ตอนที่สาม
รุกคืบ
ยามนี้พวกเขาอยู่กันสองต่อสองหากมีผู้คนนำไปนินทาย่อมสร้างความเสื่อมเสียให้กับบุตรสาวของผู้ที่เขาเคารพนับถือ
“พวกเรารู้จักกันมาตั้งหลายปี พี่ยังเคยอุ้มข้าเที่ยวเล่นอยู่ตั้งหลายครา จะคิดมากไปไย” หญิงสาวตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“นั่นมันเมื่อก่อน ตอนนั้นเจ้ายังเยาว์วัย แต่ยามนี้เจ้าเติบโตเป็นสาวแล้ว ควรสงวนท่าที มิเช่นนั้นอาจเป็นขี้ปากชาวบ้านได้ ถึงตอนนั้นคงหาชายหนุ่มมาสู่ขอเพื่อแต่งงานได้ยากยิ่ง” เซี่ยจิ้นกว่างกล่าวเตือนด้วยความหวังดี
“เช่นนั้น พี่จิ้นก็มาสู่ขอข้าเสียเองสิ เช่นนี้ก็ไม่ต้องคิดมากแล้ว” เจียงลี่มี่ย้อนความทันทีโดยไม่ทันคิด จนเมื่อเห็นสีหน้าตื่นตะลึงของชายหนุ่มจึงคิดได้รีบก้มลงทำทีเป่าน้ำแกงให้เย็นด้วยความเก้อเขิน
รุกเร็วเกินไปเขาจะตกใจจนถอยหนีไปไหมนะ
เซี่ยจิ้นกว่างมองใบหน้างดงามซึ่งตั้งอกตั้งใจพ่นลมออกมาอย่างหนักใจ
เขาย่อมจดจำนางได้ด้วยช่วงเวลาที่อยู่ในจวนราชครูเจียงนั้นช่างสุขสันต์ไร้เภทภัยและสิ่งกวนใจ
เจียงลี่มี่เป็นแฝดพี่ผู้ซุกซน นางชอบปืนป่ายต้นไม้และเล่นแผลงๆราวไม่ใช่เด็กหญิง ยามพบเจอคราแรกคือจังหวะที่นางเกือบผลัดตกต้นไม้และเขาเข้าไปช่วยไว้ได้ทันพอดี
จากนั้นนางก็หาโอกาสมาพบปะเล่นกันอยู่บ่อยๆ เขามักพานางขี่หลังไปเที่ยวเล่นตามประสาเด็กซนจนถูกราชครูจับได้และต่อว่าอยู่หลายครา
แต่เด็กหญิงกลับไม่เคยเข็ดหลาบและใช้ลูกล่อลูกชนจนบิดาใจอ่อนงดการลงโทษและบางครั้งยังหลับหูหลับตาทำเป็นไม่เห็นปล่อยให้พวกเขาเล่นซนจนวุ่นวาย
ยามที่เขาออกจากจวนราชครูกะทันหันด้วยสูญเสียครอบครัวไปอย่างไม่ทันตั้งตัว จึงไม่ทันได้ร่ำลาเพียงทิ้งจดหมายไว้ฉบับหนึ่งเท่านั้น
มิคาดว่านางกลับยังจดจำและห่วงใยเขาอยู่
“น้ำแกงอุ่นกำลังดีแล้ว พี่จิ้นรีบดื่มเร็วเข้า มา ข้าป้อน” เจียงลี่มี่ถือช้อนทำท่าจะป้อนน้ำแกงใส่ปากของเซี่ยจิ้นกว่างตามคำพูด
แต่ชายหนุ่มกลับผงะไปด้านหลังด้วยความตกใจจนน้ำแกงหกใส่เสื้อ
“อุ๊ย...” เสียงอุทานพร้อมอาการลุกลี้ลุกลนรีบเช็ดน้ำแกงที่หกบนเสื้อจนสองมือเล็กปาดป่ายไปทั่วอกหนา
“โอ๊ย!...” เซี่ยจิ้นกว่างมัวพะวงมือน้อยจึงไม่ทันระวังชนเข้ากับพนักเก้าอี้ซึ่งกระแทกโดนบาดแผลที่หลังจนต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
“พี่จิ้น มือข้าโดนแผลหรือ ตรงที่ใดกัน” คราวนี้มือเล็กทั้งเปิดสาบเสื้อทั้งแหวกออกวุ่นวายเพื่อหาบาดแผลของชายหนุ่ม
เซี่ยจิ้นกว่างอดรนทนไม่ไหวจับข้อมือน้อยรวบเอาไว้แน่นแล้วข่มกลั้นอารมณ์เอ่ยเสียงลอดไรฟันออกมา
“พอแล้ว แผลอยู่ด้านหลัง”
ตอนที่สี่ เกี้ยวพาเซี่ยจิ้นกว่างอดรนทนไม่ไหวจับข้อมือน้อยรวบเอาไว้แน่นแล้วข่มกลั้นอารมณ์เอ่ยเสียงลอดไรฟันออกมา“พอแล้ว แผลอยู่ด้านหลัง”“อ้าว...” เจียงลี่มี่รู้สึกเก้อเขินค่อยๆดึงมือออกจากการจับกุม“ข้าทำพี่จิ้นเจ็บแผลหรือ ขอข้าดูดีหรือไม่ เผื่อช่วยทำแผลให้ใหม่” หญิงสาวยังคงเสนอตัวด้วยความหวังดี“คุณหนูลี่มี่ พวกเราไม่ใช่เด็กอีกแล้ว เจ้าไม่ควรให้ความสนิทสนมกับชายหนุ่มเช่นนี้ ที่เจ้ากำลังทำอยู่ไม่ว่าจะเป็นการป้อนอาหารใส่ปาก การไล่เปิดสาบเสื้อชายหนุ่ม แม้แต่ที่ข้าจับมือเจ้าเมื่อครู่ เหล่านี้ล้วนไม่งามเจียงฮูหยินไม่เคยสั่งสอนหรือว่าเป็นสตรีในห้องหอควรสงวนท่าทีอย่างไรเจ้ารู้หรือไม่ว่าหากมีผู้อื่นเห็นเข้าเจ้าจะถูกนินทาว่าร้ายอย่างไรบ้าง” เซี่ยจิ้นกว่างคิดว่าตนเองเป็นผู้ใหญ่กว่าในขณะที่อีกฝ่ายเพิ่งโตเป็นสาว จึงถือโอกาสสั่งสอนยืดยาวเจียงลี่มี่หน้างอง้ำเมื่อถูกชายที่พึงใจต่อว่าในการกระทำซึ่งนับว่าให้ท่าของตนเอง“ข้าเพียงหวังดีอยากป้อนน้ำแกงให้พี่จิ้น และห่วงบาดแผลของพี่ เหตุใดต้องใช้ถ้อยคำรุนแรงต่อว่าด้วย” น้ำตาถูกกลั่นมาคลอเบ้าพลางหยดแหมะลงอย่างพอดิบพอดีเซี่ยจิ้นกว่างไม่คิดว่าหญิงสาวจะ
ตอนที่สาม รุกคืบยามนี้พวกเขาอยู่กันสองต่อสองหากมีผู้คนนำไปนินทาย่อมสร้างความเสื่อมเสียให้กับบุตรสาวของผู้ที่เขาเคารพนับถือ“พวกเรารู้จักกันมาตั้งหลายปี พี่ยังเคยอุ้มข้าเที่ยวเล่นอยู่ตั้งหลายครา จะคิดมากไปไย” หญิงสาวตอบอย่างไม่ใส่ใจ“นั่นมันเมื่อก่อน ตอนนั้นเจ้ายังเยาว์วัย แต่ยามนี้เจ้าเติบโตเป็นสาวแล้ว ควรสงวนท่าที มิเช่นนั้นอาจเป็นขี้ปากชาวบ้านได้ ถึงตอนนั้นคงหาชายหนุ่มมาสู่ขอเพื่อแต่งงานได้ยากยิ่ง” เซี่ยจิ้นกว่างกล่าวเตือนด้วยความหวังดี“เช่นนั้น พี่จิ้นก็มาสู่ขอข้าเสียเองสิ เช่นนี้ก็ไม่ต้องคิดมากแล้ว” เจียงลี่มี่ย้อนความทันทีโดยไม่ทันคิด จนเมื่อเห็นสีหน้าตื่นตะลึงของชายหนุ่มจึงคิดได้รีบก้มลงทำทีเป่าน้ำแกงให้เย็นด้วยความเก้อเขินรุกเร็วเกินไปเขาจะตกใจจนถอยหนีไปไหมนะเซี่ยจิ้นกว่างมองใบหน้างดงามซึ่งตั้งอกตั้งใจพ่นลมออกมาอย่างหนักใจเขาย่อมจดจำนางได้ด้วยช่วงเวลาที่อยู่ในจวนราชครูเจียงนั้นช่างสุขสันต์ไร้เภทภัยและสิ่งกวนใจ เจียงลี่มี่เป็นแฝดพี่ผู้ซุกซน นางชอบปืนป่ายต้นไม้และเล่นแผลงๆราวไม่ใช่เด็กหญิง ยามพบเจอคราแรกคือจังหวะที่นางเกือบผลัดตกต้นไม้และเขาเข้าไปช่วยไว้ได้ทันพอดีจากนั้นน
ตอนที่สาม รุกคืบกู่ซิ่วซิ่นอยากจะเอ่ยปากเจรจากับแม่ทัพหนุ่มดังเช่นหญิงสาวซึ่งยืนอยู่อีกข้าง แต่นางมัวกังวลมากมายจนมือไม้สั่นทำตัวไม่ถูก ทั้งร่างเกร็งค้างแข็งมีเพียงมือขยับบิดผ้าเช็ดหน้าไปมา สุดท้ายจึงได้แต่มองขบวนม้าศึกขี่จากไปโดยไม่ได้เอ่ยปากสักคำเมื่อขบวนยิ่งใหญ่พ้นไปจากครรลองสายตา หนึ่งในกลุ่มเด็กสาวจึงเดินออกมาชี้หน้าต่อว่าเจียงลี่มี่ด้วยความไม่พอใจ“เจ้าเป็นผู้ใดกัน บังอาจมาให้ท่าแม่ทัพเซี่ยกลางถนนเช่นนี้ ช่างไม่ละอายไร้การอบรมสั่งสอน สตรีดีงามบ้านใดจะทำตัวน่ารังเกียจเช่นนี้”“ข้าจะเป็นผู้ใดก็ไม่หนักหัวเจ้า ข้ากับพี่จิ้นรู้จักกันจึงถามไถ่ทักทาย พวกเจ้าต่างหากที่ทำตัวไร้การสั่งสอนบังอาจมายืนขวางทางจนขบวนม้าศึกต้องขี่อ้อมวนไป” เจียงลี่มี่เถียงอย่างไม่ยอมแพ้“เจ้า...เจ้ามิรู้หรือว่าพวกเราเป็นผู้ใด โดยเฉพาะ เพื่อนของเรานางนี้ ยังมาทำปากกล้าอีก” เสียงโวยวายแทบเสียกิริยาดังออกมาพร้อมผลักกู่ซิ่วซิ่นให้ออกหน้า“พวกเจ้ายังมิรู้ว่าตนเองเป็นผู้ใดถึงกับต้องมาถามไถ่ แล้วข้าจะแจกแจงได้อย่างไรเล่า” เจียงลี่มี่ยังคงเถียงคำไม่ตกฟากโดยมีเจียงลี่อินและสองสาวใช้ยืนสนับสนุนอยู่ด้านหลัง“กลับไปถามค
ตอนที่สอง เรียกความสนใจเสียงถกเถียงกันอย่างเซ็งแซ่เรียกสติของเจียงลี่มี่ให้กลับคืนมาไม่ได้การ สายตาที่เขามองกวาดเมื่อครู่ไม่ได้หยุดลงตรงที่ใดที่หนึ่ง ขืนมัวรออยู่ตรงนี้ก็คงเป็นได้แค่หนึ่งในหญิงสาวซึ่งรอคอยความหวังลมๆแล้งๆ นางต้องรุกคืบเพื่ออยู่ในสายตาเขาให้ได้มิใช่เป็นเพียงคนนอกสายตาเช่นนี้เจียงลี่มี่รีบวิ่งลงมาจากโรงน้ำชาจนสาวใช้วิ่งตามแทบไม่ทัน นางถลาพุ่งตัวเข้าไปขวางขบวนม้าศึกอย่างไม่กลัวตายจนเกือบถูกเหยียบหากมิใช่เซี่ยจิ้นกว่างยั้งเชือกเอาไว้จนสุดแรง“ผู้ใดกัน มิรู้หรือว่าขบวนของแม่ทัพพิทักษ์ชายแดนกำลังเคลื่อนอยู่ บังอาจมาขวางหน้าเช่นนี้ ไม่เคยตายหรืออย่างไร” เสียงตวาดดุดันดังออกมาจากปากของรองแม่ทัพซุนจิวฝู ซึ่งขี่ม้าขนาบข้างมาเจียงลี่มี่หัวใจแทบหยุดเต้นเมื่อเห็นเกือกม้าลอยอยู่ตรงหน้า ก่อนจะตั้งสติเอ่ยปากเมื่อเห็นว่าแม่ทัพหนุ่มควบคุมม้าได้แล้ว“ข้าขอโทษ เพียงตั้งใจมาถามไถ่ด้วยความห่วงใย มิคิดว่ากลับยั้งเท้าไม่ทันจนเกิดเหตุเช่นนี้ พี่จิ้น ข้าขอโทษได้หรือไม่” เสียงออดอ้อนเปล่งออกมาพร้อมสีหน้าสลดเซี่ยจิ้นกว่างเพ่งมองใบหน้าเล็กซึ่งพยายามสบตาแสดงความจริงใจผู้ที่เรียกเขาด้วยคำค
ตอนที่สอง เรียกความสนใจ“เอาเถอะ หากเจ้าชอบเขาก็คงต้องเร่งมือหน่อย หาไม่คงไม่อาจเรียกความสนใจมาได้ ที่สำคัญคู่แข่งของเจ้าน่ากลัวไม่น้อย” เจียงลี่อินกระซิบกระซาบ“เช่นนั้นข้าคงต้องทำทุกวิถีทาง เฮ้อ!...เกิดเป็นสตรีในยุคสมัยนี้ช่างยากลำบากนัก พบเจอชายหนุ่มที่ชื่นชอบจะออกตัวแรงเข้าไปเอ่ยปากเลยก็หาควรไม่แต่จะรออยู่อย่างนิ่งเฉยให้เขาเป็นฝ่ายมาเกี้ยวพาเกรงว่าคงจะไม่ได้ความข้าควรต้องแสดงออกอย่างไรจึงจะไม่ดูน่ารังเกียจและไม่มีกิริยาไม่งามจนผู้คนครหานินทา เจ้าช่วยข้าคิดหน่อยสิ อิ๋งอิ๋ง” เจียงลี่มี่บ่นยืดยาวก่อนจะหันมาขอความช่วยเหลือจากแฝดน้องสาว“อันดับแรกทำใจให้สบายก่อนนะ มีมี่ หากเคร่งเครียด เกินไปจะไม่เป็นธรรมชาติ ข้าคิดว่าพวกเรามีใบหน้างดงามน่ารักเป็นต้นทุนที่ดี เรือนร่างของเจ้าก็สมส่วน อกเป็นอก เอวเป็นเอว หากได้เห็นใกล้ชิด อย่างไรเสียก็ต้องสะดุดตาอยู่บ้างที่สำคัญเจ้าเองก็มีนิสัยช่างออดอ้อนเอาอกเอาใจ ไม่มีข้อใดเสียหาย หากขยันเข้าไปอยู่ในสายตา แสดงออกถึงความห่วงใยให้รู้สึกว่าเป็นคนสำคัญของเรา ทำให้เขาสบายใจและชื่นชอบที่จะอยู่กับเรา เพียงเท่านี้ สองตาของท่านแม่ทัพย่อมต้องเหลือบแลมาทางเจ
ตอนที่หนึ่ง ชมขบวน“ขบวนทหารหยาบกร้านมีอันใดน่าชมกัน เอ!...หรือว่าเจ้ามีจุดประสงค์แอบแฝง หือ มีมี่” เจียงลี่อินเอียงคอหรี่ตามองแฝดผู้พี่อย่างรู้ทัน“อย่าได้กล่าวเช่นนั้น...จะมีอันใด” กิริยากลบเกลื่อนบิดม้วนพร้อมสีหน้าซึ่งขึ้นสีแดงระเรื่อส่อพิรุธจนน้องสาวอยากกลั่นแกล้ง“ไม่มีหรือ ได้ เช่นนั้นข้าไม่ไป”“โธ่...ไปสักหน่อยเถิด อิ๋งอิ๋ง” เจียงลี่มี่เริ่มใช้การออดอ้อนอันเป็นความถนัด“พวกเราไม่ได้ตั้งใจไปชมขบวนนั่น เพียงแวะกินขนมดื่มน้ำชาที่โรงน้ำชาตรงหัวมุมถนน เอาเป็นว่าข้าเลี้ยงเจ้าเอง ดีหรือไม่” นานทีผู้พี่สาวจะใจป้ำเพียงนี้“เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะกินให้อิ่มหนำทีเดียว” เจียงลี่อินได้แกล้งพี่สาวแล้วจึงพอใจหันไปตะโกนบอกให้คนขับรถม้ามุ่งหน้าไปทางที่ต้องการสองสาวจูงมือกันขึ้นไปเปิดห้องที่ทำเลดีที่สุดเพื่อรอชมริ้วขบวนของแม่ทัพผู้เกรียงไกรซึ่งชนะศึกกลับมา โดยมีสองสาวใช้ติดตามมายืนเฝ้าหน้าห้องตามหน้าที่ไม่นานเสียงพูดคุยจากห้องข้างเคียงก็ดังแว่วเข้าหู“ข้าได้ข่าวว่าแม่ทัพเซี่ยจิ้นกว่างผู้นี้ยังอายุไม่มาก แต่เก่งกล้าเกินวัย อีกทั้งหล่อเหลาไม่เบาทีเดียว”“ย่อมแน่นอนอยู่แล้ว เจ้าไม่รู้หรือว่าแม่ทัพเซ