ตอนที่ 4 ข้อเสนอ
ฉันอยากเปลี่ยนให้หมวยไปบริการโต๊ะนั้นแทน แต่ติดที่ยัยนั่นก็วุ่นวายอยู่กับโต๊ะอื่น สุดท้ายก็ต้องหอบเอาเครื่องดื่มไปเสิร์ฟที่โต๊ะของพวกรุ่นพี่ไปอย่างจำใจ
ที่จริงเขาก็ไม่ได้ทำอะไรให้ แต่เพราะว่าเราเจอกันด้วยเรื่องไม่ดี ฉันถึงรู้สึกว่าเขาคงไม่ชอบหน้าฉันเท่าไหร่ เลยไม่อยากเข้าใกล้ ไหนจะมีเรื่องที่ฉันเบี้ยวนัดคุยเมื่อเช้าอีก พี่ฟิวส์คนนั้นคงอยากกระทืบฉันเต็มทน ติดที่ฉันเป็นผู้หญิงนี่ล่ะ
“บิลค่ะ” ฉันยืนกระดาษแผ่นหนึ่งไปให้พี่คณะของตัวเองที่ชื่อว่า ไมเนอร์ ถึงแม้จะไม่สนิทแต่เขาก็เป็นคนที่เห็นหน้าบ่อยที่สุดในกลุ่มนี้
“ใครจ่ายก่อน กูจะโอนให้”
“ไม่ต้องจ่าย”
ทุกคนหันไปมองคนพูดรวมถึงฉัน แต่เขากลับทำหน้านิ่งตึงแล้วมองฉันตอบ ก่อนที่ใครคนหนึ่งจะเอ่ยปากแซว
“ท่านนายกจะเลี้ยงเหรอครับ”
“อืม กูเลี้ยง แต่เก็บกับน้องเขาเลย” พี่ฟิวส์พูดแล้วยิ้มร้าย เอื้อมมือไปเปิดขวดเครื่องดื่มของตัวเองมารินลงแก้วแล้วชง
“ไม่ควรเอาเรื่องส่วนตัวมาเดือดร้อนคนอื่นนะคะ เงินนั่นหนูจ่ายแน่แต่ไม่ใช่ตอนนี้” ฉันบอกเสียงเรียบ รุ่นพี่แล้วยังไง นายกสโมสรนักศึกษาแล้วยังไง ถ้าคุยกันไม่รู้เรื่องก็ต้องเจอกันสักตั้ง!
“คิดจะยื้อแล้วไม่จ่ายมากกว่ามั้ง”
“ก็บอกว่าจะจ่ายไง หนูไม่ได้รวยแบบพี่นะเว่ย ต้องทำงานหาเงินไปจ่าย!”
ฉันพูดออกไปด้วยความโมโห แต่มันก็ไม่ได้ดังมากนักจนทำให้ใครแตกตื่น นอกจากผู้ชายโต๊ะนี้ที่มองกันตาค้าง
“พอๆ มึงก็ไปแกล้งเขา บ้านมึงรวยขนาดนี้ไม่เอาก็ได้เงินนั่น” ผู้ชายที่ฉันจำได้แล้วว่าเคยเจอเขาตั้งแต่ตอนที่มีเรื่องกันเอ่ยแล้วกระทุ้งศอกใส่เพื่อนตัวเองที่นั่งจ้องหน้าฉันอยู่เหมือนอยากจะกินเลือดกินเนื้อ
“กี่บาทก็ต้องจ่าย”
“มึงขี้เหนียวตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ยไอ้ฟิวส์” พี่ไมเนอร์ถามเหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเอง “หรือตั้งแต่โดนเมียเก่าหลอกเอาเงิน”
“ไอ้ไม เดี๋ยวเถอะมึง เดี๋ยวได้กินตีนมันแทนเหล้า” เพื่อนเขาอีกคนหันหน้าไปเอาเรื่องพี่ไม่เนอร์เพราะประโยคนั้นซึ่งฉันเองก็ไม่รู้ว่าพวกเขาพูดถึงอะไรกันแน่
“ขอบิล เดี๋ยวกูจ่ายก่อน”
แล้วผู้ชายคนที่เงียบที่สุดในกลุ่มก็พูดออกมา เขาหยิบเอากระดาษแผ่นนั้นไปดูก่อนจะควักเอาเงินในกระออกมายื่นให้ฉัน ถ้าไอ้นายกสโมฯนั่นได้นิสัยสักครึ่งหนึ่งของพี่เขาไปก็คงดี
หลังจากจัดการเก็บเงินทอนเงินให้โต๊ะนั้นเสร็จฉันก็ถอยออกมายืนให้ห่างที่สุด จะได้ไม่โดนเรียกไปอีก ร้านนี้ปิดเที่ยงคืนซึ่งฉันก็ได้แต่รอเวลา วันนี้ยังต้องไปคุยกับพี่สาเรื่องเวลาทำงานกว่าจะได้กลับก็คงตีหนึ่ง
“เป็นอะไรทำหน้าไม่ดีเลย”
“เปล่า”
หมวยขยับเข้ามาคุยด้วยตอนที่ไม่มีลูกค้าเรียก เพิ่งรู้ว่าหน้าฉันมันแสดงออกขนาดนั้นว่ากำลังเซ็งอยู่ เพราะอีตาบ้านั่นแหละ
“ทำหน้าสวยๆ หน่อย หนุ่มๆ มองเยอะ ฮ่า” หมวยแซวแล้วก็รีบเดินไปหาลูกค้าที่กำลังยกมือเรียก ส่วนฉันก็เดินไปอีกโต๊ะ
ยิ่งดึกในร้านก็จะวุ่นวายขึ้นเพราะส่วนใหญ่ก็เมากันมากแล้ว โชคดีที่วันนี้ลกค้าไม่เยอะเท่าวันศุกร์หรือเสาร์ ยังพอให้ได้พักหายใจบ้าง
ฉันเดินไปโต๊ะนั้นที โต๊ะนี้ที พยายามจะไม่มองไปที่โต๊ะห้าหนุ่มรุ่นพี่นั่นแต่สุดท้ายสายตาก็เหลือบไปเห็นจนได้ว่ารุ่นพี่ไมเนอร์เรียก ก็เขาเล่นยกมือแล้วโบกไปมา จะทำเมินก็เห็นว่าพี่สา มองมาทางนี้อยู่พอดี
“เอาอะไรเพิ่มคะ”
“มีคนอยากรู้ว่าน้องชื่ออะไร”
“ใครคะ” ฉันถามไม่ใช่เพราะอยากรู้ว่าใครสนใจชื่อ แต่อยากรู้ว่าคนนั้นต้องไม่ใช่ไอ้พี่ฟิวส์
“พี่นี่แหละ ไม่ใช่ใครหรอก” พี่คณะของฉันพูดแล้วเหลือบมองไปทางพี่ฟิวส์ ที่นั่งทำหน้ามึนอยู่
“น้ำค้างค่ะ”
“ออ น้องน้ำค้าง...” พี่ไมเนอร์ลากเสียงสุดท้ายยาวเหยียดก่อนจะฉีกยิ้มขึ้นตรงมุมปากทั้งสองข้าง “อยู่คณะเดียวกันแต่พี่ไม่ค่อยเห็นเรา”
“คงเห็นอยู่หรอก ถ้ามึงหัดเข้าคณะตัวเองบ้าง”
“ก็กูไม่มีเรียนไงครับไอ้หมอ”
คำว่าหมอทำให้ฉันหันไปมองหน้าผู้ชายอีกคนอย่างพิจารณา ถ้าให้เดาเขาคงเป็นนักศึกษาแพทย์ ไม่น่าใช่หมอจริงๆ แต่ส่วนใหญ่ก็เห็นเด็กมหาลัยเรียกเพื่อนที่เรียนคณะแพทย์กันอย่างนี้ทั้งนั้น
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว หนูขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ”
“พี่มีอะไรจะบอก” พี่ไมเนอร์ยังยื้อฉันไว้ เท่าที่ดูเขาคงเจ้าเล่ห์และพูดมากที่สุดในกลุ่มแล้ว
“คะ”
“ถ้าน้องไม่มีเงินจ่ายจริงๆ พี่เสนอให้เราไปทำงานช่วยพี่”
“งานอะไรคะ” ฉันลองถามดูถึงแม้ว่าเขาจะดูไม่น่าไว้ใจแต่ก็ยังอยากรู้ว่างานอะไร
“ช่วยงานสโมฯไง”
“มึงถามท่านนายกของเราก่อนไหมไอ้ไมน์” อีกคนเอ่ย แล้วหันไปมองพี่ฟิวส์ที่นั่งเงียบอยู่
“มึงว่าไงไอ้ฟิวส์ อย่างน้อยให้น้องเขาช่วยงานพวกเราก็จะมีเวลาอ่านหนังสือ”
“นี่กูหูตึงหรือหูฝาด” รุ่นพี่คนเดิมพูดพลางหลุดขำกับประโยคที่พี่ไมเนอร์เพิ่งพูดออกมา “อย่างมึงเนี่ยนะจะอ่านหนังสือ”
“เทอมสุดท้าย กูก็อยากเป็นคนดีที่พ่อภูมิใจ”
“พ่อสิ้นหวังในตัวมึงแล้วครับ ไม่ทันแล้ว”
แล้วรุ่นพี่สองคนนั้นก็เถียงกันไปมา ชวนเพื่อนทั้งโต๊ะขำไปด้วยยกเว้นใครบางคนที่หน้าตึงอย่างกับไปฉีดโบท็อกมาหลายยูนิต แล้วเขาก็เป็นคนลากทุกคนกลับเข้ามาประเด็นสำคัญ
----------------
เนี่ย ฉายาขี้เก๊กที่น้องคิดไว้ เพราะหน้าตึงเหมือนฉีดโบท็อกซ์นี่เอง
อย่าลืมกดหัวใจ กดติดตาม และเพิ่มเข้าชั้นด้วยน้า
ที่ห้องของพี่ฟิวส์ยังมีเสื้อผ้าของเขาที่ฉันลืมทิ้งไว้เมื่อหลายเดือนก่อนอยู่สองถึงสามชุด แล้วเขาก็เก็บมันไว้ในตู้เสื้อผ้าของตัวเองอย่างดี แถมยังบอกว่ารอให้เจ้าของมันมาใส่ทุกวัน ไม่รู้ไปดูหนังรักเรื่องไหนมาถึงได้ทำตัวหวานเลี่ยนอยู่ตลอดเวลา“หาอะไรคะ”ฉันถามเมื่อเห็นว่าพี่ฟิวส์เดินไปเดินมา เปิดลิ้นชักหาอะไรบางอย่างไม่ยอมพูดจา ตอนนี้เขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ผมก็ยังไม่แห้งส่วนฉันเป่าจนแห้งแล้วระหว่างรอพี่ฟิวส์อาบน้ำ“เดี๋ยวพี่มานะ” เขาไม่ตอบคำถามฉันแล้วก็เดินไปหยิบเสื้อยืด ก่อนจะเดินออกไปจากห้องให้กลายเป็นคำถามใหม่เกิดขึ้นรออยู่เป็นสิบนาทีพี่ฟิวส์ก็กลับเข้ามาในห้องเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สายตาฉันมันดันเหลือบไปเห็นกล่องอะไรบางอย่างที่อยู่ตรงกระเป๋ากางเกงนอนขายาวของเขาเข้าพลันหัวใจดวงน้อยที่เต้นสม่ำเสมออยู่ก็ขยับจังหวะเร็วขึ้นจนน่าตกใจไอ้พี่ฟิวส์มันคิดไม่ดี!“ไปไหนมา” ฉันแกล้งถาม ถ้าตอนนี้ห้องมันสว่างคงเห็นแล้วว่าหน้าฉันแดงอยู่เพราะมันร้อนมากจนเหงื่อผุดตรงขมับทั้งที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ“เอาของห้องเพื่อน”“ของอะไรเวลานี้” ก็รู้อยู่แล้วแต่อยากรู้นักพี่ฟิวส์มันจะเฉไฉไปยังไง“ถามเยอะกลัวจะไปหาผู้หญิ
ตอนที่ 25 บอกรักNC (ตอนจบ)“เมาขนาดนี้กลับแล้วไหม”“ไม่ พี่ฟิวส์อยากกลับก็กลับไปเลย คนกำลังสนุก” ฉันพยายามจะลุกขึ้นแม้สติตัวเองจะเหลือเพียงครึ่ง“ทำไมดื่มจนเมาขนาดนี้วะ”ฉันไม่ได้ฟังสิ่งที่เขาพูดพยายามจะลุกขึ้นจากโซฟาตัวนั้นแต่คนที่นั่งโอบอยู่ด้านหลังก็ไม่ยอมให้ลุก จนฉันเริ่มหงุดหงิดหันไปมองเขาอย่างหาเรื่อง“พี่ฟิวส์!”“ถ้าไม่กลับก็นั่งดื่มตรงนี้ ดี ๆ ”ฉันถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่เมื่อไม่ได้ดั่งใจตัวเอง จำยอมต้องนั่งอยู่ตรงนั้นโดยมีพี่ฟิวส์นั่งโอบอยู่ด้านหลัง เลยถือโอกาสนั้นใช่ตัวเขาเป็นที่พักพิงไปซะ“ถ้าไม่ไหวก็กลับ”“กลับอาไร เค้กยังไม่ได้เป่า...เลย~”“วันเกิดเพื่อนไม่ใช่วันเกิดเรา” พี่ฟิวส์ขำแล้วยกแก้วของตัวเองขึ้นมาดื่ม แล้วพี่ไมเนอร์ก็ลากยัยระรินมานั่งอีกคน“พากลับแล้วไหม กูก็ไม่คิดว่าจะพากันพังขนาดนี้”“ยอมกลับที่ไหน ดื้อ!” คำพูดนั้นเขาพูดกรอกหูฉันจนต้องเอี้ยวตัวหันไปมองคนที่นั่งคร่อมกันอยู่ด้านหลังแต่พอกันไปเจอกับหน้าพี่ฟิวส์ที่ก้มลงมาจนจมูกแทบชิดกัน เขาใช้โอกาสนั้นขยับใบหน้าลงมาเพียงนิดเดียว ประกบริมฝีปากของฉันท่ามกลางผู้คนที่อยู่รอบตัวฉันโดยไม่อายว่าจะมีใครมองมา“อื้อ~ หยุดเลย”
เราแยกกันตรงนั้นแล้วฉันก็กลับหอยัยจินไปกินข้าว อาบน้ำและแต่งตัว ในหัวก็คิดอยู่ตลอดคิดภาพตอนที่พี่ฟิวส์หายไปเป็นเดือน ติดต่อกันไม่ได้ ไม่เห็นหน้าไม่ได้ยินเสียงเขา ฉันจะเป็นยังไง“แกเป็นอะไรไปเพื่อน ไม่สบายเหรอ” เสียงของยัยจินเรียกสติของฉันให้กลับมา หลังจากที่มันล่องลอยไปไกล“เปล่า”“ฉันเห็นแกนั่งใจลอยมาหลายรอบแล้ว มีเรื่องอะไรให้คิดมากอีก” เพื่อนสนิทถามอย่างนั้น มันก็คงจะดูออกว่าฉันกำลังทำตัวผิดปกติ“ยัยจิน…” ฉันเริ่มเล่าเรื่องที่พี่ฟิวส์จะไปทำงานให้มันฟังครั้งนั้นที่ได้ยินเขาพูดมันก็รู้สึกโหวงเหวงในใจ คิดว่าคงไม่เป็นไร ถึงจะอยู่ห่างกันแต่ยังไงพี่ฟิวส์ก็ยังต้องกลับขึ้นฝั่งแล้วได้เจอกันอยู่ดี แต่พอได้ยินครั้งนี้แล้วมันรู้สึกไม่ดีเลย มันกลัวไปหมดความคิดที่ว่าไม่อยากไปขัดขวางความเจริญก้าวหน้าของเขามันเลือนหายไปทุกที ความเห็นแก่ตัวของฉันมันเริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนน่าสมเพช“แกไม่อยากให้เขาไปทำไมไม่พูดตรง ๆ ล่ะน้ำค้าง”“ถ้าพูดแบบนั้นฉันจะดูเป็นเด็กเกินไปไหมจิน อีกอย่างเรายังไม่ได้ตกลงเป็นแฟนกัน” ฉันรู้สึกได้ว่าหัวใจมันเริ่มเต้นรัวด้วยความกลัว“โอ๊ย ทุกวันนี้มันก็คือแฟนแล้วไหม ไม่ใช่ก็ใกล้
ตอนที่ 24 ไม่อยากห่างไกลฉันกลับมาทำงานให้แม่ของพี่ฟิวส์อีกครั้งหลังจากที่ใช้อารมณ์ ขอยกเลิกไปตอนนั้น ดีเท่าไหร่ที่ท่านยังเอ็นดูฉันมากขนาดนี้ ถ้าเป็นคนอื่นคงโกรธกันไปแล้วในตอนแรกฉันตั้งใจว่าจะทำงานช่วงหลังเลิกเรียน แต่พี่ฟิวส์แนะนำว่าช่วยยายทำขนมขายหน้าโรงงานคงดีกว่าเพราะจะได้ไม่หนักที่ต้องเรียนและทำงานไปด้วย เรื่องเรียนที่ว่าจะดรอปก็ถูกพับเอาไว้หลังจากที่ชีวิตเริ่มลงตัวขึ้นบวกกับได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนและพี่ฟิวส์ที่ตอนนี้เรียนจบแล้ว“ยัยค้าง!” ระรินเดินมาจากหลังตึก มาหาพวกเราที่รออยู่ใต้ตึกเรียนวิชาแรกของเราวันนี้เริ่มตอนเก้าโมงแต่เพราะวันนี้มีงานที่ต้องส่งอาจารย์หลายคนถึงได้มารอกันก่อนเพราะบางคนต้องมาปรึกษาเพื่อน หนึ่งในนั้นก็มีพวกเรา“รีบอะไรขนาดนั้นยัยระริน เพิ่งจะแปดโมงครึ่ง”“ไม่ได้รีบเพราะเรื่องนั้น”“มีเรื่องอะไรอีก” ยัยจินขมวดคิ้วถาม เพราะที่ผ่านมามันก็มีแต่เรื่องวุ่นวายของฉันทั้งนั้น“เรื่องนังเมย์” ยัยระรินพูดแล้วยิ้มเหมือนสะใจอะไรบางอย่างก่อนที่มันจะเล่าก่อนหน้านี้พี่เมย์โดนจับจริงและเป็นไปตามที่พวกพี่ฟิวส์ต้องการ ช่วงแรก ๆ พ่อและแม่ของพวกหล่อนมาคุยกับพี่ฟิวส์ให้เจ
ยอมรับว่าฉันเคยโกรธยายจนไม่อยากคุยไม่อยากเห็นหน้า ที่ยายช่วยน้าอิฐจนทำให้พวกเราลำบากกันหมด แต่สุดท้ายก็มีแต่ยายกับน้ำหนาวที่คอยอยู่เคียงข้างฉันตลอดช่วงชีวิตของฉันตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ ลองคิดว่าวันหนึ่งที่ไม่มียายฉันก็แทบจะไม่เหลืออะไรในชีวิตอีกแล้ว“ยายดูก็รู้ว่าเขามีเงิน แต่เรารู้จักเขาดีไหม เขาดีกับเราหรือเปล่าลูก ยายไม่ได้หมายถึงเรื่องเงินเขาแต่ความใส่ใจกับสิ่งที่เขาพูดเขาแสดงออกกับเรามันทำให้เรารู้สึกดีหรือแย่”“ค่ะ พี่ฟิวส์เขาดีกับค้างหลายเรื่อง” เรื่องที่เคยคิดไม่ดีก็คงไม่บอกยาย เพราะไม่อยากให้ยายมองไม่ดี “แต่ค้างก็กำลังศึกษาอยู่”ต่อไปนี้ก็คงต้องก้าวเดินอย่างระวัง ไม่ไว้ใจและให้ใจใครง่าย ๆ เหมือนอย่างที่ผ่านมา ต่อให้เราจะรู้สึกดีกับใครมากแค่ไหน เพราะสุดท้ายเราก็ไม่รู้เลยว่าอีกคนเขาจะรู้สึกกับเรายังไง เรื่องที่ผ่านมามันกลับไปแก้ไขไม่ได้แล้ว ก็คงต้องปล่อยมันไว้แค่ข้างหลัง“ถ้าเขาเป็นคนดียายก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่อย่ารีบ ค่อย ๆ ดูกันไป”“ค่ะ” ฉันตอบรับแล้วยิ้มส่งให้ยายไม่นานนักพี่ฟิวส์กับน้ำหนาวก็กลับมา ยายทำกับข้าวสองสามอย่างเลี้ยงพี่ฟิวส์ที่ช่วยมาซ่อมห้องให้ สายตาที่ยายมองพี่ฟิวส์
ตอนที่ 23 หัวใจดวงเดียวที่มีพี่ฟิวส์พาฉันไปทำแผลที่ห้องพยาบาลซึ่งอยู่ในโรงยิมของมหาวิทยาลัย อยู่ไม่ไกลจากคณะเรามากนัก รอยแผลมีบนหน้าที่มีรอยเล็บทั้งจิกทั้งข่วน ตามแขนและขาที่เป็นรอยถลอกและมีเลือดออก“ตรงนั้นมีกล้องใช่ไหมไอ้ไมน์” พี่ฟิวส์ก้มหน้าทำแผลให้ สีหน้าของเขาเรียบเฉย ฉายแววความโกรธอย่างที่เคยเห็นเมื่อวันนั้น แต่เขานิ่งจนน่ากลัวกว่านั้นเสียอีก“มี กูบอกให้ยามจัดการแล้ว”“ขอลุงมึงช่วยหน่อย เดี๋ยวพวกกูจะไปโรงพัก ข้อหาทำร้ายร่างกายกูจะไม่ยอมความ ไม่ไกล่เกลี่ย”“อืม เดี๋ยวกูจัดการให้”ฉันได้แต่เงียบฟังที่พวกพี่เขาพูดกัน ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของกฎหมายแต่เท่าที่ฟังพี่คือถ้าเป็นเหตุแบบนี้ตำรวจจะทำแค่เป็นข้อหาทะเลาะวิวาทเพื่อให้เรื่องมันจบ ๆ ไป แต่ถ้าเราที่ถูกไม่ยอมความก็สามารถส่งเรื่องฟ้องศาลได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคนที่โดนทำร้ายก็จะไม่ทำเพราะต้องเสียเงินอีกมากมายแต่พี่ฟิวส์บอกจะทำให้เรื่องถึงศาล เพื่อให้พวกนั้นมันเสียประวัติและให้ลุงของพี่ไมเนอร์ช่วย เพราะเราจะผิดหรือถูกขึ้นอยู่กับสำนวนที่ตำรวจเป็นคนเขียนขึ้นตอนที่เราไปแจ้งความสังคมมันอยู่ยากเพราะแบบนี้สินะ ถ้าไม่มีเส้นสายก็เท่ากับผิดทั้ง