“วันที่สิบแปดเดือนหน้าค่ะ มีเวลาหนึ่งเดือน” ภัทรมัยตอบ ดนุพรพยักหน้ารับรู้แล้วพูดว่า
“ถ้างั้นเอาสตอรีบอร์ดมาดูกันวันที่ยี่สิบเจ็ดละกัน จะได้ช่วยกันดูว่าจะปรับหรือเพิ่มลดอะไรตรงไหน”
“ใครมีคำถามอะไรอีกไหมคะ” จิติมาหันไปถามฝ่ายครีเอทีฟ ทั้งสามคนส่ายหน้า
“ถ้าไม่มีคำถามก็เลิกประชุมค่ะ แต่ถ้าสงสัยอะไรตรงไหนก็มาถามน้องแก้ม หรือถามจิ๊บก็ได้” จิติมารวบเอกสารมาถือไว้ ขณะที่ดนุพรลุกขึ้นก่อนเป็นคนแรกพลางพูดว่า
“งั้นพี่ไปประชุมอีกห้องก่อน ทีมของเอ๋ก็มีงานใหม่มาเหมือนกัน”
คล้อยหลังอาร์ตไดเรกเตอร์แล้ว ทิว ทิวากร ครีเอทีฟอีกคนหนึ่งจึงถามขึ้นว่า
“แล้ววันที่ไปประชุมกับลูกค้าหลังจากที่ทำสตอรีบอร์ดเสร็จแล้ว จิ๊บหรือน้องแก้มจะเป็นคนไป”
“คงต้องเป็นแก้มแหละ เพราะวันนั้นเราลาพักร้อนไว้น่ะ”
“อ้าว นี่ก็เท่ากับว่าน้องแก้มก็ต้องไปกับเวฟสองคนน่ะสิ” ทิวากรมองเพื่อนร่วมงานที่นั่งข้างตนสลับกับมองรุ่นน้องอย่างภัทรมัยที่นั่งฝั่งตรงข้าม เขาเพิ่งรู้เมื่อเช้าเช่นกันว่าสองคนนี้เลิกกันแล้ว
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่ทิว แก้มไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับงานแน่นอนค่ะ ถึงจะเลิกกันแล้ว แต่ก็ยังเป็นเพื่อนร่วมงานกันอยู่ดี” ภัทรมัยฝืนยิ้มให้กว้างเข้าไว้ แต่จิติมากลับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“หา! อะไรนะ นี่เธอสองคนเลิกกันแล้วหรือ ทำไมล่ะ”
จิติมาเพิ่งเข้าออฟฟิศเมื่อตอนเที่ยง จึงยังไม่รู้ว่าเออีคนสวยกับครีเอทีฟมือดีของบริษัทได้เลิกรากันแล้ว
“ผู้ชายมันเฮงซวยค่ะพี่จิ๊บ ไม่รู้จะเก็บไว้ทำไม เชอะ!”
ภัทรมัยลุกขึ้นแล้วเดินเชิดหน้าออกจากห้องประชุมทันที โดยมีสายตาหม่นหมองของชยาวุธมองตามไป
ตลอดทั้งสัปดาห์ บรรยากาศการทำงานของภัทรมัยกับชยาวุธยังคงอึมครึมกันอยู่ เพื่อนร่วมงานบางคนอยากให้ทั้งคู่คืนดีกัน จึงพยายามหาทางให้อดีตคู่รักคู่นี้ได้ทำงานร่วมกันบ่อยขึ้น แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับยิ่งสร้างความอึดอัดให้ภัทรมัยมากกว่าเดิม
เย็นวันศุกร์หลังเลิกงาน สี่สาวเออีจึงนัดกันไปนั่งดื่มและฟังเพลงที่ร้านอาหารกึ่งผับซึ่งเป็นร้านประจำ แต่หลัก ๆ แล้วอยากนั่งคุยกันให้เป็นเรื่องเป็นราวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคู่รักคู่นี้มากกว่า
“ตกลงแกจะเล่าได้รึยังยายแก้ม ว่าทำไมเลิกกับพี่เวฟ” เหมียวถามขึ้น เจนกับอ้อนก็พร้อมใจกันมองหน้าภัทรมัย และจดจ่อรอฟังอย่างเต็มที่
ภัทรมัยหลุบตาลงมองแก้วเครื่องดื่มตรงหน้าพลางถอนหายใจแผ่ว
“เขาบอกว่าให้ห่างกันสักพักน่ะ พอฉันถามเหตุผลว่าทำไม พวกแกรู้ไหมว่า...เขาตอบฉันว่าอะไร”
“ว่า” เจนกับเหมียวเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
“เขาบอกว่ายังลืมแฟนเก่าไม่ได้”
“เฮ้ย! อะไรวะ มีแบบนี้ด้วยหรือ ถ้าเขายังลืมแฟนเก่าไม่ได้แล้วมาจีบแกทำไมวะ” อ้อนขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ รู้สึกโกรธไปกับเพื่อนด้วย
“นั่นดิ หรือว่าเขาจีบแกก็เพราะอยากลืมแฟนเก่าให้ได้ก็เลยเอาแฟนใหม่มาแทนที่ แต่พอคบไปแล้วมันไม่คลิกก็เลยขอเลิก อีเวร! ทำแบบนี้มันเกินไปแล้ว” เหมียวบ่นว่าให้ชายหนุ่มผู้เป็นหัวข้อสนทนา
“แต่เคยได้ยินมานะว่าแฟนเก่าพี่เวฟน่ะ คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาลัย นับดูถึงปัจจุบันก็เท่ากับว่าคบกันมาสิบกว่าปีแน่ะ ยังลืมไม่ได้ก็ไม่แปลก แต่ที่แปลกคือไม่ควรเอายายแก้มเข้าไปเกี่ยว” เจนพูด อ้อนกับเหมียวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ช่างเถอะแก ยังไงก็จบแล้ว ฉันโง่เองแหละ” ภัทรมัยยกแก้วของตนเองขึ้นดื่มจนหมดแก้ว
“แต่อีพี่เวฟก็เหมือนจะไม่ยอมเลิกนะ ยังมาจุ๊กจิ๊กกับแกอยู่เลย ฉันเห็นเขายังซื้อขนมของโปรด ซื้อนั่นซื้อนี่มาวางไว้ให้แกบนโต๊ะเหมือนตอนที่ยังไม่เลิกกัน เขียนข้อความเป็นห่วงอย่างนั้นอย่างนี้ใส่โพสต์อิทมาแปะหน้าจอคอมทุกวัน ตกลงเขาจะเอายังไงกันแน่วะ” อ้อนพูดขึ้น ทำให้ภัทรมัยนึกถึงตอนที่ชยาวุธลากเธอไปคุยกันตรงบันไดหนีไฟเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
...ไม่เลิกสิ พี่ไม่ได้อยากเลิกกับแก้ม...
เขาไม่อยากเลิก แต่เธอก็ไม่อยากรอ ไม่มีเหตุผลที่เธอจะต้องเป็นตัวเลือกให้เขาสักหน่อย
“ช่างมัน หาผัวใหม่ เอาไว้งานแต่งของฉันอีกสองเดือนข้างหน้า ฉันจะแนะนำให้รู้จักเพื่อนพี่อั๋นแฟนฉัน มีแต่ผู้งานดีทั้งนั้นเลยแก ขอบอก หรือไม่ก็...ถ้าแกมีเพื่อนหล่อ ๆ แกลองควงมางานแต่งฉันสิ เอามาเย้ยอีพี่เวฟ” เหมียวยักคิ้วให้ เจนกับอ้อนรีบพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
พอภัทรมัยได้ยินที่เพื่อนพูด ใบหน้าหล่อเหลาสะอาดสะอ้านของวริศผุดขึ้นมาในห้วงความคิดทันที จะว่าไปแล้วไอเดียนี้ก็เข้าท่า แต่เธอไม่อยากดึงวริศเข้ามาเล่นในเกมด้วย
สำหรับเธอแล้ว วริศเป็นทั้งเพื่อนชายคนสนิท และเป็นที่ปรึกษาแสนดี ให้เขานั่งยิ้มทำหน้าหล่อให้เธอมองเป็นอาหารตาเพื่อความเพลิดเพลิน และเยียวยาจิตใจก็พอแล้ว
“ไม่แน่หรอกแก ดีไม่ดีอีกสองเดือนข้างหน้าฉันอาจจะทำใจได้แล้วก็ได้” แม้ตอนนี้จะเจ็บปวดหัวใจทุกครั้งที่เจอหน้ากันก็ตาม
“เป็นงั้นได้ก็ดี แต่ตอนนี้ยังทำใจไม่ได้ใช่ไหมล่ะ” เจนถามด้วยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย ภัทรมัยจึงพยักหน้าตอบไปตามความจริง เพราะป่วยการจะปิดบังความรู้สึกของตัวเอง
“ก็แน่ละ ทำงานที่เดียวกันนี่นา ยังไงก็ต้องเจอหน้ากันทุกวัน เป็นฉันก็ทำใจไม่ได้หรอก” อ้อนพูด
ทั้งสี่สาวไม่รู้เลยว่า ณ อีกมุมหนึ่งของร้าน มีชายหนุ่มสองคนกำลังนั่งดื่มอยู่เช่นกัน ทว่าหนึ่งในนั้นกลับเอาแต่จับจ้องไปทางกลุ่มหญิงสาวอยู่ตลอดเวลา
“เออ มองเข้าไปนะมึง เอาแต่มอง แต่ไม่เข้าไปคุยแล้วเมื่อไรจะรู้เรื่องวะไอ้เวฟ” ทิวากรพูดกลั้วหัวเราะ
“แก้มไม่ยอมให้กูเข้าใกล้เลย เดินเข้าไปหาทีไรก็เดินหนีตลอด” ชยาวุธคีบน้ำแข็งมาเติมในแก้วของตน
“ไม่ โทร.คุยหรือไลน์ไปล่ะ หรือว่าน้องเขาบล็อกมึงหมดแล้ว”
ชยาวุธพยักหน้าให้แทนคำตอบ ทิวากรจึงลองถามต้นสายปลายเหตุดูอีกครั้ง เพราะชยาวุธปิดปากเงียบไม่ยอมบอกสาเหตุถึงการเลิกรากันให้เพื่อนในออฟฟิศฟังแม้แต่คนเดียว
แต่ชยาวุธก็ไม่ยอมบอกเช่นเคย เอาแต่พูดว่า
“กูผิดเองแหละ ทำตัวไม่ชัดเจนเอง”
“ไม่ชัดเจนยังไงวะ ตั้งแต่ในออฟฟิศยันลูกค้า มีใครบ้างที่ไม่รู้ว่ามึงกับน้องแก้มคบกันอยู่” ทิวากรแย้งอย่างไม่เข้าใจ เพราะสองคนนี้แสดงออกอย่างเปิดเผยว่าคบหากันอยู่ ไปกินข้าวกลางวันยังเดินจับมือกันจนคนโสดอย่างเขา และเพื่อนในออฟฟิศอีกหลายคนที่ยังไม่มีแฟนพากันอิจฉาตาร้อน
“ไอ้เวฟ มึงฟังนะ มึงมีปัญหาอะไรถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงมึงเล่าให้กูฟังได้ กูจะได้ช่วยมึงคิด ช่วยแก้ปัญหา กูบอกตามตรงว่าเสียดายว่ะ อุตส่าห์คบกันมาตั้งหลายเดือน”
ทิวากรตัดสินใจเอ่ยออกไปตามตรง โดยไม่คาดหวังว่าเพื่อนจะเล่าให้ฟัง เพราะชยาวุธเป็นคนปากหนักมาแต่ไหนแต่ไร
ทั้งสองคนนั่งดื่มกันไปเงียบ ๆ อยู่พักใหญ่ ในที่สุดชยาวุธก็ยอมเปิดปากพูด
“กูเป็นคนขอห่างจากแก้มเองแหละ”
ทิวากรเบิกตากว้างด้วยความคาดไม่ถึง “ไอ้เวฟ!”
เขาหันไปมองโต๊ะของสาว ๆ กลุ่มภัทรมัย ก่อนหันมามองเพื่อน
“ทำไมวะ กูไม่เข้าใจ”
ด้วยความที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน เขามั่นใจว่าชยาวุธรักภัทรมัยแน่นอน แม้ว่าเพื่อนร่วมอาชีพคนนี้จะไม่ค่อยพูดจาคะขาหวานหูเหมือนผู้ชายบางคน บางครั้งยังห่ามห้าวและติดห้วนบ้าง แต่สายตาของชยาวุธที่มองภัทรมัย รวมถึงการกระทำต่าง ๆ นั้นเป็นของจริงแน่นอน
และที่สำคัญ ชยาวุธไม่ใช่ผู้ชายเจ้าชู้
“ก็...เดี๋ยวกูมา” จู่ ๆ ชยาวุธก็ลุกขึ้นโดยสายตายังมองไปที่โต๊ะของสาว ๆ ตลอด ทิวากรหันมองตามจึงเห็นว่าภัทรมัยลุกขึ้นแล้วเดินสะพายกระเป๋าออกไปจากโต๊ะ จึงเดาได้ว่าชยาวุธคงคิดจะตามไปคุยกับอดีตแฟนสาว
ชยาวุธมองสบสายตาคู่นั้นอย่างหลงใหลขณะค่อย ๆ เคลื่อนริมฝีปากพรมจูบต่ำลงไปเรื่อย ๆ สองมือแยกขาเรียวสวยออกกว้าง ข้างหนึ่งพาดไว้กับบ่าตน อีกข้างวางไว้กับพื้นเสียงครวญครางดังระงมเมื่อปลายลิ้นอุ่นร้อนเข้าปัดป่ายจุดอ่อนไหวอย่างเร่งเร้าสลับเชื่องช้า สะโพกกลมกลึงบิดส่ายรับการปรนเปรออันแสนร้อนเร่า ปากครางเรียกชื่อเขาไม่หยุด เขาจึงยิ่งเร่งระรัวเพื่อส่งเธอถึงปลายทางโดยไว เพราะเขาเองก็ปวดหนึบจนแทบระเบิดแล้วเมื่อร่างเย้ายวนเกร็งกระตุกพร้อมเสียงครางดังขึ้นกว่าเดิม อันเป็นภาษากายบ่งบอกว่าหญิงสาวถึงปลายทางแล้ว หากแต่ชายหนุ่มกลับยังคงก้มหน้าปรนเปรอไม่หยุด สองมือคลึงเคล้นทรวงสล้าง ปลายนิ้วสะกิดยอดอกอย่างหยอกเย้า ขณะที่ร่างอรชรได้แต่นอนหอบหายใจถี่จากความสุขสมที่ถาโถมเมื่อครู่ชายหนุ่มบรรจงจูบต้นขาด้านในทั้งสองข้างก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนตัวขึ้นมาจนใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับหญิงสาว เขายิ้มมุมปาก แววตารุ่มร้อนจนคนมองใจสั่นระรัว“ตรงนี้หรือในห้อง” เขาถามเสียงพร่า ขณะที่ท่อนล่างเริ่มบดเบียดสอดแทรกเข้าสู่ช่องทางฉ่ำชื้น“เอาเข้ามาแล้วยังจะถามอีกทำไม” เธอตอ
เฟิร์นต้องโทษเขาแน่ ๆ ว่าเป็นต้นเหตุให้มารดาของตนเองต้องตาย เขาควรยอมรับความผิดกับเธอตามตรงว่า ที่มารดาของเธออาการทรุดลงเป็นเพราะเขาทำให้มันเกิดขึ้นชยาวุธลืมตาขึ้นพลางกด โทร.ออกไปหาอดีตคนรัก รอสายอยู่นานกว่าปลายสายจะกดรับ ยิ่งได้ยินเสียงเจือสะอื้นของอีกฝ่าย เขาก็ยิ่งรู้สึกผิดจนท่วมท้นไปทั้งใจ“ฮัลโหล เฟิร์น...เราขอโทษ”ภัทรมัยอดมองไปทางโต๊ะทำงานของชยาวุธไม่ได้ เขาลางานไปสองวันแล้วโดยแจ้งกับฝ่ายบุคคลว่าลากิจ ต้องไปงานศพญาติ นอกนั้นเธอก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาแล้ว เพราะไม่กล้าเปิดปากถามคนอื่นหญิงสาวเข้าเฟซบุ๊กแล้วเปิดกล่องข้อความที่เพิ่งแชตคุยกับเขาเมื่อคืนวันเสาร์ ตั้งแต่วันนั้นมาเขาก็ไม่ได้แชตมาหาเธออีกราวกับหายเข้ากลีบเมฆไปอย่างไรอย่างนั้น...และจู่ ๆ นิ้วมือของเธอก็พิมพ์ข้อความลงไปโดยไม่รู้ตัว...พี่เวฟเป็นไงบ้าง...ภัทรมัยเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าตนทำอะไรลงไปจึงรีบลบข้อความนั้นออกไปทันที เพราะกลัวว่านิ้วมือจะกดส่งไปโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็นั่งถอนหายใจอย่างโล่งอก“เฮ้อ...ดีนะที่ยังไม่ได้กดส่งไ
“Chaya Wave งั้นหรือ อะไรกัน อีพี่เวฟมีกี่ไอดีกันเนี่ย มีหลายไอดีไว้จีบสาวรึไง อีตาบ้า!” หญิงสาวกดไอคอน “โกรธ” ให้กับคอมเมนต์นั้น แต่เขากลับกด “หัวใจ” ให้กับสเตตัสของเธอชยาวุธร่างสตอรีบอร์ดเสร็จไปหนึ่งแบบจึงลุกขึ้นยืนยืดเส้นสาย เขามองนาฬิกา เมื่อเห็นว่าหนึ่งทุ่มแล้วจึงเดินไปหยิบโทรศัพท์ในห้องนอนเพื่อดูว่ามีใคร โทร.มาหรือไม่ แต่ปรากฏว่าแบตหมดจึงเสียบสายชาร์จแล้ววางไว้ที่เดิม จากนั้นจึงเปลี่ยนชุดเพื่อลงไปออกกำลังกายที่ฟิตเนสของคอนโดมิเนียมชายหนุ่มขึ้นห้องอีกครั้งตอนสองทุ่มกว่า เขารีบอาบน้ำเพื่อชำระล้างคราบเหงื่อไคล เสร็จเรียบร้อยจึงมานั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เพื่อเข้าเฟซบุ๊กที่เขาสมัครไว้อีกชื่อหนึ่งเขายิ้มทันทีเมื่อเห็นว่าภัทรมัยยังไม่บล็อกบัญชีชื่อนี้ของเขา ดังนั้นชายหนุ่มจึงลองทักเธอทางกล่องข้อความChaya Wave : ทำไรอยู่แก้มเขาทักไปแล้วก็รอว่าเธอจะอ่านเลยหรือไม่ รอประมาณห้านาทีหญิงสาวก็ตอบกลับมาGam Phattramai : ถามทำไมChaya Wave : ก็อยากรู้Chaya Wave : เค้ก
มารดาของเฟิร์นยังคงโทรศัพท์หาชยาวุธอย่างไม่ลดละความพยายาม ในที่สุดชายหนุ่มก็ตัดรำคาญด้วยการรับสาย“ครับ คุณแม่”“ตาเวฟ วันนี้ไม่มาหรือลูก”“ผมติดธุระสำคัญครับ ช่วงนี้ผมค่อนข้างยุ่ง” ธุระสำคัญที่เขาพูดถึงคือการตามง้อภัทรมัย“แหม ยุ่งแค่ไหนก็น่าจะแวะมาหาแม่บ้าง หรือไม่ก็แวะมากินข้าวกับยายเฟิร์นสักมื้อก็ยังดี เป็นแฟนกันมันต้องใส่ใจกันนะลูกนะ ไปทำตัวห่างเหินกันเหมือนตอนนั้นมันไม่ดีหรอก แม่นี่ใจไม่ดีเลย”ชยาวุธลอบถอนหายใจ เขาคิดว่าเรื่องนี้อดีตคนรักน่าจะคุยกับมารดาของตนบ้างแล้ว แต่ท่านคงไม่เชื่อ เพราะฉะนั้นเขาคงต้องเอ่ยปากออกไปด้วยตนเองเสียแล้ว“คุณแม่ครับ ผมไม่ได้คบกับเฟิร์นแล้ว ความจริงเราเลิกกันตั้งแต่ปีที่แล้วครับคุณแม่”ปลายสายเงียบไปชั่วอึดใจจนเขาคิดว่าสายหลุดไปแล้ว กำลังคิดจะเรียกอีกฝ่าย แต่ทางนั้นก็เอ่ยปากพูดขึ้นก่อน“อะไรกันพวกเธอนี่ หมายความว่ายังไงที่ว่าเลิกกัน แล้วยายเฟิร์นลูกสาวแม่ล่ะจะทำยังไง”“ผมคุยและตกลงกับเฟิร์นเรี
“เมื่อกี้แก โทร.ไปหาตาเวฟหรือยายเฟิร์น” เสียงของมารดาถามขึ้นทันทีที่หญิงสาวเปิดประตูกระจกเข้าไปในห้อง“เปล่าสักหน่อย เฟิร์นคุยกับเพื่อนที่ทำงาน” เธอเดินไปนั่งบนโซฟายาวสำหรับให้แขกนอนเฝ้าคนป่วย“วันนี้ตาเวฟจะมาเยี่ยมแม่รึเปล่า”“ไม่มามั้ง เห็นบอกว่าติดงานนี่นา ทำไมแม่ต้องให้เวฟมาทุกวันด้วยเนี่ย ไม่เกรงใจเขาหรือไง วันหยุดทั้งทีเขาก็อยากพักผ่อนอยู่ห้องบ้าง”“อีกหน่อยก็ต้องมาเป็นลูกเขยแม่อยู่แล้ว เขาก็ต้องมาคอยดูแลแม่สิ”เฟิร์นถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย “ต้องให้เฟิร์นพูดอีกกี่ครั้งแม่ถึงจะเข้าใจเนี่ย เราเลิกกันแล้ว เฟิร์นไม่ได้เป็นแฟนกับเวฟแล้ว ทุกวันนี้คือเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แม่หยุดทำให้เขาลำบากใจได้ไหม แม่ไม่เห็นหน้าเวฟเวลาแม่พูดเรื่องเก่า ๆ บ้างหรือ ทุกอย่างมันจบไปแล้วแม่ และเวฟก็มีแฟนใหม่ไปแล้วด้วย”“แล้วแกจะยอมหรือยายเฟิร์น ตาเวฟน่ะดีจะตาย คบกับแกมาตั้งสิบกว่าปีไม่เคยมีเรื่องผู้หญิงมาให้กวนใจแกสักครั้ง แกจะยอมปล่อยเขาไปง่าย ๆ ได้ยังไงกัน แม
ผู้เป็นมารดามองหน้าบุตรสาวด้วยความเป็นห่วง รู้ดีว่าภัทรมัยชอบแต่งตัวสวย ๆ ชอบการพบปะผู้คนตามประสาหญิงสาวที่ชอบเข้าสังคมและมีเพื่อนเยอะ จึงบอกกับอีกฝ่ายว่า“ไม่ต้องรีบหรอก แกก็ทำงานของแกไปให้เต็มที่นั่นแหละ อยากลาออกเมื่อไรก็ค่อยว่ากัน แม่ไม่ได้บังคับว่าแกต้องลาออกมาช่วยแม่ทันทีสักหน่อย งานที่ร้านแม่ก็ยังทำไหว”“แม่ก็ไหวตลอด แต่เข้าโรงพยาบาลกี่รอบแล้วแก้มก็ขี้เกียจนับ” ภัทรมัยทำหน้ามุ่ยใส่มารดา“แค่หน้ามืดไปนิดเดียว ทำเป็นเรื่องใหญ่โตกันไปได้ แล้วนี่แม่จะออกจากโรงพยาบาลได้รึยัง”“หมอให้นอนดูอาการก่อนนะแม่ พรุ่งนี้ค่อยออก” เธอรีบบอกท่าน และเป็นตามคาด ท่านแย้งขึ้นทันที“พรุ่งนี้! ได้ยังไงกัน แล้วที่ร้านใครจะดู”“น้าแววไง ให้น้าแววดูให้ก่อน ยังไงพรุ่งนี้เราก็ปิดร้านอยู่แล้วไม่ใช่หรือ แก้มว่าแม่น่าจะนอนพักผ่อนให้เต็มที่ไปเลยนะ เปิดร้านแล้วค่อยลุยใหม่...เถอะนะแม่ พักผ่อนเถอะ”“ปรับเตียงขึ้นมาให้แม่หน่อย” ได้ยินอย่างนั้น ภัทรมัยจึงกดปุ่มปรับเตียงเพื่อให้ท่านน