บทที่ 1

"ผมหลงรักเธอตั้งแต่แรกพบ เธองดงามและยังเป็นนักบัญชีระดับสูง บ้านเกิดอยู่ในเมืองนี้ สถานะก็ไม่เลว แต่ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือไม่ยอมมีความสัมพันธ์กับผมก่อนแต่งงาน"

"ผมเป็นผู้ชาย แบบนี้จะให้ผมทนอยู่ต่อหน้าอันเป็นที่รักในทุกวัน โดยไม่สามารถสัมผัสเธอได้อย่างไรล่ะ แต่ทว่า เธอกลับไม่ให้ผมเลย ผมจึงจำใจต้องไปหาหญิงอื่น แต่ใครจะรู้ว่าถูกหญิงชั่วร้ายหลอกลวงจนติดเอดส์!"

"ผมชอบแฟนของผมมาก เราเพิ่งไปพบพ่อแม่ของกันและกันเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และใกล้จะหมั้นกันแล้ว แต่หากเธอรู้เรื่องนี้เข้า เธอจะต้องเลิกกับผมแน่ ดังนั้นผมควรบอกเธอหรือไม่?"

เนื้อหาที่เทียจู่เขียน ดูจนฉันตะลึงงัน

เพราะความบังเอิญมาก งานของฉันเองก็เป็นนักบัญชีระดับสูง และเมื่อสองวันที่ผ่านมา ฉันก็เพิ่งไปบ้านสวีเชาแฟนของฉันเพื่อพบกับพ่อแม่ของเขา

"อันที่จริงจะโทษผมทั้งหมดก็ไม่ได้ ใครใช้ให้เธอไม่ยอมผมกันล่ะ พูดได้เพียงว่าผมซวยไป!"

ด้านล่างมีชาวเน็ตเข้ามาด่าทอไม่น้อย

เพราะว่าโรคเอดส์ที่เป็นโรคติดเชื้ออันตรายและมีอัตราการเสียชีวิตสูง

ถ้าแฟนสาวคนนี้แต่งงานกับเขา ชีวิตของเธอก็คงจะพังไปตลอดชีวิต!

แต่ก็มีบางคนตั้งคำถามว่า นี่อาจเป็นโพสต์เพื่อสร้างกระแส เพราะผู้ใช้ชื่อ “เทียจู่” เพิ่งโพสต์เพียงโพสต์เดียวและไม่มียอดไลค์ใดๆ เหมือนกับว่าเป็นบัญชีใหม่

เทียจู่ไม่ได้ตอบกลับความคิดเห็นเหล่านี้ แต่กลับเอาโพสต์ที่มีการกดไลค์สูงวางไว้ด้านบน "อย่าไปพูดเลย ถ้าพูดไปต้องเลิกกันแน่นอน สู้รีบแต่งงานให้เร็วๆ ดีกว่า ถ้าแต่งงานแล้วมีลูกสักสองสามคน ก็ถึงตอนนั้นต่อให้เธอรู้ก็เลิกไม่ได้แล้ว!"

ฉันรู้สึกขนลุกจากคอมเมนต์นี้ ขณะที่กำลังจะพิมพ์ด่าผู้คนอยู่ แต่แล้วโทรศัพท์ก็สั่นขึ้นมา

เมื่อฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เมื่อเห็นว่าเป็นข้อความจากแฟนหนุ่มชื่อสวีเชา ถามว่าอีกครู่มีเวลาว่างไปดูหนังไหม

ฉันมองนาฬิกา เห็นว่าเพิ่งจะบ่ายสามโมง ไม่มีอะไรทำพอดี จึงตอบตกลงไป

ฉันจึงลืมโพสต์นั้นไปชั่วขณะ รีบลุกไปแต่งหน้า และออกจากบ้านในอีกสิบห้านาทีถัดมา

สวีเชาขับรถมารับฉัน

ฉันนั่งในที่นั่งข้างคนขับ มองแฟนสุดหล่อที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยความรู้สึกชื่นชม

ฉันกับสวีเชาได้รับการแนะนำจากคุณน้าที่ร้านตัดผมที่แม่ของฉันไปเป็นประจำ ได้ยินมาว่าครอบครัวเขาทำธุรกิจเล็กน้อย มีเงินอยู่บ้าง เขามักสุภาพและเอาใจใส่ฉัน ทำให้เราคบกันได้ไม่นานก็เริ่มตัดสินใจคบกันเป็นแฟน

จนกระทั่งฉันคิดว่า การได้แฟนดีๆ แบบนี้ถือเป็นโชคดีของฉัน

คนแบบนี้คงไม่ใช่ผู้ชายเจ้าชู้ใช่ไหม?

"กำลังคิดอะไรอยู่เหรอ?" สวีเชาถามด้วยความสงสัย เมื่อเห็นฉันจ้องเขาอยู่ด้วยสายตาเหม่อลอย

ฉันสะดุ้งเล็กน้อย ส่ายหัวไล่ความคิดไร้สาระนั้นออกไป "ไม่มีอะไร ขับรถเถอะ"

โพสต์นั้นคงแค่เป็นการดึงดูดความสนใจ แฟนของฉันไม่น่าจะเป็นคนแบบนั้นหรอก

เราชมภาพยนตร์โรแมนติกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นหนังที่เขาเลือก

หลังจากดูหนังเสร็จ เราสองคนก็ทานข้าวไปด้วยและพูดคุยกันถึงเนื้อหาของหนัง

จู่ๆ สวีเชาก็เอ่ยขึ้นว่า "เยว่เยว่ ตอนนี้เราก็อายุมากขึ้นเหมือนพระเอกนางเอกในหนังแล้วนะ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คุณก็ไปเจอพ่อแม่ของผมแล้ว พ่อแม่ผมก็ชอบคุณมาก ทำไมเราไม่แต่งงานกันซะตั้งแต่ตอนนี้เลยล่ะ?"

ฉันชะงักไป

ฉันไม่คิดว่าเขาจะพูดเรื่องนี้ออกมาอย่างกะทันหัน

แม้ว่าจะเพิ่งเดินทางไปพบผู้ใหญ่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ฉันก็รู้ว่าการแต่งงานของเราใกล้ขึ้นมาอีกขั้น แต่การพูดแบบนี้มันทำให้ฉันรู้สึกตะลึง

ในหัวของฉันก็นึกถึงโพสต์ที่เห็นในวันนี้

จึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ฉันจึงตอบสวีเชาไปว่า "การแต่งงานไม่ควรทำแบบลวกๆ นะ อย่างไรก็ต้องให้พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายได้พบกันก่อน และต้องไปตรวจสุขภาพกันด้วย"

สวีเชาชะงักไปครู่หนึ่ง "ตรวจอะไร?"

"ก็ตรวจสุขภาพก่อนแต่งงานน่ะ" ฉันตอบ "พอดีช่วงนี้รู้สึกไม่ค่อยสบาย ถือโอกาสที่จะไปตรวจสุขภาพด้วยหน่อย"

ฉันแค่เสนอแนะไป และคิดว่ามันก็ไม่มีอะไรผิด แต่ใครจะรู้สีหน้าของสวีเชากลับเปลี่ยนไปทันที!