ตอนที่ 4 ข้อเสนอ
ฉันอยากเปลี่ยนให้หมวยไปบริการโต๊ะนั้นแทน แต่ติดที่ยัยนั่นก็วุ่นวายอยู่กับโต๊ะอื่น สุดท้ายก็ต้องหอบเอาเครื่องดื่มไปเสิร์ฟที่โต๊ะของพวกรุ่นพี่ไปอย่างจำใจ
ที่จริงเขาก็ไม่ได้ทำอะไรให้ แต่เพราะว่าเราเจอกันด้วยเรื่องไม่ดี ฉันถึงรู้สึกว่าเขาคงไม่ชอบหน้าฉันเท่าไหร่ เลยไม่อยากเข้าใกล้ ไหนจะมีเรื่องที่ฉันเบี้ยวนัดคุยเมื่อเช้าอีก พี่ฟิวส์คนนั้นคงอยากกระทืบฉันเต็มทน ติดที่ฉันเป็นผู้หญิงนี่ล่ะ
“บิลค่ะ” ฉันยืนกระดาษแผ่นหนึ่งไปให้พี่คณะของตัวเองที่ชื่อว่า ไมเนอร์ ถึงแม้จะไม่สนิทแต่เขาก็เป็นคนที่เห็นหน้าบ่อยที่สุดในกลุ่มนี้
“ใครจ่ายก่อน กูจะโอนให้”
“ไม่ต้องจ่าย”
ทุกคนหันไปมองคนพูดรวมถึงฉัน แต่เขากลับทำหน้านิ่งตึงแล้วมองฉันตอบ ก่อนที่ใครคนหนึ่งจะเอ่ยปากแซว
“ท่านนายกจะเลี้ยงเหรอครับ”
“อืม กูเลี้ยง แต่เก็บกับน้องเขาเลย” พี่ฟิวส์พูดแล้วยิ้มร้าย เอื้อมมือไปเปิดขวดเครื่องดื่มของตัวเองมารินลงแก้วแล้วชง
“ไม่ควรเอาเรื่องส่วนตัวมาเดือดร้อนคนอื่นนะคะ เงินนั่นหนูจ่ายแน่แต่ไม่ใช่ตอนนี้” ฉันบอกเสียงเรียบ รุ่นพี่แล้วยังไง นายกสโมสรนักศึกษาแล้วยังไง ถ้าคุยกันไม่รู้เรื่องก็ต้องเจอกันสักตั้ง!
“คิดจะยื้อแล้วไม่จ่ายมากกว่ามั้ง”
“ก็บอกว่าจะจ่ายไง หนูไม่ได้รวยแบบพี่นะเว่ย ต้องทำงานหาเงินไปจ่าย!”
ฉันพูดออกไปด้วยความโมโห แต่มันก็ไม่ได้ดังมากนักจนทำให้ใครแตกตื่น นอกจากผู้ชายโต๊ะนี้ที่มองกันตาค้าง
“พอๆ มึงก็ไปแกล้งเขา บ้านมึงรวยขนาดนี้ไม่เอาก็ได้เงินนั่น” ผู้ชายที่ฉันจำได้แล้วว่าเคยเจอเขาตั้งแต่ตอนที่มีเรื่องกันเอ่ยแล้วกระทุ้งศอกใส่เพื่อนตัวเองที่นั่งจ้องหน้าฉันอยู่เหมือนอยากจะกินเลือดกินเนื้อ
“กี่บาทก็ต้องจ่าย”
“มึงขี้เหนียวตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ยไอ้ฟิวส์” พี่ไมเนอร์ถามเหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเอง “หรือตั้งแต่โดนเมียเก่าหลอกเอาเงิน”
“ไอ้ไม เดี๋ยวเถอะมึง เดี๋ยวได้กินตีนมันแทนเหล้า” เพื่อนเขาอีกคนหันหน้าไปเอาเรื่องพี่ไม่เนอร์เพราะประโยคนั้นซึ่งฉันเองก็ไม่รู้ว่าพวกเขาพูดถึงอะไรกันแน่
“ขอบิล เดี๋ยวกูจ่ายก่อน”
แล้วผู้ชายคนที่เงียบที่สุดในกลุ่มก็พูดออกมา เขาหยิบเอากระดาษแผ่นนั้นไปดูก่อนจะควักเอาเงินในกระออกมายื่นให้ฉัน ถ้าไอ้นายกสโมฯนั่นได้นิสัยสักครึ่งหนึ่งของพี่เขาไปก็คงดี
หลังจากจัดการเก็บเงินทอนเงินให้โต๊ะนั้นเสร็จฉันก็ถอยออกมายืนให้ห่างที่สุด จะได้ไม่โดนเรียกไปอีก ร้านนี้ปิดเที่ยงคืนซึ่งฉันก็ได้แต่รอเวลา วันนี้ยังต้องไปคุยกับพี่สาเรื่องเวลาทำงานกว่าจะได้กลับก็คงตีหนึ่ง
“เป็นอะไรทำหน้าไม่ดีเลย”
“เปล่า”
หมวยขยับเข้ามาคุยด้วยตอนที่ไม่มีลูกค้าเรียก เพิ่งรู้ว่าหน้าฉันมันแสดงออกขนาดนั้นว่ากำลังเซ็งอยู่ เพราะอีตาบ้านั่นแหละ
“ทำหน้าสวยๆ หน่อย หนุ่มๆ มองเยอะ ฮ่า” หมวยแซวแล้วก็รีบเดินไปหาลูกค้าที่กำลังยกมือเรียก ส่วนฉันก็เดินไปอีกโต๊ะ
ยิ่งดึกในร้านก็จะวุ่นวายขึ้นเพราะส่วนใหญ่ก็เมากันมากแล้ว โชคดีที่วันนี้ลกค้าไม่เยอะเท่าวันศุกร์หรือเสาร์ ยังพอให้ได้พักหายใจบ้าง
ฉันเดินไปโต๊ะนั้นที โต๊ะนี้ที พยายามจะไม่มองไปที่โต๊ะห้าหนุ่มรุ่นพี่นั่นแต่สุดท้ายสายตาก็เหลือบไปเห็นจนได้ว่ารุ่นพี่ไมเนอร์เรียก ก็เขาเล่นยกมือแล้วโบกไปมา จะทำเมินก็เห็นว่าพี่สา มองมาทางนี้อยู่พอดี
“เอาอะไรเพิ่มคะ”
“มีคนอยากรู้ว่าน้องชื่ออะไร”
“ใครคะ” ฉันถามไม่ใช่เพราะอยากรู้ว่าใครสนใจชื่อ แต่อยากรู้ว่าคนนั้นต้องไม่ใช่ไอ้พี่ฟิวส์
“พี่นี่แหละ ไม่ใช่ใครหรอก” พี่คณะของฉันพูดแล้วเหลือบมองไปทางพี่ฟิวส์ ที่นั่งทำหน้ามึนอยู่
“น้ำค้างค่ะ”
“ออ น้องน้ำค้าง...” พี่ไมเนอร์ลากเสียงสุดท้ายยาวเหยียดก่อนจะฉีกยิ้มขึ้นตรงมุมปากทั้งสองข้าง “อยู่คณะเดียวกันแต่พี่ไม่ค่อยเห็นเรา”
“คงเห็นอยู่หรอก ถ้ามึงหัดเข้าคณะตัวเองบ้าง”
“ก็กูไม่มีเรียนไงครับไอ้หมอ”
คำว่าหมอทำให้ฉันหันไปมองหน้าผู้ชายอีกคนอย่างพิจารณา ถ้าให้เดาเขาคงเป็นนักศึกษาแพทย์ ไม่น่าใช่หมอจริงๆ แต่ส่วนใหญ่ก็เห็นเด็กมหาลัยเรียกเพื่อนที่เรียนคณะแพทย์กันอย่างนี้ทั้งนั้น
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว หนูขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ”
“พี่มีอะไรจะบอก” พี่ไมเนอร์ยังยื้อฉันไว้ เท่าที่ดูเขาคงเจ้าเล่ห์และพูดมากที่สุดในกลุ่มแล้ว
“คะ”
“ถ้าน้องไม่มีเงินจ่ายจริงๆ พี่เสนอให้เราไปทำงานช่วยพี่”
“งานอะไรคะ” ฉันลองถามดูถึงแม้ว่าเขาจะดูไม่น่าไว้ใจแต่ก็ยังอยากรู้ว่างานอะไร
“ช่วยงานสโมฯไง”
“มึงถามท่านนายกของเราก่อนไหมไอ้ไมน์” อีกคนเอ่ย แล้วหันไปมองพี่ฟิวส์ที่นั่งเงียบอยู่
“มึงว่าไงไอ้ฟิวส์ อย่างน้อยให้น้องเขาช่วยงานพวกเราก็จะมีเวลาอ่านหนังสือ”
“นี่กูหูตึงหรือหูฝาด” รุ่นพี่คนเดิมพูดพลางหลุดขำกับประโยคที่พี่ไมเนอร์เพิ่งพูดออกมา “อย่างมึงเนี่ยนะจะอ่านหนังสือ”
“เทอมสุดท้าย กูก็อยากเป็นคนดีที่พ่อภูมิใจ”
“พ่อสิ้นหวังในตัวมึงแล้วครับ ไม่ทันแล้ว”
แล้วรุ่นพี่สองคนนั้นก็เถียงกันไปมา ชวนเพื่อนทั้งโต๊ะขำไปด้วยยกเว้นใครบางคนที่หน้าตึงอย่างกับไปฉีดโบท็อกมาหลายยูนิต แล้วเขาก็เป็นคนลากทุกคนกลับเข้ามาประเด็นสำคัญ
----------------
เนี่ย ฉายาขี้เก๊กที่น้องคิดไว้ เพราะหน้าตึงเหมือนฉีดโบท็อกซ์นี่เอง
อย่าลืมกดหัวใจ กดติดตาม และเพิ่มเข้าชั้นด้วยน้า
“ก็ดี” พูดสองคำแล้วก็ปรายตามามองฉัน “จะได้ไม่หนี แล้วรับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองทำ”“...ค่ะ ไม่หนีหรอก” ฉันกระแทกเรียกใส่อย่างไม่สบอารมณ์ คนบ้าอะไรพร้อมจะหาเรื่องกันตลอดเวลาทั้งทางคำพูดและทางสายตา “พรุ่งนี้หนูจะไปช่วยงานสโม เงินนั่นก็จะจ่ายไม่ต้องห่วง จะได้มั่นใจว่าหนูไม่หนี”“เยี่ยมเลย พรุ่งนี้ถ้าว่างเข้าไปหาพวกพี่ที่สโมฯ” พี่ไมเนอร์เอ่ยแล้วยิ้มหวาน อย่างน้อยก็มีเขานี่แหละที่ใจดีกับน้องคณะอย่างฉันอยู่ “เงินนั่นก็ไม่ต้องจ่ายหรอก ถ้าช่วยงานพี่เดี๋ยวพี่เคลียให้ ถือว่าเป็นน้องคณะคนหนึ่ง”“แต่อย่าใช้งานหนักนะคะ เพราะหนูต้องทำงานพิเศษหลายอย่าง”“ขี้เกียจมากกว่ามั้ง”“…!!” ฉันถลึงตาใส่อีกฝ่าย โชคดีที่มีลุกค้าอีกโต๊ะเรียกไว้ไม่อย่างนั้นสงครามคงไม่จบง่ายๆ แน่ฉันพยายามหลีกเลี่ยงโต๊ะนั้นจนกระทั่งถึงเวลาร้านปิด เรื่องที่จะเข้าไปคุยกับพี่สาจึงถูกพับไว้เพราะมีงานใหม่เข้ามา หวังว่าพี่ไมเนอร์จะไม่หลอกให้ฉันไปทำงานฟรี ถ้าเป็นอย่างที่เขาว่าอย่างน้อยก็ไม่ต้องเหนื่อยทำงานกลางคืนทุกวันแล้วต้องเสียการเรียนไปด้วยวันต่อมา“แกว่าไงนะ!”“ทำไมแกต้องตกใจขนาดนั้น”พอเล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อนสนิทสองคนฟังพวกมันก็ตกใ
ตอนที่ 5หลังจากที่เดินตามพี่ฟิวส์เข้ามาในห้อง ฉันก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ตัวเองไม่ได้นัดกับพี่ฟิวส์แต่นัดกับพี่ไมเนอร์ต่างหาก แล้วทำไมฉันถึงตามเขาเข้ามาด้วยเล่า“พี่ไมเนอร์ล่ะคะ”“...”“แล้วเขาจะเข้ามาตอนไหน”“...”เขาเดินไปที่โต๊ะของตัวเอง ทำเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่ฉันพูด ทั้งๆ ที่ฉันคิดว่าเสียงที่เปล่งออกไปนั้นมันไม่ได้เบาเลยสักนิดเดียว เขาหอบเอกสารกองใหญ่ขึ้นมาวางตรงกลางโต๊ะแล้วหันมาทางฉันด้วยสีหน้าเรียบนิ่งขี้เก๊ก!“เอางานนี้ไปทำ”“...” ฉันเลิกคิ้ว มองคนตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยปาก ถาม “ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าพี่เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ก็หนูรับปากกับพี่ไมเนอร์ว่าจะทำงานให้เขา ไม่ได้ทำงานให้พี่”“แล้วเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า เธอติดหนี้ฉันไม่ได้ติดนี่ไอ้ไมเนอร์”“ก็หนูจะทำงานให้เขา แล้วพี่เขาจะจ่ายเงิน เพื่อใช้หนี้พี่ไง”“หึ” เขาหัวเราะในลำคอ เหมือนเรื่องที่ฉันพูดอยู่นั้นเป็นเรื่องตลกขำอะไรไม่ทราบ!ฉันได้แต่คิดในใจแบบนั้นแต่ไม่กล้าพูดออกไป เพราะขืนพูด คงมีเรื่องแน่ คนอย่างพี่ฟิวส์พร้อมที่จะมีเรื่องกับฉันได้ทุกเวลาอยู่แล้ว“งั้นหนูไปตามหาพี่ไมเนอร์ที่ชมรมก็ได้ค่ะไม่รบกวนแล้ว” พูดจบ ฉันหันหลังทำท่าจ
ฉันสะบัดหน้ากลับมา แต่ตั้งใจทำงานของตัวเองไม่เท่าไหร่เสียงประตูก็ดังขึ้นอีกรอบ คราวนี้เป็นยัยรุ่นพี่ที่เพิ่งเจอกันก่อนหน้านี้ พอเห็นฉันหน้าเธอก็แสดงออกเลยว่าไม่ชอบ“ฟิวส์ ยัยนุ่นจะเข้ามาตอนนี้อยู่หลังมอ เราจะสั่งข้าวฟิวส์เอาอะไรไหม”“ไม่ ยังไม่หิว” พี่ฟิวส์ตอบแค่นั้นฉันเองก็ไม่รู้ว่าเขาทำหน้ายังไงเพราะแกล้งดูเอกสารอยู่เดียวยัยรุ่นพี่นั่นหาว่าสนใจ“ให้น้องมันทำงานอะไรเหรอ ให้เมย์ทำก็ได้นะ” เธอไม่พูดเปล่าแต่ก้าวเท้าเข้ามายืนอยู่ข้างกายจนต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง“ไปทำงานของเธอเถอะ เด็กมันต้องทำงานให้ฉันอยู่แล้ว” พี่ฟิวส์หันมามองรุ่นพี่ที่ชื่อเมย์แล้วบอกเสียงเรียบไม่รู้ว่าเป็นนิสัย หรือเขาพยายามวางตัวในฐานะนายกสโมสรนักศึกษากันแน่ เวลาพูดฉันถึงได้รู้สึกได้ว่าเขาทำสีหน้าและน้ำเสียงนิ่งตลอด ยกเว้นคุยกับเพื่อนรุ่นพี่ที่เจอมาเมื่อคืนจะอีกแบบ“วันนี้เราไม่มีงานอะไรเลย เดี๋ยวช่วย…”“ไม่ต้องช่วย ฉันลงโทษเด็กมันอยู่” พี่ฟิวส์บอกแค่นั้นแล้วก็ไม่สนใจอีก เป็นอันว่าคุณพี่เมย์ไม่ควรยืนอยู่ตรงนี้ต่อ ซึ่งเป็นเรื่องที่ฉันรู้สึกสะใจเหลือเกินปกติไม่เคยมีความคิดด้านลบแบบนี้หรอกนะ แต่ยัยรุ่นพี่คนนี้ฉันรู้สึกได้
ตอนที่ 6สองวันต่อมาวันนี้เป็นอีกวันที่ฉันต้องเข้ามาช่วยงานสโมสรนักศึกษา ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองต้องทำอะไรบ้าง แต่ฉันก็เข้ามานั่งรอพี่ฟิวส์ในห้อง ตามคำสั่งของเขา เพราะเพิ่งทักไปถามเมื่อกลางวันที่ผ่านมาเมื่อเห็นว่าคนสั่งงานยังไม่เข้ามา แล้วรู้สึกเบื่อไม่รู้จะทำอะไรฉันจึงเดินสำรวจห้องสโมสรนักศึกษาดูสักหน่อย เพราะมุมหนึ่งเป็นชั้นวางหนังสือและแฟ้มเอกสาร มีหนังสือทำเนียบนายกสโมสรฯ และประธานชมรมต่างๆ ตั้งแต่หลายสิบปีก่อนจนถึงปัจจุบันวางเรียงกันหลายชั้นลองหาดูแล้วยังไม่เห็นข้อมูลของพี่ฟิวส์ คงเป็นเพราะหนังสือพวกนี้ทำตอนที่จะหมดวาระแล้วแน่ๆ น่าเสียดายว่าจะสืบประวัติสักหน่อย“ไม่กลัวไอ้ฟิวส์มาเห็นเหรอ”“ฟิวส์เรียนอยู่ ไม่เห็นหรอก”เสียงชายหญิงคู่หนึ่งทำเอาฉันตกใจจนต้องรีบหลบเข้าอีกฝั่งของชั้นวางแฟ้มเอกสาร บทสนทนาของทั้งคู่เรียกให้ต่อมความอยากรู้ของฉันทำงานจนต้องแอบมองลอดผ่านช่องว่างเล็กๆพี่ไมเนอร์กับพี่เมย์“เธอนี่ร้ายใช่เล่น”“ก็พอๆ กับนายนั่นแหละไมเนอร์”“หึ”มากไปกว่าบทสนทนาที่ชวนสงสัยนั้น ภาพที่ฉันเห็นคือสองคนนั้นกำลังนัวเนียกันทั้งที่ยังอยู่ในชุดนักศึกษา กระดุมเสื้อสองเม็ดด้านบนของฝ่ายห
เขาไม่พูดอะไรสักคำ ขยับถอยหลังมายืนชิดกับตัวฉัน จนหน้าของฉันอยู่ห่างกับแผงอกของเขาไม่ถึงคืบ กลิ่นน้ำหอมราคาแพงที่เริ่มจางจากตัวเขาลอยเข้ามาในจมูก มันเป็นกลิ่นที่หอมมากอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน คงเป็นเพราะราคาของมันแพงล่ะมั้งถึงได้หอมขนาดนี้ฉันยกแขนขึ้นมาตั้งฉากกั้นไว้ตรงหน้าอกเมื่อรู้สึกถึงบางสิ่งบางอยากที่มันยื่นออกไปจนชิดกับตัวเขา พาลทำให้รู้สึกน่าอายอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่เกิดมาเคยใกล้กับผู้ชายขนาดนี้ก็คงมีแค่น้ำหนาวน้องชายแท้ๆ ของตัวเองเท่านั้น“เอ่อ…” ฉันกำลังจะขยับตัวออกห่างแต่กลับถูกเขารั้งเอาไว้ด้วยการตวัดแขนมาเกี่ยวเอวเอาไว้ แล้วส่งสายตาดุๆ มาให้ ก่อนจะหันกลับไปแอบมองสองคนนั้นที่กำลังเดินออกมา ยืนอยู่มุมนี้สองคนนั้นคงไม่เห็นเราสองคนเพราะมันเป็นมุมที่ค่อนข้างมืดมาก“โทษที วันนี้ฉันรีบ” เสียงของพี่ไมเนอร์ดังขึ้น นั่นทำให้ฉันต้องกลับไปสนใจที่เหตุการณ์ด้านนอกอีกครั้ง“วันหลังก็หัดเตรียมตัวมาหน่อย มันเสียอารมณ์”“หึ อยากขนาดนั้น ไปหาที่ห้องฉันก็ได้นะ” ฝ่ายชายหัวเราะ ก่อนที่ฉันจะเห็นเขาเอื้อมมือไปบีบขย้ำที่หน้าอกของพี่เมย์โดยไม่กลัวว่าใครจะเปิดประตูมาเห็นฉันรีบเบือนหน้าหนีด้วยความรู
พักหนึ่งพี่ฟิวส์ก็เดินมานั่งที่โต๊ะ แล้วพวกที่พูดมากเมื่อกี้ก็เปลี่ยนเป็นคนละคนเหมือนหนังคนละม้วนไม่พูดไม่จา นั่งเกรงจนฉันกลัวเพื่อนเป็นตะคริว“ลืมแนะนำเพื่อนค่ะ คนนี้ระริน อีกคนจิน” ฉันบอกคนที่นั่งข้างๆ “ส่วนพวกนี้ น่าจะรู้จักพี่ฟิวส์แล้ว”“รู้จักได้ยังไง” เขาหันมาถามฉันด้วยความสงสัย“ก็พี่เป็นนายกสโมไง ใครก็รู้จัก” ฉันบอกแล้วเทเหล้าปั่นที่รสชาติไม่ต่างจากเครื่องดื่มเมนูโซดาขึ้นมาดูดอย่างเอร็ดอร่อย“ยกเว้นน้ำค้างคนหนึ่งค่ะ เพราะตอนแรกมันไม่รู้จักพี่ฟิวส์” จินบอกหนุ่มรุ่นพี่จนเขาหันมามองหน้าฉันแต่ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดออกมา“ก็ไม่ได้สนใจ ทำไมต้องรู้จัก”“แกเพิ่งบอกว่าพี่เขาเป็นถึงนายกสโมฯ”“หึ” คนที่หัวเราะออกมาคือพี่ฟิวส์ ส่วนฉันแกล้งหยิบเหล้าปั่นนั่นขึ้นมาจิบแก้เก้อต่อ“น้ำค้างบอกว่าพี่ฟิวส์อกหัก อย่าไปเครียดเลยค่ะ ดื่มกับพวกเรารับรองลืมไปเลยว่าเคยมีแฟน มาค่ะพี่ฟิวส์ ชนแก้ว” ระรินเอ่ยอารมณ์ดีก่อนจะยกแก้วของตัวเองขึ้นมากลางวง“อกหัก?” ผู้ชายเพียงคนเดียวในกลุ่มนิ่งไปก่อนจะเอ่ยสองคำนั้นเป็นเชิงคำถามพร้อมกับคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน“ค่ะ ก็มันบอกว่าพี่อกหัก”“…” พี่ฟิวส์หันมามองฉันที่กำลังรู้สึก
“หวัดดี น้องระริน… เจอกันอีกแล้วเนอะ” พี่ไมเนอร์ยิ้มร้าย มองเพื่อนฉันด้วยสายตาราวกับหมาป่าที่อยากขย้ำเหยื่ออย่าคิดจะมาเขมือบเพื่อนฉันอีกคน!“ไปทำอะไรมาวะ โคตรช้า” พี่บูมเป็นคนถาม ส่วนพี่ฟิวส์ก็มองหน้าพี่ไมเนอร์เหมือนกำลังรอคำตอบ“ธุระ”“อย่างมึงจะมีธุระอะไรอีก นอกจากเรื่อง…”“เสือก” พี่ไมเนอร์พูดแล้วแย่งแก้วของพี่บูมมาดื่มจนหมด แอบเห็นสายตาของเขาจ้องยัยระรินอย่างมีความหมายบางอย่างอย่าบอกนะว่าคิดอะไรไม่ดีกับเพื่อนสนิทฉันด้วย! บอกเลยว่าฉันไม่ยอมแน่“จะทำอะไรก็เกรงใจเจ้าที่เจ้าทางหน่อยนะมึง” คราวนี้พี่ฟิวส์เป็นคนพูดบ้าง เขามองพี่ไมเนอร์สีหน้าเรียบเฉยเจ้าที่ ที่แปลว่าเจ้าของที่ใช่ไหมนะ แอบข่มพี่ไมเนอร์สินะ“เจ้าที่ไม่ขี้เสือกแบบพวกมึงหรอก กูรู้”ฉันได้แต่นั่งฟังรุ่นพี่สี่คนคุยกัน ไม่อยากเอาตัวเองเข้าไปยุ่งนักหรอกแต่พอเห็นว่าพี่ไมเนอร์ไม่มีความรู้สึกผิดเลยสักนิดฉันก็เริ่มโมโหแทนพี่ฟิวส์ขึ้นมา“ชนแก้วค่ะ”“ยัยค้าง เห็นกินง่ายๆ เมาหยั่งหมานะบอกก่อน ฉันเคยล้มมาแล้ว” ยัยจินบอกแล้วแอบหลุดขำใส่ฉัน“เมาก็เมา เดี๋ยวเดินกลับ” อย่าว่าแต่หมดเหยือกเลยตอนนี้ก็เริ่มมึนแล้ว“พี่ฟิวส์ฝากเพื่อนหนูด้วยนะ
“เขามีอะไรกับแฟนพี่เลยนะ หรือว่า…” ฉันหยุดครุ่นคิดก่อนจะปรือตาขึ้นมามองใบหน้าหล่อเหลานั้นช้าๆ“หรือว่า?”“พี่ใช้ของร่วมกับเพื่อนได้ด้วย…หูย น่ากลัว รสนิยมใช้ผู้หญิงคนเดียวกันเหรอ~”“เธอมันเพ้อเจ้อตลอด” พี่ฟิวส์หัวเราะเบาๆ“แล้วทำไมรับได้เล่า” ยอมรับว่าเมาแต่เรื่องพี่ฟิวส์ทำมึนยิ่งกว่า“ก็ฉันไม่ได้เป็นแฟนกับยัยนั่น”“เอ้า!”“เอ้า” พี่ฟิวส์เลียนแบบเสียงอุทานของฉัน ดวงตาคมคู่นั้นแฝงไปด้วยรอยยิ้มกวนๆ “ยัยเด็กขี้มโน คิดเรื่องเป็นตุเป็นตะ โคตรตลก”“แล้วสรุปพี่เป็นแฟนใคร…” สมองของฉันที่มันแทบไม่อยากทำงานยังคงตั้งคำถามต่ออย่างไม่ยอมแพ้“ถ้าฉันมีแฟนจะขึ้นมาส่งเธอถึงห้องไหม ยัยโง่ ทิ้งไว้หน้าหอนั่นแหละ”ฉันเม้มริมฝีปากล่างนิดๆ เพราะคำพูดนั้นชวนให้รู้สึกแปลกอยู่หน่อยๆ แต่มันแค่นิดเดียวเพราะครู่ต่อมาฉันก็รู้สึกเวียนหัวจนลืมความรู้สึกก่อนหน้านั้นไปหมดสิ้น“อยากอ๊วก นั่น หะ…ห้องนั้น” ฉันรีบเอามือปิดปากตัวเอง พี่ฟิวส์ปล่อยฉันลงไปยืนแล้วรีบใช้กุญแจเปิดประตูให้ฉันตรงดิ่งเข้าไปในห้องน้ำ ปลดปล่อยทุกสิ่งอย่างที่พร้อมใจกันออกมาจากกลางอก ชั่วขณะหนึ่งก็รู้สึกได้ถึงฝ่ามือของใครบางคนที่ลูบอยู่ตรงด้านหลัง มือ
ที่ห้องของพี่ฟิวส์ยังมีเสื้อผ้าของเขาที่ฉันลืมทิ้งไว้เมื่อหลายเดือนก่อนอยู่สองถึงสามชุด แล้วเขาก็เก็บมันไว้ในตู้เสื้อผ้าของตัวเองอย่างดี แถมยังบอกว่ารอให้เจ้าของมันมาใส่ทุกวัน ไม่รู้ไปดูหนังรักเรื่องไหนมาถึงได้ทำตัวหวานเลี่ยนอยู่ตลอดเวลา“หาอะไรคะ”ฉันถามเมื่อเห็นว่าพี่ฟิวส์เดินไปเดินมา เปิดลิ้นชักหาอะไรบางอย่างไม่ยอมพูดจา ตอนนี้เขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ผมก็ยังไม่แห้งส่วนฉันเป่าจนแห้งแล้วระหว่างรอพี่ฟิวส์อาบน้ำ“เดี๋ยวพี่มานะ” เขาไม่ตอบคำถามฉันแล้วก็เดินไปหยิบเสื้อยืด ก่อนจะเดินออกไปจากห้องให้กลายเป็นคำถามใหม่เกิดขึ้นรออยู่เป็นสิบนาทีพี่ฟิวส์ก็กลับเข้ามาในห้องเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สายตาฉันมันดันเหลือบไปเห็นกล่องอะไรบางอย่างที่อยู่ตรงกระเป๋ากางเกงนอนขายาวของเขาเข้าพลันหัวใจดวงน้อยที่เต้นสม่ำเสมออยู่ก็ขยับจังหวะเร็วขึ้นจนน่าตกใจไอ้พี่ฟิวส์มันคิดไม่ดี!“ไปไหนมา” ฉันแกล้งถาม ถ้าตอนนี้ห้องมันสว่างคงเห็นแล้วว่าหน้าฉันแดงอยู่เพราะมันร้อนมากจนเหงื่อผุดตรงขมับทั้งที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ“เอาของห้องเพื่อน”“ของอะไรเวลานี้” ก็รู้อยู่แล้วแต่อยากรู้นักพี่ฟิวส์มันจะเฉไฉไปยังไง“ถามเยอะกลัวจะไปหาผู้หญิ
ตอนที่ 25 บอกรักNC (ตอนจบ)“เมาขนาดนี้กลับแล้วไหม”“ไม่ พี่ฟิวส์อยากกลับก็กลับไปเลย คนกำลังสนุก” ฉันพยายามจะลุกขึ้นแม้สติตัวเองจะเหลือเพียงครึ่ง“ทำไมดื่มจนเมาขนาดนี้วะ”ฉันไม่ได้ฟังสิ่งที่เขาพูดพยายามจะลุกขึ้นจากโซฟาตัวนั้นแต่คนที่นั่งโอบอยู่ด้านหลังก็ไม่ยอมให้ลุก จนฉันเริ่มหงุดหงิดหันไปมองเขาอย่างหาเรื่อง“พี่ฟิวส์!”“ถ้าไม่กลับก็นั่งดื่มตรงนี้ ดี ๆ ”ฉันถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่เมื่อไม่ได้ดั่งใจตัวเอง จำยอมต้องนั่งอยู่ตรงนั้นโดยมีพี่ฟิวส์นั่งโอบอยู่ด้านหลัง เลยถือโอกาสนั้นใช่ตัวเขาเป็นที่พักพิงไปซะ“ถ้าไม่ไหวก็กลับ”“กลับอาไร เค้กยังไม่ได้เป่า...เลย~”“วันเกิดเพื่อนไม่ใช่วันเกิดเรา” พี่ฟิวส์ขำแล้วยกแก้วของตัวเองขึ้นมาดื่ม แล้วพี่ไมเนอร์ก็ลากยัยระรินมานั่งอีกคน“พากลับแล้วไหม กูก็ไม่คิดว่าจะพากันพังขนาดนี้”“ยอมกลับที่ไหน ดื้อ!” คำพูดนั้นเขาพูดกรอกหูฉันจนต้องเอี้ยวตัวหันไปมองคนที่นั่งคร่อมกันอยู่ด้านหลังแต่พอกันไปเจอกับหน้าพี่ฟิวส์ที่ก้มลงมาจนจมูกแทบชิดกัน เขาใช้โอกาสนั้นขยับใบหน้าลงมาเพียงนิดเดียว ประกบริมฝีปากของฉันท่ามกลางผู้คนที่อยู่รอบตัวฉันโดยไม่อายว่าจะมีใครมองมา“อื้อ~ หยุดเลย”
เราแยกกันตรงนั้นแล้วฉันก็กลับหอยัยจินไปกินข้าว อาบน้ำและแต่งตัว ในหัวก็คิดอยู่ตลอดคิดภาพตอนที่พี่ฟิวส์หายไปเป็นเดือน ติดต่อกันไม่ได้ ไม่เห็นหน้าไม่ได้ยินเสียงเขา ฉันจะเป็นยังไง“แกเป็นอะไรไปเพื่อน ไม่สบายเหรอ” เสียงของยัยจินเรียกสติของฉันให้กลับมา หลังจากที่มันล่องลอยไปไกล“เปล่า”“ฉันเห็นแกนั่งใจลอยมาหลายรอบแล้ว มีเรื่องอะไรให้คิดมากอีก” เพื่อนสนิทถามอย่างนั้น มันก็คงจะดูออกว่าฉันกำลังทำตัวผิดปกติ“ยัยจิน…” ฉันเริ่มเล่าเรื่องที่พี่ฟิวส์จะไปทำงานให้มันฟังครั้งนั้นที่ได้ยินเขาพูดมันก็รู้สึกโหวงเหวงในใจ คิดว่าคงไม่เป็นไร ถึงจะอยู่ห่างกันแต่ยังไงพี่ฟิวส์ก็ยังต้องกลับขึ้นฝั่งแล้วได้เจอกันอยู่ดี แต่พอได้ยินครั้งนี้แล้วมันรู้สึกไม่ดีเลย มันกลัวไปหมดความคิดที่ว่าไม่อยากไปขัดขวางความเจริญก้าวหน้าของเขามันเลือนหายไปทุกที ความเห็นแก่ตัวของฉันมันเริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนน่าสมเพช“แกไม่อยากให้เขาไปทำไมไม่พูดตรง ๆ ล่ะน้ำค้าง”“ถ้าพูดแบบนั้นฉันจะดูเป็นเด็กเกินไปไหมจิน อีกอย่างเรายังไม่ได้ตกลงเป็นแฟนกัน” ฉันรู้สึกได้ว่าหัวใจมันเริ่มเต้นรัวด้วยความกลัว“โอ๊ย ทุกวันนี้มันก็คือแฟนแล้วไหม ไม่ใช่ก็ใกล้
ตอนที่ 24 ไม่อยากห่างไกลฉันกลับมาทำงานให้แม่ของพี่ฟิวส์อีกครั้งหลังจากที่ใช้อารมณ์ ขอยกเลิกไปตอนนั้น ดีเท่าไหร่ที่ท่านยังเอ็นดูฉันมากขนาดนี้ ถ้าเป็นคนอื่นคงโกรธกันไปแล้วในตอนแรกฉันตั้งใจว่าจะทำงานช่วงหลังเลิกเรียน แต่พี่ฟิวส์แนะนำว่าช่วยยายทำขนมขายหน้าโรงงานคงดีกว่าเพราะจะได้ไม่หนักที่ต้องเรียนและทำงานไปด้วย เรื่องเรียนที่ว่าจะดรอปก็ถูกพับเอาไว้หลังจากที่ชีวิตเริ่มลงตัวขึ้นบวกกับได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนและพี่ฟิวส์ที่ตอนนี้เรียนจบแล้ว“ยัยค้าง!” ระรินเดินมาจากหลังตึก มาหาพวกเราที่รออยู่ใต้ตึกเรียนวิชาแรกของเราวันนี้เริ่มตอนเก้าโมงแต่เพราะวันนี้มีงานที่ต้องส่งอาจารย์หลายคนถึงได้มารอกันก่อนเพราะบางคนต้องมาปรึกษาเพื่อน หนึ่งในนั้นก็มีพวกเรา“รีบอะไรขนาดนั้นยัยระริน เพิ่งจะแปดโมงครึ่ง”“ไม่ได้รีบเพราะเรื่องนั้น”“มีเรื่องอะไรอีก” ยัยจินขมวดคิ้วถาม เพราะที่ผ่านมามันก็มีแต่เรื่องวุ่นวายของฉันทั้งนั้น“เรื่องนังเมย์” ยัยระรินพูดแล้วยิ้มเหมือนสะใจอะไรบางอย่างก่อนที่มันจะเล่าก่อนหน้านี้พี่เมย์โดนจับจริงและเป็นไปตามที่พวกพี่ฟิวส์ต้องการ ช่วงแรก ๆ พ่อและแม่ของพวกหล่อนมาคุยกับพี่ฟิวส์ให้เจ
ยอมรับว่าฉันเคยโกรธยายจนไม่อยากคุยไม่อยากเห็นหน้า ที่ยายช่วยน้าอิฐจนทำให้พวกเราลำบากกันหมด แต่สุดท้ายก็มีแต่ยายกับน้ำหนาวที่คอยอยู่เคียงข้างฉันตลอดช่วงชีวิตของฉันตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ ลองคิดว่าวันหนึ่งที่ไม่มียายฉันก็แทบจะไม่เหลืออะไรในชีวิตอีกแล้ว“ยายดูก็รู้ว่าเขามีเงิน แต่เรารู้จักเขาดีไหม เขาดีกับเราหรือเปล่าลูก ยายไม่ได้หมายถึงเรื่องเงินเขาแต่ความใส่ใจกับสิ่งที่เขาพูดเขาแสดงออกกับเรามันทำให้เรารู้สึกดีหรือแย่”“ค่ะ พี่ฟิวส์เขาดีกับค้างหลายเรื่อง” เรื่องที่เคยคิดไม่ดีก็คงไม่บอกยาย เพราะไม่อยากให้ยายมองไม่ดี “แต่ค้างก็กำลังศึกษาอยู่”ต่อไปนี้ก็คงต้องก้าวเดินอย่างระวัง ไม่ไว้ใจและให้ใจใครง่าย ๆ เหมือนอย่างที่ผ่านมา ต่อให้เราจะรู้สึกดีกับใครมากแค่ไหน เพราะสุดท้ายเราก็ไม่รู้เลยว่าอีกคนเขาจะรู้สึกกับเรายังไง เรื่องที่ผ่านมามันกลับไปแก้ไขไม่ได้แล้ว ก็คงต้องปล่อยมันไว้แค่ข้างหลัง“ถ้าเขาเป็นคนดียายก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่อย่ารีบ ค่อย ๆ ดูกันไป”“ค่ะ” ฉันตอบรับแล้วยิ้มส่งให้ยายไม่นานนักพี่ฟิวส์กับน้ำหนาวก็กลับมา ยายทำกับข้าวสองสามอย่างเลี้ยงพี่ฟิวส์ที่ช่วยมาซ่อมห้องให้ สายตาที่ยายมองพี่ฟิวส์
ตอนที่ 23 หัวใจดวงเดียวที่มีพี่ฟิวส์พาฉันไปทำแผลที่ห้องพยาบาลซึ่งอยู่ในโรงยิมของมหาวิทยาลัย อยู่ไม่ไกลจากคณะเรามากนัก รอยแผลมีบนหน้าที่มีรอยเล็บทั้งจิกทั้งข่วน ตามแขนและขาที่เป็นรอยถลอกและมีเลือดออก“ตรงนั้นมีกล้องใช่ไหมไอ้ไมน์” พี่ฟิวส์ก้มหน้าทำแผลให้ สีหน้าของเขาเรียบเฉย ฉายแววความโกรธอย่างที่เคยเห็นเมื่อวันนั้น แต่เขานิ่งจนน่ากลัวกว่านั้นเสียอีก“มี กูบอกให้ยามจัดการแล้ว”“ขอลุงมึงช่วยหน่อย เดี๋ยวพวกกูจะไปโรงพัก ข้อหาทำร้ายร่างกายกูจะไม่ยอมความ ไม่ไกล่เกลี่ย”“อืม เดี๋ยวกูจัดการให้”ฉันได้แต่เงียบฟังที่พวกพี่เขาพูดกัน ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของกฎหมายแต่เท่าที่ฟังพี่คือถ้าเป็นเหตุแบบนี้ตำรวจจะทำแค่เป็นข้อหาทะเลาะวิวาทเพื่อให้เรื่องมันจบ ๆ ไป แต่ถ้าเราที่ถูกไม่ยอมความก็สามารถส่งเรื่องฟ้องศาลได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคนที่โดนทำร้ายก็จะไม่ทำเพราะต้องเสียเงินอีกมากมายแต่พี่ฟิวส์บอกจะทำให้เรื่องถึงศาล เพื่อให้พวกนั้นมันเสียประวัติและให้ลุงของพี่ไมเนอร์ช่วย เพราะเราจะผิดหรือถูกขึ้นอยู่กับสำนวนที่ตำรวจเป็นคนเขียนขึ้นตอนที่เราไปแจ้งความสังคมมันอยู่ยากเพราะแบบนี้สินะ ถ้าไม่มีเส้นสายก็เท่ากับผิดทั้ง
ฉันนั่งทานข้าวท่ามกลางคำแซวและสายตาหลายคู่ที่มองมา เล่นเอาทำตัวไม่ถูกกินข้าวแทบไม่ลง แต่พี่ฟิวส์ซื้อข้าวมาทีหลังทานเกลี้ยงหมดจานไปแล้ว เจริญอาหารจนอยากจะเอาเล็บข่วนหน้าด้วยความหมั่นไส้“เลิกเรียนกี่โมงกัน” เขาที่ทานข้าวเสร็จกอดอกถามพวกเรา ที่ใช้คำว่าพวกเราเพราะเขาไม่ได้เอ่ยชื่อแล้วกวาดสายตามองจนครบ เหมือนจะรู้ตัวนะว่าถามฉันก็ไม่บอกหรอก“บ่ายสามค่ะพี่ฟิวส์” ยัยจินตอบ อยากจะหยิกแขนแรง ๆ ตอนทะเลาะกับพี่ฟิวส์ล่ะไม่เห็นจะเป็นอย่างนี้ เห็นความหล่อไม่ได้เลยพวกเพื่อนทรยศ“โอเค เดี๋ยวมารับนะ” ประโยคแรกพูดกับเพื่อนประโยคหลังหันมาบอกฉัน“ค้างจะขี่มอเตอร์ไซค์กลับค่ะ”“ตุ๊กตาตัวนั้นไม่ทำให้เราใจอ่อนเลยเหรอ” คำถามนี้พี่ไมเนอร์เป็นคนถามแทนเพราะพี่ฟิวส์นั่งเงียบเหมือนคนกำลังน้อยใจฉันอย่างหนัก“ค้างจะขี่มอเตอร์ไซค์กลับเพราะไม่อยากทิ้งรถไว้มหาลัยค่ะ เมื่อคืนพี่ฟิวส์ก็ไปส่งแล้ว จอดทิ้งไว้ส่งสารมัน”“สงสารรถแต่ไม่สงสารกูเลย” พี่ฟิวส์กันไปคุยกับเพื่อนตัวเองอย่างกับพวกขี้ฟ้อง“ถ้าอยากไปรับไปส่งก็ตั้งแต่พรุ่งนี้แล้วกัน อย่ามาบ่นทีหลังให้ได้ยิน” ฉันพูดออกไปแล้วทุกคนก็พากันยิ้มแต่เป็นรอยยิ้มที่ราวกับจะสื่อว่า
ตอนที่ 22 รุมทำร้ายวันนี้เป็นวันแห่งความรัก ถ้าเป็นตอนมัธยมคงได้เห็นคนถือดอกกุหลาบหรือตุ๊กตาตัวโตเดินกันว่อนโรงเรียน แต่พอขึ้นมหาลัยภาพเหล่านั้นก็ไม่มีให้เห็นมากนัก คนที่ถือช่อดอกกุหลาบก็มีอยู่บ้างกลายเป็นที่สนใจของคนที่เดินผ่านไปมาด้วย“อิจฉาคนมีความรักหวะ” ยัยจินแกล้งแซวระรินที่ถือช่อดอกกุหลาบสีแดงในมือตอนนี้เรากำลังจะไปทานข้าวที่โรงอาหารของคณะฯ ยัยระรินเพิ่งได้ช่อดอกนี้จากพี่ไมเนอร์เมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วนี้เอง เลยกลายเป็นที่จดจ้องของใครหลายคนถึงแม้ว่าส่วนใหญ่จะรู้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นอย่างดี แต่เพราะกิตติศัพท์ของพี่ไมเนอร์ไม่ใช่เรื่องที่ดี คนเลยแอบซุบซิบนินทากันใหญ่มีแต่คนพูดว่ายัยระรินจะโดนหลอก เดี๋ยวก็โดนทิ้งบ้างล่ะ“น้ำค้าง!” เสียงเข้มของใครบางคนดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้เราทั้งสามคนหันไปมองอย่างพร้อมเพรียงพอเห็นว่าเป็นพี่พีถือดอกกุหลาบสีแดงดอกหนึ่งมาเราถึงกับหันมามองหน้ากันหมด“มีอะไรเหรอคะ”“มีคนฝากมาให้” พี่พียื่นดอกกุหลาบมาให้พร้อมกับรอยยิ้ม“ใครคะ” ฉันถามด้วยความสงสัยแต่ก็ยื่นมือไปรับเอาไว้“มันไม่ให้บอก แต่ฝากบอกว่าแอบชอบอยู่” หนุ่มรุ่นพี่ยิ้มกวน ๆ “จะไปไหนกัน”“ไปกิ
พี่ฟิวส์!เขาอยู่ในชุดเสื้อช็อปที่เห็นประจำ แต่งตัวเหมือนไปเรียนแต่เดินหน้าตึงมาอยู่หน้าโรงงานที่ฉันกำลังยืนขายขนม“พี่ฟิวส์บอกให้มาส่ง”ไปรู้จักชื่อตอนไหน!?ฉันมองหน้าน้องชายตัวเองแล้วเบือนหน้าไปมองพี่ฟิวส์ที่ตอนนี้ยืนยิ้มอยู่ข้างน้ำหนาว ก่อนจะยกมือไหว้ยายที่กำลังมองอย่างสงสัย“ใครล่ะค้าง”“คนรู้จักค่ะ รุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัย” ฉันตอบแล้วหันไปมองพี่ฟิวส์ที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไร ขยับมายืนอยู่ใกล้ ๆ“ขายดีจังครับ” เขาแกล้งคุยกับยายมองผ่านความบึ้งตึงของฉันไป “ที่เหลือขอเหมาได้ไหม ผมยังไม่ได้ทานข้าวมาเลย”“จะมาทำไมก็ไม่รู้” ฉันบ่นแล้วถลึงตาใส่พี่ฟิวส์แต่เขาไม่แม้แต่จะสำนึกผิด“เดี๋ยวกลับไปกินข้าวที่บ้านดีกว่าลูก” ยายพูดด้วยรอยยิ้มแล้วหยิบขนมสามชิ้นที่เหลือใส่ถุงให้ลูกค้าคนสุดท้าย จนไม่เหลือเลยสักชิ้นสมน้ำหน้าพี่ฟิวส์มองตาละห้อย“น้ำค้างทำแกงจืดไว้เมื่อเช้าเยอะแยะ พาพี่เขาไปกินข้าวไป”ยายคงเดาออกว่าพี่ฟิวส์ไม่ใช่แค่รุ่นพี่อย่างที่บอก แต่ยายมองไม่ออกเลยเหรอว่าฉันเกลียดขี้หน้าพี่ฟิวส์อยู่ ทำไมต้องทำการต้อนรับเขาขนาดนั้น“ขอบคุณครับ เดี๋ยวไปส่งน้องไปโรงเรียนก่อนแล้วผมกลับมาอาศัยข้าวเช้าสักมื้อนะค