“หวัดดี น้องระริน… เจอกันอีกแล้วเนอะ” พี่ไมเนอร์ยิ้มร้าย มองเพื่อนฉันด้วยสายตาราวกับหมาป่าที่อยากขย้ำเหยื่ออย่าคิดจะมาเขมือบเพื่อนฉันอีกคน!“ไปทำอะไรมาวะ โคตรช้า” พี่บูมเป็นคนถาม ส่วนพี่ฟิวส์ก็มองหน้าพี่ไมเนอร์เหมือนกำลังรอคำตอบ“ธุระ”“อย่างมึงจะมีธุระอะไรอีก นอกจากเรื่อง…”“เสือก” พี่ไมเนอร์พูดแล้วแย่งแก้วของพี่บูมมาดื่มจนหมด แอบเห็นสายตาของเขาจ้องยัยระรินอย่างมีความหมายบางอย่างอย่าบอกนะว่าคิดอะไรไม่ดีกับเพื่อนสนิทฉันด้วย! บอกเลยว่าฉันไม่ยอมแน่“จะทำอะไรก็เกรงใจเจ้าที่เจ้าทางหน่อยนะมึง” คราวนี้พี่ฟิวส์เป็นคนพูดบ้าง เขามองพี่ไมเนอร์สีหน้าเรียบเฉยเจ้าที่ ที่แปลว่าเจ้าของที่ใช่ไหมนะ แอบข่มพี่ไมเนอร์สินะ“เจ้าที่ไม่ขี้เสือกแบบพวกมึงหรอก กูรู้”ฉันได้แต่นั่งฟังรุ่นพี่สี่คนคุยกัน ไม่อยากเอาตัวเองเข้าไปยุ่งนักหรอกแต่พอเห็นว่าพี่ไมเนอร์ไม่มีความรู้สึกผิดเลยสักนิดฉันก็เริ่มโมโหแทนพี่ฟิวส์ขึ้นมา“ชนแก้วค่ะ”“ยัยค้าง เห็นกินง่ายๆ เมาหยั่งหมานะบอกก่อน ฉันเคยล้มมาแล้ว” ยัยจินบอกแล้วแอบหลุดขำใส่ฉัน“เมาก็เมา เดี๋ยวเดินกลับ” อย่าว่าแต่หมดเหยือกเลยตอนนี้ก็เริ่มมึนแล้ว“พี่ฟิวส์ฝากเพื่อนหนูด้วยนะ
“เขามีอะไรกับแฟนพี่เลยนะ หรือว่า…” ฉันหยุดครุ่นคิดก่อนจะปรือตาขึ้นมามองใบหน้าหล่อเหลานั้นช้าๆ“หรือว่า?”“พี่ใช้ของร่วมกับเพื่อนได้ด้วย…หูย น่ากลัว รสนิยมใช้ผู้หญิงคนเดียวกันเหรอ~”“เธอมันเพ้อเจ้อตลอด” พี่ฟิวส์หัวเราะเบาๆ“แล้วทำไมรับได้เล่า” ยอมรับว่าเมาแต่เรื่องพี่ฟิวส์ทำมึนยิ่งกว่า“ก็ฉันไม่ได้เป็นแฟนกับยัยนั่น”“เอ้า!”“เอ้า” พี่ฟิวส์เลียนแบบเสียงอุทานของฉัน ดวงตาคมคู่นั้นแฝงไปด้วยรอยยิ้มกวนๆ “ยัยเด็กขี้มโน คิดเรื่องเป็นตุเป็นตะ โคตรตลก”“แล้วสรุปพี่เป็นแฟนใคร…” สมองของฉันที่มันแทบไม่อยากทำงานยังคงตั้งคำถามต่ออย่างไม่ยอมแพ้“ถ้าฉันมีแฟนจะขึ้นมาส่งเธอถึงห้องไหม ยัยโง่ ทิ้งไว้หน้าหอนั่นแหละ”ฉันเม้มริมฝีปากล่างนิดๆ เพราะคำพูดนั้นชวนให้รู้สึกแปลกอยู่หน่อยๆ แต่มันแค่นิดเดียวเพราะครู่ต่อมาฉันก็รู้สึกเวียนหัวจนลืมความรู้สึกก่อนหน้านั้นไปหมดสิ้น“อยากอ๊วก นั่น หะ…ห้องนั้น” ฉันรีบเอามือปิดปากตัวเอง พี่ฟิวส์ปล่อยฉันลงไปยืนแล้วรีบใช้กุญแจเปิดประตูให้ฉันตรงดิ่งเข้าไปในห้องน้ำ ปลดปล่อยทุกสิ่งอย่างที่พร้อมใจกันออกมาจากกลางอก ชั่วขณะหนึ่งก็รู้สึกได้ถึงฝ่ามือของใครบางคนที่ลูบอยู่ตรงด้านหลัง มือ
ฉันตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหัวจนแทบจะระเบิดเพราะเหล้าปั่นเมื่อคืนแท้ๆ จนถึงตอนนี้ก็ยังรู้สึกผะอืดผะอมไม่หาย แต่ต้องรีบลุกไปอาบน้ำแต่งตัวเพราะวันนี้มีเรียนเก้าโมง แล้วตอนนี้มันก็ปาไปแปดโมงสี่สิบแล้วพอกันทีเหล้าบ้าบอนั่น ฉันไม่น่าไปทำความรู้จักกับมันเลยครึ่งชั่วโมงต่อมาฉันก็นั่งอยู่ที่ห้องเรียนกับพวกจินและระริน เข้าช้าไปสิบกว่านาทีจนอาจารย์มองตาเขียวปั๊ด ไม่พอยังโดนเพื่อนสนิทตั้งคำถามไม่เข้าเรื่องอีกต่างหาก“พี่ฟิวส์ส่งที่หอหรือส่งที่ห้อง บอกฉันมาเดี๋ยวนี้”“ไม่เหมือนกันตรงไหน” ฉันถาม ก็ความหมายมันเหมือนกันไม่ใช่เหรอ“ไม่เหมือน แกอย่าเฉไฉตอบมา”“ส่งที่หอไง”“แล้วขึ้นห้องไหม” ระรินไม่ยอมจบแค่นั้นยังคงถามต่อ สีหน้าของมันบ่งบอกความอยากรู้สุดๆ“…ไม่”“แกตอบช้า ใช้เวลาคิดมากกว่าห้าวิ โกหก!” เพื่อนสนิทหยิกแขนฉันเบาๆ แล้วก็ถามอีกว่า “ได้ไหม”“พูดบ้าอะไรของแกเนี่ย พอเลย” แล้วภาพเหตุการณ์เมื่อคืนก็กลับมาฉายซ้ำเมื่อได้ยินคำถามของระริน ว่าจะไม่คิดถึงแล้วนะ ในเมื่อต่างคนต่างเมา จะได้แกล้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกอย่างภาพมันก็เรือนรางจนเหมือนไม่ใช่ความจริงเลย“สรุปยังไง! ยัยน้ำค้าง” คราวนี้ยัยจ
ลูกค้าวันนี้ก็เช่นเคยส่วนใหญ่คือนักศึกษามหาวิทยาลัยที่ฉันเรียนอยู่กับมหาวิทยาลัยใกล้เคียง แต่ก็มีส่วนน้อยที่เป็นลูกค้าผู้ใหญ่วัยทำงานที่กระเป๋าหนักกว่าพวกนักศึกษา ซึ่งพวกนี้เหล่าพีอาร์สาวจะชอบดูแลมากเพราะให้ทิปเยอะ ส่วนฉันก็มีหน้าที่แค่เสิร์ฟเครื่องดื่มเหมือนเดิม ถ้าลูกค้าใจดีก็ให้เป็นเงินทอนซึ่งเงินพวกนี้จะต้องเอาไปรวมในกล่องของร้านแล้วเอามาเฉลี่ยกันให้พนักงานทุกคนเท่าๆ กัน แต่ก็มีพวกที่ไม่ยอมเอามารวมกับคนอื่น แอบเก็บเอาไว้เองก็มี“น้องๆ”“คะ”ขณะที่ฉันกำลังเดินผ่านโต๊ะหนึ่งซึ่งเป็นลูกค้าผู้ใหญ่ เท่าที่ทำงานมาเกือบสองเดือนนี้ยังไม่เคยเห็นหน้า คงเป็นลูกค้าขาจรที่ไม่ได้มาเป็นประจำ“มานี่หน่อยครับ” เขากวักมือเรียก“มีอะไรให้ช่วยไหมคะ”“ช่วยนั่งกับพวกพี่หน่อย เดี๋ยวพี่จ่ายให้”“ออ ถ้าอยากได้สาวๆ มานั่งเดี่ยวเรียกให้นะคะ พอดีไม่ได้ทำตรงนี้” ฉันบอกแล้วยิ้มให้ แต่ผู้ชายคนนั้นกลับไม่ยอมแล้วยังคว้าขอมือฉันไว้อีกจนต้องดึงกลับ“พี่อยากให้น้องนั่งครับ พี่รู้จักกับเจ้าของร้านเดี๋ยวคุยให้”“ไม่ดีกว่าค่ะ ร้านนี้มีพีอาร์ หนูต้องทำงานตัวเอง ขอโทษลูกค้าด้วยนะคะ” ฉันหันหลังจะเดินหนีเพราะเห็นท่าไม่ดี แ
หลายวันมานี้ฉันเริ่มค้นหางานพาร์ทไทม์ใหม่เพราะรู้สึกว่างานที่ทำอยู่นี้มันเริ่มไม่ปลอดภัยแล้ว อีกอย่างพอเจอเหตุการณ์แบบคืนวันก่อนนั้นฉันก็รู้สึกว่าไม่ชอบ มันรู้สึกขยะแขยงผู้ชายประเภทนั้นอย่างบอกไม่ถูกวันเสาร์ที่ผ่านมาฉันก็ขอลางาน ไม่กล้าไปทำงานและออกห้องตอนกลางคืนอีกเพราะกลัวว่าคนพวกนั้นจะไม่พอใจแล้วมาทำอะไรเรา ซึ่งฉันอาจจะคิดไปเองแต่มันก็มีความเป็นไปได้ไม่น้อยเลยก่อนหน้าที่จะมาทำงานนี้ก็พอจะทำใจไว้แล้วแต่พอเจอเรื่องกับตัวเองจริงๆ ถึงได้รู้ว่ามันแย่มาก รู้สึกไม่ดีเอาเสียเลยNamkhang : อยากเปลี่ยนงาน พวกแกหาช่วยหน่อยได้ไหมระริน ไม่ใช่ ละลิน : เกิดอะไรขึ้นNamkhang : เลิกดึกน่ะ ไม่ไหว อันตรายด้วยระริน ไม่ใช่ ละลิน : เดี๋ยวช่วยดูให้JIN JIN : รีบเข้าคณะแล้วมาเล่าค่ะ ยัยหมวยบอกฉันหมดแล้วยัยจินที่เงียบอ่านอยู่สักพักก็ส่งข้อความเข้ามาในกลุ่มของเรา คิดว่าจะไม่พูดเรื่องนี้อยู่แล้วเชียว เพราะไม่อยากให้คนมาถามมาก แค่นี้ฉันก็รู้สึกอายจะแย่ เมื่อคืนก่อนคนเห็นเหตุการณ์เกือบทั้งร้าน ถึงส่วนใหญ่จะไม่รู้จักฉันแต่เชื่อว่ามีคนรู้จักพี่ฟิวส์เยอะแน่ๆ เพราะเขาเป็นคนของมหาวิทยาลัย และอย่างที่บอกลูกค้าม
“ไม่ ไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้น เหนื่อย อยากหางานอื่นทำ”“เออ ลืมไปเลยเดี๋ยวช่วยหา”แล้วบทสนทนาที่มีเรื่องพี่ฟิวส์มาเกี่ยวข้องก็จบลงแค่นั้น อันที่จริงฉันไม่อยากให้มีชื่อเขาออกมาเลยด้วยซ้ำเพราะฉันรู้สึกได้ว่ามีคนที่ชอบเขาจริงจังตั้งมากมาย ดูจากสายตาหลายคู่ที่มองมามันมีทั้งเฉย มีทั้งอิจฉา หรือบางทีก็มองมาเหมือนเกลียด ซึ่งฉันไม่ชอบเลย ชีวิตที่เคยปกติของฉันมันเริ่มไม่เหมือนเดิมอีกแล้วหลังจากเลิกเรียนวิชาสุดท้ายตอนบ่ายสามฉันก็นั่งรอเวลาอยู่ที่ใต้ตึกคณะ มีระรินนั่งเป็นเพื่อนส่วนจินนั้นรุ่นพี่นัดไปซ้อมการแสดงที่จะต้องเข้าร่วมในงานสปอร์ตเดย์จินเป็นเชียร์หลีดของคณะส่วนระรินมีดีกรีเป็นถึงดาวคณะ แน่นอนว่าระรินต้องได้ถือป้ายคณะนำขบวนของงานสปอร์ตเดย์ของปีนี้ ส่วนฉันนะเหรอ รุ่นพี่เสนออะไรมาก็ปฏิเสธหมดเพราะฉันไม่มีเวลาเหมือนคนอื่นเขา ต้องหางานพิเศษทำตั้งแต่ช่วงปิดเทอมหลังเรียนจบมัธยม ช่วงแรกทำอยู่กับร้านคาเฟ่เล็กๆ แต่ค่าจ้างที่น้อยเลยทำให้ต้องเปลี่ยนงานหลังจากมีเรื่องกับน้าอิฐนี่ก็อาจจะเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ทั้งรุ่นพี่และเพื่อนไม่ค่อยชอบฉันเท่าไหร่ เพราะไม่ค่อยเข้าคณะ ปฏิเสธหลายกิจกรรม เหลือก็แค่งานชม
“จะมาทำไมวะเนี่ย” ฉันพึมพำคิดว่าระรินคงไม่ได้ยินแต่มันดันได้ยิน“ต้องสวยขนาดไหนเนี่ย ถึงพูดแบบนี้กับผู้ชายแบบพี่ฟิวส์ได้”“พอเถอะยัยบ้า ฉันยัง งงอยู่ว่ามาทำไม”“ไปได้แล้ว จะรอพี่เขาลงมารับเหรอ เกินไปป่ะยัยน้ำค้าง สวยกว่าฉันนิดเดียวอย่ามาทำเล่นตัวหน่อยเลย” ระรินดันหลังฉันไปข้างหน้า สุดท้ายก็จำใจเดินไปหารถของเขาแต่พอไปถึง กำลังจะเปิดประตูก็เห็นรุ่นพี่อีกคนเดินไปฝั่งคนขับเคาะกระจกฝั่งนั้นแล้วพี่ฟิวส์ก็เลื่อนกระจกลงทั้งสองฝั่ง นี่มันจังหวะอะไรของชีวิตผู้หญิงคนนั้นคือรุ่นพี่ในคณะ ฉันจำเธอได้เพราะเธอเป็นนักกิจกรรม เป็นหนึ่งในสมาชิกสโมสรนักศึกษาของคณะนิเทศน์ พอเธอเห็นฉันเดินอยู่ตรงประตูก็มองมาเหมือนมีคำถาม“ขึ้นมาสิ ยืนรออะไร”เสียงของพี่ฟิวส์ดังขึ้น การที่เขามองมาทางฉันพอจะทำให้รู้ว่าคุยกับใคร ฉันจึงเปิดประตูเข้าไปนั่ง ขณะที่ในหัวเต็มไปด้วยคำถามและความประหม่าเพราะสายตาของพวกที่นั่งอยู่บริเวณนี้กับรุ่นพี่ผู้หญิงคนนั้น ถ้าจำไม่ผิดน่าจะชื่อว่า พี่มิ้นต์“ไปก่อนนะ”“จะพาน้องคณะเราไปไหนเนี่ย” เธอพูดกลั้วขำแต่ฉันกลับรู้สึกได้ว่าสายตาที่เธอมองมานั้นไม่ได้ยินดีอย่างที่ปากยิ้มส่งมาเลย“ไปซื้อของมา
“เปล่า” ตอบแค่นั้นแล้วเขาก็เดินหนีไปขึ้นรถพี่ฟิวส์ขับรถพาฉันไปบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง จนเริ่มเดาสถานการณ์ออกว่าเขาซื้อต้นไม้พวกนั้นมาให้แม่ของตัวเอง เอาจริงๆ ตอนนี้ฉันเริ่มทำตัวไม่ถูกเพราะไม่คิดว่าเขาจะพามาบ้านตัวเอง“นี่บ้านพี่ฟิวส์เหรอ” ฉันถามตอนที่รถจอดสนิท ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่ามันใช่แน่ๆ“อืม ลงไปสิ แม่ชวนกินข้าวเย็นด้วย”“หา!!” ฉันอุทานออกมาด้วยความตกใจ เพราะเขาเพิ่งบอกว่าแม่ชวนกินข้าว ฉันไม่ได้หูฝาดไปหรอกใช่ไหม “หมายถึงชวนพี่ฟิวส์ แล้วรู้ไหมว่ามีหนูมาด้วย”“รู้”“พี่ฟิวส์บอกแม่ว่าไงอะ” บอกตามตรงตอนนี้ฉันตื่นเต้นยิ่งกว่าตอนสอบสัมภาษณ์เข้ามหาวิทยาลัยอีก“ถามอะไรเยอะแยะวะ รีบลงไป”พูดจบเขาก็ลงจากรถแล้วเปิดประตูด้านหลังขนต้นไม้ลง พอฉันทำท่าจะเข้าไปช่วยคราวนี้เขากลับบอกให้ไปยืนเฉยๆ ก่อนที่จะมีคุณลุงคนหนึ่งเข้ามาช่วยเขาแทน“สวัสดีค่ะ คุณลุง” ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่คงไม่ใช่พ่อของเขาหรอกเพราะพี่ฟิวส์ก็เรียกลุงเหมือนกัน“สวัสดีครับ” คุณลุงตอบรับด้วยท่าทียิ้มอายพลางหันมองพี่ฟิวส์ก่อนจะสลับมายิ้มให้ฉันอีกรอบ“มาแล้วเหรอ แม่เพิ่งทำกับข้าวเสร็จ”“สวัสดีค่ะ”“อุ๊ย สวัสดีจ้าลูก” คุณแม่ของพ
ที่ห้องของพี่ฟิวส์ยังมีเสื้อผ้าของเขาที่ฉันลืมทิ้งไว้เมื่อหลายเดือนก่อนอยู่สองถึงสามชุด แล้วเขาก็เก็บมันไว้ในตู้เสื้อผ้าของตัวเองอย่างดี แถมยังบอกว่ารอให้เจ้าของมันมาใส่ทุกวัน ไม่รู้ไปดูหนังรักเรื่องไหนมาถึงได้ทำตัวหวานเลี่ยนอยู่ตลอดเวลา“หาอะไรคะ”ฉันถามเมื่อเห็นว่าพี่ฟิวส์เดินไปเดินมา เปิดลิ้นชักหาอะไรบางอย่างไม่ยอมพูดจา ตอนนี้เขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ผมก็ยังไม่แห้งส่วนฉันเป่าจนแห้งแล้วระหว่างรอพี่ฟิวส์อาบน้ำ“เดี๋ยวพี่มานะ” เขาไม่ตอบคำถามฉันแล้วก็เดินไปหยิบเสื้อยืด ก่อนจะเดินออกไปจากห้องให้กลายเป็นคำถามใหม่เกิดขึ้นรออยู่เป็นสิบนาทีพี่ฟิวส์ก็กลับเข้ามาในห้องเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สายตาฉันมันดันเหลือบไปเห็นกล่องอะไรบางอย่างที่อยู่ตรงกระเป๋ากางเกงนอนขายาวของเขาเข้าพลันหัวใจดวงน้อยที่เต้นสม่ำเสมออยู่ก็ขยับจังหวะเร็วขึ้นจนน่าตกใจไอ้พี่ฟิวส์มันคิดไม่ดี!“ไปไหนมา” ฉันแกล้งถาม ถ้าตอนนี้ห้องมันสว่างคงเห็นแล้วว่าหน้าฉันแดงอยู่เพราะมันร้อนมากจนเหงื่อผุดตรงขมับทั้งที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ“เอาของห้องเพื่อน”“ของอะไรเวลานี้” ก็รู้อยู่แล้วแต่อยากรู้นักพี่ฟิวส์มันจะเฉไฉไปยังไง“ถามเยอะกลัวจะไปหาผู้หญิ
ตอนที่ 25 บอกรักNC (ตอนจบ)“เมาขนาดนี้กลับแล้วไหม”“ไม่ พี่ฟิวส์อยากกลับก็กลับไปเลย คนกำลังสนุก” ฉันพยายามจะลุกขึ้นแม้สติตัวเองจะเหลือเพียงครึ่ง“ทำไมดื่มจนเมาขนาดนี้วะ”ฉันไม่ได้ฟังสิ่งที่เขาพูดพยายามจะลุกขึ้นจากโซฟาตัวนั้นแต่คนที่นั่งโอบอยู่ด้านหลังก็ไม่ยอมให้ลุก จนฉันเริ่มหงุดหงิดหันไปมองเขาอย่างหาเรื่อง“พี่ฟิวส์!”“ถ้าไม่กลับก็นั่งดื่มตรงนี้ ดี ๆ ”ฉันถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่เมื่อไม่ได้ดั่งใจตัวเอง จำยอมต้องนั่งอยู่ตรงนั้นโดยมีพี่ฟิวส์นั่งโอบอยู่ด้านหลัง เลยถือโอกาสนั้นใช่ตัวเขาเป็นที่พักพิงไปซะ“ถ้าไม่ไหวก็กลับ”“กลับอาไร เค้กยังไม่ได้เป่า...เลย~”“วันเกิดเพื่อนไม่ใช่วันเกิดเรา” พี่ฟิวส์ขำแล้วยกแก้วของตัวเองขึ้นมาดื่ม แล้วพี่ไมเนอร์ก็ลากยัยระรินมานั่งอีกคน“พากลับแล้วไหม กูก็ไม่คิดว่าจะพากันพังขนาดนี้”“ยอมกลับที่ไหน ดื้อ!” คำพูดนั้นเขาพูดกรอกหูฉันจนต้องเอี้ยวตัวหันไปมองคนที่นั่งคร่อมกันอยู่ด้านหลังแต่พอกันไปเจอกับหน้าพี่ฟิวส์ที่ก้มลงมาจนจมูกแทบชิดกัน เขาใช้โอกาสนั้นขยับใบหน้าลงมาเพียงนิดเดียว ประกบริมฝีปากของฉันท่ามกลางผู้คนที่อยู่รอบตัวฉันโดยไม่อายว่าจะมีใครมองมา“อื้อ~ หยุดเลย”
เราแยกกันตรงนั้นแล้วฉันก็กลับหอยัยจินไปกินข้าว อาบน้ำและแต่งตัว ในหัวก็คิดอยู่ตลอดคิดภาพตอนที่พี่ฟิวส์หายไปเป็นเดือน ติดต่อกันไม่ได้ ไม่เห็นหน้าไม่ได้ยินเสียงเขา ฉันจะเป็นยังไง“แกเป็นอะไรไปเพื่อน ไม่สบายเหรอ” เสียงของยัยจินเรียกสติของฉันให้กลับมา หลังจากที่มันล่องลอยไปไกล“เปล่า”“ฉันเห็นแกนั่งใจลอยมาหลายรอบแล้ว มีเรื่องอะไรให้คิดมากอีก” เพื่อนสนิทถามอย่างนั้น มันก็คงจะดูออกว่าฉันกำลังทำตัวผิดปกติ“ยัยจิน…” ฉันเริ่มเล่าเรื่องที่พี่ฟิวส์จะไปทำงานให้มันฟังครั้งนั้นที่ได้ยินเขาพูดมันก็รู้สึกโหวงเหวงในใจ คิดว่าคงไม่เป็นไร ถึงจะอยู่ห่างกันแต่ยังไงพี่ฟิวส์ก็ยังต้องกลับขึ้นฝั่งแล้วได้เจอกันอยู่ดี แต่พอได้ยินครั้งนี้แล้วมันรู้สึกไม่ดีเลย มันกลัวไปหมดความคิดที่ว่าไม่อยากไปขัดขวางความเจริญก้าวหน้าของเขามันเลือนหายไปทุกที ความเห็นแก่ตัวของฉันมันเริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนน่าสมเพช“แกไม่อยากให้เขาไปทำไมไม่พูดตรง ๆ ล่ะน้ำค้าง”“ถ้าพูดแบบนั้นฉันจะดูเป็นเด็กเกินไปไหมจิน อีกอย่างเรายังไม่ได้ตกลงเป็นแฟนกัน” ฉันรู้สึกได้ว่าหัวใจมันเริ่มเต้นรัวด้วยความกลัว“โอ๊ย ทุกวันนี้มันก็คือแฟนแล้วไหม ไม่ใช่ก็ใกล้
ตอนที่ 24 ไม่อยากห่างไกลฉันกลับมาทำงานให้แม่ของพี่ฟิวส์อีกครั้งหลังจากที่ใช้อารมณ์ ขอยกเลิกไปตอนนั้น ดีเท่าไหร่ที่ท่านยังเอ็นดูฉันมากขนาดนี้ ถ้าเป็นคนอื่นคงโกรธกันไปแล้วในตอนแรกฉันตั้งใจว่าจะทำงานช่วงหลังเลิกเรียน แต่พี่ฟิวส์แนะนำว่าช่วยยายทำขนมขายหน้าโรงงานคงดีกว่าเพราะจะได้ไม่หนักที่ต้องเรียนและทำงานไปด้วย เรื่องเรียนที่ว่าจะดรอปก็ถูกพับเอาไว้หลังจากที่ชีวิตเริ่มลงตัวขึ้นบวกกับได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนและพี่ฟิวส์ที่ตอนนี้เรียนจบแล้ว“ยัยค้าง!” ระรินเดินมาจากหลังตึก มาหาพวกเราที่รออยู่ใต้ตึกเรียนวิชาแรกของเราวันนี้เริ่มตอนเก้าโมงแต่เพราะวันนี้มีงานที่ต้องส่งอาจารย์หลายคนถึงได้มารอกันก่อนเพราะบางคนต้องมาปรึกษาเพื่อน หนึ่งในนั้นก็มีพวกเรา“รีบอะไรขนาดนั้นยัยระริน เพิ่งจะแปดโมงครึ่ง”“ไม่ได้รีบเพราะเรื่องนั้น”“มีเรื่องอะไรอีก” ยัยจินขมวดคิ้วถาม เพราะที่ผ่านมามันก็มีแต่เรื่องวุ่นวายของฉันทั้งนั้น“เรื่องนังเมย์” ยัยระรินพูดแล้วยิ้มเหมือนสะใจอะไรบางอย่างก่อนที่มันจะเล่าก่อนหน้านี้พี่เมย์โดนจับจริงและเป็นไปตามที่พวกพี่ฟิวส์ต้องการ ช่วงแรก ๆ พ่อและแม่ของพวกหล่อนมาคุยกับพี่ฟิวส์ให้เจ
ยอมรับว่าฉันเคยโกรธยายจนไม่อยากคุยไม่อยากเห็นหน้า ที่ยายช่วยน้าอิฐจนทำให้พวกเราลำบากกันหมด แต่สุดท้ายก็มีแต่ยายกับน้ำหนาวที่คอยอยู่เคียงข้างฉันตลอดช่วงชีวิตของฉันตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ ลองคิดว่าวันหนึ่งที่ไม่มียายฉันก็แทบจะไม่เหลืออะไรในชีวิตอีกแล้ว“ยายดูก็รู้ว่าเขามีเงิน แต่เรารู้จักเขาดีไหม เขาดีกับเราหรือเปล่าลูก ยายไม่ได้หมายถึงเรื่องเงินเขาแต่ความใส่ใจกับสิ่งที่เขาพูดเขาแสดงออกกับเรามันทำให้เรารู้สึกดีหรือแย่”“ค่ะ พี่ฟิวส์เขาดีกับค้างหลายเรื่อง” เรื่องที่เคยคิดไม่ดีก็คงไม่บอกยาย เพราะไม่อยากให้ยายมองไม่ดี “แต่ค้างก็กำลังศึกษาอยู่”ต่อไปนี้ก็คงต้องก้าวเดินอย่างระวัง ไม่ไว้ใจและให้ใจใครง่าย ๆ เหมือนอย่างที่ผ่านมา ต่อให้เราจะรู้สึกดีกับใครมากแค่ไหน เพราะสุดท้ายเราก็ไม่รู้เลยว่าอีกคนเขาจะรู้สึกกับเรายังไง เรื่องที่ผ่านมามันกลับไปแก้ไขไม่ได้แล้ว ก็คงต้องปล่อยมันไว้แค่ข้างหลัง“ถ้าเขาเป็นคนดียายก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่อย่ารีบ ค่อย ๆ ดูกันไป”“ค่ะ” ฉันตอบรับแล้วยิ้มส่งให้ยายไม่นานนักพี่ฟิวส์กับน้ำหนาวก็กลับมา ยายทำกับข้าวสองสามอย่างเลี้ยงพี่ฟิวส์ที่ช่วยมาซ่อมห้องให้ สายตาที่ยายมองพี่ฟิวส์
ตอนที่ 23 หัวใจดวงเดียวที่มีพี่ฟิวส์พาฉันไปทำแผลที่ห้องพยาบาลซึ่งอยู่ในโรงยิมของมหาวิทยาลัย อยู่ไม่ไกลจากคณะเรามากนัก รอยแผลมีบนหน้าที่มีรอยเล็บทั้งจิกทั้งข่วน ตามแขนและขาที่เป็นรอยถลอกและมีเลือดออก“ตรงนั้นมีกล้องใช่ไหมไอ้ไมน์” พี่ฟิวส์ก้มหน้าทำแผลให้ สีหน้าของเขาเรียบเฉย ฉายแววความโกรธอย่างที่เคยเห็นเมื่อวันนั้น แต่เขานิ่งจนน่ากลัวกว่านั้นเสียอีก“มี กูบอกให้ยามจัดการแล้ว”“ขอลุงมึงช่วยหน่อย เดี๋ยวพวกกูจะไปโรงพัก ข้อหาทำร้ายร่างกายกูจะไม่ยอมความ ไม่ไกล่เกลี่ย”“อืม เดี๋ยวกูจัดการให้”ฉันได้แต่เงียบฟังที่พวกพี่เขาพูดกัน ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของกฎหมายแต่เท่าที่ฟังพี่คือถ้าเป็นเหตุแบบนี้ตำรวจจะทำแค่เป็นข้อหาทะเลาะวิวาทเพื่อให้เรื่องมันจบ ๆ ไป แต่ถ้าเราที่ถูกไม่ยอมความก็สามารถส่งเรื่องฟ้องศาลได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคนที่โดนทำร้ายก็จะไม่ทำเพราะต้องเสียเงินอีกมากมายแต่พี่ฟิวส์บอกจะทำให้เรื่องถึงศาล เพื่อให้พวกนั้นมันเสียประวัติและให้ลุงของพี่ไมเนอร์ช่วย เพราะเราจะผิดหรือถูกขึ้นอยู่กับสำนวนที่ตำรวจเป็นคนเขียนขึ้นตอนที่เราไปแจ้งความสังคมมันอยู่ยากเพราะแบบนี้สินะ ถ้าไม่มีเส้นสายก็เท่ากับผิดทั้ง
ฉันนั่งทานข้าวท่ามกลางคำแซวและสายตาหลายคู่ที่มองมา เล่นเอาทำตัวไม่ถูกกินข้าวแทบไม่ลง แต่พี่ฟิวส์ซื้อข้าวมาทีหลังทานเกลี้ยงหมดจานไปแล้ว เจริญอาหารจนอยากจะเอาเล็บข่วนหน้าด้วยความหมั่นไส้“เลิกเรียนกี่โมงกัน” เขาที่ทานข้าวเสร็จกอดอกถามพวกเรา ที่ใช้คำว่าพวกเราเพราะเขาไม่ได้เอ่ยชื่อแล้วกวาดสายตามองจนครบ เหมือนจะรู้ตัวนะว่าถามฉันก็ไม่บอกหรอก“บ่ายสามค่ะพี่ฟิวส์” ยัยจินตอบ อยากจะหยิกแขนแรง ๆ ตอนทะเลาะกับพี่ฟิวส์ล่ะไม่เห็นจะเป็นอย่างนี้ เห็นความหล่อไม่ได้เลยพวกเพื่อนทรยศ“โอเค เดี๋ยวมารับนะ” ประโยคแรกพูดกับเพื่อนประโยคหลังหันมาบอกฉัน“ค้างจะขี่มอเตอร์ไซค์กลับค่ะ”“ตุ๊กตาตัวนั้นไม่ทำให้เราใจอ่อนเลยเหรอ” คำถามนี้พี่ไมเนอร์เป็นคนถามแทนเพราะพี่ฟิวส์นั่งเงียบเหมือนคนกำลังน้อยใจฉันอย่างหนัก“ค้างจะขี่มอเตอร์ไซค์กลับเพราะไม่อยากทิ้งรถไว้มหาลัยค่ะ เมื่อคืนพี่ฟิวส์ก็ไปส่งแล้ว จอดทิ้งไว้ส่งสารมัน”“สงสารรถแต่ไม่สงสารกูเลย” พี่ฟิวส์กันไปคุยกับเพื่อนตัวเองอย่างกับพวกขี้ฟ้อง“ถ้าอยากไปรับไปส่งก็ตั้งแต่พรุ่งนี้แล้วกัน อย่ามาบ่นทีหลังให้ได้ยิน” ฉันพูดออกไปแล้วทุกคนก็พากันยิ้มแต่เป็นรอยยิ้มที่ราวกับจะสื่อว่า
ตอนที่ 22 รุมทำร้ายวันนี้เป็นวันแห่งความรัก ถ้าเป็นตอนมัธยมคงได้เห็นคนถือดอกกุหลาบหรือตุ๊กตาตัวโตเดินกันว่อนโรงเรียน แต่พอขึ้นมหาลัยภาพเหล่านั้นก็ไม่มีให้เห็นมากนัก คนที่ถือช่อดอกกุหลาบก็มีอยู่บ้างกลายเป็นที่สนใจของคนที่เดินผ่านไปมาด้วย“อิจฉาคนมีความรักหวะ” ยัยจินแกล้งแซวระรินที่ถือช่อดอกกุหลาบสีแดงในมือตอนนี้เรากำลังจะไปทานข้าวที่โรงอาหารของคณะฯ ยัยระรินเพิ่งได้ช่อดอกนี้จากพี่ไมเนอร์เมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วนี้เอง เลยกลายเป็นที่จดจ้องของใครหลายคนถึงแม้ว่าส่วนใหญ่จะรู้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นอย่างดี แต่เพราะกิตติศัพท์ของพี่ไมเนอร์ไม่ใช่เรื่องที่ดี คนเลยแอบซุบซิบนินทากันใหญ่มีแต่คนพูดว่ายัยระรินจะโดนหลอก เดี๋ยวก็โดนทิ้งบ้างล่ะ“น้ำค้าง!” เสียงเข้มของใครบางคนดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้เราทั้งสามคนหันไปมองอย่างพร้อมเพรียงพอเห็นว่าเป็นพี่พีถือดอกกุหลาบสีแดงดอกหนึ่งมาเราถึงกับหันมามองหน้ากันหมด“มีอะไรเหรอคะ”“มีคนฝากมาให้” พี่พียื่นดอกกุหลาบมาให้พร้อมกับรอยยิ้ม“ใครคะ” ฉันถามด้วยความสงสัยแต่ก็ยื่นมือไปรับเอาไว้“มันไม่ให้บอก แต่ฝากบอกว่าแอบชอบอยู่” หนุ่มรุ่นพี่ยิ้มกวน ๆ “จะไปไหนกัน”“ไปกิ
พี่ฟิวส์!เขาอยู่ในชุดเสื้อช็อปที่เห็นประจำ แต่งตัวเหมือนไปเรียนแต่เดินหน้าตึงมาอยู่หน้าโรงงานที่ฉันกำลังยืนขายขนม“พี่ฟิวส์บอกให้มาส่ง”ไปรู้จักชื่อตอนไหน!?ฉันมองหน้าน้องชายตัวเองแล้วเบือนหน้าไปมองพี่ฟิวส์ที่ตอนนี้ยืนยิ้มอยู่ข้างน้ำหนาว ก่อนจะยกมือไหว้ยายที่กำลังมองอย่างสงสัย“ใครล่ะค้าง”“คนรู้จักค่ะ รุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัย” ฉันตอบแล้วหันไปมองพี่ฟิวส์ที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไร ขยับมายืนอยู่ใกล้ ๆ“ขายดีจังครับ” เขาแกล้งคุยกับยายมองผ่านความบึ้งตึงของฉันไป “ที่เหลือขอเหมาได้ไหม ผมยังไม่ได้ทานข้าวมาเลย”“จะมาทำไมก็ไม่รู้” ฉันบ่นแล้วถลึงตาใส่พี่ฟิวส์แต่เขาไม่แม้แต่จะสำนึกผิด“เดี๋ยวกลับไปกินข้าวที่บ้านดีกว่าลูก” ยายพูดด้วยรอยยิ้มแล้วหยิบขนมสามชิ้นที่เหลือใส่ถุงให้ลูกค้าคนสุดท้าย จนไม่เหลือเลยสักชิ้นสมน้ำหน้าพี่ฟิวส์มองตาละห้อย“น้ำค้างทำแกงจืดไว้เมื่อเช้าเยอะแยะ พาพี่เขาไปกินข้าวไป”ยายคงเดาออกว่าพี่ฟิวส์ไม่ใช่แค่รุ่นพี่อย่างที่บอก แต่ยายมองไม่ออกเลยเหรอว่าฉันเกลียดขี้หน้าพี่ฟิวส์อยู่ ทำไมต้องทำการต้อนรับเขาขนาดนั้น“ขอบคุณครับ เดี๋ยวไปส่งน้องไปโรงเรียนก่อนแล้วผมกลับมาอาศัยข้าวเช้าสักมื้อนะค