เซียวอวี้กับเฟิ่งจิ่วเหยียนสบตากัน สีหน้านิ่งขรึมพวกเขาต่างรู้ดี หากมีพิษมนุษย์โอสถใหม่เกิดขึ้นมา เช่นนั้นสถานการณ์ก็จะควบคุมไม่ได้นั่นหมายความว่า ยาถอนพิษที่พวกเขามีอยู่ในตอนนี้ จะกลายเป็นขยะไร้ประโยชน์ทั้งหมดพวกเขายังต้องใช้เวลาปรุงยาถอนพิษขึ้นมาใหม่ เพื่อรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันทว่า เรื่องเวลา แน่นอนว่าไม่ทันอยู่แล้วการปรุงยาถอนพิษครั้งที่แล้ว สิ้นเปลืองทั้งกำลังคนและทรัพยากร แค่หาส่วนประกอบตั้งต้นของพิษมนุษย์โอสถอย่างเดียว ก็นับว่าไม่ง่ายแล้วสีหน้าของเซียวอวี้เคร่งขรึม“หากถานไถเหยี่ยนครอบครองพิษมนุษย์โอสถแบบใหม่อยู่ในมือ เช่นนั้น สถานการณ์ในสงครามครั้งนี้ อาจจะพลิกผันตลอดเวลา”เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้า แววตาดูเลื่อนลอยอึดใจต่อมา นางก็เสนอว่า“คิดในแง่ดี อาจเป็นแผนหลอกศัตรูของถานไถเหยี่ยนก็ได้”เซียวอวี้ขมวดคิ้วมุ่น“ก็อาจจะเป็นไปได้“ถานไถเหยี่ยนจงใจปล่อยข่าวนี้ออกมา เพื่อสร้างความปั่นป่วนให้พวกเรา“แต่ไม่ว่าอย่างไร พวกเราต้องเตรียมแผนการรับมือให้รอบด้าน“เพื่อป้องกันไม่ให้พิษมนุษย์โอสถเกิดการเปลี่ยนแปลง ให้หมอหลวงที่ติดตามมาอยู่ที่นี่ก่อน แล้วตรวจสอบให้ละเ
นอกเมืองหลวงแคว้นตงซาน ณ ค่ายทหารกองทัพฉีเซียวอวี้ได้รับสารด่วนจากกองทัพ“สารด่วน! ฝ่าบาท! กองทัพตงจิ้งจับเชลยศึกหนานเจียงไว้ราวสองหมื่นคน!”เหล่าแม่ทัพได้ยินดังนั้น ต่างดีใจออกหน้าเซียวอี้กลับถามด้วยสีหน้าเยือกเย็น“มีเพียงชาวหนานเจียงหรือ เซียวเหิงล่ะ?”“ทูลฝ่าบาท ยังจับตัวเซียวเหิงไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”สายตาของเซียวอวี้ลุ่มลึกการที่เซียวเหิงหนีไปนั้น ถือเป็นภัยร้ายเรื่องหนึ่งเขาออกคำสั่งทันที “พรรคพวกของเซียวเหิง เป็นหรือตายก็ต้องจับมาให้ได้!”“รับทราบ!” ……พักฟื้นราวครึ่งเดือน หยวนจั้นสามารถเดินเหินได้แล้วทว่าเขากลับได้รู้ว่า ถานไถเหยี่ยนส่งคนจำนวนไม่น้อยมาจับตามองตัวเองหากจะสลัดคนพวกนั้นออกไป หาได้ง่ายดายไม่หยวนจั้นรีบร้อนอยากเอากระบี่นั้นไปส่งให้ถึงมือฮองเฮาฉี แต่ด้วยอาการบาดเจ็บหนักเกินไป จึงถูกคุมตัวไว้ทว่า หลายวันมานี้ถานไถเหยี่ยนเหมือนจะเจอปัญหาอะไรบางอย่าง จึงหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ตลอดเวลาหยวนจั้นเดาว่า อาจเป็นเพราะกองทัพฉีกำลังจะบุกโจมตีเข้ามาวันนี้ เขาได้ยินถานไถเหยี่ยนคุยกับลูกน้อง“ทางทิศตะวันตกยังไม่มีข่าวคราวส่งมา ต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ ๆ ส่งคนไปดูอ
เฟิ่งจิ่วเหยียนจากไปครั้งนี้ ไม่อาจใส่ใจทางด้านของหยวนจั้นได้แล้ว นางจึงมอบหมายให้อู๋ไป๋ไปจัดการเรื่องนี้ โดยลอบเข้าจวนหยวน รอข่าวจากหยวนจั้น อู๋ไป๋รับคำสั่งทันที หลังจากที่เขาออกจากกระโจมใหญ่แล้ว เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ต้องไปแล้วเช่นกัน ก่อนจากไป นางเขย่งเท้าขึ้น ประทับจุมพิตบนริมฝีปากของเซียวอวี้ เซียวอวี้ยังกังวลว่าการเดินทางครั้งนี้ของนาง จะไปเผชิญกับอันตรายอะไรบ้าง เมื่อตอบสนองถึงสิ่งที่เกิดขึ้น จุมพิตที่แผ่วเบาชั่วครู่ของนางก็บินจากไปแล้ว เขารีบจุมพิตตอบนางทันที จุมพิตที่ลึกซึ้ง หลอมรวมด้วยความห่วงใยของเขา และความกังวลใจ สุดท้าย เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ผลักเขาออก “เอาล่ะ หม่อมฉันต้องไปแล้ว”…… เฟิ่งจิ่วเหยียนเลือกม้าศึกตัวหนึ่ง มุ่งหน้าลงใต้ตลอดทาง ไม่เกินห้าวัน นางก็ได้เห็นกระโจมทหารที่หร่วนฝูอวี้ตั้งค่ายอยู่ “หยุด——” ครั้นอยู่ห่างจากกระโจมค่ายไม่กี่จั้ง นางก็ดึงบังเหียนหยุดม้า เกือกม้ากระทบพื้นดิน “กุบกับ” แล้วหมุนตัว แผ่นหลังของเฟิ่งจิ่วเหยียนตั้งตรง ผมหางม้ารวบสูงปลิวไสวไปตามสายลม เก๋อสือชีผู้รับหน้าที่ต้อนรับก็รีบว
หร่วนฝูอวี้นำทหารหนานเจียงห้าพันนาย ต่อสู้กับกองทัพฉี ราวกับการใช้ไข่ตีหิน แทบจะไม่มีโอกาสชนะเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า คนทั้งห้าพันคนนี้ ล้วนแต่เป็นราษฎรธรรมดาที่ไม่เคยผ่านการฝึกฝน ในจำนวนนั้นมีหญิงชราและเด็กอยู่ไม่น้อย พวกเขากัดฟันสู้ไม่ถอย มุ่งมั่นเดินทางไกลนับพันลี้มายังแคว้นตงซาน หากคิดจะให้พวกเขาออกรบ ย่อมไม่สามารถทำได้อีกแล้ว หร่วนฝูอวี้ตระหนักถึงจุดอ่อนของตนเองได้ดี แต่นางไม่อาจถอยกลับได้ นางถอยหนึ่งก้าว หนานเจียงก็จะไร้ความหวังแล้วจริง ๆ เพียงแค่เมืองเดียว ก็ขวางกั้นเส้นทางของหร่วนฝูอวี้และพวกพ้องอยู่แล้ว ตามแผนการของหร่วนฝูอวี้ คือต้องการจะไปสมทบกับทหารห้าหมื่นนายของเซียวเหิง แย่งชิงอำนาจบัญชาการกองทัพใหญ่ของหนานเจียงกลับคืนมา สุดท้ายเมื่อมาถึงแคว้นตงซาน กลับยังไม่มีข่าวคราวของกองทัพใหญ่ห้าหมื่นนายเลย นางจึงส่งคนไปสอบถาม ก็ไม่คืบหน้า ในเดือนสิบ ทัศนียภาพฤดูใบไม้ร่วงดูหม่นหมอง วันนี้ อู๋ไป๋มาพบหร่วนฝูอวี้ เพื่อส่งจดหมายลับ เก๋อสือชีพาเขาไปพบศิษย์พี่ “ศิษย์พี่ นี่คือจดหมายลับจากฮองเฮาหนานฉี ขอให้ท่านเปิดอ่านด้วยตนเอง! ฮ่องเต้
ถานไถเหยี่ยนหาได้ผิดคำพูดไม่ เขารีบจัดเตรียมคนมา รักษาอาการบาดเจ็บของหยวนจั้นทันที ไม่ช้า เลือดก็หยุดไหล หยวนจั้นรอดชีวิตได้อย่างหวุดหวิด ถึงแม้จะหมดสติเพราะความเจ็บปวด เขายังจับกระบี่นั้นไว้ไม่ปล่อย เรื่องใดที่เขาได้รับปากไว้แล้ว ต้องทำให้สำเร็จ! ถานไถเหยี่ยนเดินมาที่ข้างเตียงของเขา มองเขาด้วยแววตาที่ไม่อาจทนไหว “เจ้าควรระวังให้มากกว่านี้ “มัวแต่สนใจศัตรูที่อยู่ตรงหน้า กลับลืมศัตรูที่อาจปรากฏขึ้นข้างหลัง เจ้าประมาทเกินไป” ริมฝีปากซีดเซียวของหยวนจั้นกระตุกเล็กน้อย เหมือนยิ้ม และเหมือนเยาะเย้ย “อย่าเสแสร้งอีกเลย ข้า...ขยะแขยง” สีหน้าของถานไถเหยี่ยนไม่แสดงความขุ่นเคืองแม้แต่น้อย เขายื่นมือออกไปแตะผ่านหน้าอกของหยวนจั้น ซึ่งบนนั้นมีผ้าพันแผลอยู่ ทันใดนั้น ก็พลิกฝ่ามือ จับกระบี่นั้นไว้ แม้จะมีฝักกระบี่กั้นอยู่ เขายังสามารถสัมผัสได้ถึงแรงของหยวนจั้น “เจ้าดูเหมือนจะชอบกระบี่เล่มนี้มาก แทบจะหมดสติแล้ว ก็ยังกำมันไว้แน่น” หยวนจั้นหันหน้าไปทางอื่น “ข้าพูดแล้ว ข้าอยากเป็นอ๋องของดินแดนนี้ และนี่คือคำมั่นสัญญา ไม่อาจทิ
ถานไถเหยี่ยนประหลาดใจมาก ที่หยวนจั้นเป็นฝ่ายมาหาเขาก่อน และยังมาเพื่อหารือแผนการขับไล่ศัตรูด้วย หยวนจั้นนั่งลงที่โต๊ะฝั่งตรงข้ามเขา ดวงตาเย็นชาเคียดแค้น “มิใช่ท่านอยากรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งหรือ? แล้วเหตุใดท่านจึงไม่กระทำการโต้กลับเสียที จะปล่อยให้หนานฉีโจมตีและยึดครองเมืองต่าง ๆ มากมายของแคว้นตงซานเช่นนี้หรือ?” ถานไถเหยี่ยนรินชาให้เขาด้วยตนเอง บนใบหน้ามีรอยยิ้มที่อ่อนโยน “หยวนจั้น สิ่งที่เจ้าเห็น คือแคว้นตงซานสูญเสียหลายเมืองติดต่อกัน สิ่งที่ข้าเห็น เป็นกองทัพฉีที่กำลังเดินเข้าสู่กับดักที่ข้าเตรียมไว้ทีละก้าว “นั่นคือความสนุกของการล่า มิใช่หรือ? “บางคนชอบที่จะยิงสังหารเหยื่อด้วยลูกธนูเพียงดอกเดียว แต่ข้าชอบดูเหยื่อตกลงไปในกับดัก ดิ้นรนอย่างยากลำบาก ร้องคร่ำครวญ จนกระทั่งพวกเขาหมดหวังในการมีชีวิตรอด ภายใต้ความหวาดกลัวทางจิตใจและความเจ็บปวดทางร่างกาย โหยหาความตายตลอดเวลา” หยวนจั้นไม่แสดงสีหน้าใด ๆ “เรื่องที่ท่านเอ่ยมา ข้าไม่เข้าใจ “สิ่งที่ข้ารู้คือ เท่าที่ดูตอนนี้ กองทัพฉีบุกทะลวงเหมือนผ่าลำไผ่ ท่านต้านทานไม่ไหวแล้ว” ถานไถเหยี่ยนกล่าวด้วยรอยย