ในขณะที่ภายในห้องหนังสือการสนทนาระหว่างพ่อลูกกำลังดำเนินขึ้น
“เจ้าล่วงรู้ข่าวของท่านประมุขที่กำลังแพร่สะพัดอยู่ในขณะนี้แล้วสินะ”หลิวเหวินซานถามบุตรชายทันที
“ขอรับท่านพ่อ! เพราะเหตุนี้จึงได้รีบกลับจวน ท่านประมุขสิ้นชีพจริงๆอย่างนั้นหรือขอรับ”หลัวอี้หลางรีบถามกลับไปด้วยความร้อนใจอย่างเห็นได้ชัด และคำตอบที่ได้รับกลับมานั้นคือใบหน้าของหลิวเหวินซานที่กำลังส่ายหน้าไปมาติดต่อกัน พร้อมเอ่ยขึ้น “หินโลหิตสถิตอยู่ในกายของท่านประมุขมีหรือจะมีสิ่งใดทำอันตรายนางได้ ไม่ต้องห่วงหรอกจะด้วยสาเหตุการตายมาจากอะไรก็ตามหินโลหิตจะทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองไม่ให้นางได้รับอันตรายอย่างแน่นอน” คำตอบของหลิวเหวินซานทำให้คนเป็นลูกมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถามกลับไป “เหตุใดข่าวจึงออกมาว่านางสิ้นลมหายใจแล้วละขอรับ”หลัวอี้หลางถามกลับไปด้วยความอยากรู้ “นั่นก็เพราะว่าท่านประมุขใกล้จะออกจากการจำศีลแล้ว จากที่ข้าอ่านบันทึกโบราณลักษณะที่เกิดขึ้นเช่นนี้หมายถึงโลหิตมนุษย์ถูกหลอมรวมจนกลายเป็นโลหิตชาดทองอย่างสมบูรณ์ จึงทำให้ร่างเข้าสู่ภาวะของคนตาย” “ภาวะคนตาย!”หลัวอีคืนวันที่อากาศหนาวเหน็บภายในค่ายทหารของเมืองลั่วหยาง จางเย่วฉินกำลังนั่งวางแผนจัดกองกำลังเพื่อถวายอารักขาให้แก่อู่เจาอี๋ ในวันที่จะต้องเสด็จไปสุสานเพื่อฝังศพบิดาของพระนาง จู่ๆ วันนั้นมีอาวุธลับมิรู้มาจากทิศทางใดสาดตรงเข้าหาแม่ทัพผู้กล้าที่กำลังนั่งอยู่บนตั่งภายในห้องทำงานอย่างรวดเร็ว ฟิ้ววววว!!! อาวุธลับดังกล่าวพุ่งตรงเข้าหาเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ หากแต่จางเย่วฉินแม่นยำกว่าด้วยเพราะมีวรยุทธ์กล้าแข็งและฝึกฝนให้โสตประสาทรับรู้ได้อย่างเชี่ยวชาญและแม่นยำ ดังนั้นอาวุธลับจึงถูกแม่ทัพชื่อก้องใช้มือตะครุบจับเอาไว้ได้อย่างทันทีทันใดพร้อมรอยแสยะยิ้มเหยียดปรากฏขึ้นบนใบหน้า “เจ้าพวกนักฆ่ากระจอก! คิดหรือว่าอาวุธลับเพียงแค่นี้จะสามารถปลิดชีพของข้าได้อย่างนั้นเหรอเจ้าพวกโง่!”จางเย่วฉินคำรามลั่นก่อนจะเห็นส่วนปลายมีกระดาษม้วนติดอยู่ “ไม่ได้ตั้งใจฆ่าแต่ตั้งใจส่งสาสน์มาอย่างนั้นเหรอ”จางเย่วฉินเอ่ยด้วยความแปลกใจ พร้อมรีบดึงกระดาษที่ม้วนอยู่และผูกติดกับอาวุธลับรีบอ่านข้อความในกระดาษนั้นอย่างรวดเร็ว เจ้าสาวของท่านยังไม่ตาย! นางถูกคนชั่วลอบสังหารโดยการวางยาพิษ เลือดภายในกายของนางมีคุณสม
5 วันผ่านไปผ้าขาวสลับดำสัญลักษณ์ของงานศพถูกประดับไปทั่วจวนตระกูลจ้าวและจวนตระกูลจาง ทั้งชั้นนอกและชั้นใน ในขณะที่ร่างของจ้าวมี่อิงถูกนำกลับไปที่จวนตระกูลจ้าวเพื่อจัดงานศพในฐานะบุตรสาวของเสนาบดีจ้าวฟ่านกั๋วที่เกิดกับฮูหยินเสวี่ยถิงภรรยาเอกแต่เป็นคนที่สองของขุนนางใหญ่ และน้องสาวของจ้าวซือเค่อเจ้ากรมอาญา ในขณะที่จวนตระกูลจางของผู้บัญชาการทัพจางเย่วฉินประดับด้วยผ้าสีขาวสลับดำเช่นเดียวกัน เป็นการไว้อาลัยให้แก่ว่าที่เจ้าสาวประมุขของจวน ความเงียบแผ่เข้าปกคลุมไปทั่วบริเวณจวนตระกูลจางและจวนตระกูลจ้าว ความเศร้าโศกเสียใจที่ตระกูลจ้าวได้รับในเวลาไล่เลี่ยกันและเกิดขึ้นกับบุตรสาวติดต่อกันถึงสองคนในเวลาเพียงไม่กี่เดือน เป็นเหตุให้เสนาบดีใหญ่สะเทือนใจเป็นยิ่งนักจนทำให้ล้มป่วยในเวลาต่อมา ข่าวการเสียชีวิตของจ้าวมี่อิงถูกม้าเร็วจากเมืองหลวงรีบเร่งเดินทางไปเมืองลั่วหยางเพื่อแจ้งข่าวให้กับแม่ทัพผู้กล้าได้ล่วงรู้ ซึ่งถังเกาจงฮ่องเต้ทรงมีพระบัญชาเรียกจางเย่วฉินกลับฉางอานเพื่อมาให้ทันได้เห็นหน้าว่าที่เจ้าสาวเป็นครั้งสุดท้ายด้วยสงสารพระสหายยิ่งนัก ในที่สุดก็ไม่ได้สมรสกับสตรีที่ปรารถน
ทันทีที่อยู่เพียงลำพังแม่ทัพผู้กล้าหันกลับไปมองหน้ามี่อิงพร้อมเอ่ยขึ้น “ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าพำนักอยู่ที่นี่นะ แต่ไหนแต่ไรก็อยู่ที่จวนข้ามาโดยตลอด นอนห้องเดียวกับข้า ใส่เสื้อผ้าของข้าทำอะไรในนามของข้ามาจนหมดแล้ว จู่ๆ แยกเจ้าออกมาแบบนี้ข้าไม่ยอมหรอกนะ! ลำพังนำร่างของเจ้าออกมาทำพิธีศพที่จวนตระกูลจ้าวโดยยังไม่ได้รับอนุญาต ข้ายังไม่ได้สะสางเรื่องนี้เลย”จางเย่วฉินบอกนางมารน้อยของเขาเสียยืดยาว ในขณะที่คนฟังนั่งมองอีกฝ่ายพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ตลอดเวลา “แต่ตอนนี้ข้าคือคุณหนูตระกูลจ้าว ไม่ใช่นางมารน้อยของท่านเหมือนเมื่อก่อน ข้ามีบิดามารดา มีพี่น้องและญาติมิตรไม่ได้ตัวคนเดียวและไม่ได้เป็นคนมาจากพรรคมารตามที่ท่านเข้าใจอีกต่อไปแล้วนะ ดังนั้นท่านจะปฏิบัติต่อข้าเหมือนเช่นแต่ก่อนได้อย่างไงจริงไหม”มี่อิงย้อนถามอีกฝ่ายกลับไป ในขณะที่คนฟังเกิดอาการฮึดฮัดเป็นการใหญ่ครั้นได้ยินเช่นนั้น “นี่เจ้าไม่อยากอยู่กับข้าแล้วเหรอนางมารน้อย! ถึงได้กล่าวเช่นนี้ออกมา”จางเย่วฉินถามกลับไปเสียงขุ่น “เอ..จะอยู่กับท่านดีหรือเปล่าน้า...หรือจะอยู่กับใครดีหนอ”มี่อิงแกล้งหยอกเย้ายั่วประสาทให้อีก
เรือนจี้ฮว่าเรือนจี้ฮว่าอยู่ทางปีกซ้ายของเรือนบูรพา เป็นเรือนใหญ่มีเนื้อที่กว้างขวางพร้อมสวนหย่อม สระน้ำ และสวนดอกไม้ที่ปลูกดอกจี้ฮว่าเอาไว้เป็นจำนวนมาก ภายในเรือนดังกล่าวมีห้องอีกมากมายนับหลายสิบห้องแยกเป็นสัดส่วนสำหรับใช้สอยตามความต้องการ และเรือนหลังนี้เคยเป็นที่พำนักของเสวี่ยถิง อดีตภรรยาเอกคนที่สองของจ้าวฟ่านกั๋วที่หายสาบสูญไปเกือบ 20 ปีก่อน ภายในห้องนอนใหญ่ในเวลานี้ หมอหลวงชุนถูกเชิญตัวมาเป็นการด่วนเพื่อตรวจอาการธิดาตระกูลจ้าวที่เพิ่งฟื้นกลับมาอย่างไม่คาดฝันหลังจากสิ้นลมไปแล้วนานกว่าห้าวัน สร้างความแปลกประหลาดใจให้แก่ผู้คนกันอย่างถ้วนหน้า ทุกสายตาเฝ้าจับจ้องสตรีสาวแสนสวยนั่งอยู่บนเตียงกำลังถูกตรวจอาการจากหมอชุนเพื่อความมั่นใจของทุกฝ่าย ในขณะที่ท่านหมอชราจับชีพจรไปเหลือบสายตามองหน้าจ้าวมี่อิงอยู่บ่อยครั้งท่ามกลางสายตาของทุกคน “หมอชุนท่านจับชีพจรให้น้องห้าของข้ามานานกว่าสองเค่อแล้วนะ เกิดอะไรขึ้นก็บอกมาจะได้หาทางช่วยกันแก้ไขได้ทันการ”จ้าวซือเค่อเป็นฝ่ายเอ่ยถามด้วยความร้อนใจ ในขณะที่มี่อิงล่วงรู้ว่าเหตุใดหมอชุนจึงมีท่าทีเช่นนั้นออกมาอยู่บ่อยครั้ง สาเหต
ในขณะเดียวกัน“ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย! ทำไม!!!!”เสียงที่ดังออกมาจากห้องหนังสือได้ยินมาถึงห้องนอนใหญ่ของหลัวอี้หลางที่เสี้ยนจูคนงามกำลังทรุดกายลงนั่งบนเตียงนอนอยู่ในขณะนี้ ถ้อยประโยคดังกล่าวสร้างความเคียดแค้นเกิดขึ้นภายในใจนับเท่าทวีคูณ หยาดน้ำตาแห่งความเสียใจเหือดแห้งไปนานแล้ว หากแต่สิ่งที่หลงเหลืออยู่คือความเย็นชาและแรงแค้นที่ฝังแน่นอยู่ในขณะนี้ พร้อมเสียงของนางกำนัลคนสนิทดังแทรกขึ้นเมื่อนางยื่นถ้วยชาที่ส่งกลิ่นหอมและไอขาวจางๆ ลอยออกมาเพื่อขับไล่ความเย็นออกจากร่างกาย เพื่อเพิ่มความอบอุ่นด้วยการดื่มชาเข้ามาแทนที่ “น้ำชาเพคะ รีบดื่มตอนร้อนๆ ร่างกายจะได้อบอุ่นเพื่อขับไล่ความเย็นออกจากกาย ไข้ลมหนาวจะได้ทุเลาลงไปด้วย” คนงามเหลือบมองถ้วยชาอยู่เพียงครู่ก่อนจะเอื้อมมือรับแต่โดยดีมาถือไว้กับมือพร้อมเอ่ยขึ้น “พรุ่งนี้ข้าจะกลับจวนดอกเหมย เจ้าจงไปจัดเตรียมการเดินทางให้พร้อมก่อนยามเฉินข้าจะออกจากที่นี่”เสี้ยนจูสั่งนางกำนัลคนสนิทท่ามกลางความดีใจของบ่าวรับใช้ “เพคะ!หม่อมฉันจะรีบแจ้งไปที่จวนดอกเหมยให้ส่งรถม้ามารับตามคำสั่ง”นางกำนั
ในขณะที่ภายในห้องหนังสือการสนทนาระหว่างพ่อลูกกำลังดำเนินขึ้น“เจ้าล่วงรู้ข่าวของท่านประมุขที่กำลังแพร่สะพัดอยู่ในขณะนี้แล้วสินะ”หลิวเหวินซานถามบุตรชายทันที “ขอรับท่านพ่อ! เพราะเหตุนี้จึงได้รีบกลับจวน ท่านประมุขสิ้นชีพจริงๆอย่างนั้นหรือขอรับ”หลัวอี้หลางรีบถามกลับไปด้วยความร้อนใจอย่างเห็นได้ชัด และคำตอบที่ได้รับกลับมานั้นคือใบหน้าของหลิวเหวินซานที่กำลังส่ายหน้าไปมาติดต่อกัน พร้อมเอ่ยขึ้น “หินโลหิตสถิตอยู่ในกายของท่านประมุขมีหรือจะมีสิ่งใดทำอันตรายนางได้ ไม่ต้องห่วงหรอกจะด้วยสาเหตุการตายมาจากอะไรก็ตามหินโลหิตจะทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองไม่ให้นางได้รับอันตรายอย่างแน่นอน” คำตอบของหลิวเหวินซานทำให้คนเป็นลูกมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถามกลับไป “เหตุใดข่าวจึงออกมาว่านางสิ้นลมหายใจแล้วละขอรับ”หลัวอี้หลางถามกลับไปด้วยความอยากรู้ “นั่นก็เพราะว่าท่านประมุขใกล้จะออกจากการจำศีลแล้ว จากที่ข้าอ่านบันทึกโบราณลักษณะที่เกิดขึ้นเช่นนี้หมายถึงโลหิตมนุษย์ถูกหลอมรวมจนกลายเป็นโลหิตชาดทองอย่างสมบูรณ์ จึงทำให้ร่างเข้าสู่ภาวะของคนตาย” “ภาวะคนตาย!”หลัวอี