LOGINหลังจากรถม้าลับสายตาไปแล้ว หรงจิ่งวางลูกชายคนเล็กลงกับพื้น ก่อนจะหันกลับมาหาภรรยา ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มเปลี่ยนไปในทันที สายตาที่เขามองสี่แม่ลูก ไม่ต่างจากเศษขยะริมทาง
“กลับไปอยู่ที่กระท่อมได้แล้ว และอย่าให้ข้ารู้ว่าเจ้าขัดคำสั่ง ส่งข่าวให้พ่อแม่เจ้า จำเอาไว้ให้ดีว่าหน้าที่ของภรรยาคือเชื่อฟังสามี เจ้าก้าวออกจากสกุลจางเพื่อมาเป็นคนสกุลหรง ไม่ว่าอยู่หรือตายเจ้าก็คือคนสกุลหรง เรื่องนี้คงไม่ต้องให้ข้าต้องสอนเจ้าเป็นครั้งที่สองหรอกนะ” “เจ้าค่ะ” หญิงสาวพาลูกชายหญิงเดินออกจากจวนไป พร้อมน้ำตาอาบแก้ม นางเป็นแค่ดอกไม้ประดับของสามี และเขามีนางไว้เพื่อให้สกุลจางคอยสนับสนุนเขา ครอบครัวของนางมิใช่คนเมืองหลวง จึงไร้ญาติพี่น้องที่จะพึ่งพา ถึงมีก็ช่วยอะไรนางไม่ได้ เพราะนางเป็นคนของสกุลหรง จะอยู่จะตายก็คือคนของสามี สงสารก็เพียงลูก ๆ ที่พลอยต้องมาลำบากไปด้วย “คุณหนู เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ไยจึงไม่กลับไปเสิ่นโจวกับนายท่านเล่าเจ้าคะ” “ท่านป้าก็รู้ดีมิใช่หรือ หากหย่าขาดจากเขา ไปได้เพียงตัวข้าคนเดียว แล้วลูก ๆ ของข้าเล่าจะอยู่อย่างไร พวกเขาคือคนสกุลหรง หากหรงจิ่งไม่ยินยอม ต่อให้ท่านพ่อท่านแม่ร้องเรียน ก็ยากที่จะเอาลูกไปจากเขาได้ ไม่เป็นไรขอแค่พวกเขาปลอดภัย อยู่แบบนี้ข้าก็สบายดี” หญิงสาวฝืนยิ้มทั้งน้ำตา ก่อนจะส่งลูกชายคนเล็กให้แก่สาวใช้ข้างกาย โดยมีแม่นมของนางคอยช่วยพยุง สองพี่น้องฝาแฝดทำได้เพียงมองความทุกข์ผู้เป็นแม่ ที่ยอมลำบากเพียงเพื่อได้อยู่ใกล้พวกเขาสามคนพี่น้อง “เอาไงดีล่ะต่อจากนี้” เฉินหนิงเอ่ยถามพี่ชาย เธอยังรู้สึกมืดแปดด้านอยู่ในตอนนี้ โลกที่มีกฎของชนในยุคโบราณ มันช่างโหดร้ายมากสำหรับผู้หญิง แตกต่างจากอีกโลกที่พวกเธอเคยอยู่ ที่มีความทัดเทียมกันในทุก ๆ ด้าน "ก่อนอื่นก็ทำให้ร่างกายน้อย ๆ นี้แข็งแรงก่อนดีไหม แล้วค่อยเริ่มวางแผนอนาคตกัน รับรองว่าพี่ไม่พาน้องสาวสุดที่รัก อยู่ที่นี่จนตายหรอกน่า! คิดซะว่านี่คือการฝึกอีกรูปแบบหนึ่งก็แล้วกัน" “ทำมาเป็นพูดดี ที่นี่ไม่มีคำว่ากฎหมายอยู่เหนือคนผิด แต่ผู้มีอำนาจเท่านั้นคือผู้ถูกต้อง” “ก็แค่สร้างอำนาจ” เฉินหมิงพูดยิ้ม ๆ “พูดน่ะมันง่าย ตอนทำนี่ล่ะมันยาก” “มันไม่มีอะไรยากไปกว่านี้แล้ว คิดดูนะทำไมเราถึงตื่นมาในร่างของฝาแฝดนี่ ถ้าไม่เพราะสวรรค์ต้องการให้เราสองคน มาเพื่อแก้ไขชะตาของหญิงงามที่จะเป็นแม่เรานับจากนี้” “ดูละครมากไปไหมเนี่ย! แต่ก็นะ! ทำอะไรไม่ได้แล้วนี่ ถ้าไม่เดินหน้าก็ต้องตายอีกรอบ งั้นก็เอาให้สุดไปเลยล่ะกัน” “หึ ๆ มันต้องแบบนั้นอยู่แล้ว” สองพี่น้องเงียบเสียงลงอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงวิ่งตรงมาที่ห้องของพวกเขา จากน้ำหนักของฝีเท้าไม่น่าจะเป็นผู้ใหญ่ “พี่ใหญ่ พี่รอง ตื่นแล้วหรือขอรับ” เสียงน้อย ๆ ของเด็กชายรูปร่างผอมแห้ง เหมือนเด็กอายุไม่เกินแปดขวบเลยด้วยซ้ำ แต่จากความทรงจำของทั้งคู่ หรงหยางไท้อายุตอนนี้คือสิบขวบ ร่างกายผายผอมของเด็กชาย ทำให้สองพี่น้องสะเทือนใจอยู่ไม่น้อย นอกจากทำให้ร่างกายของพวกเขาแข็งแรง เด็กชายที่วิ่งเข้ามากอดพวกเขาอยู่ในตอนนี้ ก็ต้องมีร่างกายที่ดีให้ได้ด้วยเช่นกัน “วันนี้น้องพี่ไปซุกซนที่ใดมา หืม!” เฉินหมิงทำหน้าที่พี่ชายที่ดีในทันที เขาสงสารเด็กชายตรงหน้าเหลือเกิน “ไม่เลยขอรับ ข้าไปช่วยท่านลุงสือปลูกผักด้วยนะขอรับ พี่ใหญ่กับพี่รองจะได้กินผัก จะได้ไม่ป่วยอย่างไรเล่าขอรับ” “เอาไว้พรุ่งนี้พี่ดีขึ้น จะออกไปดูแปลงผักของเจ้านะ” เฉินหนิงเอ่ยขึ้นบ้าง เธอต้องทำตัวให้คุ้นชินทั้งการใช้คำพูด และชื่อใหม่ เพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัยของทุกคน สามพี่น้องคุยกันอย่างสนุกสนาน หยางไท้นั่งอยู่ระหว่างพี่ ๆ พร้อมเล่าสิ่งที่ไปเจอมา ตลอดเวลาที่พวกเขาได้แต่นอนเป็นผักลวกอยู่บนเตียง เฉินหนิงแอบจับชีพจรของน้องชายตัวน้อย ก่อนจะหันไปสบตากับพี่ชาย เฉินหมิงบอกแค่ว่ารู้แล้ว เพราะตอนที่เขาตื่นขึ้นมาแล้วรับรู้เรื่องราวของหรงหยางเจี่ยน เขาได้ตรวจชีพจรของน้องสาว ซึ่งในตอนนั้นเขาไม่แน่ใจนักว่าคนที่นอนอยู่ จะเป็นเฉินหนิงอย่างที่คิดหรือไม่ เพราะใบหน้าที่ซ้อนทับของหรงเหลียนฮวากับน้องสาว ทำให้เขาได้แต่ตั้งความหวังเอาไว้ในใจ “ไท้เอ๋อร์ ไยเข้ามากวนท่านพี่เล่าลูก” “ก็ข้าคิดถึงท่านพี่นี่ขอรับ” “ไม่เป็นไรขอรับท่านแม่ ข้ากับน้องรองเองก็คิดถึงไท้เอ๋อร์เช่นกันขอรับ” “ถ้าอย่างนั้น มาแม่ป้อนโจ๊กพวกเจ้าสองคนนะ” “ท่านแม่ข้าจะช่วยป้อนพี่ใหญ่เองนะขอรับ” มือผายผอมของหยางไท้ ยืนไปไปหามารดา เพื่อที่จะช่วยป้อนอาหารให้พี่ชาย “ไท้เอ๋อร์...” “ท่านแม่ขอรับ มาข้าช่วยไท้เอ๋อร์ถือเอาไว้ก็ได้ขอรับ จะได้ไม่ร้อนมือ” เฉินหมิงช่วยน้องชายประคองถ้วยโจ๊ก ก่อนจะวางลงบนที่นอน โดยเขาใช้สองมือจับประคองเอาไว้ เพื่อให้น้องชายตักป้อนเขาอย่างที่ต้องการ จางฮุ้ยเหมยเป่าโจ๊กเบา ๆ ก่อนจะป้อนให้กับบุตรสาว หญิงสาวพยายามเหลือเกิน ที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมา ความลำบากไม่ได้ทำให้นางเจ็บปวด เท่ากับการที่ลูก ๆ ถูกพ่อแท้ ๆ ละเลยถึงเพียงนี้ ป้าโจวที่ช่วยเสี่ยวเตี๋ยยกถังน้ำเข้ามาด้านใน แอบซับน้ำตาด้วยความเวทนาผู้เป็นนาย ที่ต้องทนกับสภาพเช่นนี้ เพียงเพื่อจะได้อยู่ใกล้กับคุณหนูและคุณชายทั้งสองจวนเสนาบดีฝ่ายขวา เจียงชูเหนียง ก้าวพรวดพราดเข้ามาในห้องหนังสือของสามี ด้วยท่าทางร้อนใจ หลังจากได้รับข่าวมาเรื่องลูกเลี้ยง ที่ปรากฏตัวอยู่ในร้านผ้าสกุลจาง “ท่านพี่ รู้ข่าวของพวกมันรึยังเจ้าคะ” ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าของสามี นางก็รู้ได้ทันที ว่าเขาเองก็ต้องรู้เรื่องมาแล้วเช่นเดียวกัน “เจ้าจะเสียงดังไปทำไมกัน”ท่านเสนาบดีตวัดสายตามองภรรยา ด้วยอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความขุ่นมัว มันมิใช่แค่บุตรสาวคนโตปรากฎตัวเท่านั้น แต่เรื่องที่เขาได้หย่ากับภรรยาเอก ดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งเมืองหลวง ประหนึ่งไฟลาม “ท่านพี่ว่าข้ารึเจ้าคะ” ใบหน้าที่ยังคงมีความงาม งอง้ำในทันที ก่อนจะก้าวฉับๆ ไปนั่งลงเก้าอี้ข้างสามี “ข้ายิ่งมีเรื่องต้องให้คิด เจ้าอย่าได้มาทำตัวเหมือนสาวแรกรุ่นได้ไหม ประเดี๋ยวข้าจะไปพบท่านพ่อ เจ้าอย่าได้ออกไปก่อเรื่องเพิ่มให้ข้าอีกเข้าใจไหม” ท่านเสนาบดี หันไปสั่งภรรยา ด้วยรู้นิสัยของนางดี ว่าถ้ามีเรื่องให้ไม่พอใจ มักจะทำทุกสิ่งตามที่ต้องการ โดยไม่สนว่าจะมีผลกระทบใดตามมา ครั้งนี้สกุลจางได้ยืนคนละฝั่งกับเขาแล้ว ขุนนางหลายฝ่าย คงจ้องเล่น
จางเหลียนฮวา มองตามแผ่นหลังที่งองุ้ม ไม่เหยียดตรงเช่นที่พบเจอกันในคราแรก ของต้วนชิงชิง นางหาได้สาแก่ใจอันใด กับสิ่งที่อีกฝ่ายได้รับ แต่นี่คือสิ่งที่นางต้องเลือก และเป็นสิ่งที่ต้วนชิงชิงเลือกมันด้วยตนเอง ระหว่างเป็นผู้ถูกกระทำ หรือจะเป็นผู้กระทำ นางไม่ได้ลงมืออันใดให้มากมายแต่เป็นต้วนชิงชิงเอง ที่ก้าวล้ำเส้นมาก่อน คนที่คิดว่าตนเองเหนือกว่าทุกคน มักมีขุดอ่อนทางอารมณ์ ยั่วยุเพียงลมปาก คนประเภทนี้ก็กระโดดเข้าสู่กองเพลิง โดยไม่ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน นางไม่ได้อยากรื้อฟื้นหรือทำร้ายใครก่อน แต่ถ้าข้ามเส้นความอดทนของนางเมื่อใด จะใครหน้าไหน นางก็พร้อมชนทั้งนั้น “ฮวาเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ตกใจมากหรือไม่” เมื่อทุกอย่างกลับสู่ความสงบ บรรดาลูกค้าเริ่มเลือกชมสินค้าอีกครั้ง เพื่อรับส่วนลดพิเศษ ที่หลานสาวเจ้าของร้าน ประกาศไปก่อนเกิดเรื่องเมื่อครู่กันอย่างสำราญใจ คล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นเพียงสายลมพัดผ่าน จ้าวฮูหยินจึงรีบเอ่ยถามว่าที่ลูกสะใภ้ ด้วยความห่วงใย ก่อนจะตวัดสายตาตำหนิบุตรชาย ที่โง่เขลามองคนไม่ออกมาตั้งหลายปี จนทำให้ว่าที่สะใภ้ของนาง ถูกทำร้ายจิตใจต่อหน้าผู้คน แม
“ฮึ! เรื่องเพียงเท่านี้ ก็ทำให้ท่านที่เป็นสามีของข้า เลือกตำหนิข้าต่อหน้าผู้คน ช่างแล้งน้ำใจนัก” แม้จะรู้ตัวแล้ว ว่าตนเองทำพลาด พูดไปโดยไม่คิด แต่จะให้นางยอมถูกสามีอยู่เหนือ ต่อหน้าผู้คนได้อย่างไรกัน “เท่านี้อย่างนั้นรึ! เจ้ากล้าพูดออกแบบนี้ได้อย่างไรกัน” ชูป๋อเจี้ยน ไม่อยากเชื่อ ว่าภรรยาจะมองคำพูดของนาง เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย นางทำให้เขาอับอายต่อหน้าอดีตคนรักของนาง และชาวเมืองที่อยู่ภายในร้านผ้า“เจ้าเห็นรึยังหมิงเยี่ย ว่าเหตุใดแม่มิตามใจเจ้าเรื่องของนาง”ทุกสายตาหันไปมองยังด้านหน้าประตูร้าน เมื่อคำพูดที่แทรกการโต้เถียงของสามีภรรยาสกุลชู ดังขึ้นเรียกทุกความสนใจ สตรีผู้ที่ก้าวเข้ามา ด้วยท่วงท่าสูงสง่า จะเป็นใครไปไม่ได้ หากมิใช่จ้าวฮูหยิน มารดาของท่านแม่ทัพจ้าวหมิงเยี่ย สายตาที่จ้าวฮูหยิน มองไปที่ต้วนชิงชิง มิได้ปกปิดความรู้สึกแม้แต่น้อย“จ้าวฮูหยินไยท่านมองข้าด้วยสายตาเยี่ยงนี้ เป็นผู้ใหญ่ไยมิรู้เมตตาต่อผู้น้อยบ้างเจ้าคะ อีกอย่างถ้าตอนนั้น ท่านเอ็นดูต่อข้าบ้าง ทุกอย่างคงไม่มาถึงจุดนี้เป็นแน่”ต้วนชิงชิงเอ่ยถาม พร้อมกับตำหนิจ้าวฮูหยินอยู่ในที ความชิงชังที่มี
“ข้าไม่เชื่อ!”น้ำเสียงที่หวีดร้องขึ้นอย่างลืมตัว ของต้วนชิงชิง ทำลายบรรยากาศแสนหวาน ของแม่ทัพหนุ่มกับคู่หมั้น อีกทั้งยังทำให้ทุกคน ที่กำลังเคลิ้มไปกับคู่รักเกี้ยวพากัน ต้องพลอยเสียอารมณ์ไปด้วยเลย“หากเจ้ารักเขาอยู่ ไยยังต้องแต่งแก่ข้าด้วยเล่า ชิงชิง!”เป็นอีกครั้งที่ต้วนชิงชิง รู้สึกเย็นวาบตลอดสันหลัง เมื่อเสียงอันคุ้นเคย ดังขึ้นจากด้านหน้าประตูร้าน สามีของนางนั่นเอง...“ทะ...ท่านพี่ ท่านมาที่นี่ทำไมกันเจ้าคะ”ต้วนชิงชิง เอ่ยถามสามีด้วยเสียงตะกุกตะกัก ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้ นางก็คือภรรยาของชูป๋อเจี้ยน ทั้งยังเป็นภรรยาเอกหนึ่งเดียว หากนางต้องถูกหย่าขาด ชีวิตหลังจากนี้คงยากจะมองหน้าผู้ใดได้“หากข้าไม่มา ก็คงตามืดบอดไปอีกนาน”ชูป๋อเจี้ยน เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เจ็บร้าวยิ่งนัก ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าภรรยานั้นเคยชอบพอในตัวของแม่ทัพจ้าว แต่เขาและนางก็อยู่ร่วมกันมาหลายปี ทายาทร่วมกันก็มีแล้ว แต่เขาไม่คิดว่าวันนี้ จะได้เห็นนางยังคงมีเยื่อใยต่ออดีตคนรัก ทั้งที่ตลอดหลายปี นางแสดงความชัดเจนมาโดยตลอด ว่ามิได้รู้สึกสิ่งใดต่อจ้าวหมิงเยี่ยแล้ว“ท่านพี่หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ ดวงตามืดบอดเยี่ยงนั้นรึ! ตรง
“ชูฮูหยิน เราไม่ได้โง่จนเชื่อในคำของเจ้าหรอกนะ เพราะพวกเราที่นี่ เข้าใจความหมายของคุณหนูหรงดี แต่เป็นเจ้าที่พยายามดึงดัน ให้เป็นความเกินเลย เจ้าควรกลับไปทบทวนตนเองให้ดี ว่าสมควรแล้วหรือ ที่คิดหักหน้าผู้อื่นอย่างไรมารยาทเยี่ยงนี้” เป็นหนึ่งในฮูหยินขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ที่เอ่ยขึ้นหลังจากจบคำพูดของท่านแม่ทัพจ้าวหมิงเยี่ย นางที่อยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น ไม่ได้แทรกแซง เพราะอยากรู้ว่าคุณหนูใหญ่สกุลหรง ที่มีข่าวลือไม่ดีมาก่อน จะแกไขสถานการณ์อย่างไร และดูเหมือนจะเหนือความคาดหมายไปมาก คุณหนูใหญ่หรงเหลียนฮวา นอกจากจะลากคนเยี่ยงต้วนชิงชิง ออกมาตบต่อหน้าทุกคน ด้วยคำพูดของผู้ได้รับการอบรมมาดี และความเยือกเย็นที่แสดงออก ล้วนไม่มีความหวั่นเกรงแฝงอยู่ นี่คือวิสัยของผู้นำทั้งสิ้น แต่น่าเสียดายแทนสกุลหรง ที่ไม่รักษาหยกเนื้อดีชิ้นนี้เอาไว้ กลับหย่าขาดภรรยา ทำให้บุตรชายหญิง จากอดีตภรรยาเอก กลายเป็นทายาทสกุลจาง ที่มากด้วยทรัพย์และอำนาจ แม้ข่าวเรื่องนี้ยังไม่แพร่ออกไป แต่มิเกินครึ่งวัน เรื่องที่ท่านเสนาบดีหรง หย่าภรรยาเอกก็คงสะพัดไปทั่วเมืองหลวง “ไยเจียงฮูหยิน จึงได้เห็นงามกับคำของหญิง ที่มีข่าวลือเสียหา
ต้วนชิงชิง ถึงกับใบหน้าชาหนึบ เมื่อถูกอีกฝ่ายตอบโต้ด้วยวาจาที่ฉะฉาน และไม่แสดงท่าทีเยี่ยงสตรีร้านตลาด เช่นที่นางทำไปเมื่อครู่เพราะความขุ่นเคือง ยิ่งเห็นสายตามากมาย มองนางอย่างตำหนิ มันยิ่งทำให้นางรู้สึกอับอาย เพราะนั่นเท่ากับว่านาง กำลังคิดช่วงชิงแม่ทัพจ้าว ทั้งที่ตนเองแต่งงานมีสามีแล้ว และหากขึ้นศาลจริง นางมีหรือจะมีชัย ที่สำคัญมันอาจส่งผลให้ชีวิตแต่งงานของนางระส่ำระสายได้เลย “เหลวไหล! ข้าไม่เคยทำเรื่องต่ำช้าเลย” ด้วยความสับสนและร้อนรนอยู่ภายในใจ ต้วนชิงชิงจึงปฏิเสธไป โดยมิได้ไตร่ตรองให้ดี ว่าความหมายในคำพูดของนางนั้น มันกำลังสื่อไปในทิศทางใด “เรื่องอะไรรึ! ที่เจ้าว่า...ต่ำช้า” จางเหลียนฮวาเลิกคิ้วสูง พร้อมถามกลับคล้ายไม่เข้าใจ ว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไร ทั้งที่นางเป็นตั้งใจปั่นให้ต้วนชิงชิง สับสนทั้งในความคิดและคำพูด “ขะ...ข้าไม่เคยทำตัวเยี่ยงสตรีแพศยา เหมือนเจ้า! ที่เป็นตอนอยู่บ้านนอกนั่น” “ข้าพูดแล้วรึ! ว่าเจ้าเป็นเช่นนั้น ไยข้าไม่เห็นรู้ ว่ากล่าวให้ร้ายเจ้าเช่นนั้นออกไป” จางเหลียนฮวา ย้อนถามกลับอีกครั้ง ด้วยแววตาใสซื่อราวกับนาง มิค่อยจะเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายสื่อ เหอะ! หาก







