เฟิ่งจิ่วเหยียนแย่งม้ามาทันทีนางมิได้จะขี่ไปไล่ตามถานไถเหยี่ยน หนึ่งคือพวกเขาหนีไปเร็วเกินไป สองคือเวลาก็ผ่านไปนานเพียงนี้ คงยากที่จะไล่ตามทันแล้วนางจะรีบไปที่กำแพงเมืองมีเพียงที่สูงเท่านั้น ถึงจะสามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่า พวกถานไถเหยี่ยนน่าจะหนีไปยังทิศทางใดแม้ความหวังจะมีไม่มากนัก ก็ต้องลองดูในวังหลวงเซียวอวี้แววตาดูเยือกเย็น รีบเรียกบรรดาแม่ทัพป้องกันเมืองเข้าวังเป็นการด่วนประการแรกเพื่อเรื่องการจับกุมถานไถเหยี่ยนประการที่สองเพื่อเรื่องของมนุษย์โอสถ ต้องการให้พวกเขาต่อจากนี้เพิ่มการลาดตระเวนให้มากขึ้น หากพบเห็นมนุษย์โอสถ ให้ควบคุมทันทีพร้อมทั้งรายงานขึ้นมา“...จะต้องมั่นใจในความปลอดภัยของราษฎร!”เหล่าแม่ทัพต่างคำนับอย่างพร้อมเพรียง“น้อมรับพระบัญชา!”ในคืนวันนั้น ขณะที่ชาวบ้านกำลังหลับใหล เหล่าทหารก็ออกลาดตระเวน และค้นหาภายในเมือง ด้วยความรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนตลอดทั้งคืนภัยจากมนุษย์โอสถ พวกเขาต่างก็เคยได้ยินมาเมืองชายแดนเพราะเคยประสบภัยนี้ ตอนนี้ต่างก็อยู่ระหว่างการฟื้นฟู ชาวบ้านบาดเจ็บล้มตายไปกว่าครึ่งเมืองหลวงเป็นที่ประทับของโอรสสวรรค์ หากแม้แต่ทางนี้ยังถูก
ม้าห้อตะบึง พุ่งออกจากพระราชวังถานไถเหยี่ยนถูกย้ายออกจากคุกหลวงเมื่อหลายวันก่อน ขณะนี้ถูกคุมขังอยู่ที่คุกทางตะวันตกของเมืองคุกทางตะวันตกของเมืองแห่งนี้ก็มีทหารเฝ้ายามอย่างแน่นหนา ใช้คุมขังนักโทษคดีร้ายแรงโดยเฉพาะเมื่อเฟิ่งจิ่วเหยียนใกล้จะถึง ก็มองเห็นเปลวไฟพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเฉินจี๋ตะโกนลั่น: “แย่แล้ว! นั่นคือทิศทางของคุกทางตะวันตกของเมือง!”เฟิ่งจิ่วเหยียนใช้ขากระแทกข้างลำตัวม้า“ไป---”นางราวกับลูกธนูที่หลุดจากสายคันธนู พุ่งออกไปอย่างรวดเร็วพวกเฉินจี๋กับอู๋ไป๋ก็ตามมาด้านหลัง แต่ก็ยากจะไล่ตามทันเฟิ่งจิ่วเหยียนเป็นคนแรกที่มาถึงคุกทางตะวันตกของเมืองภาพที่อยู่ตรงหน้า ทำให้นางรีบดึงบังเหียน ดวงตาเบิกกว้างขึ้นเรื่อย ๆ...คนที่เดินออกมาจากในเปลวไฟ คือพวกโหดเหี้ยมอำมหิตพวกเขาไม่เหมือนคนปกติ แต่ละคนแววตาดูว่างเปล่า พุ่งชนประตูเหล็กของคุกจนเปิดออก และกัดขย้ำพัศดีที่หนีตายอย่างโกลาหลข้างหูมีแต่เสียงกรีดร้องอย่างโหยหวนเฟิ่งจิ่วเหยียนนึกถึงภัยร้ายจากมนุษย์โอสถที่เมืองชายแดนมือของนางสั่นรัวมิใช่เพราะความกลัว แต่เป็นเพราะความโกรธแค้นเพลิงแค้นมหาศาลพุ่งขึ้นเหนือศีรษะ
เฟิ่งจิ่วเหยียนลองนึกย้อนดู เมื่อครั้งที่เซียวอวี้มอบกระบี่ชื่อหยวนให้นางในตอนนั้น ไม่ได้บอกนางอย่างละเอียดว่า เขาได้มันมาอย่างไรตอนนั้นนางไม่ได้ถามอะไรมากนัก การที่คนอื่นมอบของขวัญให้นาง แล้วนางถามนั่นถามนี่ก็ดูไม่เหมาะสมเช่นกันด้วยเหตุนี้จึงเข้าใจมาตลอดว่า กระบี่ชื่อหยวนนี้เป็นสิ่งที่เขาได้มาโดยบังเอิญคำพูดฝ่ายเดียวของท่านผู้เฒ่าหยวน เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ไม่ได้เชื่อโดยง่ายเช่นกันมือของนางวางลงเบา ๆ บนฝักกระบี่ สีหน้าดูสงบนิ่งและสุขุมในขณะนั้น ท่านผู้เฒ่าหยวนเอ่ยอีกว่า“ข้ามีคำขอที่ไม่เหมาะสมนัก ขอฮองเฮาโปรดคืนมันมาได้หรือไม่...”เฟิ่งจิ่วเหยียนขัดจังหวะคำพูดของเขาทันที“กระบี่เล่มนี้เป็นสิ่งที่ฝ่าบาททรงประทานให้ ขออภัยที่ข้าไม่อาจตัดสินใจเรื่องนี้ได้”ท่านผู้เฒ่าหยวนได้ยินดังนั้น ดูเหมือนจะไม่ยืนกรานอีกต่อไปเช่นกันเขาเอ่ยพึมพำ ด้วยน้ำเสียงแก่ชรา“ช่างเถอะ บางทีหลังจากที่ซีเอ๋อร์เกิดเรื่อง กระบี่เล่มนี้ก็คงถูกทิ้งอยู่ในวัง“ดูเหมือนไม่ว่าจะเป็นซีเอ๋อร์ หรือสิ่งที่นางทิ้งไว้ ข้าล้วนไม่อาจนำพาไปได้“วันนี้ต้องลำบากฮองเฮาเสด็จมาเอง เพื่อบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นแก
หนานเจียงอ๋องก็ทราบถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ ฮองเฮาของแคว้นหนานฉี เป็นเพื่อนสนิทของหร่วนฝูอวี้ และรุ่ยอ๋องแห่งชายแดนใต้ ก็เป็นคนรักของนาง พวกเขาจะช่วยหร่วนฝูอวี้แน่นอน หากหร่วนฝู่อวี้ทรยศหนานเจียง แล้วมอบกู่ราชาให้ชาวฉี... เมื่อคิดเช่นนี้ หนานเจียงอ๋องยิ่งรู้สึกร้อนใจ โชคดีที่เขาได้สั่งปิดประตูเมืองทุกแห่ง และส่งคนไปซุ่มอยู่ที่ชายแดนระหว่างสองแคว้นแล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานจะตามหานางเจอ หนานฉี ในเมืองหลวง เฟิ่งจิ่วเหยียนสืบสวนคดีสายลับแคว้นตงซาน ใกล้จะได้ผลสรุปแล้ว นางตามหาผู้ที่เคยรับใช้หยวนเฟยในตอนนั้น รวมถึงพวกนางกำนัลที่ออกจากวังเมื่อถึงวัย และซักถามทีละคน เมื่อรวมกับข้อมูลจากผู้เฒ่าหยวน จึงคาดเดาเรื่องราวทั้งหมดได้คร่าว ๆ แล้ว นางออกนอกวัง ไปพบผู้เฒ่าหยวนด้วยตนเอง มีบางเรื่อง ที่ต้องหารือกับเขา “เดิมเหยาเหนียงถูกแคว้นตงซานส่งไปเป็นสายลับในวัง นางตั้งใจจะอาศัยคำแนะนำของหยวนเฟย เพื่อเข้าใกล้อดีตฮ่องเต้ แต่หยวนเฟยกลับปฏิเสธ “เหยาเหนียงจึงแฝงตัวอยู่ในตำหนักของซูเฟย รอจังหวะลงมือ ในช่วงเวลาเหล่านี้ได้ปลอมลายมือของหยวนเฟ
หนานเจียงอ๋องทุกรัชสมัยเฝ้าพิทักษ์เขตแดน เพราะมีเพียงสถานที่แห่งนี้เท่านั้น ที่สามารถสร้างหมอกพิษได้ ดวงตาของหร่วนฝูอวี้เต็มไปด้วยความผิดหวัง “ตอนนี้ท่านอ๋องจะขยายอาณาเขตออกไปอย่างไม่หยุด เท่ากับว่าตั้งใจละทิ้งหมอกพิษ” ยังไม่ต้องเอ่ยถึงต้าเซี่ย แม้แต่สภาพอากาศเช่นที่เผ่าสุยเหอ ก็ไม่สามารถสร้างหมอกพิษได้ สีหน้าของหนานเจียงอ๋องมืดครึ้ม “เจ้ากำลังคิดตื้นเขินแบบสตรี! “ตราบใดที่พวกเราพิชิตต้าเซี่ยได้ นั่นก็จะเป็นดินแดนของหนานเจียง! “ส่วนเรื่องหมอกพิษ ขอเพียงรับประกันว่าอาณาเขตเดิมยังถูกปกคลุมด้วยหมอกพิษ และรับประกันราชสำนักอ๋องกับเมืองหลวง...” “หมายความว่า ท่านอ๋องจะซ่อนตัวอยู่ในหมอกพิษตลอดไปหรือ? แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่า ดินแดนที่ยึดครองได้นั้น จะยอมสวามิภักดิ์ภายใต้การปกครองของท่านตลอดไป? ท่านทำเช่นนี้ เป็นการสิ้นเปลืองทหารเท่านั้น” กษัตริย์ที่ไม่สามารถก้าวออกจากพื้นที่คุ้มครองของหมอกพิษได้ ย่อมไม่น่าเกรงกลัว หร่วนฝูอวี้โกรธจนหัวเราะออกมาเพราะความโง่เขลาของเขา นางยื่นมือออกไป สอดนิ้วเข้าไปในตารางตาข่าย “ผู้ใดสอนให้ท่านทำเช่นน
สำหรับเรื่องของราชาพิษหนอนกู่ หนานเจียงอ๋องระมัดระวังเป็นพิเศษ ความภาคภูมิใจของเขาที่พุ่งทะยานเสียดฟ้า ถูกดึงลงมาด้วยสติทันที “ไม่ได้ ราชาพิษหนอนกู่จะแตะต้องไม่ได้” นี่คือรากฐานความมั่นคงของชายแดนทั้งสี่ของหนานเจียง อย่างน้อยตอนนี้ก็เป็นเช่นนั้น ก่อนที่หนานเจียงจะแข็งแกร่งพอที่จะต้านทานศัตรูจากภายนอกได้ ราชาพิษหนอนกู่จะต้องไม่เกิดข้อผิดพลาด เซียวเหิงหาได้บีบบังคับไม่ เขานั่งกลับไปที่โต๊ะอาหารของตนเอง จิบสุรา แล้วแสร้งทำเป็นพูดด้วยท่าทีผ่อนคลาย “ดูเหมือนว่า สิ่งที่หนานเจียงได้มาตอนนี้ ท่านอ๋องก็พอพระทัยแล้ว เช่นนั้น วันนี้กระหม่อมควรจะถอนตัว” หนานเจียงอ๋องขมวดคิ้วเป็นปม แน่นอนว่าเขาไม่พอใจ! เมื่อเห็นหนานเจียงก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ข่าวชัยชนะจากชายแดนส่งมาไม่ขาดสาย ทำให้เขามีความสุขมากในทุก ๆ วัน สันติสุขและชนเผ่าเล็ก ๆ เหล่านั้น ไม่เพียงพอที่จะให้เขาอิ่มท้อง ยิ่งกว่านั้นเมื่อครู่เซียวเหิงบอกว่า เป้าหมายต่อไปคือต้าเซี่ย ถึงแม้ความแข็งแกร่งของต้าเซี่ยจะสู้หนานฉีและแคว้นตงซานไม่ได้ แต่เทียบได้กับแคว้นซีหนี่ว์ในตอนนี้ ทั้