลายล้าน แต่ผู้คนยังชื่นชมอีกฝ่ายมากกว่า ความริษยากัดกินใจจนเธอต้องกดอีกฝ่ายให้ต่ำลง
"เฟย์จำไม่ลืมค่ะ..." ว่าคนในบ้านหลังนี้ใจร้ายกับเธอเพียงใด หญิงสาวหันหลังกลับเข้าไปยังห้องพักเล็กๆ ที่ต้องอยู่รวมกับสาวใช้คนอื่นๆ ณ เรือนหลังของคฤหาสน์ใหญ่โตแห่งนี้
สถานที่แห่งนี้กว้างขวางโอ่อ่า แต่กลับไม่มีมุมใดเป็นที่หลบภัยสำหรับเธอเลย...
เฟรินทร์ทิ้งตัวลงบนเตียงด้วยความเหนื่อยล้า หัวใจร่ำร้องอยากหนีไปจากที่นี่เหลือเกิน น้ำตาหลั่งรินอีกครั้งสิบปีแล้วที่เธอย้ายมาอยู่ฮ่องกง หากเลือกได้ เธอขอยอมลำบากอยู่เมืองไทยดีกว่าต้องทนทุกข์ในที่แห่งนี้
เธอไม่มีครอบครัว ไม่มีใครให้พึ่งพา และคิดถึงบ้านจับใจ
“คิดถึงแม่จังเลยค่ะ... เฟย์เหนื่อย... อยากกอดแม่”
แม่จากไปตอนเธออายุเพียง 12 ปี ตั้งแต่จำความได้ แม่ทำงานหนักเพื่อดูแลเธอเพียงลำพัง เธอไม่เคยได้รับรู้เรื่องของพ่อ เพราะทุกครั้งที่เอ่ยถาม แม่จะโกรธจัดและสั่งห้ามไม่ให้พูดถึง "ผู้ชายคนนั้น" อีก
จนกระทั่งวันที่แม่จากไปเพราะโรคร้าย...
เด็กหญิงตัวเล็กๆ ในวันนั้นกลายเป็นคนไร้ที่พึ่ง ญาติพี่น้องพากันเมินเฉย ไม่เคยยื่นมือช่วยเหลือ เพราะรังเกียจที่เธอเป็นลูกครึ่งจีน แถมยังถูกตราหน้าว่าเป็น ‘ลูกเมียน้อย’ เด็กที่พ่อไม่ต้องการเพียงเพราะเกิดมาเป็นผู้หญิง
แต่แล้ววันหนึ่ง... ชายวัยกลางคนเดินเข้ามาในบ้านของเธอ พร้อมกล่าวว่าจะพาเธอไปอยู่ฮ่องกงตามคำสั่งเสียของแม่ เขายื่นจดหมายฉบับหนึ่งของแม่ให้เธอ และมอบบางสิ่งบางอย่างแก่เธอ ทว่าในวัยเยาว์ เธอไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร
วันแรกที่ก้าวเท้าเข้าสู่คฤหาสน์หลังใหญ่ ผู้คนในบ้านไม่ได้ต้อนรับเธออย่างที่คิด กลับพากันเหยียดหยาม ซ้ำยังตราหน้าว่าเธอเป็น "ลูกเมียน้อย"
ไฉ่หง บุตรชายคนโต และเหมยหลิน ลูกสาวของเซี่ยชิงอี ต่างก็เกลียดชังเธอ ไม่เคยยอมรับเธอในฐานะน้องสาว
และเพราะพ่อไม่อาจขัดใจลูกๆ ที่เกิดจากภรรยาหลวง เฟรินทร์จึงถูกผลักไสให้ไปอาศัยอยู่ในเรือนคนใช้ ทว่าอย่างน้อยเขาก็ยังส่งเสียให้เธอได้รับการศึกษาที่ดี
ในบ้านหลังนี้ มีเพียง "ซูฉี" หัวหน้าแม่บ้านเท่านั้นที่คอยดูแลเธอเสมอมา จนเธอรักและนับถืออีกฝ่ายเสมือนแม่คนหนึ่ง...
เสียงร้องไห้ของเด็กทารกดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดของค่ำคืน ราวกับเสียงระฆังเตือนภัยที่ปลุกให้คนเป็นพ่อสะดุ้งตื่นขึ้นจากสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น ดัสตินยันตัวลุกขึ้นจากเตียง มือขยี้ตาที่หนักอึ้งและชุ่มไปด้วยความเหนื่อยล้า ก่อนจะก้าวไปอุ้มร่างน้อยขึ้นมาแนบอก “โอ๋ๆ ไม่ร้องนะครับลูก” เขาพึมพำเสียงแหบพร่า กดจูบเบาๆ บนหน้าผากของเจ้าตัวเล็กที่กำลังสะอื้น ร่างน้อยดิ้นขลุกขลักในอ้อมแขน พยายามผลักอกเขาเล็กน้อยเหมือนไม่พอใจอะไรสักอย่าง เขาถอนหายใจยาวพยายามไกวตัวลูกไปมา หัวของเขาหนักอึ้งราวกับมีหินก้อนใหญ่ทับเอาไว้ ดวงตาแดงก่ำและใต้ตาคล้ำลึกเป็นวง เหมือนหมีแพนด้าที่อดนอนมาสามวันติด เขาลองเปลี่ยนท่าอุ้ม ลองร้องเพลงกล่อม ลองพาเดินวนรอบห้อง แต่ทุกอย่างดูจะไม่เป็นผล เฟรินทร์ตื่นขึ้นมาพอดีจึงได้เห็นภาพนั้นพอดี ผู้ชายตัวโตที่อุ้มลูกไม่ค่อยเป็นกลางคืนเป็นหน้าที่เขาที่ต้องลุกขึ้นมาอุ้มลูกยามที่ลูกร้อง “ทำไมไม่นอนครับลูก…” น้ำเสียงของเขาเจือไปด้วยความอ่อนล้าและสิ้นหวัง ทารกน้อยในอ้อมแขนยังคงแผดเสียงร้องไม่หยุด เวลาผ่านไปเป็นชั่วโมงจนสุดท้าย เมื่อไม่มีแรงแม้แต่จ
เหงื่อซึมทั่วใบหน้าซีดเซียว ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความเจ็บปวด น้ำตาไหลอาบแก้มขณะกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ“อึก...!” เสียงครางลอดออกมาจากลำคอ เธอรู้สึกเหมือนร่างทั้งร่างกำลังจะแตกเป็นเสี่ยง“สูดลมหายใจเข้าไว้! อีกนิดเดียวค่ะคุณแม่!”เสียงปลอบโยนจากหมอและพยาบาลดังก้องในโสตประสาท แต่ทุกอย่างรอบตัวกลับพร่ามัว เธอไม่มีแรงแม้แต่จะตอบรับมืออุ่นของใครบางคนกอบกุมมือเธอไว้แน่น ดวงตาคมเข้มเต็มไปด้วยความเป็นห่วง“อดทนไว้นะเมียจ๋า... พี่อยู่ตรงนี้”เสียงทุ้มต่ำของเขาสั่นเครือ เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเบ่งแรงสุดท้ายเสียงร้องแหลมเล็กดังก้องไปทั่วห้อง พร้อมกับลมหายใจของเธอที่เหมือนถูกดึงกลับมาอีกครั้ง น้ำตาที่เอ่อคลอร่วงเผาะลงข้างแก้ม แต่ครั้งนี้เป็นน้ำตาแห่งความสุข“ลูกของเรา...” เธอพึมพำเสียงแผ่ว ขณะที่พยาบาลวางร่างเล็กๆ ไว้แนบอก“หน้าตาน่าเกลียดน่าชังจัง”หัวใจของเธอเต้นแรง แต่ไม่ใช่เพราะความกลัวหรือความเจ็บปวดอีกต่อไป เป็นเพราะชีวิตน้อยๆ ที่เธออุ้มอยู่ในอ้อมแขนก่อนหน้านี้“อื้ม...!” เสียงครางเบาๆ ทำให้ร่างสูงที่กำลังนั่งเอนหลังอยู่บนโซฟาสะดุ้งสุดตัว เขาหันขวับไปมองคนบนเตียง คนที่กำลังจับท้องตัวเองแ
เฟรินทร์มองหน้าคนที่เข้ามาบุกรุกห้องนอนของเธอ เขากระโดดขึ้นเตียงโดยที่เธอยังไม่ได้อนุญาต ตั้งแต่เกิดเหตุเขาหายเงียบไปสองสัปดาห์ไม่ยอมส่งข่าว ปล่อยให้เธอคิดไปฝ่ายเดียว และวันนี้เข้าโผล่หน้ามาทั้งโกรธทั้งคิดถึงเป็นห่วงเขาสารพัด แต่คนตรงหน้าเหมือนจะไม่รู้สึกผิด “มานอนสิจ๊ะเมียจ๋าไม่คิดถึงผัวเหรอ” “คุณตลกมากเหรอคะคุณดัสติน” เธอทั้งกินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะเป็นห่วงเขา แต่เขากลับทำหน้าระรื่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “พี่แค่ปล่อยข่าวลือน่าตอนนี้พี่กลับมาครบ 32” “ไม่ต้องมาจับ!” เธอเบี่ยงตัวหนีไม่ยอมให้เขาแตะต้องตัว “ที่รักขา~ พี่ผิดไปแล้วมาให้พี่ทักทายลูกหน่อย” “เราเลิกกันเถอะค่ะ เฟย์ไม่อยากให้ลูกตกอยู่ในอันตรายแบบคุณ” เธออยากใช้ชีวิตแบบปกติไม่ต้องคอยมีบอดี้การ์ดล้อมหน้าล้อมหลัง ชีวิตอยู่บนเส้นด้ายตลอดเวลา “ไม่เลิกให้ตายก็ไม่เลิก” พยานรักอยู่ในท้องแท้ๆ “นั่นเป็นปัญหาของคุณค่ะเราทำหน้าที่พ่อแม่ก็พอ” “ไม่เลิกพี่ไม่เลิก!” ต่อเอามีดมาจ่อที่คอก็ไม่มีวันเลิกเด็ดขาด “ออกไปค่ะ” “เฟย์ทำไมงี่เง่าจังเลยมันคืองาน
ประตูห้องฉุกเฉินปิดลงดัสตินหัวใจสลายเอาแต่โทษตัวเองว่าเป็นเพราะเขาที่ดูแลเฟรินทร์กับลูกไม่ดี น้ำตาเขาไหลออกมาอย่างไม่อายสายตาของใคร เสื้อเชิ้ตสีขาวเปื้อนไปด้วยเลือดจนเปลี่ยนไป เสียงลมหายใจของเธอหนักขึ้น...เหงื่อเย็นผุดขึ้นเต็มหน้าผากของเฟรินทร์ ขณะที่เธอนอนซมอยู่บนเตียงคนไข้ มือขาวซีดกำผ้าปูแน่น ร่างกายสั่นสะท้านเพราะความเจ็บปวดที่แล่นเข้ามาเป็นระลอก "หมอ...ช่วยลูกฉันด้วย..." เสียงของเธอสั่นเครือ ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว หมอไม่พูดอะไรให้เสียเวลา เขาขยับเข้ามาตรวจร่างกายเธออย่างเร่งด่วน สีหน้าเคร่งเครียดขณะมองจอมอนิเตอร์ที่แสดงอาการของทั้งแม่และเด็ก ในขณะที่เฟรินทร์กัดริมฝีปากแน่น น้ำตาเอ่อคลอจากความทรมาน "ยาได้แล้วค่ะ หมอ" พยาบาลส่งเข็มฉีดยาให้ หมอรับมาและรีบฉีดยาเข้าทางสายน้ำเกลือ พลางเฝ้าดูอาการของเธออย่างใกล้ชิด ทุกวินาทีช่างยาวนานเหลือเกิน หญิงสาวรู้สึกได้ถึงความเจ็บที่ค่อยๆ ทุเลาลง หัวใจของเธอเต้นระรัวด้วยความหวัง "ลูก...ลูกปลอดภัยไหมคะ?" หมอยิ้มบางๆ "ปลอดภัยแล้ว แต่อีกไม่กี่วันคุณต้องพักผ่อนให้มาก ห้ามเครี
“สวัสดีค่ะนายหญิงเมื่อคืนหลับสบายดีไหมคะ” “หลับสบายมากเลยค่ะ แต่มีรู้ว่ามีผีที่ไหนมาร้องห่มร้องไห้ทั้งคืน” พูดแล้วหันไปมองคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ ขอบตาดำยิ่งกว่าหมีแพนด้า “ตายจริงโจรหรือเปล่าคะ” “โจรที่ไหนมันจะกล้าเข้ามาเหยียบที่นี่” แม้แต่แมลงสักตัวไม่อาจบินผ่านเข้ามาได้ ดัสตินนั่งทานอาหารเช้าเงียบๆ เมื่อเช้าดีนะตื่นก่อนหญิงสาวไม่อย่างนั้นคงโวยวายบ้านแตกที่ถูกเขาลวนลามตอนที่เธอหลับ “คุณลี่ถังไปส่งเฟย์ที่โรงแรมx หน่อยค่ะ” วันนี้เธอแต่งตัวสวยเพราะมีงานสำคัญ อย่าคิดว่าไม่รู้เมื่อคืนเขาแอบทำอะไรกับเธอ “ไปทำไม” อยู่ดีๆ จะไปโรงแรมไอ้แดนนี่ “ชิ” เฟรินทร์ไม่ตอบเดินไปรอลี่ลังที่รถดัสตินไม่รอช้ารีบเข้าไปนั่งในรถ จนมาถึงโรงแรมเขาถึงนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นงานหมั้นของแดนนี่ เฟรินทร์เดินเข้ามาในห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมหรู โดยมีดัสตินเดินตามหลังและลูกน้องของเขาเดินตามเป็นโขยง หลายคนกำลังคิดว่าสาวน้อยคนนี้คงมีความหมายสำหรับเขามากชายหนุ่มดูหวงแหน “มาแล้วเหรอพี่ชาย” “แด๊ดกับหม่ามี้ยังไม่กลับมาจากเที่ยวรอบโลก ไว้งานแต่งท่านต้องม
ดัสตินพาหญิงสาวกลับมาที่เซฟเฮาส์ในมาเก๊าเขาค่อยๆ วางหญิงสาวลงบนเตียงกลัวว่าคนตัวเล็กจะตื่น เขานั่งมองใบหน้าของเธอและหอมแก้มทั้งว้ายและขวาเวลานี้อะไรก็ยอมทุกอย่างขอแค่หญิงสาวไม่หนีไปจากเขาก็พอ เขาเดินมาส่องกระจกหน้าแดงบวมแดงแต่ไม่คิดโกรธเมีย“ผมเอายามาให้ครับ”“อื้อ ขอบใจ”“ทานยาแก้ปวดก่อนดีกว่าครับ”ดัสตินยอมทานยาเพราะตอนนี้เขาปวดแผลมาก ตอนที่อุ้มเมียไม่รู้สึกเจ็บเท่าไร เขานั่งลงนั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง“โทนี่”“ครับ”“นายทำงานกับฉันมากี่ปีแล้ว?”“14 ปีแล้วครับ” ถามแบบนี้คงไม่คิดจะให้กันออกใช่ไหม รู้สึกเสียวสันหลังวาบ“ตอนนี้นายอายุ 36 แล้วหนิ...” เขาเว้นจังหวะการพูด “นายง้อผู้หญิงยังไงวะ นายอายุเยอะกว่าฉันน่าจะมีประสบการณ์มาก่อน”ไอ้โทนี่เป็นขี้ข้ารับใช้นายตั้งแต่เรียนจบจนอายุปูนนี้ยังไม่มีเมียตัวเป็นตน เขาไม่เคยจีบสาวมาก่อนและจะตอบคำถามเจ้านายยังไง“ถ้าตอบว่าไม่เคยจีบสาวมาก่อนเสียชาติเกิดมาก”แรงมาก แล้วตัวเองไม่เคยจีบสาวมาก่อนเหมือนกัน ถึงได้ทุกข์ระทมตกนรกแสนหมื่นล้านครั้งแบบนี้ ทำงานถวายหัวจะเอาเวลาที่ไหนไปจีบสาว“ผม...”“มึงตอบดีๆ” เขาคาดหวังกับคำตอบของโทนี่มาก จะได้ตามง้อเฟรินทร