เฟิ่งจิ่วเหยียนจากไปครั้งนี้ ไม่อาจใส่ใจทางด้านของหยวนจั้นได้แล้ว นางจึงมอบหมายให้อู๋ไป๋ไปจัดการเรื่องนี้ โดยลอบเข้าจวนหยวน รอข่าวจากหยวนจั้น อู๋ไป๋รับคำสั่งทันที หลังจากที่เขาออกจากกระโจมใหญ่แล้ว เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ต้องไปแล้วเช่นกัน ก่อนจากไป นางเขย่งเท้าขึ้น ประทับจุมพิตบนริมฝีปากของเซียวอวี้ เซียวอวี้ยังกังวลว่าการเดินทางครั้งนี้ของนาง จะไปเผชิญกับอันตรายอะไรบ้าง เมื่อตอบสนองถึงสิ่งที่เกิดขึ้น จุมพิตที่แผ่วเบาชั่วครู่ของนางก็บินจากไปแล้ว เขารีบจุมพิตตอบนางทันที จุมพิตที่ลึกซึ้ง หลอมรวมด้วยความห่วงใยของเขา และความกังวลใจ สุดท้าย เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ผลักเขาออก “เอาล่ะ หม่อมฉันต้องไปแล้ว”…… เฟิ่งจิ่วเหยียนเลือกม้าศึกตัวหนึ่ง มุ่งหน้าลงใต้ตลอดทาง ไม่เกินห้าวัน นางก็ได้เห็นกระโจมทหารที่หร่วนฝูอวี้ตั้งค่ายอยู่ “หยุด——” ครั้นอยู่ห่างจากกระโจมค่ายไม่กี่จั้ง นางก็ดึงบังเหียนหยุดม้า เกือกม้ากระทบพื้นดิน “กุบกับ” แล้วหมุนตัว แผ่นหลังของเฟิ่งจิ่วเหยียนตั้งตรง ผมหางม้ารวบสูงปลิวไสวไปตามสายลม เก๋อสือชีผู้รับหน้าที่ต้อนรับก็รีบว
หร่วนฝูอวี้นำทหารหนานเจียงห้าพันนาย ต่อสู้กับกองทัพฉี ราวกับการใช้ไข่ตีหิน แทบจะไม่มีโอกาสชนะเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า คนทั้งห้าพันคนนี้ ล้วนแต่เป็นราษฎรธรรมดาที่ไม่เคยผ่านการฝึกฝน ในจำนวนนั้นมีหญิงชราและเด็กอยู่ไม่น้อย พวกเขากัดฟันสู้ไม่ถอย มุ่งมั่นเดินทางไกลนับพันลี้มายังแคว้นตงซาน หากคิดจะให้พวกเขาออกรบ ย่อมไม่สามารถทำได้อีกแล้ว หร่วนฝูอวี้ตระหนักถึงจุดอ่อนของตนเองได้ดี แต่นางไม่อาจถอยกลับได้ นางถอยหนึ่งก้าว หนานเจียงก็จะไร้ความหวังแล้วจริง ๆ เพียงแค่เมืองเดียว ก็ขวางกั้นเส้นทางของหร่วนฝูอวี้และพวกพ้องอยู่แล้ว ตามแผนการของหร่วนฝูอวี้ คือต้องการจะไปสมทบกับทหารห้าหมื่นนายของเซียวเหิง แย่งชิงอำนาจบัญชาการกองทัพใหญ่ของหนานเจียงกลับคืนมา สุดท้ายเมื่อมาถึงแคว้นตงซาน กลับยังไม่มีข่าวคราวของกองทัพใหญ่ห้าหมื่นนายเลย นางจึงส่งคนไปสอบถาม ก็ไม่คืบหน้า ในเดือนสิบ ทัศนียภาพฤดูใบไม้ร่วงดูหม่นหมอง วันนี้ อู๋ไป๋มาพบหร่วนฝูอวี้ เพื่อส่งจดหมายลับ เก๋อสือชีพาเขาไปพบศิษย์พี่ “ศิษย์พี่ นี่คือจดหมายลับจากฮองเฮาหนานฉี ขอให้ท่านเปิดอ่านด้วยตนเอง! ฮ่องเต้
ถานไถเหยี่ยนหาได้ผิดคำพูดไม่ เขารีบจัดเตรียมคนมา รักษาอาการบาดเจ็บของหยวนจั้นทันที ไม่ช้า เลือดก็หยุดไหล หยวนจั้นรอดชีวิตได้อย่างหวุดหวิด ถึงแม้จะหมดสติเพราะความเจ็บปวด เขายังจับกระบี่นั้นไว้ไม่ปล่อย เรื่องใดที่เขาได้รับปากไว้แล้ว ต้องทำให้สำเร็จ! ถานไถเหยี่ยนเดินมาที่ข้างเตียงของเขา มองเขาด้วยแววตาที่ไม่อาจทนไหว “เจ้าควรระวังให้มากกว่านี้ “มัวแต่สนใจศัตรูที่อยู่ตรงหน้า กลับลืมศัตรูที่อาจปรากฏขึ้นข้างหลัง เจ้าประมาทเกินไป” ริมฝีปากซีดเซียวของหยวนจั้นกระตุกเล็กน้อย เหมือนยิ้ม และเหมือนเยาะเย้ย “อย่าเสแสร้งอีกเลย ข้า...ขยะแขยง” สีหน้าของถานไถเหยี่ยนไม่แสดงความขุ่นเคืองแม้แต่น้อย เขายื่นมือออกไปแตะผ่านหน้าอกของหยวนจั้น ซึ่งบนนั้นมีผ้าพันแผลอยู่ ทันใดนั้น ก็พลิกฝ่ามือ จับกระบี่นั้นไว้ แม้จะมีฝักกระบี่กั้นอยู่ เขายังสามารถสัมผัสได้ถึงแรงของหยวนจั้น “เจ้าดูเหมือนจะชอบกระบี่เล่มนี้มาก แทบจะหมดสติแล้ว ก็ยังกำมันไว้แน่น” หยวนจั้นหันหน้าไปทางอื่น “ข้าพูดแล้ว ข้าอยากเป็นอ๋องของดินแดนนี้ และนี่คือคำมั่นสัญญา ไม่อาจทิ
ถานไถเหยี่ยนประหลาดใจมาก ที่หยวนจั้นเป็นฝ่ายมาหาเขาก่อน และยังมาเพื่อหารือแผนการขับไล่ศัตรูด้วย หยวนจั้นนั่งลงที่โต๊ะฝั่งตรงข้ามเขา ดวงตาเย็นชาเคียดแค้น “มิใช่ท่านอยากรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งหรือ? แล้วเหตุใดท่านจึงไม่กระทำการโต้กลับเสียที จะปล่อยให้หนานฉีโจมตีและยึดครองเมืองต่าง ๆ มากมายของแคว้นตงซานเช่นนี้หรือ?” ถานไถเหยี่ยนรินชาให้เขาด้วยตนเอง บนใบหน้ามีรอยยิ้มที่อ่อนโยน “หยวนจั้น สิ่งที่เจ้าเห็น คือแคว้นตงซานสูญเสียหลายเมืองติดต่อกัน สิ่งที่ข้าเห็น เป็นกองทัพฉีที่กำลังเดินเข้าสู่กับดักที่ข้าเตรียมไว้ทีละก้าว “นั่นคือความสนุกของการล่า มิใช่หรือ? “บางคนชอบที่จะยิงสังหารเหยื่อด้วยลูกธนูเพียงดอกเดียว แต่ข้าชอบดูเหยื่อตกลงไปในกับดัก ดิ้นรนอย่างยากลำบาก ร้องคร่ำครวญ จนกระทั่งพวกเขาหมดหวังในการมีชีวิตรอด ภายใต้ความหวาดกลัวทางจิตใจและความเจ็บปวดทางร่างกาย โหยหาความตายตลอดเวลา” หยวนจั้นไม่แสดงสีหน้าใด ๆ “เรื่องที่ท่านเอ่ยมา ข้าไม่เข้าใจ “สิ่งที่ข้ารู้คือ เท่าที่ดูตอนนี้ กองทัพฉีบุกทะลวงเหมือนผ่าลำไผ่ ท่านต้านทานไม่ไหวแล้ว” ถานไถเหยี่ยนกล่าวด้วยรอยย
เมื่อได้ยินข่าวว่าทัพแนวหน้ากำลังรอคอยเสบียงเพื่อบรรเทาสถานการณ์ฉุกเฉิน เหลียนซวงก็รีบตอบตกลงทันทีสิ่งเดียวที่เป็นกังวล คือเกรงว่าตนเองจะทำได้ไม่ดีพอ แล้วทำให้ล่าช้าเสบียงชุดที่สองถูกส่งออกเดินทาง พวกทหารปลอมตัวเป็นขบวนพ่อค้า โดยมีเหลียนซวงเป็นผู้นำขบวนตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางเดินทางไปมาหลายแห่งแรกเริ่มเพียงทำธุรกิจขายงานเขียนและภาพวาด แต่บัดนี้เพื่อเลี้ยงดูเด็กกำพร้าในจวน ธุรกิจที่นางข้องเกี่ยวก็ค่อย ๆ ขยายมากขึ้นในเรื่องนี้ก็ขาดการช่วยเหลือของเจียงหลินไม่ได้ตระกูลเจียงนับเป็นตระกูลมั่งคั่งที่สุดแห่งแคว้นหนานฉี หลังนายท่านเจียงเสียชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างในตระกูลเจียงล้วนยกให้เจียงหลินดูแลเด็กหนุ่มผู้เคยมีความฝันอยากถือกระบี่ออกพเนจรท่องยุทธภพ ท้ายที่สุดกลับถูกบีบให้แบกรับภาระอันหนักหน่วงของตระกูล…...แคว้นตงซานเฟิ่งจิ่วเหยียนอาศัยความมืด มาถึงจวนตระกูลหยวนนางไม่ได้เผยตัวตน หากแต่โยนก้อนหินที่พันด้วยแผ่นกระดาษเข้าไปในห้องภายในห้องหยวนจั้นที่เดิมนอนพลิกกายไม่หลับตลอดทั้งคืน ลุกขึ้นมาเก็บก้อนหินแล้วเห็นแผ่นกระดาษเมื่อเปิดออกดู เขาก็ขมวดคิ้วแน่น จากนั้นก็รีบทำลาย
เซียวอวี้เห็นเฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยตาตนเอง ค่อยเชื่อว่านางมาจริง ๆเขารีบโอบกอดนางเต็มอ้อมแขน พร้อมทั้งจุมพิตลงบนหน้าผากของนาง“เจ้ามาได้อย่างไร? หรือว่าเจอตำแหน่งดวงตาค่ายกลแล้ว?”เฟิ่งจิ่วเหยียนคลายตัวออกจากอ้อมแขนเขา มองสบตาเขาอย่างจริงจัง“ความเป็นไปได้เก้าในสิบส่วน แต่ก็ยังไม่มั่นใจมาก“ตอนนี้มีปัญหาอย่างหนึ่ง กระบี่ของเสียวอู่ อยู่ในมือถานไถเหยี่ยน“หากจะเปิดประตูสำริดที่อยู่ด้านนอกตำแหน่งดวงตาค่ายกล ต้องใช้กระบี่เล่มนั้น”เซียวอวี้เข้าใจความหมายของนางทันที“เจ้ามาเพื่อชิงกระบี่ใช่หรือไม่?”เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้า“อืม”แล้วก็พูดเสริม “แวะมาดูท่านด้วย”เซียวอวี้หัวเราะขมขื่น “ที่แท้เราเป็นเพียงเรื่องแวะมาด้วยเท่านั้นเอง”เฟิ่งจิ่วเหยียนหันไปมองผังทรายในกระโจมใหญ่ เดินเข้าไปเพ่งดูพลางเอ่ยถาม “ตอนนี้ไม่คิดจะโจมตีเมืองหลวงหรือ?”“ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาเหมาะแก่การโจมตีเมือง กองหนุนจากหนานเจียงก็กำลังใกล้มาถึงแล้ว เราส่งจางฉี่หยางออกไปรับเสบียง เตรียมพร้อมทำศึกระยะยาว”เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“พูดถึงกองหนุน ที่จริงการมาครั้งนี้ หม่อมฉันยังมีอีกเรื่องหนึ่ง”เซ