จู่ ๆ ฟู่ซูหนิงก็ถูกควบคุมตัวให้คุกเข่าลง "นี่เรื่องใดกัน อยู่ ๆ ก็มาจับกุมข้า อยากหัวขาดงั้นรึ"
บุรุษผู้หนึ่งย่างกรายมาเบื้องหน้าของนาง พร้อมย่ามสุดรักในมือ เขาชูของสิ่งนั้นขึ้น ครั้นเห็นกระจะตาว่าเป็นผู้ใดนางก็เบิกตากว้าง
"หมอชุย!"
ชุยว่านเหวินเหยียดยิ้ม "พระชายา นี่ของท่านใช่หรือไม่"
ฟู่ซูหนิงเมียงมองครู่หนึ่ง "ของข้า แล้วไปอยู่กับเจ้าได้อย่างไร"
"เป็นชายาชินอ๋องไม่ผิดแน่ นางสารภาพแล้วว่าคือของนาง"
คิ้วสวยขมวดฉับ "หมายความว่าอย่างไร"
"พระชายา ท่านแสร้งทำตาใสเรื่องใดงั้นหรือ ลอบวางยาพิษฝ่าบาทรู้หรือไม่ว่ามีโทษสถานใด"
"ลอบวางยาพิษ! ไร้หลักฐานไยคิดปรักปรำข้า อีกอย่างข้าเป็นชายาชินอ๋อง ควบคุมตัวข้าทั้งที่ยังไม่ไต่สวน ทำเช่นนี้นับว่าถูกต้องแล้วรึ หากชินอ๋องรู้เข้า อย่าหมายว่าศีรษะของเจ้าจะยังอยู่บนบ่า"
เสียงทุ้มหัวเราะร่วน "พระชายา หลักฐานคาตา ทุกคนก็เห็นกันหมด และนี่..." เขาเทของออกจากย่ามใบโปรดของฟู่ซูหนิง ยาพิษหลากชนิดร่วงกราวดั่งใบไม้แห้ง "ของพวกนี้ ยาพิษใช่หรือไม่"
"ก็ใช่ แต่นั่นข้าเอาไว้ศึกษาทดลอง และย่ามของข้
ทั่วบริเวณหุบเขาร้อยโอสถ ซึ่งเต็มไปด้วยพืชสมุนไพรหลากหลายชนิดล้วนเปียกชุ่มไปด้วยหยดน้ำพราวระยับ เพราะยามนี้สายฝนกำลังเทกระหน่ำดุจสวรรค์ร่ำไห้ ผืนนภาอันเคยสว่างเจิดจ้าแปรเปลี่ยนเป็นอึมครึมแผ่กลิ่นอายน่าหวาดเกรงเสียงสายฟ้าหวดสะบั้นเฉกเช่นอสนีเคราะห์ ภายในถ้ำแสนอนธการซ้ำยังอับชื้นพลันปรากฏสตรีร่างระหงนอนไร้สติเพียงลำพัง ความเย็นเยียบกำลังกัดลึกกร่อนกระดูกเสียจนหนาวเหน็บ เรือนร่างที่แน่นิ่งมานานจึงเริ่มขยับไหวพร้อมลมหายใจกระเพื่อมถี่ แค่ก แค่ก"หนาวจัง..." เสียงที่เคยสดใสแหบแห้งระคนสั่นเครือ เปลือกตาบางเปิดปรือขึ้นแช่มช้า ครั้นได้สตินางจึงดันกายของตนเพื่อพิงผนังผิวหยาบ อ้อมแขนยกขึ้นโอบกอดเรือนร่างตนหวังคลายความเย็นเยียบ พลางกวาดสายตาสำรวจสรรพสิ่งท่ามกลางความมืดมัว หญิงสาวขยับแขนเพื่อตรวจสอบทีละฝั่งด้วยสีหน้าฉงนสนเท่ห์ "นี่เรายังไม่ตายอีกหรือ" ฟู่ซูหนิงถอนหายใจด้วยความรู้สึกปลดปลง นางจำได้ว่าถูกบั่นศีรษะสิ้นใจไปแล้วตั้งแต่อยู่ในวังหลวง โทษฐานวางยาพิษฮ่องเต้ คาดไม่ถึงว่ายามนี้ฟู่ซูหนิงได้หวนกลับมาในคืนฝนพรำเมื่อคราที่ตนอายุสิบหกหนาวอีกครั้งเหตุใดนางจึงไร้ท่าทีตื่นตระหนกเมื่อทราบว่าต
ฟู่ซูหนิงหยัดกายยืนขึ้นด้วยความทุลักทุเล ตะกร้าสานซึ่งเต็มไปด้วยพืชสมุนไพรถูกยกขึ้นสะพายบนบ่า ร่างระหงเดินตุปัดตุเป๋ออกจากถ้ำด้วยจิตใจอันล่องลอย สมองของนางเฝ้าตบตีกันซ้ำไปซ้ำมาข้าจะทิ้งให้เขาตายตรงนี้จริงน่ะหรือแต่หากข้าช่วยเขาทุกอย่างก็ต้องวนกลับมาซ้ำรอยเดิม ใครจะอยากถูกตัดศีรษะซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่รู้หรือว่ามันเจ็บเพียงใดฟู่ซูหนิงจึงไม่คิดสนใจบุรุษตรงหน้าอีก ทว่าจิตใจของนางช่างรู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน ยามนี้เขาก็เป็นเพียงชายหนุ่มวัยแรกรุ่นผู้หนึ่ง นางจะใจจืดใจดำทิ้งเขาได้ลงคอเชียวหรือแต่แล้วฟู่ซูหนิงก็ตัดสินใจทิ้งเขาไว้เบื้องหลังในที่สุด ขาเรียวค่อย ๆ เยื้องย่างห่างออกไปกระทั่งหอบสังขารกลับมาถึงจวนไม้ไผ่กลางหุบเขา ร่างระหงก็ฟุบลงด้วยความเหนื่อยล้า"หนิงเอ๋อร์!"หญิงชรารุดประคองเรือนร่างอันโรยแรงของหลานสาวด้วยอาการตื่นตระหนกริมฝีปากซีดขาวเผยรอยยิ้มเบาบาง "ท่านยาย หนิงเอ๋อร์กลับมาแล้วเจ้าค่ะ"จู่ ๆ น้ำสีใสก็ไหลพรากลงตรงหางตา นานเหลือเกินที่ฟู่ซูหนิงจากหุบเขาร้อยโอสถไป นางคิดว่าชาตินี้คงมิได้กลับมาทดแทนคุณของท่านตาท่านยายเสียแล้ว ช่างคิดถึง คิดถึงชีวิตอันแสนเรียบง่ายเช่นนี้เหลือเกินท่า
"ท่านตา...ท่านช่วยเขาหรือเจ้าคะ" "ใช่ ตาช่วยเขาเอง พ่อหนุ่มนี่นอนหมดสติตากฝนอยู่ผู้เดียว ดูเหมือนร่างกายได้รับพิษเสียด้วย อีกอย่างเขายังไม่ถึงคราวตาย" "ท่านตาเจ้าคะ แต่เขาเป็น..." ฟู่ซูหนิงมิได้เอ่ยประโยคถัดไป นางก้มหน้างุดแทบหลั่งน้ำตา นิ้วโป้งสาละวนขึ้นลงพลางเหลือบมองผู้ป่วยบนเตียงด้วยอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เหตุใดข้าต้องโล่งอกด้วยนะ เฮ้อ.. "หนิงเอ๋อร์ เป็นอะไรของเจ้า"ฟู่ซูหนิงยังคงก้มหน้าอยู่เช่นนั้น ต่อให้อธิบายไปก็คงไม่มีใครเชื่อ ว่าบุรุษผู้นี้เปรียบดั่งพญามัจจุราชที่กำลังเข้ามาช่วงชิงชีวิตอันแสนสงบสุขไปจากนางตลอดกาล เจ้าของร่างสูงเบื้องหน้าฟู่ซูหนิงยามนี้คือองค์ชาย'ฉืออิ้งเทียน'แห่งแคว้นซีฮัน อีกไม่นานเขาจะได้รับตำแหน่งชินอ๋องด้วยอายุเพียงสิบแปดปี ชาติก่อนฉืออิ้งเทียนถูกลอบทำร้ายด้วยยาพิษเสียจนดวงตาใกล้มืดบอด ฉืออิ้งเทียนซัดเซพเนจรและได้บังเอิญผ่านมาถึงหุบเขาร้อยโอสถ ทั้งที่ด้านนอกมีค่ายกลขวางกั้นทว่าชายหนุ่มกลับข้ามผ่านเข้ามาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ดูเหมือนสวรรค์จงใจส่งองค์ชายผู้นี้เข้ามาเพื่อทดสอบชีวิตรักช้ำของฟู่ซูหนิง หลังจากช่วยเหลือเขาจนหายดี นานวันเข้าความรักระหว่างช
ฟู่หรง "อ้าว หนิงเอ๋อร์ ไม่พักหรือ ออกมาทำไมเล่า"ฟู่ซูหนิงส่ายศีรษะ "ท่านยายเจ้าคะ ให้ข้าเป็นคนรักษาเขาได้หรือไม่"ประจวบเหมาะกับที่ต่งควนเดินเข้ามา "ไหนเจ้าบอกจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไรเล่า"จริงดังว่า นางไม่อยากข้องเกี่ยวกับเขาสักเสี้ยว ทว่าฟู่ซูหนิงประสงค์ให้ฉืออิ้งเทียนออกจากหุบเขาร้อยโอสถโดยเร็วต่างหาก โอกาสครั้งนี้ฟู่ซูหนิงขอเลือกเป็นหมอหญิงไร้สามารถ มิขออาจเอื้อมก้าวเข้าสู่รั่ววังชั่วชีวิต"ท่านตาสอนข้าเอง ยามเมื่อเราเห็นคนลำบากก็ต้องรู้จักยื่นมือเข้าช่วยเหลือมิใช่หรือเจ้าคะ อีกอย่างข้าจะได้พัฒนาฝีมือการแพทย์ของตนเองด้วยเจ้าค่ะ"ฟู่หรงอมยิ้ม มือเหี่ยวย่นลูบไล้เส้นผมสีดำขลับของหลานด้วยความเอ็นดูยิ่ง "ในที่สุดหลานยายก็โตเสียที"ฟู่ซูหนิงยิ้มแฉ่ง ทว่าภายในใจช่างฝืดฝืนเหลือทน "ท่านตาท่านยายสอนมาดีอย่างไรเจ้าคะ""หนาว หนาวเหลือเกิน อย่าทิ้งข้าไป..." เสียงทุ้มแหบพร่าสั่นเครือดังขึ้นตัดบทสนทนา"ท่านตา ข้าดูแลเขาเองเจ้าค่ะ"ชายชราชะงักฝีเท้าลง "แน่ใจหรือ"ฟู่ซูหนิงพยักหน้าหงึกหงัก "เจ้าค่ะ ท่านอย่าลืมว่าหลานของท่านอัจฉริยะเชียวนะเจ้าคะ ท่านลืมแล้วหรือ ว่าข้าท่องตำราการแพทย์ได้
เป็นเวลากว่าสองสัปดาห์ที่ฉืออิ้งเทียนได้รับการรักษาจากฟู่ซูหนิง ยามนี้อาการบาดเจ็บที่เรือนร่างหายเป็นปลิดทิ้ง ทว่าดวงตายังคงพร่าเบลอไม่ชัดเจน "ต้องขอบคุณท่านหมอที่ช่วยดูแลข้าในทุกวัน ลำบากท่านแล้ว" การเรียกขานฟู่ซูหนิงของเขาเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ฉืออิ้งเทียนรับรู้ได้ว่าแม้นางเป็นหลานของผู้มีพระคุณที่เก็บตนกลับมา แต่จากวิธีการดูแลรักษาของนาง ฟู่ซูหนิงคงนับเป็นหมอหญิงที่มีฝีมือเก่งกาจไม่ต่างกัน มิเช่นนั้นผู้ที่นางเรียกว่าท่านตาคงไม่ปล่อยให้ฟู่ซูหนิงดูแลเขาอย่างใกล้ชิดเพียงลำพัง "ท่านไม่ต้องเกรงใจ อีกสองชั่วยามเราจะออกไปข้างนอกกัน" ฟู่ซูหนิงเก็บอุปกรณ์การแพทย์ ถ้วยยา และผ้าเปียกชื้นซึ่งใช้ทำความสะอาดเรือนกายของชายหนุ่มไปพลางเอ่ยไปพลาง ทว่ามิได้จับจ้องใบหน้าบุรุษฝั่งตรงข้าม เดิมทีการเป็นแพทย์ล้วนเคยเห็น ได้สัมผัสเรือนร่างทั้งชายและหญิงมาจนนับไม่ถ้วน ทว่ายามที่ฟู่ซูหนิงต้องปรนนิบัติเขาในแต่ละครั้งกลับรู้สึกว่าตนเก้อกระดากอยู่ไม่น้อย "เราจะไปที่ใด ในเมื่อข้ายังมองไม่เห็นเช่นนี้ อาจทำให้ท่านหมอลำบาก" "ส่งท่านกลับ" "กลับหรือ? แต่ดวงตาของข้ายัง..." "คุณชายอิ้งเทียนไม่ต้องเป็นกังวลเจ้าค่ะ ข้า
"ท่านตา ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ยามนี้ร่างกายเขาแข็งแรงม๊ากมาก…ส่วนเรื่องดวงตา แค่มีเทียบยาและวิธีการดูแลให้ญาติของเขาก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ หากรั้งเขาไว้นานญาติของเขาอาจร้อนใจ กระทั่งพลิกแผ่นดินหาก็เป็นได้นะเจ้าคะ" ฟู่ซูหนิงกะพริบตาปริบ ๆต่งควนมันเขี้ยวจึงเคาะกบาลนางไปหนหนึ่ง ฟู่ซูหนิงยกมือลูบศีรษะตนป้อย ๆ "ท่านตาเจ้าคะ หนิงเอ๋อร์ทำอะไรผิดงั้นหรือ" ฟู่ซูหนิงเหลียวมองฟู่หรงหมายขอความช่วยเหลือ ทว่าอีกฝ่ายกลับส่ายศีรษะ"ตาเคยสอนเจ้าว่าอย่างไร ช่วยคนต้องช่วยให้ถึงที่สุดมิใช่หรือ"ฟู่ซูหนิงถลาเข้าซบอกผู้เป็นตา พลางเอ่ยเว้าวอน หากไม่แสร้งว่านอนสอนง่ายแผนของนางต้องพังทลายแน่แท้ "ท่านตาเจ้าคะ หนิงเอ๋อร์รู้ดีเรื่องที่ท่านสอนไว้เสมอ แต่หากท่านหายออกจากบ้านไปเป็นแรมเดือน ข้ากับท่านยายก็ต้องร้อนใจเช่นกัน ท่านยายว่าหรือไม่เจ้าคะ" ฟู่ซูหนิงหันมองผู้เป็นยายเพื่อขอความเห็น ฟู่หรงก็อดใจอ่อนเป็นมิได้"ก็จริงเช่นหลานว่า"ฟู่ซูหนิงยิ้มกว้างอวดฟันเรียงสวย จากนั้นปรับน้ำเสียงให้อ่อนหวานดังเดิม "ท่านตาเจ้าคะ…เขาเป็นบุรุษตัวใหญ่โต ได้ยาดีจากหมอเทวดาเช่นท่าน เหตุใดต้องกังวลใจถึงเพียงนั้น ให้หนิงเอ๋อร์ไปส่งเขาเถอ
"อ๊ะ! นี่ นี่ ท่านเดินระวังหน่อยไม่ได้หรือไร ชนแล้ว ๆ" ฟู่ซูหนิงยกมือคลึงขมับวันนี้นางจะเดินทางไปถึงตัวเมืองหรือไม่ ไฉนเขาเอาแต่เดินเปะปะชนโน่นชนนี่อยู่เรื่อย หรือดวงตาของเขายามนี้กลายเป็นบอดสนิทไปแล้วกันเล่า"ขออภัยท่านหมอ ข้ามองไม่เห็นจริง ๆ""ท่านหยุด ไม่ต้องเดินต่อแล้ว เดินส่งเดชเช่นนี้สามวันก็ไม่ถึงหรอกเจ้าค่ะ"ฉืออิ้งเทียนหยุดฝีเท้าลงทันควัน ริมฝีปากได้รูปยกโค้งจาง ๆ แผนล่อหลอกเพื่อประวิงเวลาสัมฤทธิผลเสียทีฟู่ซูหนิงยกมือแกร่งคล้องลำคอด้วยความจำใจ นอกจากกลิ่นกายหอมกรุ่นดุจบุปผาต้องหยาดฝนของสตรีข้างกาย เส้นทางนี้ยังผสานด้วยกลิ่นอายหอมจรุงจากพืชพรรณโอสถ เพราะยามรบล้วนต้องผ่านการวางแผนและการฝึกฝนมามากจึงทำให้เขาสามารถแยกแยะรูป รส กลิ่น เสียงได้เป็นอย่างดีดอกไห่ถัง หอมยิ่งนัก เครื่องหอมของนางก็คงมาจากบุปผาชนิดนี้"คุณชายอิ้งเทียน ดวงตาท่านมองไม่ชัด แต่ขาของท่านยังสามารถใช้งานได้อยู่กระมัง"ฉืออิ้งเทียนพยักหน้า"เช่นนั้นข้าจะพยุงท่านแล้วเดินไปพร้อมกัน
ฟู่ซูหนิงแหงนหน้าขึ้นแช่มช้า ก็ประสานเข้ากับดวงตาขมึงถึงของบุรุษร่างใหญ่ล่ำบึ้ก"นี่! เจ้าหน้าอ่อน เดินไม่ดูตาม้าตาเรือหรืออย่างไร อยากตายงั้นรึ"อาเป่าถลันเข้ามาค้อมศีรษะขอโทษขอโพยพัลวัน "นายท่าน ต้องขออภัยจริง ๆ ขอรับ นี่เป็นท่านหมอมาส่งผู้ป่วยเท่านั้น ได้โปรดละเว้นด้วย"ชายฉกรรจ์ถ่มถุยน้ำลายลงบนพื้นด้วยท่าทีหยาบโลน จากนั้นผลักอาเป่าซึ่งเรือนกายผอมแห้งจนล้มลงบนพื้น "เป็นแค่ลูกจ้างกระจอกงอกง่อย อย่าริอ่านมาต่อรองกับข้า รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร"ฟู่ซูหนิงเหลืออดพลันขบฟันกรอด มือเรียวกำหมัดแน่นเสียจนกายสั่นเทิ้ม ครั้นยันกายของตนขึ้นได้แล้ว ใบหน้าเกลี้ยงเกลาก็เชิดขึ้นด้วยความโอหัง "เจ้าหมีควาย! กระทั่งตัวเจ้ายังไม่รู้ว่าตนเป็นใคร แล้วผู้อื่นเขาจะรู้ด้วยงั้นรึ สมองหมูจริงเชียว ไฉนต้องมายกตนข่มท่าน รังแกผู้คนไม่สนถูกผิด"ชายร่างกำยำตวัดตามองฉับ จากนั้นคว้าสาบเสื้อของฟู่ซูหนิงจนเท้าลอยเหนือพื้น "เจ้าหน้าอ่อน เจ้าเป็นบุรุษอย่างไร ไยหน้าหวานอ่อนแอคล้ายพวกสตรีไม่มีผิด ปากคอก็เราะรายใช่ย่อย มิรู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ปวกเปียกเช่นนี้ยังกล้าพ่นวาจาดูแคลนข้าอีก!"
จู่ ๆ ฟู่ซูหนิงก็ถูกควบคุมตัวให้คุกเข่าลง "นี่เรื่องใดกัน อยู่ ๆ ก็มาจับกุมข้า อยากหัวขาดงั้นรึ"บุรุษผู้หนึ่งย่างกรายมาเบื้องหน้าของนาง พร้อมย่ามสุดรักในมือ เขาชูของสิ่งนั้นขึ้น ครั้นเห็นกระจะตาว่าเป็นผู้ใดนางก็เบิกตากว้าง"หมอชุย!"ชุยว่านเหวินเหยียดยิ้ม "พระชายา นี่ของท่านใช่หรือไม่"ฟู่ซูหนิงเมียงมองครู่หนึ่ง "ของข้า แล้วไปอยู่กับเจ้าได้อย่างไร""เป็นชายาชินอ๋องไม่ผิดแน่ นางสารภาพแล้วว่าคือของนาง"คิ้วสวยขมวดฉับ "หมายความว่าอย่างไร""พระชายา ท่านแสร้งทำตาใสเรื่องใดงั้นหรือ ลอบวางยาพิษฝ่าบาทรู้หรือไม่ว่ามีโทษสถานใด""ลอบวางยาพิษ! ไร้หลักฐานไยคิดปรักปรำข้า อีกอย่างข้าเป็นชายาชินอ๋อง ควบคุมตัวข้าทั้งที่ยังไม่ไต่สวน ทำเช่นนี้นับว่าถูกต้องแล้วรึ หากชินอ๋องรู้เข้า อย่าหมายว่าศีรษะของเจ้าจะยังอยู่บนบ่า"เสียงทุ้มหัวเราะร่วน "พระชายา หลักฐานคาตา ทุกคนก็เห็นกันหมด และนี่..." เขาเทของออกจากย่ามใบโปรดของฟู่ซูหนิง ยาพิษหลากชนิดร่วงกราวดั่งใบไม้แห้ง "ของพวกนี้ ยาพิษใช่หรือไม่""ก็ใช่ แต่นั่นข้าเอาไว้ศึกษาทดลอง และย่ามของข้
รถม้าของราชวังเคลื่อนมาจอดที่หน้าตำหนักชินอ๋อง ฟู่ซูหนิงและเสี่ยวไป๋กำลังจะออกเดินทาง นัยน์ตาดอกท้อกวาดมองตำหนักชินอ๋องอย่างนึกอาลัย ชาติก่อนฟู่ซูหนิงอาศัยอยู่ในฐานะพระชายา ส่วนตอนนี้นางได้อาศัยบังแดดบังฝนในฐานะหมอแม้ใจไม่อยากจากไปแต่นางและเขาล้วนเลือกเดินคนละเส้นทางตั้งแต่แรกแล้ว"หมอฟู่"สตรีผู้สวมอาภรณ์งามสง่ากำลังมุ่งหน้ามาหานาง ฟู่ซูหนิงยอบกายค้อมศีรษะ"ถวายพระพรกุ้ยเฟยเพคะ"ขนาบข้างกุ้ยเฟยยังมีรั่วรั่วซึ่งยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับประคองอยู่ไม่ห่าง"กุ้ยเฟย ดูนางสิเพคะ รั่วรั่วบอกนางแล้วให้รอท่านพี่อิ้งเทียนฟื้นก่อนหมอฟู่ก็ไม่ฟัง"ฟู่ซูหนิงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก รั่วรั่วถึงขั้นไปเชิญกุ้ยเฟยเพื่อมายื้อนางเชียวหรือ ช่างขัดกับรั่วรั่วในเมื่อก่อนยิ่งนัก"หมอฟู่ เจ้าเป็นหมอติดตามลูกของข้ามิใช่หรือ ยามนี้เขายังไม่ได้สติ เจ้านึกจะไปก็ไปนึกจะมาก็มาง่ายดายปานนี้เชียวหรือ" ซิ่วกุ้ยเฟยเปล่งวาจาวางอำนาจ แท้จริงในใจของซิ่วกุ้ยเฟยต้องการขอบคุณฟู่ซูหนิงมากกว่า แต่เพราะตนเป็นคนใหญ่คนโตก็ต้องวางท่าใ
เสียงแหลมเล็กดังจากทางเบื้องหลัง ฟู่ซูหนิงหมุนกายกลับตามเสียงร้องเรียก ส่วนองครักษ์ทั้งสองไม่อยากสอดมือเข้ายุ่งจึงขอตัวผละจาก"ท่านหญิงรั่วรั่ว มีเรื่องใดหรือเจ้าคะ"รั่วรั่วรู้สึกประดักประเดิดเล็กน้อย นางหันรีหันขวาง ท่าทีวางไม้วางมือรู้สึกเก้งก้างไปหมด "เอ่อ...ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า สะดวกสักครู่หรือไม่"ฟู่ซูหนิงเลิกคิ้วด้วยความฉงน นางไม่เคยเห็นรั่วรั่วในมุมของสาวน้อยขี้กังวลเช่นนี้มาก่อน "มีสิ่งใดก็ว่ามาเถิดเจ้าค่ะ"จู่ ๆ สตรีผู้สูงศักดิ์หน้าตาจิ้มลิ้มก็เดินเข้ามาจับมือฟู่ซูหนิงทั้งสองฝั่ง รั่วรั่วพยายามรวบรวมความกล้า "หมอฟู่ ข้ามาวันนี้ ก็เพียงอยากขอโทษเจ้า ที่เมื่อก่อนข้าริษยาและชอบต่อว่าเจ้า"เปลือกตาบางกะพริบถี่อย่างไม่เชื่อสายตารั่วรั่วเอียงคอมอง "เป็นอะไรไปเล่า เจ้าไม่เชื่อข้าหรือ ข้ามิได้มีอุบายใดนะ""ท่านหญิง ท่านกินยาผิดขนานหรือ"รั่วรั่วหน้างอง้ำ ใบหน้าของนางจิ้มลิ้มน่าเอ็นดูยิ่ง หากนางมิใช่ท่านหญิงผู้เอาแต่ใจก็คงจะดีไม่น้อย "เหตุใดพูดจาเช่นนี้กัน ข้าอุตส่าห์สำนึกได้แล้วเชียว"ฟู่ซูหนิงเลิกคิ้ว "อะไรเจ้าคะ
การจับกุมหลิวเฟยเกือบทำให้เกิดความเสียหายครั้งใหญ่ นับว่าโชคดียิ่งที่ฉืออิ้งเทียนเตรียมกำลังทหารปิดล้อมโรงน้ำชาแห่งนั้นเอาไว้ แม้เขาได้รับบาดเจ็บจนหมดสติ ทว่าองครักษ์ทั้งสองและไท่จื่อ และฉือเจิ้นหยู่สามารถกวาดล้างเหล่ากบฏ ได้จนสิ้นซาก ทุกอย่างล้วนเป็นการวางแผนอย่างรอบคอบของชินอ๋องหลิวเฟย เย่อ๋อง และหัวหน้าหมอหลวงชุยว่านเหวิน ถูกคุมขังอยู่ในคุกหลวงสามวันเพื่อทำการไต่สวนต่อเรื่องราวทั้งหมด ทั้งสองคนร่วมกันวางแผนเพื่อขุดบ่อน้ำมันท้ายหมู่บ้านฮุ่ยเหอมาช้านาน หนำซ้ำยังทำร้ายผู้บริสุทธิ์โดยเฉพาะผู้ที่ล่วงรู้ถึงแหล่งขุดเจาะ เพราะเหตุนี้บุรุษในหมู่บ้านฮุ่ยเหอ ที่มักออกหาของป่าเพื่อเลี้ยงชีพ หากบังเอิญพบสถานที่มรณะนั้นเข้าก็ถูกปลิดชีวิตตายทั้งหมดทำให้หลงเหลือเพียงสตรีอ่อนแอ คนแก่ชรา และเด็ก เย่อ๋องจึงวางแผนให้หมู่บ้านเกิดโรคระบาด หากชาวบ้านล้มตายจนหมด หมู่บ้านฮุ่ยเหอก็จะถูกทิ้งร้างและไม่มีรายงานส่งเข้าวังหลวง จนถูกหลงลืมในที่สุดแผนการทั้งหมดพังครืนไม่เป็นท่า เพราะอยู่ ๆ ก็มีหมอเช่นฟู่ซูหนิงยื่นมือเข้าช่วย ครั้นจะเร่งกำจัดก็เกรงจะเกิดเรื่องใหญ่ ก
ฮ่องเต้ฉือเจียฉีใจเต้นระส่ำ ร่างกายสั่นเทา ดวงตาแดงก่ำ อารมณ์ยามนี้ทั้งโกรธแค้นและเจ็บปวดฉือเจิ้นหยู่คุกเข่าค้อมศีรษะ "เสด็จพ่อ องค์ชายสามคิดกบฏยึดบัลลังก์มังกร หมายช่วงชิงลัญจกรของพระองค์ เขาสังหารทหารกล้าไปนับร้อยชีวิต ทว่าชินอ๋องระแคะระคายเกรงว่าวังหลวงจะเกิดจลาจล จึงได้วางกองกำลังเพื่อดูสถานการณ์โดยให้ลูกเป็นทัพหน้า เพราะองค์ชายสามกระทำความผิดฐานก่อกบฏ การประหัตประหารนี้ก็นับว่าสมควรแล้ว ถูกต้องหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"ฮ่องเต้ฉือเจียฉีอึ้งงัน การที่เขามากภรรยาหลายบุตรมันช่างยุ่งเหยิงและแสนเจ็บปวดนักมือหยาบระคายเอื้อมลูบศีรษะฉือเจิ้นหยู่แผ่วเบา "เจิ้นหยู่ เป็นพ่อที่ละเลยเจ้า ทั้งที่เจ้าปกป้องบ้านเมืองมาโดยตลอด ข้าไม่รู้เลยว่าเจ้าจะรู้จักรักผองพี่น้อง ลูกพ่อ..." ฮ่องเต้เหลียวมองรัชทายาท และฉืออิ้งเทียนร่วมด้วย "พวกเจ้าล้วนแล้วแต่เหมาะสมกับการเป็นโอรสของข้า เจิ้นหยู่ อิ้งเทียน พวกเจ้าตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดและเฉียบขาดยิ่ง เรื่องวันนี้คนเลวจะต้องถูกลงทัณฑ์โทษทัณฑ์ที่ลู่ถงได้รับก็สาสมแล้ว"ฮ่องเต้ฉือเจียฉีกัดฟันกรอด "จับตัวพวกมันไปตัดหัวให้หมด!"
ทุกคนต่างให้ความสนใจฟู่ซูหนิง และแน่นอนฉืออิ้งเทียนทราบว่าฟู่ซูหนิงลอบให้การรักษาซีผินอย่างลับ ๆ กระทั่งเขาสืบทราบความจริงว่าซีผินมิใช่ศัตรูตัวจริง ซีผินก็แค่ริษยาแต่ไม่เคยคิดกระทำการชั่วช้าหมายเอาชีวิตเขาแต่อย่างใด ทว่าคนที่สุขุมเยือกนิ่งกลับร้ายกาจที่สุด ฉืออิ้งเทียนจึงทราบว่าทั้งหมดเป็นแผนของหลิวเฟยและโอรสของเขา องค์ชายสามฉือลู่ถงซีผินเอ่ยต่อ "ขอบคุณหมอฟู่ หากไม่ได้ท่าน ข้าคงตายไปนานแล้ว"ฟู่ซูหนิงหลุกหลิก แท้จริงนางก็มิได้ต้องการให้ใครมาขอบคุณ นางเองก็อยากรู้ว่าคนร้ายตัวจริงจะใช่คนที่นางคิดหรือไม่หลิวเฟยตวัดตามองฟู่ซูหนิงฉับ "เจ้านี่มัน! หอกข้างแคร่ของข้าทุกเรื่อง"ฉืออิ้งเทียนสาวเท้าเข้ามาบังหน้าฟู่ซูหนิงไว้ในบัดดล ฟู่ซูหนิงเอ่ยเสียงแผ่ว "ท่านอ๋องกังวลมากเกินไปแล้วเพคะ""ข้าไม่อนุญาตให้ใครทำร้ายเจ้า กระทั่งสายตาก็ไม่ได้!!"นัยน์ตาดอกท้อแดงก่ำ ฟู่ซูหนิงมองตามแผ่นหลังกว้างของบุรุษเบื้องหน้าด้วยจิตใจสับสน เสียงใสเปล่งวาจาเบาหวิว "ขอบพระทัยเพคะ"ซีผินบอกเล่าวีรกรรมต่ำช้าของหลิวเฟยต่อไป "วันนั้นที่ฝ่าบาทประชวรหนัก ข้าเข้าไปยังห้องบร
ห้องรับรองพิเศษของโรงน้ำชา ณ ย่านกลางเมือง เดิมทีใช่ใครจะเข้าออกสถานที่แห่งนี้ได้โดยง่าย ทว่าคนเฝ้าทางเข้าเพียงหยิบมือไหนเลยจะสู้ทหารกล้าผู้เจนสนามรบ ขณะที่ด้านในมิได้ระแคะระคายใด พวกเขาก็แฝงกายเข้าไปอย่างง่ายดาย"นายหญิง พวกเราได้วางกู่พิษชนิดพิเศษไว้ในห้องเครื่องของตำหนักชินอ๋องเป็นที่เรียบร้อย ทุกคนที่นั่นจะยอมรับว่าตำหนักชินอ๋องก่อกบฏทุกประการ"การรับพิษกู่เข้าสู่ร่างกายจะส่งผลให้ทุกคนกลายเป็นหุ่นเชิด หากผู้สั่งการประสงค์ให้ทำสิ่งใดคนเหล่านั้นก็จะทำตามโดยไร้สติ ฟู่ซูหนิงลอบฟังก็กำหมัดแน่น หากยามนั้นผู้อาวุโสฟางซินไม่ยื่นมือเข้าช่วย ชาวบ้านคงไม่ต่างจากศพเดินได้ ประหนึ่งผีดิบดี ๆ นี่เอง โชคดีที่นางยังเก็บจินฉานเอาไว้ [1] เพราะต้องการศึกษาต่อ ไม่เช่นนั้นจวนชินอ๋องต้องถึงกาลวิบัติแน่แท้ก่อนออกมาฟู่ซูหนิงย้อนกลับไปเก็บกวาดของสกปรกเหล่านั้นทั้งหมด เพราะนางลอบมองการกระทำของมือสังหารอยู่นานจึงเห็นว่าเขาลอบวางกู่พิษในห้องเครื่องจริงฉืออิ้งเทียนยังแอบชื่นชมฟู่ซูหนิงเป็นมิได้ ขณะที่เขาเป็
ฟู่ซูหนิงใจเต้นโครมคราม นางกลัวเหลือเกิน กลัวตัวเองจะตัดใจจากเขาไม่ได้ข้าไม่อยากคุยกับท่าน ข้าขี้เกียจรบกับแม่สามี กับสตรีนับสิบ ท่านไม่เข้าใจบ้างหรือ ฉืออิ้งเทียนฟู่ซูหนิงทำได้เพียงระบายความอัดอั้นภายในใจ ฉืออิ้งเทียนหัวรั้นเพียงนี้ หากนางไม่เต็มใจอยู่กับเขา เขาเองก็คงตามตื๊อนางไม่เลิกรา ฟู่ซูหนิงไม่รู้ควรทำเช่นไร ครั้นคิดจะมีสามีให้จบ ๆ ไป แต่ใครจะสามารถแต่งงานกับบุรุษที่ตนไม่ได้รักลงกันเล่า ตลกร้ายเกินไปหน่อยแล้วมือสังหารสองนายมีระแคะระคายอยู่บ้างที่การคุ้มกันของตำหนักฮ่องเต้หละหลวม แต่ด้วยความเร่งร้อนหวังจบภารกิจของตนโดยเร็ว จึงมิได้จับสังเกตใดอีกย่ามคู่ใจของฟู่ซูหนิงถูกวางทิ้งไว้ข้างเตากำยาน มือสังหารทั้งสองลอบวางยาพิษชนิดที่ว่าสูดดมเข้าไปภายในครึ่งชั่วยามก็สามารถคร่าชีวิตคนได้ทันที โชคดีที่ทุกคนได้รับยาสลายพิษของฟู่ซูหนิง กระทั่งทุกอย่างเป็นไปตามแผนการที่วางไว้ มือสังหารทั้งสองก็กระโจนหายไปท่ามกลางความมืดมิดเติ้งเหวยและเกาซีรับหน้าที่ติดตามมือสังหารทั้งสอง ส่วนฟู่ซูหนิงและฉืออิ้งเทียน รุดเข้ามาในห้องบรรทม ทั้งสอ
บทสนทนาอ้างถึงของสำคัญที่ฟู่ซูหนิงพกติดกาย ฟู่ซูหนิงครุ่นคิด เดิมนางมิได้มีของล้ำค่าใด ก็คงมีเพียงย่ามสะพายข้างที่พกติดกายเสมอ"ท่านอ๋อง ย่ามพกยังอยู่ที่ห้องหม่อมฉันเพคะ"ฉืออิ้งเทียนพยักหน้า เขาเร่งร้อนจะพานางกลับไปเอา แต่ฟู่ซูหนิงส่ายศีรษะ ฉืออิ้งเทียนงุนงง "ทำไมถึงห้ามข้า""เราตามพวกเขาไปเถิดเพคะ หนามยอกต้องเอาหนามบ่งมิใช่หรือ เช่นนั้นก็ให้พวกเขาเอาไป เราตามไปเงียบ ๆ ก็เพียงพอแล้ว"ฉืออิ้งเทียนจึงพาฟู่ซูหนิงลอบตามชายผู้บุกรุกไป และแน่นอนฟู่ซูหนิงจงใจเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายกระทำตามอำเภอใจ ถุงผ้าของฟู่ซูหนิงถูกสับเปลี่ยน นัยน์ตาดอกท้อหรี่ลงพิจารณาบุรุษที่สวมอาภรณ์สาวใช้ทั้งสองแล้วจึงจิ๊ปาก"สองคนนี้แอบแฝงตัวเข้ามากับขบวนนางกำนัลซีผินเมื่อช่วงบ่ายเพคะ""เมื่อบ่ายข้าก็เห็นความผิดปกติ ดูเหมือนตอนนั้นพวกมันยังไม่คิดลงมือ ข้าต้องการรู้ว่าแท้จริงนายพวกมันเป็นใคร จึงเล่นละครตามน้ำไปก่อน"ฟู่ซูหนิงตัวแข็งทื่อ แท้จริงเขาก็รู้ทุกเรื่อง แสร้งเป็นหมูเพื่อหลอกกินเสื้อจริงงั้นหรือ"ท่านอ๋อง ท่านคงมิได้สงสัยซีผินกระมังเพคะ"