"ท่านตา...ท่านช่วยเขาหรือเจ้าคะ"
"ใช่ ตาช่วยเขาเอง พ่อหนุ่มนี่นอนหมดสติตากฝนอยู่ผู้เดียว ดูเหมือนร่างกายได้รับพิษเสียด้วย อีกอย่างเขายังไม่ถึงคราวตาย"
"ท่านตาเจ้าคะ แต่เขาเป็น..." ฟู่ซูหนิงมิได้เอ่ยประโยคถัดไป นางก้มหน้างุดแทบหลั่งน้ำตา นิ้วโป้งสาละวนขึ้นลงพลางเหลือบมองผู้ป่วยบนเตียงด้วยอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เหตุใดข้าต้องโล่งอกด้วยนะ เฮ้อ..
"หนิงเอ๋อร์ เป็นอะไรของเจ้า"
ฟู่ซูหนิงยังคงก้มหน้าอยู่เช่นนั้น ต่อให้อธิบายไปก็คงไม่มีใครเชื่อ ว่าบุรุษผู้นี้เปรียบดั่งพญามัจจุราชที่กำลังเข้ามาช่วงชิงชีวิตอันแสนสงบสุขไปจากนางตลอดกาล เจ้าของร่างสูงเบื้องหน้าฟู่ซูหนิงยามนี้คือองค์ชาย'ฉืออิ้งเทียน'แห่งแคว้นซีฮัน อีกไม่นานเขาจะได้รับตำแหน่งชินอ๋องด้วยอายุเพียงสิบแปดปี
ชาติก่อนฉืออิ้งเทียนถูกลอบทำร้ายด้วยยาพิษเสียจนดวงตาใกล้มืดบอด ฉืออิ้งเทียนซัดเซพเนจรและได้บังเอิญผ่านมาถึงหุบเขาร้อยโอสถ ทั้งที่ด้านนอกมีค่ายกลขวางกั้นทว่าชายหนุ่มกลับข้ามผ่านเข้ามาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ดูเหมือนสวรรค์จงใจส่งองค์ชายผู้นี้เข้ามาเพื่อทดสอบชีวิตรักช้ำของฟู่ซูหนิง หลังจากช่วยเหลือเขาจนหายดี นานวันเข้าความรักระหว่างชายหญิงก็เริ่มก่อตัวขึ้น
ใครจะทันคาดคิดว่าฉืออิ้งเทียนนั้นมีคู่หมายที่มารดามาดมั่นให้เป็นชายาของเขาแต่เดิมอยู่แล้ว เพราะความดื้อดึงของฉืออิ้งเทียน ปรารถนาจะอภิเษกกับฟู่ซูหนิงเพื่อเป็นชายาเอกให้จงได้ จนกระทั่งฟู่ซูหนิงได้รับตำแหน่งชายาชินอ๋องในที่สุด
ทว่าโชคชะตาดันตลบหลังฟู่ซูหนิงได้อย่างแสบสัน แกล้งส่งบุรุษที่นางรักมาให้แต่มิอาจครองคู่กันอย่างสงบสุข แม่สามีรังเกียจชิงชังไม่พอ ฟู่ซูหนิงยังต้องก้มหน้ารับโทษทัณฑ์ที่ตนมิได้ก่อ
คนแรกที่นางนึกถึงในตอนนั้นก็มีเพียงเขาแต่ทว่าสวามีที่นางรักยิ่ง กลับทอดทิ้งฟู่ซูหนิงให้ตายเพียงลำพัง
ฟู่ซูหนิงถูกป้ายสีจนสิ้นไร้ไม้ตอก นางมิอาจแก้ต่างได้เลย จวบจนถูกตัดสินว่าเป็นกบฏ ก่อนตายฟู่ซูหนิงหมายได้มองเห็นหน้าเขาสักเสี้ยว แต่ยามนั้นสวามีนางมิได้ปรากฏกาย
ย้อนมาหนนี้ความรู้สึกเสียววูบวาบบริเวณหลังคอ ยามท่อนเหล็กคมกริบหวดสะบั้นลงจนศีรษะหลุดกระเด็น ยังคงหยั่งรากลงลึกภายในจิตใจมิเคยจางหาย
นี่น่ะหรือผู้ที่เอ่ยเสมอจะปกป้องนางยิ่งกว่าชีวิตตน คนที่มักกล่าวคำหวานว่ารักนางสุดหัวใจ วาจาบุรุษดุจดั่งผายลม คนหลอกลวง!
ฟู่ซูหนิงทอดถอนใจ ในเมื่อนางยังต้องช่วยเขา เช่นนั้นควรพลิกชะตาอย่าได้เผลอมีใจให้กันและกันอีก ไม่เช่นนั้นคงหลีกไม่พ้นบทสรุปเดิม
"เอาเถิดเจ้าค่ะ ท่านตาอยากช่วยเขาก็ช่วย แต่ข้าขอไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้นะเจ้าคะ" น้ำเสียงของนางอ่อนระโหย เฉกเช่นหมดอาลัยตายอยาก
"หนิงเอ๋อร์ กล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร เราเป็นหมอ เห็นคนใกล้ตาย เจ้าจะไม่ดูดำดูดีเขาหน่อยหรือ ตาเคยสอนเจ้าว่าอย่างไร"
ฟู่ซูหนิงแหงนหน้าขึ้นด้วยดวงตาแดงก่ำ นางพยายามกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ "เจ้าค่ะ หนิงเอ๋อร์ผิดไปแล้ว ต่อไปจะไม่เห็นแก่ตัวเช่นนี้อีก"
"สมุนไพรของเจ้า เปียกและบอบช้ำ ตาเลยขึ้นไปเก็บมาใหม่ หากพบเขาช้ากว่านี้ เกรงว่าพ่อหนุ่มนี่อาจไร้ลมหายใจไปแล้ว"
เหอะ...เขาตายไปได้ก็ดี ท่านตามิรู้หรือ เขาน่ะคือ มัจจุราชผู้พรากชีวิตหลานของท่าน
"เจ้าค่ะ" ฟู่ซูหนิงตอบกลับเสียงค่อย ขาเรียวเยื้องย่างจากไปราวหุ่นไม้ไร้ชีวิต นัยน์ตาดอกท้อปรายมองบุรุษซึ่งนอนเหยียดยาวบนแคร่ไม้ไผ่เล็กน้อย
หรือข้าไม่อาจหลีกชะตาหนีจากท่าน ยามนี้เราถือเป็นคนแปลกหน้าของกันและกัน ข้าควรทำเช่นไรดีนะ
ฟู่ซูหนิงขบคิดไปเรื่อยเปื่อยตลอดการก้าวย่าง นางจะพลิกชะตาแสนอนาถานี้อย่างไร คงไม่มีใครย้อนกลับมาแล้วทำเรื่องโง่งมซ้ำรอยเดิมจริงหรือไม่
"หนิงเอ๋อร์ ใจลอยไปถึงไหนเล่า รีบเข้าไปพักเถิด เมื่อครู่ทำเสียตกอกตกใจหมด เดี๋ยวยายจะไปดูพ่อหนุ่มนั่นเสียหน่อย"
ฟู่ซูหนิงหลุดจากภวังค์ "ท่านยายเจ้าคะ เขาถูกพิษร้าย ดวงตาของเขากำลังจะมืดบอด"
"เจ้ารู้ได้อย่างไร ท่านตาบอกเจ้าหรือ"
"เอ่อ เอ่อ..." ฟู่ซูหนิงอึกอัก ชาติก่อนเขารักษาตัวอยู่ที่หุบเขาร้อยโอสถหลายเดือน เป็นนางที่ดูแลเขาทุกอย่าง
ฟู่ซูหนิงตระหนักวุ่น กระทั่งยกมือยีเส้นผมจนแตกกระเซิง ความชั่วร้ายก็ผุดเข้ามาในมโนความคิด หากนางแสร้งรักษาเขาไม่หาย เส้นทางชีวิตบัดซบนี้จะเปลี่ยนหรือไม่ แต่ถ้านางทำเช่นนั้นก็เท่ากับกำลังกระทำผิดจรรยาบรรณความเป็นแพทย์อย่างถ่องแท้ ช่างเห็นแก่ตัวและขลาดเขลายิ่ง
นี่ข้าจะตัดใจจากเขาได้จริงหรือ เทพเจ้าจอมสับปลับ ข้าจะแก้หมากกระดานนี้ของท่านอย่างไร นี่น่ะหรือชะตาใหม่ที่มอบให้ข้า ข้าบอกว่าขอชีวิตที่แสนสงบสุข ขอความรักอันมั่นคง แล้วนี่อะไร ตายแล้วตายอีกอย่างกับเกมชีวิต บิดาท่านเถอะ!!
ฟู่หรงมองท่าทีขบคิดของหลานสาวก็ชวนประหลาดใจ ดูเหมือนฟู่ซูหนิงคงยังไม่ส่างจากอาการป่วยไข้ "เอาล่ะ ๆ หนิงเอ๋อร์ ยายไม่เซ้าซี้แล้ว เจ้าไปพักก่อนเถิด อีกสักหน่อยจึงออกมายืดเส้นยืดสายแล้วกัน นอนมากไปก็จะยิ่งซม ไม่สบายตัวเอาได้"
ฟู่ซูหนิงหลุดจากภวังค์ ขานรับเสียงแผ่ว "เจ้าค่ะท่านยาย"
ฟู่ซูหนิงลากสังขารอ่อนระโหยโรยแรงเข้าไปด้านใน ฟู่หรงมองตามแผ่นหลังหลานสาวก็พานห่วงใย ตั้งแต่ฟู่ซูหนิงฟื้นจากพิษไข้ นางก็เอาแต่ทำตัวประหลาด
ร่างระหงเอนกายลงบนแคร่ไม้ไผ่ซึ่งมีฟูกนอนหอมสะอาดปูรองเอาไว้ ท่านยายของนางเป็นคนรักสะอาดอย่างมาก กระทั่งที่หลับนอนก็ถูกซักล้างจนดูใหม่เอี่ยมอยู่เสมอ แขนเรียวยกขึ้นก่ายหน้าผาก นัยน์ตาดอกท้อเลื่อนลอยมองเพดานแทบไม่กะพริบ คิดอย่างไรก็คิดไม่ตก การกลับไปสู่วงจรอุบาทว์เดิมล้วนไม่เป็นผลดีอย่างแน่นอน
จู่ ๆ ฟู่ซูหนิงก็ดีดกายผึง ริมฝีปากสีกุหลาบยกโค้งบางเบา "ข้าคิดออกแล้ว"
ฟู่ซูหนิงผุดลุกขึ้นอีกครั้ง นางไม่อาจข่มตาให้หลับได้แล้วหากฉืออิ้งเทียนยังอยู่ที่นี่ เมื่อจัดแจงเสื้อผ้าเรียบร้อย ฟู่ซูหนิงก็หอบตนเองมายืนจังก้าที่หน้าเตียงผู้ป่วย
เมืองเป่ยเหลียนและเมืองเทียนหลันเป็นเมืองที่ห่างกันเพียงแม่น้ำกั้น หลังจากฉืออิ้งเทียนเข้ารับตำแหน่งเจ้าเมืองเป่ยเหลียนจึงมีการหารือกับเหออ๋องและเหอหยางซื่อจื่อพร้อมส่งเรื่องรายงานไปยังเมืองหลวง เพื่อจัดแจงการก่อสร้างสะพานเชื่อมไมตรีระหว่างสองเมือง และให้นามว่าสะพานไฉ่หง [1] อีกทั้งสองฟากฝั่งยังเป็นแหล่งการค้าที่อุดมสมบูรณ์สะพานจึงถูกสร้างขึ้นด้วยความประณีตและงดงาม ราษฎรทั้งสองเมืองล้วนแช่มชื่นและเบิกบานที่การเดินทางสัญจรนั้นสะดวกมากขึ้น แม้การสร้างสะพานใช้เวลานานถึงสามปีแต่ทุกอย่างกลับคุ้มค่าเป็นที่สุดค่ำคืนนี้คือเทศกาลโคมไฟ จึงมีการจัดงาน ณ สะพานไฉ่หงเป็นครั้งแรก"ท่านพี่เพคะ อาภรณ์ตัวนี้งามหรือไม่"ริมฝีปากได้รูปยกโค้งอบอุ่น ฉืออิ้งเทียนมองสีหน้าฟู่ซูหนิงซึ่งประดับไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข"ไม่ว่าเจ้าสวมชุดไหนก็งามที่สุด ไม่สวมยิ่งงดงาม""ท่านพี่ นี่พระองค์ทำไมจึงพูดจาไร้ยางอายยิ่งนัก"ฉืออิ้งเทียนอมยิ้ม ชายหนุ่มลุกยืนเต็มความสูง จากนั้นเยื้
ฟู่ซูหนิงตัวแข็งค้างดั่งดินปั้นไม้แกะสลัก เมื่อลมหายใจอุ่น ๆ เป่าปะทะบริเวณลำคอและปรางแก้มของตน แขนแกร่งดุจคีมเหล็กรวบเอวของนางพลันกระชับด้วยใจคะนึงหา"หนิงเอ๋อร์ เจ้าเลิกผลักไสข้าเสียที ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน ชายาของข้า"ฟู่ซูหนิงหนาวยะเยือกไปทั่วสรรพางค์ กระบอกตาสองข้างร้อนรื้นแดงก่ำ เสียงใสสั่นเครือ "ทะ...ท่านอ๋อง เหตุใดเป็นท่าน""หนิงเอ๋อร์ เจ้าให้โอกาสข้าได้ดูแลเจ้าอีกครั้งมิได้เชียวหรือ เรื่องในตอนนั้นเป็นข้าที่ผิด เป็นข้าเพียงคนเดียวไม่อาจดูแลเจ้าได้"น้ำสีใสหลั่งลงตรงหางตาเมื่อนางรับรู้ว่ายามนี้เขาเองก็เจ็บปวดไม่ต่างจากนาง "ท่านอ๋อง ท่านรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร""ครึ่งปีมานี้ข้าติดอยู่ในวังวนมายาแห่งหนึ่ง ข้าฝันเห็นเจ้าต้องทนทุกข์ทรมานซ้ำแล้วซ้ำเล่า ข้ามิอาจช่วยเหลือเจ้าได้ ข้าเป็นสามีที่ไร้สามารถเอง หนิงเอ๋อร์ เจ้าจะเกลียดข้า โกรธข้าก็ได้ แต่เจ้าอย่าไปจากข้าอีกได้หรือไม่"ฟู่ซูหนิงใจเต้นโครมครามหูของนางอื้ออึงไปหมด ภาพในวันนั้นที่เขาวิ่งเข้ามาตระกองกอดนาง ฟู่ซูหนิงเองก็ฝันในทุก ๆ คืน เขาไม่เคยทิ้งนางเลย วันนั้นเขากลับ
ร่างระหงเยื้องย่างเข้าสู่ด้านในห้องพักส่วนตัวของเจ้าเมืองเป่ยเหลียน นัยน์ตาดอกท้อกวาดมองโดยรอบก็รู้สึกใจเต้นครึกโครมด้วยความประหวั่น รูปแบบการตกแต่งภายในห้องเหตุใดจึงคล้ายกับห้องหอของนางและเขาในชาติก่อน"นี่เป็นการตบแต่งแบบใดกัน ยังมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้อยู่อีกหรือ" ฟู่ซูหนิงกระซิบกับตนเองเสียงแผ่ว"ท่านหมอ มาแล้วหรือ"ฟู่ซูหนิงสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงทุ้มดังลอดออกจากม่านผืนโปร่งบริเวณเตียงนอน แม้น้ำเสียงที่เปล่งออกมาดูแหบแห้ง ทว่ากลับให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด"ท่านเจ้าเมือง" ฟู่ซูหนิงยอบกายลง นางทราบมาจากเหอหยางว่าท่านเจ้าเมืองคนนี้เพิ่งมาประจำการใหม่ และเขายังพ่วงตำแหน่งอ๋องเฉกเช่นบิดาของเหอหยางฟู่ซูหนิงได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วผ่านลำคอของอีกฝ่าย ส่งผลให้หัวใจของนางเต้นโครมคราม"ขออภัย ทำให้ท่านหมอตกใจแล้ว""เปล่าเลยเพคะ เป็นหม่อมฉันที่ใจลอยเอง""ใจลอยงั้นหรือ กำลังคิดถึงผู้ใดเล่า""เอ่อ..."ยังไม่ทันได้รับคำตอบ เขาก็ถามนางขึ้นอีก "ท่านหมอชอบห้องนี้
และรถม้าก็วนกลับมาที่โรงหมอของฟู่ซูหนิงอีกครั้งเสี่ยวไป๋เอ่ยขึ้น "อ้าว ซื่อจื่อเพิ่งออกไปไม่ใช่หรือขอรับ ไยจึงกลับมาอีกเล่า หรือว่าลืมของ"ฟู่ซูหนิงมองตามสายตาของเสี่ยวไป๋ สหายของนางหัวรั้นใช้ได้ เหตุใดคนที่อยู่รอบกายต้องมีแต่พวกเอาแต่ใจกันนะ จะว่าไปแล้วนางก็คงเอาแต่ใจไม่ต่างจากพวกเขา มิน่าเล่าเขาถึงบอก โลกจะเหวี่ยงคนประเภทเดียวกันให้มาพบกัน ช่างน่าปวดหัวจริงเชียว"ซื่อจื่อ ท่านมีเรื่องใดอีกหรือ""หนิงเอ๋อร์ ข้าขอถามเจ้าว่ายังอยากรักษาโรงหมอแห่งนี้ไว้หรือไม่""แน่นอนเจ้าค่ะ""แต่เจ้าค้างค่าเช่ามานานมากแล้ว หุบเขาร้อยโอสถเจ้าก็ยังไม่อยากกลับ"แววตาคู่งามระริกไหว "ข้ารู้ ข้ากำลังพยายามหาวิธีอยู่เจ้าค่ะ""หากข้ามีวิธีให้เจ้า โดยที่ข้าไม่ได้ควักเงินของตน หรือเป็นเรื่องผิดศีลธรรมใด เจ้าจะยินยอมทำหรือไม่"ฟู่ซูหนิงหยุดมือที่ง่วนกับเทียบยาลง "ซื่อจื่อ ท่านไม่เคยจริงจังเช่นนี้มาก่อน มีอะไรก็ว่ามาเถิดเจ้าค่ะ""เจ้ายังจำเมืองเป่ยเหลียนได้หรือไม่"ริมฝีปากสีกุหลาบขยับเอ่ย "เมืองเป่ยเหลียนงั้นหรือ" ฟู่ซูหนิงครุ่นคิดคร
ณ ตำหนักฮ่องเต้"อิ้งเทียนเจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าต้องการเช่นนี้""พ่ะย่ะค่ะ ลูกแน่ใจ"ฮ่องเต้ฉือเจียฉีถอนหายใจแผ่ว "เจ้าต้องการไปเช่นนี้เสด็จแม่ของเจ้าเล่า ยินยอมงั้นหรือ""เรื่องนี้เสด็จแม่ทรงทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ ลูกจากไปเพียงกาย ใช่ว่ามิอาจหวนกลับมาเยี่ยมเยียน เสด็จพ่อโปรดอนุญาตด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ""ได้ เช่นนั้นก็ตามแต่ใจเจ้า"ฉืออิ้งเทียนเดินทางจากเมืองหลวงภายในวันที่ตนฟื้นขึ้นด้วยความเร่งร้อนฮ่องเต้หมายปูนบำเหน็จให้เขาหลังจากได้สติทว่าสิ่งที่ฉืออิ้งเทียนต้องการ กลับเป็นสิ่งที่ผู้เป็นบิดาล้วนลำบากใจยิ่ง แต่ในเมื่อเป็นเรื่องของหัวใจผู้ใดก็มิอาจบังคับ ราชโองการนี้จึงนับว่าสมควรแล้วกระมังอีกคนพยายามวิ่งหนีไม่ลืมหูลืมตาส่วนอีกคนพยายามไล่ตามอย่างไม่ย่อหย่อน ความรักหนุ่มสาวช่างยากแท้หยั่งถึงเหลือเกินเติ้งเหวยค้อมศีรษะ "ท่านอ๋อง ที่หุบเขาร้อยโอสถไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่เลยพ่ะย่ะค่ะ เกรงว่าท่านหมอคงมิได้กลับมาที่นี่"คิ้วเข้มขมวดมุ่น "นางจะไปที่ใดได้"
จู่ ๆ ฟู่ซูหนิงก็ถูกควบคุมตัวให้คุกเข่าลง "นี่เรื่องใดกัน อยู่ ๆ ก็มาจับกุมข้า อยากหัวขาดงั้นรึ"บุรุษผู้หนึ่งย่างกรายมาเบื้องหน้าของนาง พร้อมย่ามสุดรักในมือ เขาชูของสิ่งนั้นขึ้น ครั้นเห็นกระจะตาว่าเป็นผู้ใดนางก็เบิกตากว้าง"หมอชุย!"ชุยว่านเหวินเหยียดยิ้ม "พระชายา นี่ของท่านใช่หรือไม่"ฟู่ซูหนิงเมียงมองครู่หนึ่ง "ของข้า แล้วไปอยู่กับเจ้าได้อย่างไร""เป็นชายาชินอ๋องไม่ผิดแน่ นางสารภาพแล้วว่าคือของนาง"คิ้วสวยขมวดฉับ "หมายความว่าอย่างไร""พระชายา ท่านแสร้งทำตาใสเรื่องใดงั้นหรือ ลอบวางยาพิษฝ่าบาทรู้หรือไม่ว่ามีโทษสถานใด""ลอบวางยาพิษ! ไร้หลักฐานไยคิดปรักปรำข้า อีกอย่างข้าเป็นชายาชินอ๋อง ควบคุมตัวข้าทั้งที่ยังไม่ไต่สวน ทำเช่นนี้นับว่าถูกต้องแล้วรึ หากชินอ๋องรู้เข้า อย่าหมายว่าศีรษะของเจ้าจะยังอยู่บนบ่า"เสียงทุ้มหัวเราะร่วน "พระชายา หลักฐานคาตา ทุกคนก็เห็นกันหมด และนี่..." เขาเทของออกจากย่ามใบโปรดของฟู่ซูหนิง ยาพิษหลากชนิดร่วงกราวดั่งใบไม้แห้ง "ของพวกนี้ ยาพิษใช่หรือไม่""ก็ใช่ แต่นั่นข้าเอาไว้ศึกษาทดลอง และย่ามของข้