ฟู่หรง "อ้าว หนิงเอ๋อร์ ไม่พักหรือ ออกมาทำไมเล่า"
ฟู่ซูหนิงส่ายศีรษะ "ท่านยายเจ้าคะ ให้ข้าเป็นคนรักษาเขาได้หรือไม่"
ประจวบเหมาะกับที่ต่งควนเดินเข้ามา "ไหนเจ้าบอกจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไรเล่า"
จริงดังว่า นางไม่อยากข้องเกี่ยวกับเขาสักเสี้ยว ทว่าฟู่ซูหนิงประสงค์ให้ฉืออิ้งเทียนออกจากหุบเขาร้อยโอสถโดยเร็วต่างหาก โอกาสครั้งนี้ฟู่ซูหนิงขอเลือกเป็นหมอหญิงไร้สามารถ มิขออาจเอื้อมก้าวเข้าสู่รั่ววังชั่วชีวิต
"ท่านตาสอนข้าเอง ยามเมื่อเราเห็นคนลำบากก็ต้องรู้จักยื่นมือเข้าช่วยเหลือมิใช่หรือเจ้าคะ อีกอย่างข้าจะได้พัฒนาฝีมือการแพทย์ของตนเองด้วยเจ้าค่ะ"
ฟู่หรงอมยิ้ม มือเหี่ยวย่นลูบไล้เส้นผมสีดำขลับของหลานด้วยความเอ็นดูยิ่ง "ในที่สุดหลานยายก็โตเสียที"
ฟู่ซูหนิงยิ้มแฉ่ง ทว่าภายในใจช่างฝืดฝืนเหลือทน "ท่านตาท่านยายสอนมาดีอย่างไรเจ้าคะ"
"หนาว หนาวเหลือเกิน อย่าทิ้งข้าไป..." เสียงทุ้มแหบพร่าสั่นเครือดังขึ้นตัดบทสนทนา
"ท่านตา ข้าดูแลเขาเองเจ้าค่ะ"
ชายชราชะงักฝีเท้าลง "แน่ใจหรือ"
ฟู่ซูหนิงพยักหน้าหงึกหงัก "เจ้าค่ะ ท่านอย่าลืมว่าหลานของท่านอัจฉริยะเชียวนะเจ้าคะ ท่านลืมแล้วหรือ ว่าข้าท่องตำราการแพทย์ได้ทั้งหมดตั้งแต่อายุเพียงหกขวบ"
ฟู่หรงหัวเราะร่วนกับท่าทีคุยโวโอ้อวดของหลานสาว จากนั้นเหลียวมองผู้เป็นสามี "เอาเถิด ท่านปล่อยให้หลานดูแลเขาดีแล้ว วันนี้กระดิ่งดังไม่หยุดหย่อน คงมีชาวบ้านแวะมาขอความช่วยเหลือเยอะเลย เราออกไปดูเสียหน่อยเถิด"
ต่งควนพยักหน้าด้วยความเข้าใจ สองตายายผละจากไปแล้ว เขาไว้ใจฝีมือการแพทย์ของฟู่ซูหนิงเสมอ นางไม่เคยทำพลาดแม้เพียงครั้งเดียว
ฟู่ซูหนิงมองตามแผ่นหลังสองตายายจนลับสายตา ร่างระหงยอบกายนั่งเก้าอี้ข้างแคร่ไม้ไผ่ นัยน์ตาดอกท้อจดจ้องริมฝีปากซีดขาวซึ่งยังขยับเอ่ยคำว่าหนาว และอย่าทิ้งข้าไป ดุจติดอยู่ในวังวนใดสักอย่าง
ฟู่ซูหนิงระบายลมหายใจอ่อน "เอาล่ะ ข้าจะช่วยเหลือท่านแค่เพียงหนนี้ หลังจากนั้นต่างคนต่างไป อย่าได้หวนมาพบกันอีกเลย อิ้งเทียน"
ฟู่ซูหนิงจับจุดชีพจรบนข้อมือแกร่ง ฉืออิ้งเทียนต้องพิษชนิดเดิมไม่แปรเปลี่ยน เรื่องวางยาพิษในชาติก่อนมิทันคลี่คลาย นางก็ต้องตายจากมาอย่างน่าอนาถ
"อิ้งเทียน นะอิ้งเทียน ท่านไปสร้างศัตรูที่ใดมาบ้างเล่า เหลือเชื่อจริง ๆ รู้จักท่านก็เปรียบดั่งก้าวเท้าลงสู่แดนอเวจีดี ๆ นี่เอง"
"นะ...น้ำ น้ำ"
ฟู่ซูหนิงหยิบป้านชาขึ้น จากนั้นรินชาหอมกรุ่นลงไปยังถ้วยใบเล็ก นางประคองร่างกำยำไว้บนอ้อมแขน จากนั้นป้อนชาอุ่น ๆ ให้อีกฝ่ายเพื่อดับกระหาย
แค่ก แค่ก
"ท่านใจเย็น ๆ ค่อย ๆ ดื่ม"
ฉืออิ้งเทียนเริ่มมีสติรับรู้ ชายหนุ่มเปิดปรือเปลือกตาขึ้นแช่มช้า ทว่าภาพเบื้องหน้าเลือนรางจนนับว่าเกือบมืดสนิท "จะ...เจ้าเป็นใคร"
"ข้าเป็นใครไม่สำคัญ ยามนี้ท่านได้รับพิษซึ่งแทบเรียกว่าไร้ยาถอน แต่ท่านก็ช่างดวงแข็งเสียจริง หลงเข้ามาได้ถึงหุบเขาร้อยโอสถ ข้ามหมอกพิษมาได้คงเพราะพิษที่อยู่ในกายของท่านกระมัง"
คิ้วเข้มขมวดมุ่นแทบผูกเป็นปม "หุบเขาร้อยโอสถ?"
ฟู่ซูหนิงปิดปากฉับ
"อ้อ... ไม่มีอะไร ท่านตาของข้าพบท่านบริเวณพงหญ้าท้ายหุบเขา ท่านจำได้หรือไม่ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น"
"ข้าจำได้เพียงเลือนราง แต่ยามนี้ข้ามองไม่เห็นอะไรเลย หรือว่าข้ากำลังจะตาบอดงั้นหรือ"
"อืม...ใช่กระมังเจ้าคะ"
ฉืออิ้งเทียนตะลึงงัน เขาต้องกลายเป็นองค์ชายตาบอดจริงหรือนี่
ฟู่ซูหนิงเหลือบมองท่าทีนิ่งค้างของเขา จึงเอ่ยขึ้น "ท่านไม่ต้องกังวล ในเมื่อท่านตาของข้าช่วยเหลือท่านแล้ว ย่อมไม่ปล่อยให้ท่านตาบอดอย่างแน่นอน"
"ขอบคุณท่านตา และขอบคุณเจ้า ไม่ทราบแม่นางชื่อเสียงเรียงนามใด"
"ท่านและข้า ไม่ต้องรู้จักกันจะดีกว่า เอาเป็นว่าเมื่อร่างกายของท่านแข็งแรงข้าจะเขียนจดหมายให้องครักษ์ของท่านมารับ"
คิ้วเข้มเลิกขึ้นด้วยความฉงน นางทราบได้อย่างไรว่าเขามีองครักษ์ "แม่นาง เจ้าบอกว่าองครักษ์งั้นหรือ เจ้าทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร"
ฟู่ซูหนิงกระแอมเบา "อ่า...ข้าเดาจากอาภรณ์บนกายของท่าน ช่างดูมีราคาเสียนี่ปะไร ข้าคงคิดไม่ผิดว่าท่านอาจเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์ หรือไม่ก็อาจเป็นองค์ชายก็ได้ผู้ใดจะรู้ ท่านว่าข้าพูดถูกหรือไม่เจ้าคะ"
ริมฝีปากซีดขาวกระตุกแผ่ว แม้เขามองไม่เห็นใบหน้าของนาง ทว่าสตรีผู้นี้กลับทำให้เขาบังเกิดความสนใจยิ่งนัก "เจ้าช่างเก่งจริงแท้ กระทั่งมองคนปราดเดียวก็ล่วงรู้สถานะอันแท้จริงของคนผู้นั้น ถ้าข้าบอกว่าข้าเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา เจ้าจะเชื่อหรือไม่"
เชื่อก็โง่คนลวงโลก ท่านยังจะเสแสร้งไม่เลิกอีก
"เอาล่ะ เช่นนั้นข้าจะเรียกท่านคุณชายแล้วกันเจ้าค่ะ"
"อิ้งเทียน นามของข้า ฉืออิ้งเทียน"
ชิ! ใครอยากรู้กัน
"เจ้าค่ะ คุณชายฉือ"
ชายหนุ่มส่ายศีรษะ "เจ้าเรียกข้าว่า อิ้งเทียนก็พอ"
หน็อย...มากความนัก นามของท่านวิเศษวิโสมากรึ
"เจ้าค่ะ คุณชาย อิ้ง เทียน"
เมืองเป่ยเหลียนและเมืองเทียนหลันเป็นเมืองที่ห่างกันเพียงแม่น้ำกั้น หลังจากฉืออิ้งเทียนเข้ารับตำแหน่งเจ้าเมืองเป่ยเหลียนจึงมีการหารือกับเหออ๋องและเหอหยางซื่อจื่อพร้อมส่งเรื่องรายงานไปยังเมืองหลวง เพื่อจัดแจงการก่อสร้างสะพานเชื่อมไมตรีระหว่างสองเมือง และให้นามว่าสะพานไฉ่หง [1] อีกทั้งสองฟากฝั่งยังเป็นแหล่งการค้าที่อุดมสมบูรณ์สะพานจึงถูกสร้างขึ้นด้วยความประณีตและงดงาม ราษฎรทั้งสองเมืองล้วนแช่มชื่นและเบิกบานที่การเดินทางสัญจรนั้นสะดวกมากขึ้น แม้การสร้างสะพานใช้เวลานานถึงสามปีแต่ทุกอย่างกลับคุ้มค่าเป็นที่สุดค่ำคืนนี้คือเทศกาลโคมไฟ จึงมีการจัดงาน ณ สะพานไฉ่หงเป็นครั้งแรก"ท่านพี่เพคะ อาภรณ์ตัวนี้งามหรือไม่"ริมฝีปากได้รูปยกโค้งอบอุ่น ฉืออิ้งเทียนมองสีหน้าฟู่ซูหนิงซึ่งประดับไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข"ไม่ว่าเจ้าสวมชุดไหนก็งามที่สุด ไม่สวมยิ่งงดงาม""ท่านพี่ นี่พระองค์ทำไมจึงพูดจาไร้ยางอายยิ่งนัก"ฉืออิ้งเทียนอมยิ้ม ชายหนุ่มลุกยืนเต็มความสูง จากนั้นเยื้
ฟู่ซูหนิงตัวแข็งค้างดั่งดินปั้นไม้แกะสลัก เมื่อลมหายใจอุ่น ๆ เป่าปะทะบริเวณลำคอและปรางแก้มของตน แขนแกร่งดุจคีมเหล็กรวบเอวของนางพลันกระชับด้วยใจคะนึงหา"หนิงเอ๋อร์ เจ้าเลิกผลักไสข้าเสียที ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน ชายาของข้า"ฟู่ซูหนิงหนาวยะเยือกไปทั่วสรรพางค์ กระบอกตาสองข้างร้อนรื้นแดงก่ำ เสียงใสสั่นเครือ "ทะ...ท่านอ๋อง เหตุใดเป็นท่าน""หนิงเอ๋อร์ เจ้าให้โอกาสข้าได้ดูแลเจ้าอีกครั้งมิได้เชียวหรือ เรื่องในตอนนั้นเป็นข้าที่ผิด เป็นข้าเพียงคนเดียวไม่อาจดูแลเจ้าได้"น้ำสีใสหลั่งลงตรงหางตาเมื่อนางรับรู้ว่ายามนี้เขาเองก็เจ็บปวดไม่ต่างจากนาง "ท่านอ๋อง ท่านรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร""ครึ่งปีมานี้ข้าติดอยู่ในวังวนมายาแห่งหนึ่ง ข้าฝันเห็นเจ้าต้องทนทุกข์ทรมานซ้ำแล้วซ้ำเล่า ข้ามิอาจช่วยเหลือเจ้าได้ ข้าเป็นสามีที่ไร้สามารถเอง หนิงเอ๋อร์ เจ้าจะเกลียดข้า โกรธข้าก็ได้ แต่เจ้าอย่าไปจากข้าอีกได้หรือไม่"ฟู่ซูหนิงใจเต้นโครมครามหูของนางอื้ออึงไปหมด ภาพในวันนั้นที่เขาวิ่งเข้ามาตระกองกอดนาง ฟู่ซูหนิงเองก็ฝันในทุก ๆ คืน เขาไม่เคยทิ้งนางเลย วันนั้นเขากลับ
ร่างระหงเยื้องย่างเข้าสู่ด้านในห้องพักส่วนตัวของเจ้าเมืองเป่ยเหลียน นัยน์ตาดอกท้อกวาดมองโดยรอบก็รู้สึกใจเต้นครึกโครมด้วยความประหวั่น รูปแบบการตกแต่งภายในห้องเหตุใดจึงคล้ายกับห้องหอของนางและเขาในชาติก่อน"นี่เป็นการตบแต่งแบบใดกัน ยังมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้อยู่อีกหรือ" ฟู่ซูหนิงกระซิบกับตนเองเสียงแผ่ว"ท่านหมอ มาแล้วหรือ"ฟู่ซูหนิงสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงทุ้มดังลอดออกจากม่านผืนโปร่งบริเวณเตียงนอน แม้น้ำเสียงที่เปล่งออกมาดูแหบแห้ง ทว่ากลับให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด"ท่านเจ้าเมือง" ฟู่ซูหนิงยอบกายลง นางทราบมาจากเหอหยางว่าท่านเจ้าเมืองคนนี้เพิ่งมาประจำการใหม่ และเขายังพ่วงตำแหน่งอ๋องเฉกเช่นบิดาของเหอหยางฟู่ซูหนิงได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วผ่านลำคอของอีกฝ่าย ส่งผลให้หัวใจของนางเต้นโครมคราม"ขออภัย ทำให้ท่านหมอตกใจแล้ว""เปล่าเลยเพคะ เป็นหม่อมฉันที่ใจลอยเอง""ใจลอยงั้นหรือ กำลังคิดถึงผู้ใดเล่า""เอ่อ..."ยังไม่ทันได้รับคำตอบ เขาก็ถามนางขึ้นอีก "ท่านหมอชอบห้องนี้
และรถม้าก็วนกลับมาที่โรงหมอของฟู่ซูหนิงอีกครั้งเสี่ยวไป๋เอ่ยขึ้น "อ้าว ซื่อจื่อเพิ่งออกไปไม่ใช่หรือขอรับ ไยจึงกลับมาอีกเล่า หรือว่าลืมของ"ฟู่ซูหนิงมองตามสายตาของเสี่ยวไป๋ สหายของนางหัวรั้นใช้ได้ เหตุใดคนที่อยู่รอบกายต้องมีแต่พวกเอาแต่ใจกันนะ จะว่าไปแล้วนางก็คงเอาแต่ใจไม่ต่างจากพวกเขา มิน่าเล่าเขาถึงบอก โลกจะเหวี่ยงคนประเภทเดียวกันให้มาพบกัน ช่างน่าปวดหัวจริงเชียว"ซื่อจื่อ ท่านมีเรื่องใดอีกหรือ""หนิงเอ๋อร์ ข้าขอถามเจ้าว่ายังอยากรักษาโรงหมอแห่งนี้ไว้หรือไม่""แน่นอนเจ้าค่ะ""แต่เจ้าค้างค่าเช่ามานานมากแล้ว หุบเขาร้อยโอสถเจ้าก็ยังไม่อยากกลับ"แววตาคู่งามระริกไหว "ข้ารู้ ข้ากำลังพยายามหาวิธีอยู่เจ้าค่ะ""หากข้ามีวิธีให้เจ้า โดยที่ข้าไม่ได้ควักเงินของตน หรือเป็นเรื่องผิดศีลธรรมใด เจ้าจะยินยอมทำหรือไม่"ฟู่ซูหนิงหยุดมือที่ง่วนกับเทียบยาลง "ซื่อจื่อ ท่านไม่เคยจริงจังเช่นนี้มาก่อน มีอะไรก็ว่ามาเถิดเจ้าค่ะ""เจ้ายังจำเมืองเป่ยเหลียนได้หรือไม่"ริมฝีปากสีกุหลาบขยับเอ่ย "เมืองเป่ยเหลียนงั้นหรือ" ฟู่ซูหนิงครุ่นคิดคร
ณ ตำหนักฮ่องเต้"อิ้งเทียนเจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าต้องการเช่นนี้""พ่ะย่ะค่ะ ลูกแน่ใจ"ฮ่องเต้ฉือเจียฉีถอนหายใจแผ่ว "เจ้าต้องการไปเช่นนี้เสด็จแม่ของเจ้าเล่า ยินยอมงั้นหรือ""เรื่องนี้เสด็จแม่ทรงทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ ลูกจากไปเพียงกาย ใช่ว่ามิอาจหวนกลับมาเยี่ยมเยียน เสด็จพ่อโปรดอนุญาตด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ""ได้ เช่นนั้นก็ตามแต่ใจเจ้า"ฉืออิ้งเทียนเดินทางจากเมืองหลวงภายในวันที่ตนฟื้นขึ้นด้วยความเร่งร้อนฮ่องเต้หมายปูนบำเหน็จให้เขาหลังจากได้สติทว่าสิ่งที่ฉืออิ้งเทียนต้องการ กลับเป็นสิ่งที่ผู้เป็นบิดาล้วนลำบากใจยิ่ง แต่ในเมื่อเป็นเรื่องของหัวใจผู้ใดก็มิอาจบังคับ ราชโองการนี้จึงนับว่าสมควรแล้วกระมังอีกคนพยายามวิ่งหนีไม่ลืมหูลืมตาส่วนอีกคนพยายามไล่ตามอย่างไม่ย่อหย่อน ความรักหนุ่มสาวช่างยากแท้หยั่งถึงเหลือเกินเติ้งเหวยค้อมศีรษะ "ท่านอ๋อง ที่หุบเขาร้อยโอสถไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่เลยพ่ะย่ะค่ะ เกรงว่าท่านหมอคงมิได้กลับมาที่นี่"คิ้วเข้มขมวดมุ่น "นางจะไปที่ใดได้"
จู่ ๆ ฟู่ซูหนิงก็ถูกควบคุมตัวให้คุกเข่าลง "นี่เรื่องใดกัน อยู่ ๆ ก็มาจับกุมข้า อยากหัวขาดงั้นรึ"บุรุษผู้หนึ่งย่างกรายมาเบื้องหน้าของนาง พร้อมย่ามสุดรักในมือ เขาชูของสิ่งนั้นขึ้น ครั้นเห็นกระจะตาว่าเป็นผู้ใดนางก็เบิกตากว้าง"หมอชุย!"ชุยว่านเหวินเหยียดยิ้ม "พระชายา นี่ของท่านใช่หรือไม่"ฟู่ซูหนิงเมียงมองครู่หนึ่ง "ของข้า แล้วไปอยู่กับเจ้าได้อย่างไร""เป็นชายาชินอ๋องไม่ผิดแน่ นางสารภาพแล้วว่าคือของนาง"คิ้วสวยขมวดฉับ "หมายความว่าอย่างไร""พระชายา ท่านแสร้งทำตาใสเรื่องใดงั้นหรือ ลอบวางยาพิษฝ่าบาทรู้หรือไม่ว่ามีโทษสถานใด""ลอบวางยาพิษ! ไร้หลักฐานไยคิดปรักปรำข้า อีกอย่างข้าเป็นชายาชินอ๋อง ควบคุมตัวข้าทั้งที่ยังไม่ไต่สวน ทำเช่นนี้นับว่าถูกต้องแล้วรึ หากชินอ๋องรู้เข้า อย่าหมายว่าศีรษะของเจ้าจะยังอยู่บนบ่า"เสียงทุ้มหัวเราะร่วน "พระชายา หลักฐานคาตา ทุกคนก็เห็นกันหมด และนี่..." เขาเทของออกจากย่ามใบโปรดของฟู่ซูหนิง ยาพิษหลากชนิดร่วงกราวดั่งใบไม้แห้ง "ของพวกนี้ ยาพิษใช่หรือไม่""ก็ใช่ แต่นั่นข้าเอาไว้ศึกษาทดลอง และย่ามของข้