ชยาวุธเดินตามภัทรมัยมาจนถึงลานจอดรถ หญิงสาวคงคิดจะกลับบ้านแล้วจึงเรียกเธอเอาไว้
“แก้ม” เธอหยุดเดินแล้วหันมามองหน้าเขา สีหน้าแปลกใจไม่น้อยที่เห็นเขาอยู่ที่นี่
“พี่มาดื่มกับไอ้ทิวน่ะ” เขาบอกโดยที่เจ้าตัวไม่ต้องถาม
“จะกลับคอนโดฯ แล้วหรือ ให้พี่ขับรถให้ดีกว่าไหม ดื่มไปหลายแก้วแล้วนะเราน่ะ” เขารู้ เพราะเขามองเธออยู่ตลอด ภัทรมัยดื่มค็อกเทลไปไม่ต่ำกว่าสี่แก้วแล้ว หากให้ขับรถเองคงไม่ดีเท่าไรนัก
หญิงสาวยืนมองหน้าเขานิ่ง “จะขับรถให้แก้มงั้นหรือ แล้วรถพี่ที่จอดไว้ที่นี่ล่ะ”
“ส่งแก้มเสร็จแล้วพี่ค่อยนั่งแท็กซี่กลับมาเอารถ ขอกุญแจให้พี่เถอะ”
เขายื่นมือออกไป เธอมองมือเขาแล้วค่อย ๆ ไล่สายตาขึ้นมามองหน้า เบ้ปากใส่เขาก่อนหยิบกุญแจในกระเป๋าสะพายยื่นส่งให้
“โอเค พี่จะขับรถไปส่งเอง แยกหน้ามันชอบมีด่าน แก้มเองก็เริ่มมึนแล้วด้วยใช่ไหมล่ะ” เขาเดินไปนั่งฝั่งคนขับ แต่หญิงสาวกลับขึ้นไปนั่งเบาะหลัง เขามองเธอผ่านทางกระจกมองหลัง เธอเชิดหน้าขึ้นแล้วพูดกับเขาว่า
“ก็พี่จะทำหน้าที่เป็นคนขับรถให้ไม่ใช่หรือ ก็ขับไปสิ”
ชยาวุธยิ้มกว้าง รู้ว่าเธอจงใจแกล้งเขา แต่เขากลับรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก เพราะอย่างน้อยก็ดีกว่าท่าทีเฉยเมยที่เธอทำใส่เขาอยู่ทุกวัน
“แก้มนอนพักเถอะ ถึงแล้วพี่จะปลุก” แต่ถึงคอนโดฯ ของเขานะ เขาคงส่งไม่ถึงคอนโดฯ ของเธอแน่นอน
ภัทรมัยนั่งหลับตาอยู่เบาะหลัง เธอไม่ได้หลับ เพราะหัวใจเต้นรัวกระหน่ำอยู่ในอกข้างซ้ายรุนแรงขนาดนั้นใครจะหลับลงได้ แต่เพราะไม่อยากมองหน้าเขาให้ปวดใจ และไม่อยากให้เขาชวนคุยจึงปิดเปลือกตาลงเสีย
ไม่รู้ว่าเธอคิดถูกหรือเปล่าที่ให้เขาขับรถให้ เพราะถ้าเดาไม่ผิด จุดหมายปลายทางของชยาวุธคงไม่ใช่คอนโดมิเนียมของเธอแน่นอน แต่เป็นคอนโดฯ ของเขา
แต่เธอตัดสินใจแล้วว่างานนี้เธอจะหลอกปั่นหัวเขาดูบ้าง เขาไม่รักเธอก็ไม่เป็นไร เพราะเธอจะพยายามไม่รักเขาให้ได้เหมือนกัน
ทั้งรถอยู่ในความเงียบ มีเพียงเสียงเพลงจากวิทยุรถยนต์ที่ชยาวุธเปิดคลอเอาไว้เพื่อไม่ให้บรรยากาศในห้องโดยสารดูอึมครึมจนเกินไป ชายหนุ่มลอบถอนหายใจแผ่ว สายตาของเขานอกจากมองถนนเบื้องหน้าแล้ว ยังคอยมองกระจกหลังเป็นระยะเพื่อแอบมองหญิงสาวอีกด้วย
เวลาผ่านไปร่วมครึ่งชั่วโมงก็ถึงที่หมาย รถเลี้ยวเข้ามาในคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง หลังจากชยาวุธจอดรถเข้าซองได้เรียบร้อย ชายหนุ่มก็หันมาเรียกคนที่นั่งหลับตาอยู่เบาะหลัง
“แก้ม ถึงแล้วครับ”
ภัทรมัยลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่ปรากฏแก่สายตาคือใบหน้าคมเข้มของอดีตคนรัก เธอมองหน้าสบตากับเขานิ่งนาน ดูเหมือนสิ่งที่หญิงสาวคาดเดาไว้นั้นจะถูกต้อง เพราะสถานที่แห่งนี้คือคอนโดมิเนียมของเขา ไม่ใช่ของเธอ
“พาแก้มมาที่นี่ทำไม” เธอถามเขาโดยไม่ต้องหันไปมองด้านนอกเลยด้วยซ้ำ เพราะคุ้นเคยกับที่นี่ไม่ต่างจากคอนโดมิเนียมของตนเอง
“พี่อยากคุยกับแก้มอีกครั้งให้เข้าใจน่ะ”
“จะคุยอะไรเยอะแยะ ไม่เบื่อรึไง” ข้อความที่เขากระหน่ำส่งมาก่อนที่เธอจะบล็อกเบอร์ก็มีแต่ขอคุยด้วยเป็นการส่วนตัวทั้งนั้น...น่าเบื่อ
“ไม่เบื่อ ไม่เคยเบื่อ” เขายังคงมองหน้าเธออยู่อย่างนั้น จนภัทรมัยต้องเสมองไปทางอื่นบ้าง ยอมรับว่าเรื่องการประสานสายตาเธอสู้เขาไม่ได้จริง ๆ
อดนึกถึงตอนที่เขาจีบเธอใหม่ ๆ ไม่ได้ ตอนนั้นชยาวุธเอาแต่มองเธอแล้วยิ้มให้ นั่งประชุมด้วยกันก็เอาแต่มองหน้าเธอพร้อมกับยิ้มมุมปากตอนเธออธิบายรายละเอียดของงาน จนเธอแทบลิ้นพันกันด้วยความเขิน
“นี่ขนาดไม่เบื่อนะ ยังมาขอเลิกกับแก้มเลย”
“พี่ไม่ได้ขอเลิกกับแก้ม พี่แค่ขอห่างกันสักพักเพราะพี่มีเรื่องต้องคิด” เขาย้ำเสียงหนักแน่น
“นี่พี่ไม่รู้รึไงว่าการขอห่างกันสักพักน่ะ มันคือการขอเลิกทางอ้อม แล้วยิ่งเหตุผลที่พี่บอกแก้มว่ายังลืมแฟนเก่าไม่ได้ก็เลยขอห่างกัน พี่จะให้แก้มคิดยังไง ถามหน่อยเถอะ พี่คิดว่าจะมีอีบ้าที่ไหนเขายอมรอพี่”
ชยาวุธถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “พี่ว่าเราขึ้นไปคุยกันบนห้องดีกว่า อย่าคุยในรถเลย”
ภัทรมัยเลิกคิ้วขึ้นพลางยกแขนขึ้นมากอดอก เรียวปากสีชมพูอมส้มคลี่ยิ้มเล็กน้อย “แก้มต้องขึ้นไปไหม”
ไม่ต้องอธิบายให้มากความว่าหญิงสาวหมายถึงอะไร ชยาวุธก็เข้าใจความนัยที่เธอสื่อออกไปทันที
“พี่สัญญาว่าจะไม่...เอ่อ...ไม่ทำอะไรแก้ม จนกว่าแก้มจะอนุญาต” เขายกมือขึ้นทั้งสองข้างอย่างยอมแพ้
“ก็ดี” ภัทรมัยเปิดประตูแล้วก้าวลงจากรถ ชยาวุธก็ลงมาเช่นกัน หญิงสาวจึงแบมือไปตรงหน้าเขา
“กุญแจรถค่ะ”
ชายหนุ่มมองมือเธอ แต่แทนที่เขาจะส่งกุญแจให้ เขากลับเอาเก็บใส่กระเป๋ากางเกงยีนแล้วพูดว่า
“ขึ้นไปบนห้องก่อนแล้วพี่จะคืนให้” เขายิ้มมุมปากแล้วเดินนำหน้า หญิงสาวจึงได้แต่เบ้ปากใส่แผ่นหลังเขาด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะเดินตามไป
ประตูลิฟต์เปิดออก ชยาวุธใช้แขนดันประตูเอาไว้เพื่อให้เธอเดินเข้าไปก่อน แล้วค่อยเดินตามเข้ามา เมื่อได้อยู่กันเพียงลำพัง หัวใจของภัทรมัยก็ยิ่งเต้นกระหน่ำรุนแรงมากกว่าเดิมจนเผลอกำสายกระเป๋าสะพายไว้แน่น
และมันก็ยิ่งเต้นโครมครามมากขึ้น เมื่อหญิงสาวก้าวเท้าเข้าไปในห้องชุดขนาดหกสิบตารางเมตร
ภัทรมัยถอดรองเท้าวางไว้บนชั้นแล้วเดินไปนั่งบนโซฟาตัวยาวอย่างคุ้นเคย ทว่าพอนึกบางอย่างขึ้นมาได้ เธอจึงรีบลุกไปนั่งบนโซฟาเดี่ยวแทน
โซฟายาวตัวนี้เคยเป็นสนามรักของเธอกับเขาอยู่หลายครั้ง จะว่าไปแล้ว นอกจากห้องนอนที่มักใช้หาความสุขร่วมกัน ก็ยังมีบนโซฟา โต๊ะกินข้าว โต๊ะทำงาน หรือแม้กระทั่งในครัว
มาดของเขาไม่ให้เป็นหนุ่มนักรักเลยสักนิด แต่ใครจะเชื่อว่าความจริงแล้วเขาหื่นและร้อนแรงมาก!
ชยาวุธนั่งลงบนโซฟาตัวยาวที่หญิงสาวนั่งเมื่อครู่ เขานั่งถูมือตัวเองไปมา สายตาที่ใช้มองเธอค่อนข้างจริงจังและซีเรียสกว่าทุกครั้ง หัวคิ้วขมวดมุ่นเล็กน้อยเหมือนมีเรื่องหนักใจ
“พี่คิดจะจับปลาสองมือรึไง” เธอถามเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เปล่า พี่ไม่ได้คิดแบบนั้น แต่ว่าพี่...เฮ้อ” เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางแหงนหน้าขึ้นเอาคอรองไว้กับพนักโซฟา
“แล้วตอนนี้พี่กลับไปคบกับแฟนเก่าของพี่แล้วหรือ” เธอกลั้นใจถามเขาเรื่องนี้ ยอมรับกับตัวเองว่ากลัวคำตอบที่จะได้ฟัง แต่กระนั้นเธอก็อยากรู้
“เปล่า” เขาตอบสั้น ๆ แต่เธอกลับรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่ไม่ควรรู้สึกอย่างนั้น...เพราะเราเลิกกันแล้ว
“แก้ม ที่พี่บอกว่าไม่อยากเลิกกับแก้มนั่นพี่พูดจริงนะ พี่ชอบแก้มจริง ๆ”
“แค่ชอบหรือ” ภัทรมัยแค่นหัวเราะใส่เขาก่อนถามต่ออีกว่า
“แล้วที่พี่เคยบอกว่ารักแก้มล่ะ นั่นพี่พูดจริงด้วยรึเปล่า”
“พี่พูดจริง ทุกอย่างที่พี่มีให้แก้มนั่นของจริง พี่ไม่ได้โกหก” เขามองหน้าเธอนิ่ง
“แก้มจะถามอีกครั้ง แล้วตอนนี้ล่ะ พี่รักแก้มไหม”
เขาเม้มปากไม่ยอมพูดออกมา นี่คือนิสัยอย่างหนึ่งของเขา เวลาไม่อยากพูดโกหกไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม
“ตอนนี้พี่ยังให้คำตอบไม่ได้เพราะพี่เองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน พี่ถึงได้ขอเวลาไปเคลียร์ความรู้สึกตัวเองสักพัก แต่เชื่อพี่เถอะว่า พี่ไม่มีทางกลับไปคบกับเขาอีกแน่นอน”
“เฮอะ! ถามหน่อยเถอะ ทำไมแก้มต้องเชื่อพี่ และทำไมแก้มต้องรอพี่ ถ้าพี่เคลียร์ความรู้สึกตัวเองได้แล้วปรากฏว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับแก้มเลย ก็เท่ากับแก้มโง่น่ะสิที่ฝันลม ๆ แล้ง ๆ”
“พี่รู้สึกกับแก้มแน่นอน แก้มคบกับพี่มาหลายเดือนน่าจะรู้ว่าพี่เป็นคนยังไง เชื่อพี่นะแก้ม” เขาพูดเสียงอ่อน สีหน้าแววตาอ้อนวอนเต็มที่
ภัทรมัยแค่นหัวเราะเบา ๆ ก่อนลุกขึ้นแล้วเดินไปยืนตรงหน้าเขา
“พี่บอกว่ารู้สึกกับแก้ม ชอบแก้มจริง ๆ อย่างนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นเรามาเคลียร์กันให้จบ ๆ ไปเลยดีไหม”
หญิงสาวโน้มตัวลงไปหาเขาพลางช้อนตามองไปทางห้องนอน มือข้างหนึ่งวางบนหัวไหล่ของชายหนุ่ม แล้วใช้นิ้วชี้ลากลงมาเบา ๆ ผ่านแผงอกหนั่นแน่น
“ให้มันจบที่ห้องเรา” พูดจบเธอก็โน้มหน้าเข้าไปจูบเขาทันที
คืนนี้เธอจะทำให้เขาโหยหาเธออย่างที่สุด
และในเมื่อเขาไม่ให้คำตอบที่น่าพอใจกับเธอ เธอก็จะไม่ให้สถานะแฟนกับเขา แต่ให้เขาได้เพียงแค่...คู่นอนชั่วครั้งชั่วคราวก็พอ
ชยาวุธมองสบสายตาคู่นั้นอย่างหลงใหลขณะค่อย ๆ เคลื่อนริมฝีปากพรมจูบต่ำลงไปเรื่อย ๆ สองมือแยกขาเรียวสวยออกกว้าง ข้างหนึ่งพาดไว้กับบ่าตน อีกข้างวางไว้กับพื้นเสียงครวญครางดังระงมเมื่อปลายลิ้นอุ่นร้อนเข้าปัดป่ายจุดอ่อนไหวอย่างเร่งเร้าสลับเชื่องช้า สะโพกกลมกลึงบิดส่ายรับการปรนเปรออันแสนร้อนเร่า ปากครางเรียกชื่อเขาไม่หยุด เขาจึงยิ่งเร่งระรัวเพื่อส่งเธอถึงปลายทางโดยไว เพราะเขาเองก็ปวดหนึบจนแทบระเบิดแล้วเมื่อร่างเย้ายวนเกร็งกระตุกพร้อมเสียงครางดังขึ้นกว่าเดิม อันเป็นภาษากายบ่งบอกว่าหญิงสาวถึงปลายทางแล้ว หากแต่ชายหนุ่มกลับยังคงก้มหน้าปรนเปรอไม่หยุด สองมือคลึงเคล้นทรวงสล้าง ปลายนิ้วสะกิดยอดอกอย่างหยอกเย้า ขณะที่ร่างอรชรได้แต่นอนหอบหายใจถี่จากความสุขสมที่ถาโถมเมื่อครู่ชายหนุ่มบรรจงจูบต้นขาด้านในทั้งสองข้างก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนตัวขึ้นมาจนใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับหญิงสาว เขายิ้มมุมปาก แววตารุ่มร้อนจนคนมองใจสั่นระรัว“ตรงนี้หรือในห้อง” เขาถามเสียงพร่า ขณะที่ท่อนล่างเริ่มบดเบียดสอดแทรกเข้าสู่ช่องทางฉ่ำชื้น“เอาเข้ามาแล้วยังจะถามอีกทำไม” เธอตอ
เฟิร์นต้องโทษเขาแน่ ๆ ว่าเป็นต้นเหตุให้มารดาของตนเองต้องตาย เขาควรยอมรับความผิดกับเธอตามตรงว่า ที่มารดาของเธออาการทรุดลงเป็นเพราะเขาทำให้มันเกิดขึ้นชยาวุธลืมตาขึ้นพลางกด โทร.ออกไปหาอดีตคนรัก รอสายอยู่นานกว่าปลายสายจะกดรับ ยิ่งได้ยินเสียงเจือสะอื้นของอีกฝ่าย เขาก็ยิ่งรู้สึกผิดจนท่วมท้นไปทั้งใจ“ฮัลโหล เฟิร์น...เราขอโทษ”ภัทรมัยอดมองไปทางโต๊ะทำงานของชยาวุธไม่ได้ เขาลางานไปสองวันแล้วโดยแจ้งกับฝ่ายบุคคลว่าลากิจ ต้องไปงานศพญาติ นอกนั้นเธอก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาแล้ว เพราะไม่กล้าเปิดปากถามคนอื่นหญิงสาวเข้าเฟซบุ๊กแล้วเปิดกล่องข้อความที่เพิ่งแชตคุยกับเขาเมื่อคืนวันเสาร์ ตั้งแต่วันนั้นมาเขาก็ไม่ได้แชตมาหาเธออีกราวกับหายเข้ากลีบเมฆไปอย่างไรอย่างนั้น...และจู่ ๆ นิ้วมือของเธอก็พิมพ์ข้อความลงไปโดยไม่รู้ตัว...พี่เวฟเป็นไงบ้าง...ภัทรมัยเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าตนทำอะไรลงไปจึงรีบลบข้อความนั้นออกไปทันที เพราะกลัวว่านิ้วมือจะกดส่งไปโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็นั่งถอนหายใจอย่างโล่งอก“เฮ้อ...ดีนะที่ยังไม่ได้กดส่งไ
“Chaya Wave งั้นหรือ อะไรกัน อีพี่เวฟมีกี่ไอดีกันเนี่ย มีหลายไอดีไว้จีบสาวรึไง อีตาบ้า!” หญิงสาวกดไอคอน “โกรธ” ให้กับคอมเมนต์นั้น แต่เขากลับกด “หัวใจ” ให้กับสเตตัสของเธอชยาวุธร่างสตอรีบอร์ดเสร็จไปหนึ่งแบบจึงลุกขึ้นยืนยืดเส้นสาย เขามองนาฬิกา เมื่อเห็นว่าหนึ่งทุ่มแล้วจึงเดินไปหยิบโทรศัพท์ในห้องนอนเพื่อดูว่ามีใคร โทร.มาหรือไม่ แต่ปรากฏว่าแบตหมดจึงเสียบสายชาร์จแล้ววางไว้ที่เดิม จากนั้นจึงเปลี่ยนชุดเพื่อลงไปออกกำลังกายที่ฟิตเนสของคอนโดมิเนียมชายหนุ่มขึ้นห้องอีกครั้งตอนสองทุ่มกว่า เขารีบอาบน้ำเพื่อชำระล้างคราบเหงื่อไคล เสร็จเรียบร้อยจึงมานั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เพื่อเข้าเฟซบุ๊กที่เขาสมัครไว้อีกชื่อหนึ่งเขายิ้มทันทีเมื่อเห็นว่าภัทรมัยยังไม่บล็อกบัญชีชื่อนี้ของเขา ดังนั้นชายหนุ่มจึงลองทักเธอทางกล่องข้อความChaya Wave : ทำไรอยู่แก้มเขาทักไปแล้วก็รอว่าเธอจะอ่านเลยหรือไม่ รอประมาณห้านาทีหญิงสาวก็ตอบกลับมาGam Phattramai : ถามทำไมChaya Wave : ก็อยากรู้Chaya Wave : เค้ก
มารดาของเฟิร์นยังคงโทรศัพท์หาชยาวุธอย่างไม่ลดละความพยายาม ในที่สุดชายหนุ่มก็ตัดรำคาญด้วยการรับสาย“ครับ คุณแม่”“ตาเวฟ วันนี้ไม่มาหรือลูก”“ผมติดธุระสำคัญครับ ช่วงนี้ผมค่อนข้างยุ่ง” ธุระสำคัญที่เขาพูดถึงคือการตามง้อภัทรมัย“แหม ยุ่งแค่ไหนก็น่าจะแวะมาหาแม่บ้าง หรือไม่ก็แวะมากินข้าวกับยายเฟิร์นสักมื้อก็ยังดี เป็นแฟนกันมันต้องใส่ใจกันนะลูกนะ ไปทำตัวห่างเหินกันเหมือนตอนนั้นมันไม่ดีหรอก แม่นี่ใจไม่ดีเลย”ชยาวุธลอบถอนหายใจ เขาคิดว่าเรื่องนี้อดีตคนรักน่าจะคุยกับมารดาของตนบ้างแล้ว แต่ท่านคงไม่เชื่อ เพราะฉะนั้นเขาคงต้องเอ่ยปากออกไปด้วยตนเองเสียแล้ว“คุณแม่ครับ ผมไม่ได้คบกับเฟิร์นแล้ว ความจริงเราเลิกกันตั้งแต่ปีที่แล้วครับคุณแม่”ปลายสายเงียบไปชั่วอึดใจจนเขาคิดว่าสายหลุดไปแล้ว กำลังคิดจะเรียกอีกฝ่าย แต่ทางนั้นก็เอ่ยปากพูดขึ้นก่อน“อะไรกันพวกเธอนี่ หมายความว่ายังไงที่ว่าเลิกกัน แล้วยายเฟิร์นลูกสาวแม่ล่ะจะทำยังไง”“ผมคุยและตกลงกับเฟิร์นเรี
“เมื่อกี้แก โทร.ไปหาตาเวฟหรือยายเฟิร์น” เสียงของมารดาถามขึ้นทันทีที่หญิงสาวเปิดประตูกระจกเข้าไปในห้อง“เปล่าสักหน่อย เฟิร์นคุยกับเพื่อนที่ทำงาน” เธอเดินไปนั่งบนโซฟายาวสำหรับให้แขกนอนเฝ้าคนป่วย“วันนี้ตาเวฟจะมาเยี่ยมแม่รึเปล่า”“ไม่มามั้ง เห็นบอกว่าติดงานนี่นา ทำไมแม่ต้องให้เวฟมาทุกวันด้วยเนี่ย ไม่เกรงใจเขาหรือไง วันหยุดทั้งทีเขาก็อยากพักผ่อนอยู่ห้องบ้าง”“อีกหน่อยก็ต้องมาเป็นลูกเขยแม่อยู่แล้ว เขาก็ต้องมาคอยดูแลแม่สิ”เฟิร์นถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย “ต้องให้เฟิร์นพูดอีกกี่ครั้งแม่ถึงจะเข้าใจเนี่ย เราเลิกกันแล้ว เฟิร์นไม่ได้เป็นแฟนกับเวฟแล้ว ทุกวันนี้คือเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แม่หยุดทำให้เขาลำบากใจได้ไหม แม่ไม่เห็นหน้าเวฟเวลาแม่พูดเรื่องเก่า ๆ บ้างหรือ ทุกอย่างมันจบไปแล้วแม่ และเวฟก็มีแฟนใหม่ไปแล้วด้วย”“แล้วแกจะยอมหรือยายเฟิร์น ตาเวฟน่ะดีจะตาย คบกับแกมาตั้งสิบกว่าปีไม่เคยมีเรื่องผู้หญิงมาให้กวนใจแกสักครั้ง แกจะยอมปล่อยเขาไปง่าย ๆ ได้ยังไงกัน แม
ผู้เป็นมารดามองหน้าบุตรสาวด้วยความเป็นห่วง รู้ดีว่าภัทรมัยชอบแต่งตัวสวย ๆ ชอบการพบปะผู้คนตามประสาหญิงสาวที่ชอบเข้าสังคมและมีเพื่อนเยอะ จึงบอกกับอีกฝ่ายว่า“ไม่ต้องรีบหรอก แกก็ทำงานของแกไปให้เต็มที่นั่นแหละ อยากลาออกเมื่อไรก็ค่อยว่ากัน แม่ไม่ได้บังคับว่าแกต้องลาออกมาช่วยแม่ทันทีสักหน่อย งานที่ร้านแม่ก็ยังทำไหว”“แม่ก็ไหวตลอด แต่เข้าโรงพยาบาลกี่รอบแล้วแก้มก็ขี้เกียจนับ” ภัทรมัยทำหน้ามุ่ยใส่มารดา“แค่หน้ามืดไปนิดเดียว ทำเป็นเรื่องใหญ่โตกันไปได้ แล้วนี่แม่จะออกจากโรงพยาบาลได้รึยัง”“หมอให้นอนดูอาการก่อนนะแม่ พรุ่งนี้ค่อยออก” เธอรีบบอกท่าน และเป็นตามคาด ท่านแย้งขึ้นทันที“พรุ่งนี้! ได้ยังไงกัน แล้วที่ร้านใครจะดู”“น้าแววไง ให้น้าแววดูให้ก่อน ยังไงพรุ่งนี้เราก็ปิดร้านอยู่แล้วไม่ใช่หรือ แก้มว่าแม่น่าจะนอนพักผ่อนให้เต็มที่ไปเลยนะ เปิดร้านแล้วค่อยลุยใหม่...เถอะนะแม่ พักผ่อนเถอะ”“ปรับเตียงขึ้นมาให้แม่หน่อย” ได้ยินอย่างนั้น ภัทรมัยจึงกดปุ่มปรับเตียงเพื่อให้ท่านน