หกเดือนต่อมา
สองพี่น้องยืนมองไปยังแปลกผัก ที่มีน้องชายคนเล็กกำลังพรวนดินอย่างสนุกสนาน
“คุณชายขอรับ ทุกอย่างเรียบร้อยตามคำสั่งแล้วขอรับ”
ลุงสือเดินเข้ามารายงานผู้เป็นนายเบา ๆ ด้วยเกรงว่าสตรีทั้งสามคนด้านในกระท่อมจะได้ยิน
“เรื่องนี้ไม่ต้องบอกท่านแม่หรอก ทำตามที่ข้าบอกก็พอ ไปกันเถอะ! วันนี้ข้าอยากทำไก่ต้มน้ำแกง สำหรับพวกเราทุกคน”
หยางเจี่ยนที่ตอนนี้ร่างกายนับว่าใกล้จะหายดีแล้ว เดินนำลุงสือไปยังทิศทางป่า โดยทิ้งให้น้องสาวดูแลหยางไท้เพียงลำพัง
แม้ว่าการเข้าป่าล่าสัตว์ของเขา ผู้เป็นแม่จะไม่เห็นด้วย แต่จะให้เขาทนเห็นทุกคน กินเพียงหมั่นโถวไร้รสชาติทุกมื้อได้อย่างไรกัน เพราะแบบนี้อย่างไรเล่า ร่างกายถึงได้ไร้กำลังวังชา
ลุงสือไม่ได้ชำนาญการล่าสัตว์ เขาก็ไม่มีกำลังพอเช่นกัน แต่เขาทำกับดักได้ ซึ่งตอนนี้ถึงเวลาที่เขาจะต้องเข้าไปดู ว่ามีสัตว์น้อยใหญ่ตัวไหนบ้าง ที่หลงมาติดกับดักของเขา
นับว่าเขาโชคดีที่ชีวิตเก่า เขาเกิดเป็นลูกชายเจ้าของบริษัทยา เพราะตั้งแต่จำความได้ เขากับน้อง ๆ ต้องท่องจำสรรพคุณของสมุนไพรแทบจะทุกชนิดได้จนขึ้นใจ
เพราะร้านค้าแรกๆของตระกูลเฉิน คือร้านยาสมุนไพรและรักษาแบบจีนโบราณมาก่อน ดังนั้นลูกหลานในตระกูลทุกรุ่น ต้องเรียนรู้เรื่องยา การฝังเข็ม ซึ่งเป็นการรักษาที่สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่น
อีกอย่างเขาและน้องสาวเป็นทหารหน่วยรบพิเศษ ทำงานทั้งในที่ลับและที่แจ้ง เรื่องยาความรู้ต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องเรียนรู้ให้มาก เพราะบางครั้งต้องมีการปลอมตัว พวกเขาถูกฝึกมาอย่างหนัก เพื่อให้แตกฉานในทุกด้าน
และในป่าแห่งนี้ก็มีสมุนไพรอยู่มาก จึงทำให้ตลอดหกเดือนมานี่ เขาบำรุงร่างกายของทุกคนให้ดีขึ้นตามลำดับ
“คุณชายขอรับ พรุ่งนี้คนจากจวนรับรองจะนำยามาส่งขอรับ”
“เช่นนั้นรึ! เอาเป็นว่าอย่าได้แสดงพิรุธอะไรให้พวกนั้นรู้ก็พอ ส่วนยาให้ท่านแม่ทำเช่นเดิม ไม่ต้องบอกนางจนกว่าข้าและฮวาเอ๋อร์จะพร้อมเสียก่อน ค่อยบอกนางก็ไม่สาย”
หยางเจี่ยนเรียนรู้ที่จะปรับตัว เขาไม่ใช่เด็กอย่างร่างกาย เพราะชีวิตเก่าของเขานั้น อายุเกือบเท่ากับมารดาคนใหม่ในตอนนี้เลยทีเดียว แต่เมื่อสวรรค์อยากให้เขากลับมาเป็นเด็กอีกครั้ง เขาจะดื้อดึงฝืนมันให้เหนื่อยไปทำไมกัน แค่ใช้ร่างนี้เปลี่ยนแปลงทุกอย่างให้ดีขึ้น เรื่องอื่นค่อยว่ากันไปตามสถานการณ์
แม้ลุงสือรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย กับความเปลี่ยนไปของคุณชายและคุณหนู แต่ในเมื่อมันเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น ไยเขาต้องคิดให้มากความด้วยเล่า
หยางเจี่ยนรับรู้ดีถึงสายตาแห่งความสงสัย ของทั้งผู้เป็นแม่รวมถึงทุกคนที่อยู่ร่วมกัน แล้วอย่างไรเขาจะอธิบายไปทำไม ตอนนี้หน้าที่ของเขา คือทำให้มารดาหลุดพ้นจากพันธนาการของหรงจิ่ง และทำให้ตัวพวกเขาเอง หลุดพ้นจากคำว่าพ่อลูกกับชายผู้นั้นเช่นกัน
“คุณชายขอรับ มีหมูป่าตกลงไปในหลุมขอรับ”
ลุงสือที่เดินไปดูหลุมดักสัตว์ รีบเดินกระหืดกระหอบกลับมา พร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม ร่างกายที่ผายผอมของชายสูงวัย เริ่มมีน้ำมีนวลขึ้น นับตั้งแต่สองพี่น้องลงมือเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง
“วันนี้ข้าจะปรุงอาหารให้ทุกคนได้ลิ้มรส”
หยางเจี่ยนเดินตรงไปยังหลุมดักสัตว์ หมูป่าขนาดกลางนอนสิ้นใจอยู่ในนั้น เด็กชายได้ช่วยลุงสือผูกเชือก เพื่อที่เขาจะลงไปจัดการกับหมูป่าด้านล่าง
ทั้งคู่ไม่ได้รีบร้อนอันใด ด้วยเวลานี้เพิ่งจะเลยเที่ยงมาได้เล็กน้อยเท่านั้น ยังมีเวลาอีกมากที่พวกเขาจะจัดการพาหมูตัวนี้กลับบ้าน เพื่อไปทำอาหาร และนำไปแลกขนมมาให้น้องชายได้กิน
ที่กระท่อมจางฮุ้ยเหมยกระวนกระวายใจไม่น้อย เมื่อลูกชายคนโตยังไม่กลับมา นางกลัวทุกครั้งที่เขาห่างสายตา แต่สำหรับเหลียนฮวานางหาได้ใส่ใจกับเข้าป่าของพี่ชาย
ถึงจะอยู่ในร่างเด็ก แต่สติปัญญาและความสามารถของหยางเจี่ยน ทำให้นางมั่นใจว่าเขาจะกลับมาอย่างปลอดภัย แต่ในคำว่าลูกก็เข้าใจหญิงงามที่เป็นแม่ดี ที่ทนอยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อลูก หากไม่มีพวกนางสามคนพี่น้อง มารดาคงไม่รั้งอยู่ในสภาพเช่นนี้เป็นแน่
“ท่านป้าโจว นี่มันจะสองชั่วยามแล้วนะ ไยพวกเขายังไม่กลับมากันอีก” จางฮุ้ยเหมยพูดแม่นมด้วยความร้อนใจ
“อ๊ะ! นั่นอย่างไรเจ้าค่ะ คุณชายใหญ่กับตาเฒ่าสือกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
สตรีต่างวัยรีบสาวเท้าเข้าไปหาทั้งคู่ ก่อนจะตาโตกับสิ่งที่ทั้งคู่นำกลับมามอบให้ จางฮุ้ยเหมยยังคงเก็บงำความสงสัยเอาไว้ภายในใจ นับตั้งแต่ฝาแฝดตื่นขึ้นมา นิสัยก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน สงบนิ่งขึ้นดูโตขึ้นกว่าที่ผ่านมา ทั้งยังมีความสุขุมมากขึ้น ถึงกระนั้นสำหรับนางแล้ว ขอแค่ลูก ๆ กลับมาอยู่ข้างกาย จะมีการเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหนนางก็ไม่คิดจะใส่ใจ
“ไท้เอ๋อร์คนดี มานี่มา! ดูซิพี่มีอะไรมาฝากเจ้า”
เด็กชายในชุดเก่ามอซอวิ่งตรงเข้าหาพี่ชาย ก่อนจะกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ เพราะในห่อกระดาษมีขนมอยู่หลายชิ้น รอยยิ้มของหยางไท้ทำให้จางฮุ้ยเหมยสะเทือนใจเป็นอย่างมาก
นางโง่เขลาเองที่ไม่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง หากวันนั้นนางกล้าที่จะแตกหักกับหรงจิ่ง ไม่แน่ว่าวันนี้ลูก ๆ ของนางคงไม่เป็นอย่างในทุกวันนี้
“แม่ขอโทษ” หญิงสาวพึมพำเบา ๆ
“อดทนอีกนิดนะเจ้าคะท่านแม่ ขอเวลาเราสองคนอีกนิด ข้ากับพี่ใหญ่จะทำให้เราทุกคน กลับไปอยู่ในที่อันเหมาะสมเจ้าค่ะ”
จางฮุ้ยเหมยสะดุ้งสุดตัว เมื่อได้ยินเสียงของบุตรสาว นางไม่คิดว่าจะมีผู้ใดได้ยิน หญิงสาวหันกลับไป ก็พบกับรอยยิ้มกว้างของหรงเหลียนฮวา ดวงตาที่เป็นประกายของลูกสาว เสมือนน้ำทิพย์ชโลมหัวใจของนาง
“แม่ผิดที่อ่อนแอลูกรัก”
จางฮุ้ยเหมยโอบกอดบุตรสาว พร้อมพูดกับหรงเหลียนฮวา ด้วยความรู้สึกผิดอย่างที่สุด
ห้าวันถัดมา ณ ร้านผ้าสกุลจาง จางเหลียนฮวา ได้ก้าวเข้ามาภายในร้าน พร้อมสาวใช้ข้างกายสองนาง การมาของหญิงสาว เรียกสายตาของเหล่าสตรีน้อยใหญ่ ที่อยู่ภายในร้านผ้า ให้หันมองเป็นจุดเดียว ด้วยความงามที่โดดเด่น และเป็นหญิงสาวแปลกหน้า สำหรับใครหลายคนในเมืองหลวง หากจะมีคนรู้จักนาง ก็คงเป็นคนที่ไปร่วมงานวันเกิด ของท่านราชครูหรงเท่านั้น จึงจะรู้ว่านางคือบุตรสาวคนโต ที่กำเนิดจากภรรยาเอกของท่านเสนาบดีหรงจิ่ง “นางงดงามยิ่งนัก ข้าไม่แปลกใจเลยว่าทำไม ท่านแม่ทัพจ้าวหมิงเยี่ย จึงรอนางโดยไม่คิดถอนหมั้น” หญิงสาวนางหนึ่งเอ่ยขึ้นเบาๆ ทว่ากลับไม่เบาสำหรับหญิงสาวอีกคน ที่ยืนอยู่ด้านหลัง ต้วนชิงชิงกำหมัดแน่น หากไม่เพราะหรงเหลียนฮวา มีหรือคนรักของนาง จะเอาใจออกห่าง จนทำให้นางต้องแต่งกับคนอื่น “คุณหนู เชิญด้านในขอรับ” ผู้ดูแลร้านก้าวเข้ามาโค้งกายให้นายสาว ก่อนจะผายมือเชื้อเชิญผู้เป็นนาย ให้เข้าไปนั่งด้านใน “ท่านอาเมิ่งสบายดีนะเจ้าคะ” หญิงสาวเอ่ยถามผู้ดูแลร้าน “ข้าน้อยสบายดีขอรับ คุณหนูกับคุณชายมาถึงเมืองหลวง ข้าน้อยเสียมารยาทนัก มิได้เข้าไปคาร
“หากเจ้ายินยอมแต่โดยดี ข้าจะมอบตำแหน่งที่คู่ให้” “กระบี่เจ้า! ควบคุมมันมิให้สั่นได้เสียก่อน ค่อยคิดสิ่งอื่นดีกว่าไหม…” หญิงสาววางถ้วยชาลง บนโต๊ะอย่างใจเย็น พรึ่บ! ปึก! เคร้ง! รวดเร็วจนชายหนุ่ม ขาสั่นจนแทบยืนไม่อยู่ กระบี่ในมือร่วงลงพื้น ก่อนที่เขาจะเบนสายตา ไปมองยังหญิงสาว ซึ่งตอนนี้กลับไปนั่งยังที่เดิม เสมือนกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับเขาเมื่อครู่ มันมิใช่ฝีมือของนาง “จะลงมือกับใครก็ตาม เจ้าต้องศึกษาอีกฝ่ายให้แจ่มแจ้ง หึๆ ยังดีที่ตรงนี้เป็นข้า ถ้าเป็นผู้ติดตามของข้าทั้งสอง เจ้าคงไม่ได้ยืนต่อคำ เกินชั่วอึดใจ...” ชายหนุ่มถึงกับใบหน้าถอดสี เขาไม่คิดว่าแผนการที่แยบยล จะถูกล่วงรู้จนหมดสิ้นเช่นนี้ “ผู้ใดอยู่ข้างนอก เข้ามานี่เร็ว!” อ๋องน้อยโหว ตะโกนเรียกเหล่าองครักษ์ ทว่ากลับไร้ซึ่งวี่แวว ชายหนุ่มรีบย่อกายลงเก็บกระบี่ โดยที่สายตา หาได้ละไปจากร่างงาม ที่นั่งดื่มชาอย่างเพลิดเพลิน ราวกับเขาที่อยู่ร่วมห้อง เป็นเพียงอากาศธาตุ “หึๆ มิใช่เจ้าสั่งห้ามใครมารบกวนหรอกหรือ แต่คนของข้าอยู่ข้างนอกนะ เรียกได้...” “หญิงแพศยา! สตรีมีคู่หมาย
ยิ่งไม่เคยรู้ถึงฝีมือของคู่ต่อสู้ เขายิ่งต้องรีบเผด็จศึก ให้ได้โดยไว จึงมิคิดที่จะลีลาให้ตนเอง กลายเป็นฝ่ายเสียท่า สิ้นคำของชายหนุ่ม เงาร่างในชุดสีดำสองคน ก้าวออกจากหลังฉากกั้น ซึ่งเป็นส่วนด้านหลังห้องที่มีหน้าต่าง “อือๆ” เจ้าของจวนทำได้แค่...ส่งเสียงทัดทานในลำคอ ทว่ากลับไม่สามารถต่อต้านการกระทำใดๆ ของชายชุดดำได้เลย อาภรณ์เนื้อดีถูกถอดออก จนแหลือเพียงร่างกายเปลือยเปล่า ก่อนที่ชายชุดดำจะดึงมีดเล่มเล็กออกมา “นายหญิง โปรดพักผ่อนรอสักครู่ขอรับ” ชายผู้ถือมีดเอ่ยกับผู้เป็นนาย จินอู่หันหลังให้ พร้อมสะบัดมือเล็กน้อย เพื่อให้คนของเขา ลงมือได้แล้ว หากไม่ติดว่าที่นี่ คือถิ่นศัตรู...คำว่าเงียบเสียง จะไม่มีเลยสำหรับเขา ความเจ็บปวดของศัตรู ควรประกาศให้โลกรู้ แต่เมื่อสถานที่ไม่อำนวย เขาก็ไม่ติดที่จะลงมืออย่างเงียบๆ โหวอ๋องดวงตาเหลือกลาน แต่ก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ เมื่ออาวุธคู่กายของเขา กำลังถูกเฉือดเฉือนประหนึ่งหนูถูกถลกหนัง แม้มันจะไม่รู้สึกเจ็บ ทว่าใจของบุรุษแท้เยี่ยงเขา มันแหลกละเอียดจนมิเหลือชิ้นดี “สกุลโหว ควรสิ้นสุดที่เจ้าสองพ่อลูก อย่าได้สร้าง
“คุณหนูเฉินเป็นอย่างไรบ้าง” เป็นสาวใช้อาวุโส ที่เอ่ยถามกับสาวใช้สกุลเฉิน และผู้ติดตามหนุ่ม “คุณหนูดื่มยาแก้เมา และหลับอยู่เจ้าค่ะ” เจินจู ตอบสาวใช้สูงวัย ก่อนจะเหลือบตามองไปยัง สาวใช้ของอนุหรู สตรีผู้เพียรพยายามรั้ง ให้คุณหนูของนางพักในจวน “ข้าจะมาเชิญคุณหนูเฉิน กลับเข้าพักยังเรือนรับรอง ด้วยตอนนี้เฉินฮูหยิน ได้พักผ่อนรออยู่แล้ว” “หากไม่มีคำสั่งใดจากปากของฮูหยิน ข้าคงมิอาจปล่อยให้คุณหนูห่างสายตา เอาเป็นว่าข้าจะให้เจินจู ติดตามท่านเข้าไปพบฮูหยินของเราก็แล้วกัน” “นี่เป็นประสงค์ของท่านอ๋อง ที่มิอยากให้ผู้ใดตำหนิ ว่าดูแลแขกไม่ดี” หญิงชราตวัดสายตาดุใส่ชายหนุ่ม ผู้ไร้ความยำเกรงในอายุและฐานะของนาง ยิ่งเห็นใบหน้าเรียบเฉย แม้เพียงครึ่งเสี้ยงของใบหน้า นางก็รู้ดีว่าคนผู้นี้ ไม่ได้สะท้านต่อคำของนางเลย “งานเลี้ยงกับคนเมามาย ย่อมเป็นของคู่กัน และมิใช่ทุกคนที่ต้องการพักในจวนของเจ้าภาพ คุณหนูอยู่ในรถม้าแล้ว รอเพียงฮูหยินกลับออกมา เราก็พร้อมกลับจวน” จากความอ่อนน้อม พลันเป็นดุดัน จนทำให้ชายหนุ่มหลายคน ที่ยืนอยู่เบื้องหลังส
“สามหาว! เจ้ากล้าข่มขู่ท่านอ๋องเยี่ยงนั้นรึ!” “ทำไมข้าต้องขู่ผู้ใดด้วย อีกอย่างถ้าท่านบริสุทธิ์ใจจริง จะเป็นเดือดเป็นร้อนไปไย แค่คุณหนูเฉินจะกลับบ้านตนเอง หรือมีสิ่งใดเป็นนอกในอย่างนั้นรึ! ดูรั้งนางจนออกหน้าเยี่ยงนี้” ชายหนุ่มเอียงหน้าช้า พร้อมมุมปากบิดขึ้นน้อยๆ การกระทำนั้นชวนให้อนุคนงาม หนาวสะท้านไปทั้งกาย บุรุษที่น่ากลัวย่อมเป็นคนที่มีหลากหลายบุคลิก ซึ่งปกติแล้วหรงเล่อถงสุขุมนุ่มลึก ทว่าตอนนี้...เขายิ่งกว่าคนจิตวิปลาสอย่างไรอย่างนั้น “นอกในอันใดกัน นางเป็นแขกของสามีข้า การดูแลเอาใจใส่ ย่อมเป็นเรื่องที่ข้าต้องทำอยู่แล้ว” “เช่นนั้นหลีกทางข้าเถิด อนุหรู” หรงเล่อถง กดน้ำเสียงให้ลึก และชัดเจนว่าเขาพร้อมขัดขวางเรื่องนี้ อย่างไม่คิดยินยอมปล่อยผ่าน ต่อให้สตรีที่กำลังตกที่นั่งลำบาก มิใช่พี่น้อง เขาก็คงปล่อยให้สตรีเหล่านั้น แปดเปื้อนจากคนโสมมได้เป็นอันขาด ถึงเขาจะมิใช่คนดีไปเสียทุกเรื่อง แต่เขามีพี่สาวน้องสาว พวกนางจะเป็นเช่นหากต้องอยู่อย่างอดสู แบกรับความอัปยศไปทั้งชีวิตเฉินหนิงฮวาในตอนนี้ ดวงตาปรือจนแทบจะปิดแล้ว ชายหนุ่มพอจะเดาได้ ว่าเกิดจากสาเ
“หยุดนะ! เจ้าจะทำอะไรลูกข้า!” เจียงชูเหนียง รีบผลักร่างของคนสนิทออก ก่อนจะหันไปหาบุตรชาย มือบางหมายจะเอื้อมไปแตะ ที่ข้างแก้มของผู้เป็นลูก ทว่าร่างสูงกลับเบี่ยงกายหลบ “อย่าล้ำเส้นข้าอีก มิเช่นนั้น...ข้าจะไม่ใจดีเช่นครั้งก่อน” “ครั้งก่อน...” เจียงชูเหนียง ถึงกับเซถอยหลัง คนของนางไม่เคยลงมือกับบุตรชาย มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ที่ทั้งคู่เคยปะทะกัน เมื่อปีก่อนที่อารามบนเขา แววตาแตกตื่นทำได้เพียง มองตามแผ่นหลังของบุตรชาย ที่กลืนหายไปในความมืด “ไหนเจ้าบอกว่า เขาไม่เห็นเจ้าอย่างไรเล่า แล้ว...หรือเจ้าทำนอกเหนือจากที่ข้ารู้” “เขาก็แค่หยั่งเชิงเรา เจ้าอย่าได้เผยพิรุธจะดีกว่า เลือดในกายเขามีของเจ้าแค่ครึ่งเดียว อย่าคาดหวังให้มาก ว่าเขาจะเหมือนเจ้า เพราะขนาดพ่อแท้ๆ เขายังไม่เหมือนเลย กลับไปได้นิสัยของยายแก่ แม่สามีเจ้ามาแทบทั้งสิ้น” “พูดเรื่องนี้ก็ดี เจ้าหานางพบรึยัง!” “ยัง! หรงเล่อถงไม่เคยเผยร่องรอย ให้ข้าตามไปจนถึงตัวยายแก่นั้นได้เลย” “อย่าช้า! นางรู้เรื่องมากเกินไป หากปล่อยไว้ เล่อถงต้องคิดแปรพักตร์” “เหม