ตอนที่เฟิ่งจิ่วเหยียนออกท่องยุทธภพในครานั้น ก็ได้รู้จักกับซ่งหลีในใจของซ่งหลี นางเป็นสหายที่ดี วีรกรรมของนาง เขาทั้งเคยเห็นกับตา และได้ยินมาด้วยตอนนี้จะเล่าให้เซียวอวี้ฟัง ก็เรียกได้ว่าเล่าได้ไม่รู้จักจบ “...เสียดายเพียง หลังจากกลุ่มพันธมิตรอู่หลินก่อตั้งขึ้นไม่นาน ซูฮ่วนก็จากไปโดยไม่บอกลา“ตอนนี้ถึงได้รู้ว่า เป็นเพราะเกิดเรื่องกับเมิ่งสิงโจว”เซียวอวี้ฟังมาถึงตรงนี้ ก็ไม่อาจหยุดความอยากรู้ได้ว่า เมิ่งสิงโจวผู้นั้น เป็นคนอย่างไรอีกจากที่ได้ยินจิ่วเหยียนเล่าให้ฟัง เขาตายจากการสืบเรื่องของมนุษย์โอสถทว่าคนผู้นี้หน้าตาเป็นอย่างไร หรือมีนิสัยอย่างไร ตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยในคืนนั้นคณะของพวกเขาเข้าพักที่โรงพักแรมหลังจากซ่งหลีได้เข้าห้อง ถึงรู้สึกผ่อนคลายอย่างเต็มที่ พลางจับมือเวยเฉียง ถอนหายใจพร้อมกับเอ่ย“เวยเฉียง พรุ่งนี้พวกเรานั่งรถม้าคันเดียวกันได้หรือไม่?”เฟิ่งเวยเฉียงรีบถามกลับทันที: “ฝ่าบาททรงทำให้ท่านลำบากใจหรือ?”“ก็ไม่ใช่หรอก เพียงแต่...นั่งกับฝ่าบาท ก็ยากจะวางตัวถูก”เวยเฉียงรู้สึกลังเลอยู่บ้าง“แต่ว่า...ข้าก็อยากนั่งไปกับพี่หญิง”นางยิ้มให้กับซ่งหลี “คงต้องท
เฟิ่งจิ่วเหยียนประหลาดใจมาก เซียวอวี้เคยเห็นศิษย์พี่ได้อย่างไร?หลังออกมาจากหอบรรพบุรุษ นางดึงเซียวอวี้ไปตรงมุมที่มีคนน้อย เพื่อให้เขาเล่าเรื่องนี้ให้ละเอียด“ท่านไม่ได้ดูผิดใช่หรือไม่? เคยเห็นศิษย์พี่ของหม่อมฉันจริง ๆ หรือ?”เซียวอวี้ตอบด้วยท่าทีจริงจัง“ใช่เขา“ตอนนั้นเราออกตรวจเยี่ยมราษฎร วันที่ช่วยชีวิตหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ เคยเห็นคนที่บนภาพ“แม้เพียงชั่วพริบตาเดียว เราก็จำได้อย่างแม่นยำ”เฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้วหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ เป็นหวงกุ้ยเฟยที่ถวายตัวยับยั้งพิษวารีสวรรค์ให้กับเขาหลิงเยี่ยนเอ๋อร์เดิมก็คือมนุษย์โอสถเฟิ่งจิ่วเหยียนคำนวณเวลาหากฝ่าบาทจำไม่ผิด ฉะนั้น วันที่เขาเจอกับศิษย์พี่ คือตอนที่ศิษย์พี่พบเจออันตรายนางถามต่อไป“สถานการณ์ตอนนั้นเป็นอย่างไร?”เซียวอวี้หวนคิด“ปีนั้น หลิงเยี่ยนเอ๋อร์เป็นมนุษย์โอสถที่หนีออกมา หลังจากเราช่วยชีวิตนางไว้ ก็ได้รู้ว่ามีคนกำลังฝึกมนุษย์โอสถ จึงนำกองกำลังทหารไปกวาดล้างพวกโจร“เมื่อไปถึงที่นั่น เจอศิษย์พี่ของเจ้า“ตอนนั้นไม่รู้สถานะของเขา ได้ต่อสู้กับเขา ดึงผ้าคลุมหน้าของเขาลงมา น่าเสียดายที่ปล่อยเขาหนีไปได้”ตอนนี้คิดดูแล้ว ห
แคว้นซีหนี่ว์หูย่วนเอ๋อร์ได้รับจดหมายลับของเฟิ่งจิ่วเหยียนโอวหยางเหลียนดูใส่ใจมาก ถามอย่างร้อนรน “นางพูดว่าอย่างไร?”หลังจากหูย่วนเอ๋อร์อ่านจดหมายแล้ว ท่าทีเคร่งขรึมและซับซ้อนนางเงยหน้าขึ้นมองอวหยางเหลียน บนใบหน้าชราของฝ่ายหลังเต็มไปด้วยความวิตกกังวล“เกิดอะไรขึ้นกันแน่? นางจะกลับมาหรือไม่?”หูย่วนเอ๋อร์ตอบ “แม่ทัพน้อยยังมีน้องสาวฝาแฝดคนหนึ่ง ชื่อเวยเฉียง นางอยากให้น้องสาวคนนี้มาแทนตนเอง นั่งตำแหน่งประมุขไปก่อน”โอวหยางเหลียนฟังแล้ว สีหน้ายิ่งวิตกกังวล“ทำเช่นนี้ได้อย่างไร? ตกลงกันแล้ว นางจะกลับมาเป็นประมุข นางจะให้ตัวปลอมคนหนึ่งมาได้อย่างไร?”หูย่วนเอ๋อร์แก้คำพูดนาง“ไม่ใช่ตัวปลอม เฟิ่งเวยเฉียงก็เป็นสายเลือดของตระกูลเฟิ่ง”อวหยางเหลียนตำหนินาง“ข้าจะไม่รู้ความสัมพันธ์นี้หรือ? ทว่า ให้คนมาแทน หากมีใครรู้...”“เรื่องนี้ คนยิ่งรู้น้อยยิ่งดี” หูย่วนเอ๋อร์ขัดจังหวะที่นางกำลังพูด น้ำเสียงแน่วแน่ “ขอให้ภายในแคว้นนั้นไม่มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น ก็เพียงพอแล้ว แม่ทัพน้อยเป็นฮองเฮาแคว้นหนานฉี ยอมยังมีเรื่องสำคัญอื่นต้องทำ”โอวหยางเหลียนถอนหายใจ“อย่างไรนี่ก็ไม่ใช่แผนการที่ดีในระ
ปัง!ประตูใหญ่ตระกูลหลี่ถูกคนเตะเปิดออกพวกข้ารับใช้หันไปมองคนที่มาอย่างประหลาดใจ “เจ้า เจ้าเป็นผู้ใด!”มือเฟิ่งจิ่วเหยียนข้างหนึ่งจูงมือหยวนเจียเฉียว มืออีกข้างหนึ่งปล่อยชายกระโปรง ชักเท้าที่เตะประตูกลับมา ดวงตาที่เย็นชาโหดร้ายไม่พูดอะไรมาก ยกมือขึ้นมา ทหารข้างหลังบุกเข้าไปข้ารับใช้ตระกูลหลี่พยายามขวางรั้ง ก็ไม่เกิดประโยชน์“รีบไปเรียนใต้เท้า!”หยวนเจียเฉียวเห็นเช่นนี้แล้ว ในใจร้อนรุ่มนางมองใบหน้าด้านข้างของเฟิ่งจิ่วเหยียน พูดขึ้นมาอย่างร้อนใจ “ฮองเฮา ลูกของข้า...”เฟิ่งจิ่วเหยียนหันมามองนาง แววตาไม่แสดงออกถึงอารมณ์ใด“เขาจะไม่มีอันตราย”ไม่นาน อู๋ไป๋อุ้มเด็ก เดินผ่านฝูงคน มาถึงตรงหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนกับหยวนเจียเฉียว“นายท่าน เด็กคนนี้ว่าง่ายมาก ข้าน้อยเป็นคนแปลกหน้าอุ้มเขา เขาก็ไม่ร้องไห้ไม่โวยวาย”หยวนเจียเฉียวรีบรับลูกชายของตนเองมา ในดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตา ร่วงหล่นตกทีละเม็ดราวกับมุกนางจูบหน้าผากลูก ขอบคุณเฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างตื้นตัน“ฮองเฮา ขอบพระทัย! ขอบพระทัยท่านที่ช่วยลูกชายของข้าไว้!”ทว่านางไม่เข้าใจ ฮองเฮารู้สถานการณ์ที่แท้จริงของนางได้อย่างไร?เพื่อความปลอด
ห้องลับในห้องหนังสือของตระกูลหลี่ มีคนตายวางอยู่หลายคนและยังเป็นหญิงสาวรูปงาม!พวกนางต่างนอนบนเตียงของตนเอง ดูแวบเดียว เหมือนเป็นศพเมื่อตรวจสอบดู ล้วนยังมีลมหายใจเฟิ่งจิ่วเหยียนรีบให้หมอมาตรวจรักษาทว่าในใจ มีความคิดคาดเดานางเคยเห็นแม่ของจางฉวน สตรีคนนั้นก็อยู่ในสภาพคนตายทั้งเป็น “นอนหลับ” นานหลายปีหลังจากหมอหลวงตรวจดูแล้ว เกิดจากพิษมนุษย์โอสถสตรีเหล่านี้ มีอาการคล้ายกับแม่ของจางฉวนหมอที่เมืองซาง ไม่เคยรู้จักพิษมนุษย์โอสถดังนั้น หมอจึงไม่ได้สรุปผลการตรวจอย่างชัดเจน“สตรีเหล่านี้มีร่องรอยการถูกวางยาพิษ ทว่าทักษะการแพทย์ข้าน้อยไม่ดี ตรวจไม่รู้ว่าเป็นพิษอะไร”เฟิ่งจิ่วเหยียนมองการตกแต่งรอบ ๆ ภายในห้องลับนี้ เป็นม่านโปร่งสีแดงอบอุ่น งดงามมีเสน่ห์นางเสนอ “ฝ่าบาท ขอให้ทรงหาหมอสูติดี ๆ มาตรวจให้ละเอียดอีกครั้ง”เซียวอวี้ก็คิดเช่นนี้ห้องลับนี้ประหลาด ไม่มีทางมีไว้เพื่อเก็บคนตายทั้งเป็นเท่านั้นหลังผ่านไปคู่หนึ่ง หมอสูติมาถึงเฟิ่งจิ่วเหยียนสั่งให้บุรุษคนอื่นหลบไปเซียวอวี้ออกไปแล้ว เน้นย้ำให้นางระวังให้มากไม่ช้า การตรวจดูของหมอสูติมีผลสรุปแล้ว“ทูลฮองเฮา หญิงสาวเ
เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ไม่ได้มั่นใจอย่างเต็มที่“มนุษย์โอสถของตระกูลหลี่ ยังไงก็เป็นของพ่อหลี่หยวน”“ศิษย์พี่กับหลี่หยวนไปมาหาสู่กัน ไม่แน่ว่า ตอนที่เขามาตระกูลหลี่ แล้วบังเอิญเจออะไรบางอย่าง”ทว่าเรื่องเหล่านี้ จะว่าไปก็ล้วนเป็นเพียงความคิดของนางท่าทีเซียวอวี้เคร่งขรึม“คนตายทั้งเป็นเหล่านั้น สามารถอยู่ได้นานหลายปีขนาดนี้จริง ๆ หรือ?”นับจากพ่อของหลี่หยวนมาจนถึงหลี่หยวน อย่างน้อยก็หลายปีแล้วเฟิ่งจิ่วเหยียนก็สงสัยสิ่งนี้“ต้องรอวันที่ความจริงกระจ่าง จึงค่อยสามารถคลายความสงสัยได้”พูดอยู่ดี ๆ นางก็เปลี่ยนเรื่องพูด“ท่านจะสืบเรื่องนี้พร้อมกับหม่อมฉันจริง ๆ หรือ? ราชกิจในวัง ไม่ส่งผลกระทบหรือ?”เซียวอวี้ตอบนางอย่างจริงจัง“แผ่นดินไม่มีกษัตริย์ไม่ได้ ทว่าไม่ได้กำหนดให้กษัตริย์ต้องเฝ้าอยู่ในวัง ยิ่งต้องไปเยี่ยมเยียนราษฎร ทำความเข้าใจความเป็นอยู่ของประชาชน ถึงสามารถปกครองแผ่นดินได้ดียิ่งขึ้น”“นับจากที่เราขึ้นครองราชย์ ออกมาเยี่ยมเยียนราษฎรน้อยครั้งมาก”“ที่ผ่านมาแผ่นดินวุ่นวาย ราชสำนักจัดสรรงบประมาณ บรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัย ตลอดการเดินทางมาทางเหนือในครั้งนี้ จับกุมตัวขุนนางทุจริตเป็
หลังจากผ่านไปครึ่งเดือนเซียวอวี้พาเฟิ่งจิ่วเหยียนมาถึงหมู่บ้านจู๋ซานหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ เป็นสถานที่ตั้งรังมนุษย์โอสถตอนที่เมิ่งสิงโจวเคยสืบ และก็เป็นสถานที่เซียวอวี้ เคยช่วยชีวิตหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ในตอนนั้นหมู่บ้านจู๋ซานอุดมไปด้วยหน่อไม้ช่วงฤดูหนาว ซึ่งมีหน่อไม้ฤดูหนาวอยู่มากมายตามท้องตลาด เห็นพ่อค้าแม่ค้าขายหน่อไม้ฤดูหนาวอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งพอดี เฟิ่งจิ่วเหยียนมีสหายยุทธภพคนหนึ่งอยู่ในหมู่บ้านจู๋ซาน จึงไปเยี่ยมเยือนนางไม่คิดจะพาเซียวอวี้ไปด้วยอย่างไรคนในยุทธภพ ส่วนใหญ่ไม่ชอบคบหากับคนราชสำนัก ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นถึงฝ่าบาทเซียวอวี้รู้ว่านางมีสหายมากมาย จึงไม่พูดอะไรนางไม่อยากพาเขาไป เขาจะแอบตามไปไม่ได้หรือ?ดังนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนเพิ่งออกไป เซียวอวี้ก็แอบตามไปแล้วตามมาจนถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งเขากับเฉินจี๋หลบอยู่ข้างหลังต้นไม้ เห็นเฟิ่งจิ่วเหยียนเข้าไปในบ้านชาวนาหลังหนึ่งเฉินจี๋เห็นฝ่าบาททำตัวเหมือนโจร ก็ถามด้วยเสียงเบา“ฝ่าบาท ท่านต้องทำถึงขนาดนี้เลยหรือ?”บอกกับฮองเฮาโดยตรง ๆ ว่าเขาก็อยากตามไปด้วย ก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ?สีหน้าเซียวอวี้เคร่งขรึม“เราเป็นห่วงค
เซียวจั๋วหวังดีมาเปิดสำนักศึกษาเอกชนในหมู่บ้าน ตอนนี้มีลูกศิษย์เพียงคนเดียวออกจากบ้านวันนี้ ก็คือรีบไปรับสมัครนักเรียนกลับตกอยู่ในสภาพใครเห็นใครก็รำคาญเวลานี้ เขาก็รู้สึกท้อใจอยู่บ้างเซียวอวี้ดูด้วยความสนุกสนานอย่างไม่กลัวเรื่องใหญ่ ไล่ถามเฟิ่งจิ่วเหยียน“เหตุใดพวกเขาถึงรำคาญเขา?”เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจังงานเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงกำลังคึกคัก พาลูกคนอื่นไปยังสำนักศึกษาเอกชน เท่านี้ก็ช่างเถอะ เขาใช้ไข่ไก่หลอกล่อเด็ก หลายครั้งที่ทุกคนในหมู่บ้านเห็นเป็นคนค้ามนุษย์“ให้ผลงานภาพวาดประดิษฐ์ตัวอักษร เด็กในหมู่บ้านดูไม่รู้เรื่อง นำไปใช้ก่อไฟ ถูกเขาเทศนาเหมือนสวดมนต์“สร้างสำนักศึกษาเอกชนมาถึงตอนนี้ มีนักเรียนเพียงคนเดียว ยังมาเพราะเห็นแก่ไก่ที่เขาเลี้ยงไว้ จนถึงตอนนี้ยังไม่รู้ตัวหนังสือสักตัว ทว่าเนื้อกลับเพิ่มขึ้นไม่น้อย...”เซียวจั๋วยกมือข้างหนึ่งกุมหน้าผาก“ขอร้องท่านไม่ต้องพูดแล้ว”เซียวอวี้หันไปมองเซียวจั๋ว ท่าทีแลดูเจ็บใจที่ไม่สามารถหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้อย่างน้อยก็เป็นคนตระกูลเซียวของเขา กลายเป็นสภาพเช่นนี้ได้อย่างไรเพิ่งพูดเสร็จ เด็กอ้วนท้ว
เฉินจี๋ได้รับการช่วยเหลือจากนายพรานผู้หนึ่ง ด้วยอาการบาดเจ็บรุนแรง กระทั่งตอนนี้ก็ยังหมดสติอยู่นี่จึงไม่น่าแปลกใจที่เขายังไม่ปรากฏตัว ที่แท้เป็นเพราะร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้นายพรานรู้ว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนกับคณะรู้จักกับเฉินจี๋ จึงรู้สึกโล่งใจ“ข้าลำบากใจจริง ๆ เพราะคิดว่านี่คือชีวิตคนคนหนึ่ง จึงไม่อาจทอดทิ้งได้ ทว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บของเขา ข้าก็ต้องใช้เงิน...”ไม่รอให้นายพรานพูดจบ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ส่งสัญญาณให้อู๋ไป๋นำเงินให้อู๋ไป๋ถนัดการจัดการเรื่องต่าง ๆ สักพักก็เริ่มคุ้นเคยกับนายพราน และเอ่ยขอบคุณอย่างสนิทสนม“พี่ชาย ขอบคุณจริง ๆ ที่เจ้าช่วยสหายข้าไว้! เงินเล็กน้อยนี้ไม่พอจะทดแทนคำขอบคุณได้! ใช่แล้ว เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า เจอสหายข้าที่ใด แล้วเขาได้รับบาดเจ็บอย่างไร? และเจอคนที่น่าสงสัยคนอื่นหรือไม่?“เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าเพียงแค่อยากรู้ให้ชัดเจน ว่าผู้ใดทำร้ายสหายข้า บาปมีคนก่อหนี้ย่อมมีเจ้าหนี้”คำพูดของอู๋ไป๋ ล้วนเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติของคนนายพรานลองคิดทบทวนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง“ข้าช่วยเขาตรงริมแม่น้ำ ตอนนั้นไม่พบผู้อื่น ขอโทษจริง ๆ ที่ข้าช่วยพวกท่านไม่ได้”“
ปลายเดือนสิบสอง ปีใหม่ใกล้เข้ามาเส้นทางมุ่งหน้าไปทางเหนือเต็มไปด้วยน้ำแข็ง การเดินทางนั้นยากลำบากเฟิ่งจิ่วเหยียนในช่วงอยู่ไฟมิได้พักฟื้นอย่างเต็มที่ ตอนนี้ยังต้องเดินทางท่ามกลางพายุหิมะอีก จึงมักจะปวดเมื่อยเอว และเหงื่อออกมากอยู่บ่อย ๆในช่วงกลางคืนเข้านอน ก็มักรู้สึกเย็นที่ไหล่ และหนาวอย่างรุนแรงอู๋ไป๋เห็นสีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก จึงเตือนนาง“นายท่าน ไม่สู้ให้หมอมาตรวจดูบ้าง?”เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบร้อนจะตามหาคน จึงไม่อยากล่าช้าครั้งนี้อู๋ไป๋ยืนหยัดอย่างเต็มที่“นายท่าน ต่อให้ท่านไม่คำนึงถึงตนเอง ก็ควรนึกถึงฝ่าบาท หากท่านเจ็บป่วย จะยิ่งไม่ล่าช้ามากกว่าหรอกหรือ?”เขาเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเริ่มลังเลก็จริงหากนางเจ็บป่วยจนลุกไม่ขึ้น ก็จะไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไปตรงชายแดนหนานฉี เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ไปที่สำนักการแพทย์แห่งหนึ่งหลังจากหมอจับชีพจรของนาง ก็เอาแต่ส่ายหัว“ฮูหยินท่านนี้ ท่านมีภาวะร่างกายไม่สมดุลหลังคลอด จึงเป็นต้นเหตุเกิดโรคเรื้อรัง“อาการปวดตามข้อเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในระยะนี้ที่ฝนหิมะรุนแรง แน่นอนว่าย่อมไม่สบายตัว“ในยามปกติรู้สึกว่าไม่เป็นไร ทนหน่อยก็ผ่
บนบัลลังก์มังกร เซียวถงเต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของจักรพรรดิ “เรารับพระราชโองการจากเสด็จอา มาทำหน้าที่รักษาการแทนตำแหน่งฮ่องเต้ชั่วคราว ทุกท่านมีเรื่องใดก็เสนอได้”เหล่าขุนนางในราชสำนักมองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงงบางคนถึงกับสงสัยว่าเซียวถงแย่งชิงบัลลังก์ทว่าคิดดูอีกที ฮองเฮาทรงมีทักษะเพียงนั้น ผู้ใดจะกล้าแย่งชิงบัลลังก์?ณ วังหลังเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกอาวรณ์อย่างยิ่งที่จะกล่าวอำลาต่อบุตรทั้งสองพวกเขายังคงนอนหลับอยู่ ใบหน้าขณะหลับดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ นางจุมพิตบนหน้าผากของพวกเขา หัวใจราวกับถูกบีบเข้าหากันสาวใช้หว่านชิวรู้สึกเศร้าใจ “ฮองเฮา จักต้องเสด็จไปให้ได้หรือเพคะ?”ฮองเฮาทรงตัดใจจากเลือดเนื้อเชื้อไขของตนได้อย่างไร?เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าอย่างหนักแน่นการไปของนางครั้งนี้ จะมีชีวิตอยู่หรือตายยังไม่แน่นอนการพาบุตรทั้งสองคนไปด้วย หนึ่งจะเป็นภาระให้กับนาง สองอาจจะนำภัยอันตรายถึงแก่ชีวิตมาให้พวกเขาการแยกจากบุตร ย่อมต้องทุกข์ใจอยู่แล้ว ทว่าหากให้นางกับลูกรออยู่ในวัง และทนทรมานกับการรอฟังข่าว นางยิ่งไม่ยินยอม“ฮองเฮา หนิงเฟยมาถึงแล้วเพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบปรับอารมณ์ทันที และเ
ที่ดินที่โซ่วอ๋องได้รับมอบไม่ถือว่าไกลจากเมืองหลวงมากนัก หลังจากได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ซื่อจื่อเซียวถงก็ออกเดินทางภายในวันเดียวกันห้าวันต่อมา เซียวถงก็มาถึงพระราชวัง และตรงไปยังห้องทรงพระอักษรเพื่อเข้าเฝ้าครั้งล่าสุดที่เขามาเมืองหลวง ก็คือเมื่อสามปีก่อน ช่วงที่เกิดความวุ่นวายในวิหารบรรพบุรุษ เขาได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากฮ่องเต้ ให้ขึ้นครองบัลลังก์ชั่วคราว เพื่อหลอกลวงพรรคเทียนหลงกับกองทัพศัตรูให้สับสนในตอนนั้นเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก พระราชโองการพินัยกรรมของฝ่าบาท ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นว่าที่จักรพรรดิครั้งนี้ฮองเฮาทรงเรียกเขามา ไม่รู้ว่ามาเพราะเรื่องใดทว่าก็รู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับพระราชโองการพินัยกรรมก่อนที่เขาจะมาเมืองหลวง ท่านพ่อก็ยังเตือนเขาว่า ตอนนี้ฮองเฮาทรงประสูติองค์ชายแล้ว เช่นนั้นเขาที่เคยเป็นคนที่อ้างถึงในพระราชโองการพินัยกรรม ก็เท่ากับเป็นตัวขัดขวางขององค์ชายดังนั้น การมาเมืองหลวงครั้งนี้ ก็เสี่ยงอันตรายอย่างมากในใจของเซียวถงเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย ทว่าสีหน้ายังคงสงบนิ่ง ไม่ถือตัวไม่ถ่อมตนเกินพอดีแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยสนใจตำแหน่งฮ่องเต้ แล
วันต่อมา องค์หญิงเซี่ยนอี๋เสด็จมาพบองค์ชายสี่ด้วยพระองค์เององค์ชายสี่ทรงยิ้มแย้ม ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น“แขนของน้องหญิงเป็นอย่างไรบ้าง?”องค์หญิงเซี่ยนอี๋โมโหจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่“เหตุใดเสด็จพี่ต้องขัดขวางข้า!”รอยยิ้มขององค์ชายสี่เลือนหายไป และตอบอย่างมีเหตุมีผล“เซี่ยนอี๋ ข้าคิดว่าเจ้าแค่พาลไร้เหตุผล นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะโง่เขลาเพียงนี้ เจ้าคิดได้อย่างไรที่จะวางยาผู้อื่น แล้วบังคับขืนใจเขา?“หากเจ้าพลีกายให้กับฮ่องเต้ฉี แล้วจะให้ข้าทูลเสด็จพ่ออย่างไร?“คืนก่อนเจ้าเกือบจะแขนหักไปข้างหนึ่ง ก็น่าจะจำเป็นบทเรียนได้แล้วกระมัง”เซี่ยนอี๋รู้ตัวว่าทำผิดทว่าเรื่องที่นางยังทำไม่เสร็จสิ้น จะไม่ยอมแพ้และเลิกล้มเช่นนี้“หากข้าได้เป็นฮองเฮาของหนานฉี หนานฉีก็จะไม่เล่นงานเป่ยเยี่ยนอีก นี่ไม่ดีหรอกหรือ?”องค์ชายสี่แย้มพระสรวล“เซี่ยนอี๋ หากเสด็จพ่อได้ยินคำพูดนี้ของเจ้า เกรงว่าจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก“การเกี่ยวดองของสองแคว้น เดิมทีไม่อาจหยุดยั้งความโหดเหี้ยมของหนานฉีได้“เจ้าจะทำให้ตนเองเสียหายโดยเปล่าประโยชน์ และถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ“บุรุษดี ๆ ในเป่ยเยี่ยนของเรามีมากมาย เหตุใดเจ้าต
ช่วงหลายวันที่เซียวอวี้ถูกขังอยู่ในคุกลับ หาได้นั่งนิ่งรอความตายไม่ จากการสังเกตของเขา องค์ชายสี่แห่งเป่ยเยี่ยนมิได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เยี่ยน แต่กลับเป็นหินที่ไว้ปูทางเดิน เพื่อผลักดันความทะเยอะทะยานให้องค์ชายเจ็ด หากสามารถโน้มน้าวใจองค์ชายสี่ได้ เขาก็จะหนีออกจากที่นี่ได้ กระนั้น องค์ชายสี่ของเป่ยเยี่ยนไม่โง่ ทันทีที่เขาได้ยินคำพูดของเซียวอวี้ ก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการชนะใจตน เพื่อยุแยงเขากับเจ้าเจ็ด รวมถึงตัวเขาและเสด็จพ่อด้วย “ฮ่องเต้ฉี ยิ่งพูดยิ่งพลาด ท่านตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ควรพูดให้น้อยลงจะดีกว่า” องค์ชายสี่พูดจบก็คิดจะเดินจากไป จู่ ๆ เซียวอวี้หัวเราะเยือกเย็นขึ้นมา “ในเวลาหนึ่งเดือน ฮ่องเต้เยี่ยนจะแต่งตั้งองค์ชายเจ็ดเป็นองค์รัชทายาท” องค์ชายสี่หยุดชะงัก ฮ่องเต้ฉีมั่นใจขนาดนั้นเชียวหรือ? ตำแหน่งองค์รัชทายาทนั้นเย้ายวนใจนัก องค์ชายสี่ต้องหันกลับมา พิจารณาเซียวอวี้อีกครั้ง เขาหาได้รุกถามใด ๆ ไม่ เพียงรอให้เซียวอวี้พูดต่ออย่างเงียบ ๆ เซียวอวี้ไม่ทำให้ผิดหวัง เอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “กองทัพเยี่ยนเดินทัพลงใต้ เพื่อพิชิตแ
ในคุกลับ เซียวอวี้กินอาหารตามปกติ ไม่นานก็รู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกาย เขาตระหนักได้ทันที มันเป็นฤทธิ์ยาปลุกกำหนัด! ดวงตาเย็นชาของเขามืดลง ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมา ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า เป็นฝีมือของผู้ใด จริงตามคาด เพียงไม่นาน องค์หญิงเซี่ยนอี๋ก็มาที่คุกลับ คืนนี้นางแต่งกายอย่างพิถีพิถัน สวมอาภรณ์สีสันสดใส ประทินโฉมประณีตงดงาม สายตาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและความต้องการครอบครอง นางมองใบหน้าที่แดงเพราะฤทธิ์ยาของเซียวอวี้ รู้สึกปรีดาบนความทุกข์ของผู้อื่น “สิ่งใดที่ข้าอยากได้ ไม่มีคำว่าไม่ได้!” เซียวอวี้พยายามสงบจิตใจอย่างหนัก เพื่อไม่ให้ถูกควบคุมโดยฤทธิ์ยา เขาไม่กล้าคิด หากสัมผัสผู้หญิงคนอื่นแล้ว เขาจะเผชิญหน้ากับจิ่วเหยียยอย่างไรในอนาคต ให้ตาย! เขาอยากจะฆ่าคน ทว่ากลับสูญเสียกำลังภายในทั้งหมด แม้คุกลับจะคุมขังผู้คนไว้มากมาย แต่ห้องขังของเซียวอวี้อยู่ในจุดที่ลับตาคน และเป็นเอกเทศ องค์หญิงเซี่ยนอี๋จึงไม่กลัวที่จะมีคนมารบกวน นางปลดอาภรณ์ชั้นนอกของตนออก หัวเราะอย่างหยาบคาย “ฮ่องเต้ฉี ข้ารอให้เจ้าขอร้องข้าอยู่” ถูกฤ
ตำหนักหย่งเหอ เมื่อไทเฮาและหนิงเฟยมาถึง กลับไม่เห็นฮองเฮา เด็กทารกน้อยร้องไห้ระงมราวกับหัวใจจะแตก แม้พวกนางได้ยินแล้วยังรู้สึกปวดใจนัก หมอหลวงกำลังถวายโอสถให้องค์ชายน้อย ปริมาณยาทำให้คนเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน หนิงเฟยขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะเตือน “พวกเจ้าระวังหน่อย! อย่าทำให้เด็กสำลัก!” ไทเฮาอดไม่ได้ที่จะตำหนิ “ฮองเฮาอยู่ที่ใด? นี่คือลูกชายแท้ ๆ ของนาง กลับทิ้งไว้แบบนี้รึ?” สาวใช้หว่านชิวตอบ “มีรายงานด่วนจากชายแดนเพคะ ฮองเฮาประทับที่ห้องทรงพระอักษร เพื่อหารือกับเหล่าแม่ทัพ...” ไทเฮาทนไม่ไหวอีกแล้ว น้ำเสียงจริงจังขึ้น “หารือตลอดทั้งวัน นางคิดถึงลูกชายทั้งสองบ้างหรือไม่? “คนหนึ่งถูกนางใช้เป็นเครื่องมือว่าราชการหลังม่าน อีกคนถูกนางทิ้งให้โดดเดี่ยวในวังหลัง นางทนได้อย่างไร!” ไทเฮาทราบดีว่าฮองเอามีราชกิจรัดตัว ทว่าเห็นเด็กน้อยที่น่าสงสารเช่นนี้ ก็อดจะทุกข์ใจมิได้ หว่านชิวไม่กล้าโต้แย้ง หนิงเฟยเกลี้ยกล่อม “ท่านป้าเพคะ ฮองเฮาต้องเห็นราชกิจสำคัญที่สุด ส่วนองค์ชายมีหมอหลวงถวายการดูแล เขาจะปลอดภัยแน่นอนเพคะ” ไทเฮามองทารกด้วยค
หลังจากที่ฮ่องเต้เยี่ยนได้ฟังคำขอของพระธิดา ก็หาได้ปฏิเสธทันทีไม่ ฮองเฮาของเซียวอวี้——เฟิ่งจิ่วเหยียน มิใช่สตรีธรรมดา สาเหตุที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อหนานฉีหลายครั้ง ล้วนมีฝีมือของสตรีคนนี้อยู่ในนั้น ถึงแม้เซี่ยนอี๋ไม่เอ่ย เขาก็ต้องการกำจัดเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่แล้ว “ได้ พ่อรับปากเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกพอใจมาก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” สิ่งใดที่นางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ ทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนยังไม่หายแคลงใจ เขาถาม “เรื่องในคุกลับนั้น ผู้ใดบอกเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ยังมีจิตสำนึกอยู่ หาได้ทรยศองค์ชายสี่ไม่ “เป็น...เสด็จพี่เจ็ดเพคะ” สีหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนพลันมืดลง เจ้าเจ็ดนี่ เลอะเลือนเกินไปแล้ว! องค์หญิงเซี่ยนอี๋ขอร้อง “เสด็จพ่อ เสด็จพี่เจ็ดก็ถูกหม่อมฉันบังคับ ท่านอย่าตำหนิเขาเลย และอย่าบอกเขาด้วยว่า หม่อมฉันพูด มิฉะนั้นต่อจากนี้เขาคงไม่รักเอ็นดูหม่อมฉันอีกเพคะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนแสดงความอดกลั้นไม่ใส่ใจ “ได้ เราเข้าใจแล้ว”…… เมื่อองค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกจากวังหลวง ก็ตรงไปที่คุกลับอีกครั้ง ครั้