LOGIN“วันที่สิบแปดเดือนหน้าค่ะ มีเวลาหนึ่งเดือน” ภัทรมัยตอบ ดนุพรพยักหน้ารับรู้แล้วพูดว่า
“ถ้างั้นเอาสตอรีบอร์ดมาดูกันวันที่ยี่สิบเจ็ดละกัน จะได้ช่วยกันดูว่าจะปรับหรือเพิ่มลดอะไรตรงไหน”
“ใครมีคำถามอะไรอีกไหมคะ” จิติมาหันไปถามฝ่ายครีเอทีฟ ทั้งสามคนส่ายหน้า
“ถ้าไม่มีคำถามก็เลิกประชุมค่ะ แต่ถ้าสงสัยอะไรตรงไหนก็มาถามน้องแก้ม หรือถามจิ๊บก็ได้” จิติมารวบเอกสารมาถือไว้ ขณะที่ดนุพรลุกขึ้นก่อนเป็นคนแรกพลางพูดว่า
“งั้นพี่ไปประชุมอีกห้องก่อน ทีมของเอ๋ก็มีงานใหม่มาเหมือนกัน”
คล้อยหลังอาร์ตไดเรกเตอร์แล้ว ทิว ทิวากร ครีเอทีฟอีกคนหนึ่งจึงถามขึ้นว่า
“แล้ววันที่ไปประชุมกับลูกค้าหลังจากที่ทำสตอรีบอร์ดเสร็จแล้ว จิ๊บหรือน้องแก้มจะเป็นคนไป”
“คงต้องเป็นแก้มแหละ เพราะวันนั้นเราลาพักร้อนไว้น่ะ”
“อ้าว นี่ก็เท่ากับว่าน้องแก้มก็ต้องไปกับเวฟสองคนน่ะสิ” ทิวากรมองเพื่อนร่วมงานที่นั่งข้างตนสลับกับมองรุ่นน้องอย่างภัทรมัยที่นั่งฝั่งตรงข้าม เขาเพิ่งรู้เมื่อเช้าเช่นกันว่าสองคนนี้เลิกกันแล้ว
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่ทิว แก้มไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับงานแน่นอนค่ะ ถึงจะเลิกกันแล้ว แต่ก็ยังเป็นเพื่อนร่วมงานกันอยู่ดี” ภัทรมัยฝืนยิ้มให้กว้างเข้าไว้ แต่จิติมากลับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“หา! อะไรนะ นี่เธอสองคนเลิกกันแล้วหรือ ทำไมล่ะ”
จิติมาเพิ่งเข้าออฟฟิศเมื่อตอนเที่ยง จึงยังไม่รู้ว่าเออีคนสวยกับครีเอทีฟมือดีของบริษัทได้เลิกรากันแล้ว
“ผู้ชายมันเฮงซวยค่ะพี่จิ๊บ ไม่รู้จะเก็บไว้ทำไม เชอะ!”
ภัทรมัยลุกขึ้นแล้วเดินเชิดหน้าออกจากห้องประชุมทันที โดยมีสายตาหม่นหมองของชยาวุธมองตามไป
ตลอดทั้งสัปดาห์ บรรยากาศการทำงานของภัทรมัยกับชยาวุธยังคงอึมครึมกันอยู่ เพื่อนร่วมงานบางคนอยากให้ทั้งคู่คืนดีกัน จึงพยายามหาทางให้อดีตคู่รักคู่นี้ได้ทำงานร่วมกันบ่อยขึ้น แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับยิ่งสร้างความอึดอัดให้ภัทรมัยมากกว่าเดิม
เย็นวันศุกร์หลังเลิกงาน สี่สาวเออีจึงนัดกันไปนั่งดื่มและฟังเพลงที่ร้านอาหารกึ่งผับซึ่งเป็นร้านประจำ แต่หลัก ๆ แล้วอยากนั่งคุยกันให้เป็นเรื่องเป็นราวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคู่รักคู่นี้มากกว่า
“ตกลงแกจะเล่าได้รึยังยายแก้ม ว่าทำไมเลิกกับพี่เวฟ” เหมียวถามขึ้น เจนกับอ้อนก็พร้อมใจกันมองหน้าภัทรมัย และจดจ่อรอฟังอย่างเต็มที่
ภัทรมัยหลุบตาลงมองแก้วเครื่องดื่มตรงหน้าพลางถอนหายใจแผ่ว
“เขาบอกว่าให้ห่างกันสักพักน่ะ พอฉันถามเหตุผลว่าทำไม พวกแกรู้ไหมว่า...เขาตอบฉันว่าอะไร”
“ว่า” เจนกับเหมียวเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
“เขาบอกว่ายังลืมแฟนเก่าไม่ได้”
“เฮ้ย! อะไรวะ มีแบบนี้ด้วยหรือ ถ้าเขายังลืมแฟนเก่าไม่ได้แล้วมาจีบแกทำไมวะ” อ้อนขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ รู้สึกโกรธไปกับเพื่อนด้วย
“นั่นดิ หรือว่าเขาจีบแกก็เพราะอยากลืมแฟนเก่าให้ได้ก็เลยเอาแฟนใหม่มาแทนที่ แต่พอคบไปแล้วมันไม่คลิกก็เลยขอเลิก อีเวร! ทำแบบนี้มันเกินไปแล้ว” เหมียวบ่นว่าให้ชายหนุ่มผู้เป็นหัวข้อสนทนา
“แต่เคยได้ยินมานะว่าแฟนเก่าพี่เวฟน่ะ คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาลัย นับดูถึงปัจจุบันก็เท่ากับว่าคบกันมาสิบกว่าปีแน่ะ ยังลืมไม่ได้ก็ไม่แปลก แต่ที่แปลกคือไม่ควรเอายายแก้มเข้าไปเกี่ยว” เจนพูด อ้อนกับเหมียวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ช่างเถอะแก ยังไงก็จบแล้ว ฉันโง่เองแหละ” ภัทรมัยยกแก้วของตนเองขึ้นดื่มจนหมดแก้ว
“แต่อีพี่เวฟก็เหมือนจะไม่ยอมเลิกนะ ยังมาจุ๊กจิ๊กกับแกอยู่เลย ฉันเห็นเขายังซื้อขนมของโปรด ซื้อนั่นซื้อนี่มาวางไว้ให้แกบนโต๊ะเหมือนตอนที่ยังไม่เลิกกัน เขียนข้อความเป็นห่วงอย่างนั้นอย่างนี้ใส่โพสต์อิทมาแปะหน้าจอคอมทุกวัน ตกลงเขาจะเอายังไงกันแน่วะ” อ้อนพูดขึ้น ทำให้ภัทรมัยนึกถึงตอนที่ชยาวุธลากเธอไปคุยกันตรงบันไดหนีไฟเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
...ไม่เลิกสิ พี่ไม่ได้อยากเลิกกับแก้ม...
เขาไม่อยากเลิก แต่เธอก็ไม่อยากรอ ไม่มีเหตุผลที่เธอจะต้องเป็นตัวเลือกให้เขาสักหน่อย
“ช่างมัน หาผัวใหม่ เอาไว้งานแต่งของฉันอีกสองเดือนข้างหน้า ฉันจะแนะนำให้รู้จักเพื่อนพี่อั๋นแฟนฉัน มีแต่ผู้งานดีทั้งนั้นเลยแก ขอบอก หรือไม่ก็...ถ้าแกมีเพื่อนหล่อ ๆ แกลองควงมางานแต่งฉันสิ เอามาเย้ยอีพี่เวฟ” เหมียวยักคิ้วให้ เจนกับอ้อนรีบพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
พอภัทรมัยได้ยินที่เพื่อนพูด ใบหน้าหล่อเหลาสะอาดสะอ้านของวริศผุดขึ้นมาในห้วงความคิดทันที จะว่าไปแล้วไอเดียนี้ก็เข้าท่า แต่เธอไม่อยากดึงวริศเข้ามาเล่นในเกมด้วย
สำหรับเธอแล้ว วริศเป็นทั้งเพื่อนชายคนสนิท และเป็นที่ปรึกษาแสนดี ให้เขานั่งยิ้มทำหน้าหล่อให้เธอมองเป็นอาหารตาเพื่อความเพลิดเพลิน และเยียวยาจิตใจก็พอแล้ว
“ไม่แน่หรอกแก ดีไม่ดีอีกสองเดือนข้างหน้าฉันอาจจะทำใจได้แล้วก็ได้” แม้ตอนนี้จะเจ็บปวดหัวใจทุกครั้งที่เจอหน้ากันก็ตาม
“เป็นงั้นได้ก็ดี แต่ตอนนี้ยังทำใจไม่ได้ใช่ไหมล่ะ” เจนถามด้วยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย ภัทรมัยจึงพยักหน้าตอบไปตามความจริง เพราะป่วยการจะปิดบังความรู้สึกของตัวเอง
“ก็แน่ละ ทำงานที่เดียวกันนี่นา ยังไงก็ต้องเจอหน้ากันทุกวัน เป็นฉันก็ทำใจไม่ได้หรอก” อ้อนพูด
ทั้งสี่สาวไม่รู้เลยว่า ณ อีกมุมหนึ่งของร้าน มีชายหนุ่มสองคนกำลังนั่งดื่มอยู่เช่นกัน ทว่าหนึ่งในนั้นกลับเอาแต่จับจ้องไปทางกลุ่มหญิงสาวอยู่ตลอดเวลา
“เออ มองเข้าไปนะมึง เอาแต่มอง แต่ไม่เข้าไปคุยแล้วเมื่อไรจะรู้เรื่องวะไอ้เวฟ” ทิวากรพูดกลั้วหัวเราะ
“แก้มไม่ยอมให้กูเข้าใกล้เลย เดินเข้าไปหาทีไรก็เดินหนีตลอด” ชยาวุธคีบน้ำแข็งมาเติมในแก้วของตน
“ไม่ โทร.คุยหรือไลน์ไปล่ะ หรือว่าน้องเขาบล็อกมึงหมดแล้ว”
ชยาวุธพยักหน้าให้แทนคำตอบ ทิวากรจึงลองถามต้นสายปลายเหตุดูอีกครั้ง เพราะชยาวุธปิดปากเงียบไม่ยอมบอกสาเหตุถึงการเลิกรากันให้เพื่อนในออฟฟิศฟังแม้แต่คนเดียว
แต่ชยาวุธก็ไม่ยอมบอกเช่นเคย เอาแต่พูดว่า
“กูผิดเองแหละ ทำตัวไม่ชัดเจนเอง”
“ไม่ชัดเจนยังไงวะ ตั้งแต่ในออฟฟิศยันลูกค้า มีใครบ้างที่ไม่รู้ว่ามึงกับน้องแก้มคบกันอยู่” ทิวากรแย้งอย่างไม่เข้าใจ เพราะสองคนนี้แสดงออกอย่างเปิดเผยว่าคบหากันอยู่ ไปกินข้าวกลางวันยังเดินจับมือกันจนคนโสดอย่างเขา และเพื่อนในออฟฟิศอีกหลายคนที่ยังไม่มีแฟนพากันอิจฉาตาร้อน
“ไอ้เวฟ มึงฟังนะ มึงมีปัญหาอะไรถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงมึงเล่าให้กูฟังได้ กูจะได้ช่วยมึงคิด ช่วยแก้ปัญหา กูบอกตามตรงว่าเสียดายว่ะ อุตส่าห์คบกันมาตั้งหลายเดือน”
ทิวากรตัดสินใจเอ่ยออกไปตามตรง โดยไม่คาดหวังว่าเพื่อนจะเล่าให้ฟัง เพราะชยาวุธเป็นคนปากหนักมาแต่ไหนแต่ไร
ทั้งสองคนนั่งดื่มกันไปเงียบ ๆ อยู่พักใหญ่ ในที่สุดชยาวุธก็ยอมเปิดปากพูด
“กูเป็นคนขอห่างจากแก้มเองแหละ”
ทิวากรเบิกตากว้างด้วยความคาดไม่ถึง “ไอ้เวฟ!”
เขาหันไปมองโต๊ะของสาว ๆ กลุ่มภัทรมัย ก่อนหันมามองเพื่อน
“ทำไมวะ กูไม่เข้าใจ”
ด้วยความที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน เขามั่นใจว่าชยาวุธรักภัทรมัยแน่นอน แม้ว่าเพื่อนร่วมอาชีพคนนี้จะไม่ค่อยพูดจาคะขาหวานหูเหมือนผู้ชายบางคน บางครั้งยังห่ามห้าวและติดห้วนบ้าง แต่สายตาของชยาวุธที่มองภัทรมัย รวมถึงการกระทำต่าง ๆ นั้นเป็นของจริงแน่นอน
และที่สำคัญ ชยาวุธไม่ใช่ผู้ชายเจ้าชู้
“ก็...เดี๋ยวกูมา” จู่ ๆ ชยาวุธก็ลุกขึ้นโดยสายตายังมองไปที่โต๊ะของสาว ๆ ตลอด ทิวากรหันมองตามจึงเห็นว่าภัทรมัยลุกขึ้นแล้วเดินสะพายกระเป๋าออกไปจากโต๊ะ จึงเดาได้ว่าชยาวุธคงคิดจะตามไปคุยกับอดีตแฟนสาว
“แล้วน้องเขารู้รึยังว่ามึงชอบเขา” ทิวากรถามยิ้ม ๆ“จะรู้ได้ไง ก็กูไม่ได้บอก”ทิวากรกลอกตาพลางเอ่ยว่า “เหรอออ ไอ้คุณเวฟครับ กูว่าน้องเขาน่าจะรู้แล้วละครับ เพราะมึงน่ะมองเขาตาเชื่อมขนาดนั้น แหม...ไม่แสดงออกเลยสักนิด แค่คนเขารู้เขาเห็นกันทั้งบริษัทแค่นั้นเอง”“เฮ้ยถามจริง น้องเขารู้หรือวะ” คนอื่นเขาไม่สนใจ ใครจะคิดอย่างไรก็คิดไป แต่ภัทรมัยนั้นเขาต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะเธอยังไม่รู้ว่าตอนนี้เขาโสด ถ้าเขาเผลอมองเธอตาเชื่อมจริง เธอจะต้องคิดแน่ว่าเขาเป็นคนเจ้าชู้หลายใจ“ไม่ได้การแล้วไอ้ทิว มึงรีบไปป่าวประกาศให้กูด่วนเลยว่ากูโสดแล้ว”และตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป เขาจะเริ่มจีบภัทรมัยอย่างจริงจังสักทีชยาวุธกับทีมงานคนอื่น ๆ นั่งฟังบรีฟงานจากภัทรมัยในห้องประชุมเล็ก ตลอดเวลาที่นั่งประชุม ชายหนุ่มแทบไม่ละสายตาไปจากเออีคนสวยเลย และเขาไม่ใช่แค่มองอย่างเดียว แต่ยังยิ้มนิด ๆ ตลอดเวลาด้วยภัทรมัยรู้ตัวว่าถูกชยาวุธจ้องเอา ๆ ก็อดประหม่าไม่ได้ หญิงสาวต้องตั้งสติและใช้สมาธิอย่างมา
“เฮ้อ...” ภัทรมัยถอนหายใจอีกครั้งทั้งยังเผลอมองเขาไม่วางตา จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้น หัวคิ้วของหญิงสาวพลันขมวดมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์ทันทีตาคนนี้ปล่อยให้คนอื่นเขาแซงคิวอีกแล้ว...นังแก้มจะไม่ทน!หญิงสาวลุกขึ้นแล้วเดินดุ่ม ๆ เข้าไปหาชยาวุธด้วยสีหน้าเอาเรื่อง แต่ไม่ได้พูดกับเขา เธอพูดกับผู้หญิงคนนั้น“ขอโทษนะคะ ท้ายแถวอยู่ตรงนั้นค่ะ กรุณาไปต่อคิวด้วย”“อะไรกัน ก็คุณคนนี้...” ผู้หญิงคนนั้นยังพูดไม่จบ ภัทรมัยก็ขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่เบานัก“ถึงพี่ฉันจะยอมให้คุณแซงคิว แต่ฉันไม่ให้ และฉันจะเข้าคิวแทนพี่เขาเอง เพราะฉะนั้นกรุณาไปต่อท้ายแถวค่ะ” หญิงสาวชี้ไปทางท้ายแถว จากนั้นหันไปพูดกับชายหนุ่มว่า“พี่เวฟไปนั่งรอก่อนเลย แก้มจะแลกการ์ดเอง” พูดจบก็หันไปมองหน้าผู้หญิงคนนั้นต่อ เจ้าหล่อนเห็นคนเริ่มมองมาหลายคน อีกทั้งคนที่ต่อแถวบางคนก็ทำหน้าไม่พอใจ จึงเดินกระฟัดกระเฟียดออกไปจากแถวทันทีเมื่อแลกการ์ดเรียบร้อยแล้ว ภัทรมัยจึงเดินไปหาชยาวุธที่นั่งรออยู่ จากนั้นก็ยื่นการ์ดให้เขา&
เออีน้องใหม่ภัทรมัยเดินออกจากลิฟต์ด้วยหัวใจที่เต้นกระหน่ำ วันนี้เธอเริ่มงานวันแรกกับบริษัทโฆษณาที่จัดว่าเป็นบริษัทอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย เธอใฝ่ฝันอยากทำบริษัทนี้มานานแล้ว เคยมาสัมภาษณ์สองครั้ง แต่ไม่ถูกเรียกให้เข้าทำงาน หญิงสาวจึงต้องไปสมัครบริษัทอื่น ทำอยู่หลายปีจนกระทั่งทราบข่าวว่าบริษัทนี้เปิดรับ Account Executive เธอจึงลองยื่นใบสมัครดูอีกครั้ง หลังจากสัมภาษณ์เสร็จก็กลับบ้านไปรอฟังผล ผ่านไปสองวันจึงได้รับโทรศัพท์จากฝ่ายบุคคลว่าเธอได้รับการพิจารณาให้เป็นพนักงานของบริษัทแล้วภัทรมัยจำได้ว่าวันนั้นตนกรี๊ดลั่นห้องจนเพื่อนชายที่อยู่ห้องติดกันรีบมาเคาะประตูถามด้วยความเป็นห่วง เพราะนึกว่าเธอเกิดอันตรายขณะที่หญิงสาวกำลังจะผลักประตูเข้าไป เสียงทุ้มจากด้านหลังพลันดังขึ้นจนทำให้เธอสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ“ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่ามาติดต่อธุระอะไรรึเปล่าครับ”ภัทรมัยลดมือลงจากที่จับประตูแล้วหันไปมองคนถาม ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งคนนี้หน้าตาใช้ได้ อายุน่าจะประมาณยี่สิบปลายถึงสามสิบปี สวมเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนกับรองเท้าผ้าใบ ดูท่าทางเป
โลกใบแรกที่เป็นทนายปราบต์ได้ตายไปแล้ว แต่ยังเหลือโลกใบที่สองคือนวัช เจ้าของบ่อปลาน้ำจืดขนาดใหญ่เขาเหลือชีวิตเดียวแล้ว คงต้องรักษาเอาไว้ให้ดี ให้สมกับที่มารดาของเขายอมเสียสละทุกอย่างเพื่อให้เขาเติบโต...เมี้ยว...เสียงร้องแผ่วเบาของแมวตัวหนึ่งทำให้ความคิดของชายหนุ่มหยุดชะงักลงทันที เขามองหาที่มาของเสียงจึงเห็นลูกแมวตัวเล็กยืนห่างเขาออกไปประมาณสามก้าว“แมวบ้านไหนเนี่ย” เขาไม่เคยได้ยินว่าคนแถวนี้เลี้ยงแมวสักคน จึงคิดจะจับตัวมันมาดูว่าสวมปลอกคอเอาไว้หรือไม่ แต่เจ้าตัวเล็กก็กระโดดหนีไปเสียก่อน และเพราะความมืดเขาจึงไม่แน่ใจว่ามันมีสีอะไร แต่ในเมื่อมันไปแล้วเขาจึงไม่ได้สนใจอีกทว่าพอเขาเดินเข้าบ้าน กลับเห็นลูกแมวตัวน้อยนั่งจุ้มปุ๊กอยู่บนโซฟาราวกับเป็นบ้านของมัน“จะมาอยู่ด้วยกันรึไงเจ้าเหมียวน้อย” เขาก้มตัวลงมองมันชัด ๆ เป็นแมวไทยทั่วไปสีส้มท้องขาว มีปลอกคอสวมอยู่แสดงว่าเป็นแมวมีเจ้าของ“กลับบ้านไปได้แล้ว เจ้าของหาแย่แล้วมั้ง”มันเงยหน้ามองเขาเหมือนจะฟังรู้เรื่อง แต่พอเห็นมันเอนตัวลงนอนฟุบบนโซฟาเหมื
“น่ารักจังเลย กี่เดือนแล้วคะ” ภัทรมัยมองเด็กน้อยลูกครึ่งด้วยความเอ็นดู สีผมของทั้งคู่เป็นสีน้ำตาล นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลเช่นกัน พวงแก้มแดงระเรื่อทั้งสองข้าง แขนขาจ้ำม่ำดูน่ากอดทั้งคู่“แปดเดือนแล้ว กำลังคลานเลย เวฟกับแก้มล่ะ เมื่อไรจะมีตัวเล็กบ้าง” เฟิร์นถามยิ้ม ๆ“คงอีกสักพักค่ะ” ภัทรมัยยิ้มแหย“โห นี่แปลว่าไปอยู่ที่โน่นได้ไม่นานก็แต่งงานเลยสิเนี่ย แฟนเป็นคนอเมริกันใช่ไหม แล้วรู้จักกันได้ยังไง” ชยาวุธยิ้มกว้างเช่นกัน ดีใจที่เห็นอดีตคนรักมีชีวิตที่ดี“ใช่ ตอนมาถึงที่นี่เฟิร์นก็ช่วยน้าทำงานในคลินิกสัตว์ และเพ็ทชอปน่ะ เขาเป็นลูกค้าประจำของที่นี่ เพราะพาแมวมาถ่ายพยาธิและหยอดยากันเห็บหมัดทุกเดือน มาซื้ออาหารแมว ทรายแมวบ่อย ๆ ก็เลยได้รู้จักกัน บ้านเขาอยู่ไม่ไกลจากคลินิกด้วย เขาจะออกมาวิ่งทุกเช้าเลยได้คุยกันทุกวัน”“ดีใจด้วยนะเฟิร์น ลูก ๆ น่ารักมาก แก้มแดงน่าหยิกมากเลย ไฮ...”ชายหนุ่มโบกมือทักทายเด็กน้อยที่มองตนตาแป๋วผ่านทางหน้าจอโทรศัพท์ ก่อนจะหันไปยิ้มกับภรรยาอย่างถูกใจเมื่อเห
“ไอ้เสี่ยกวงมันอยู่ได้อีกไม่นานหรอก เชื่อพี่ น่าจะตายอยู่ในคุกนั่นแหละ ไม่ได้ออกมาเห็นโลกภายนอกอีกหรอก”“แล้วคุณทนายล่ะ แก้มว่าเขาก็ทำบาปกับคนอื่นไว้ไม่น้อยเลยนะนั่น อยากรู้จริงว่าตอนนี้เขาทำอะไรอยู่”แม้จะผ่านมาสองปีแล้ว แต่ภัทรมัยยังคงเชื่อว่าทนายปราบต์ยังไม่ตาย และคิดว่าเขาคงอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้แน่นอน“จะไปคิดถึงมันทำไม มันทำให้พี่เกือบตายเชียวนะ” เขาตัดพ้อเสียงขุ่น ภัทรมัยจึงรีบกอดเขาไว้อย่างเอาใจ“แหม ก็แค่อยากรู้เฉย ๆ ว่าเขาทำยังไงถึงรอด หมายถึงว่าเขาทำยังไงถึงทำให้ตัวเองกลายเป็นคนตายไปได้ แล้วตอนนี้เขาจะใช้ชื่อว่าอะไร ยังอยู่ในประเทศไทยรึเปล่าแค่นั้นเอง”“เขาอยู่กับเสี่ยกวงมานาน ยังไงก็ต้องมีทางออกให้ตัวเองเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้วละ แต่ไอ้เรื่องชุบตัวเป็นคนใหม่หรือสวมรอยเป็นคนอื่นรึเปล่าเราก็ไม่รู้กับเขาหรอก พี่ว่าเรื่องแบบนี้มันน่าจะรู้กันเฉพาะกลุ่มว่ามีขบวนการทำให้ ดีไม่ดี เจ้าหน้าที่พวกนั้นอาจจัดการให้เขาเองก็ได้ ช่างมันเถอะ แค่อย่ามาให้เจอหน้าก็แล้วกัน บอกตามตรงเลยนะ พี่ไม่ถูกชะตา







