อาหลิ่นอายุน้อย แต่ความจำดีเขาจำได้เสมอว่า ตัวเองมีน้องชายฝาแฝดหนึ่งคน และยังมีน้องชายคนใหม่อีกหนึ่งคน ที่เพิ่งเกิดไม่นานและถูกทิ้งไว้ที่แคว้นอื่นน้องชายสองคน ไม่มากไม่น้อย พอดีที่เขาจะปกป้องได้เพราะเขาสามารถจูงมือแต่ละคนไว้คนละข้างได้ตอนนี้เสด็จพ่อและเสด็จแม่กลับมาแล้ว แต่เหล่าน้องชายยังไม่กลับมา อาหลิ่นจึงอดเป็นห่วงไม่ได้เฟิ่งจิ่วเหยียนลูบหัวเขา เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ใจเย็นเป็นพิเศษ“อีกไม่กี่วันพวกเขาก็จะกลับมาแล้ว อาหลิ่นคิดถึงพวกเขามากใช่หรือไม่?”อาหลิ่นพยักหน้า“คิดถึงพวกเขา“ไม่มีน้อง ก็ไม่มีคนนอนด้วยกัน และจับผีเสื้อด้วยกันกับลูก”ในดวงตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนเต็มไปด้วยความคิดถึงอย่างสุดซึ้ง“พวกเราจะได้เจอกันในไม่ช้า”......ณ ห้องทรงพระอักษรทันทีที่เซียวอวี้กลับเข้าวัง เพิ่งจะถอดชุดเกราะ ก็ต้องไปหารืองานราชกิจกับเหล่าขุนนางเรื่องที่หารือ ก็คือการส่งราชทูตไปยังแคว้นต่าง ๆ เพื่อให้พวกเขายอมรับการรวมแผ่นดินภายใต้แคว้นหนานฉีหากพบแคว้นใดไม่ยอมจำนน ก็คงต้องเผชิญหน้าด้วยสงครามหลังจากได้ข้อตกลงแล้ว เหล่าขุนนางก็ทยอยกันออกจากห้องทรงพระอักษรเซียวอวี้เหน็ดเหนื่อยทั
ณ แคว้นหนานฉี ทางเข้าประตูเมืองเขตพระราชวังในช่วงเริ่มต้นของปีใหม่ กองทัพใหญ่กลับมาพร้อมกับชัยชนะไทเฮาทรงจูงมืออาหลิ่น มารอต้อนรับเสด็จพ่อและเสด็จแม่พร้อมกับทุกคนดวงตาทั้งคู่ของอาหลิ่นดูจริงจัง กำลังสังเกตดูทุกสิ่งรอบตัวจนกระทั่งมองเห็นเงาสองเงาที่คุ้นเคย เขาถึงแสดงความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของเด็กออกมา ในดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข“เสด็จย่า! นั่นคือเสด็จพ่อกับเสด็จแม่!”อาหลิ่นชี้ไปที่คนสองคนที่เข้ามาใกล้เรื่อย ๆ แล้ววิ่งไปหาด้วยความตื่นเต้นดีใจผู้คนสองข้างถนนต่างก้มศีรษะทำความเคารพ“องค์รัชทายาท”ในสายตาของอาหลิ่นมีเพียงเสด็จพ่อและเสด็จแม่ จึงวิ่งไปหาอย่างรวดเร็ววิ่งไปพลาง ตะโกนไปพลาง“เสด็จพ่อ! เสด็จแม่!”เซียวอวี้เอียงตัวลงจากหลังม้า ก้าวเดินอย่างฉับไว รีบเข้าไปอุ้มบุตรชายทันที“อาหลิ่น! ให้พ่อมองเจ้าชัด ๆ หน่อย!”อาหลิ่นกอดคอเสด็จพ่อไว้ ซบหน้าลงอย่างเขินอาย น้ำตาแห่งความคิดถึงก็ไหลออกมาเฟิ่งจิ่วเหยียนก็ก้าวตามมาข้างหน้า อาหลิ่นก้มหน้าลง เรียก “เสด็จแม่” ด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นถึงแม้อายุยังน้อย แต่เขาก็เข้าใจว่า ในฐานะรัชทายาท การร้องไห
แม้ศิษย์พี่ดวงตาจะมองไม่เห็น แต่ยังทาเครื่องประทินโฉมลงบนใบหน้าอีก“ศิษย์พี่...” เก๋อสือชีรู้สึกนับถือจริง ๆอย่างแรกนับถือศิษย์พี่ที่ตาบอดแล้ว ก็ยังสามารถแต่งหน้าได้อย่างที่สองนับถือศิษย์พี่ ที่อยู่ในสนามรบ ก็ยังได้พกเครื่องประทินโฉมติดตัวมาด้วย?!หร่วนฝูอวี้มีสีหน้าเย็นชา“เรียกข้าทำไม!“ลองดูซิ ใบหน้าของข้าน่ากลัวหรือไม่?”เก๋อสือชีกลืนน้ำลาย: “ศิษย์พี่ ก็น่ากลัวอยู่ แต่ว่า รุ่ยอ๋องก็ไม่ได้รังเกียจท่าน แล้วเหตุใดท่านต้องทำเช่นนี้ด้วยเล่า...”“ข้าสนใจเขาที่ใดกัน? ข้ากลัวว่าจี๋เอ๋อร์เห็นแล้วจะตกใจจนร้องไห้ต่างหาก!”เก๋อสือชีถึงได้กระจ่าง“อ้อ จริงด้วย เด็กคนนั้นขี้ตกใจ”ครึ่งชั่วยามต่อมาหร่วนฝูอวี้ถึงยอมให้เก๋อสือชีไปเรียกรุ่ยอ๋อง ที่จริงคำพูดเดิมของนางคือ แค่อุ้มจี๋เอ๋อร์มาก็พอแต่เก๋อสือชีคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงบอกกับรุ่ยอ๋อง“ดวงตาของศิษย์พี่มองไม่เห็นแล้ว”สีหน้าของรุ่ยอ๋องพลันหม่นหมอง รอบกายกลับเย็นเยียบขึ้นทันที“เกิดอะไรขึ้น?”เก๋อสือชีรีบโบกไม้โบกมือ “ไม่ใช่ข้าเป็นคนทำนะ! ว่ากันว่าเป็นผลย้อนกลับของกู่ราชา”ไม่ใช่ว่าเขาขี้ขลาด แต่สายตาของรุ่ยอ๋องเมื่อครู่น่าก
“อาการป่วยทางใจของเฟิ่งเวยเฉียงรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ...”เซียวอวี้เล่าเรื่องที่เขารู้ ให้เฟิ่งจิ่วเหยียนฟังทีละเรื่องที่แท้ ในตอนนี้เวยเฉียงเปลี่ยนเป็นเกลียดชังบุรุษอย่างมาก ยังทรมานเหล่านักโทษประหารในคุกอยู่บ่อยครั้งเฟิ่งจิ่วเหยียนมีสีหน้าคร่ำเคร่งการที่เวยเฉียงกลายเป็นเช่นนี้ นางก็มีส่วนต้องรับผิดชอบเช่นกันจะปล่อยให้เวยเฉียงเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้......วันต่อมา กองทัพใหญ่ก็ออกเดินทางต่อเซียวอวี้ได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจากเมืองหลวง เป็นเซียวจั๋วเขียนมาหลังจากเขาอ่านจบ สีหน้ากลับเจือปนด้วยความโกรธแค้นเฟิ่งจิ่วเหยียนสังเกตเห็นความผิดปกติ จึงถามเขา: “เกิดอะไรขึ้นหรือเพคะ?”เซียวอวี้กำจดหมายนั้นไว้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น“เซียวเหิงหลบหนีไปยังเมืองหลวง และเกือบจะ... ลักพาตัวอาหลิ่นไปได้”แววตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนหม่นลงทันที“ตอนนี้อาหลิ่นเป็นอย่างไรบ้าง?”ในตอนนั้นกองทัพชายแดนตะวันออกจับทหารทัพใหญ่หนานเจียงได้กว่าสองหมื่นนาย แต่ปล่อยให้เซียวเหิงหนีรอดไปได้เพียงคนเดียวนึกไม่ถึงว่า เซียวเหิงจะหนีได้เก่งเพียงนี้ ซ้ำยังวางแผนจะลงมือกับอาหลิ่นอีก!เซียวอวี้ปลอบใจนาง: “ไม่เป
ภายในกระโจมใหญ่เมื่อเซียวอวี้รู้เรื่องทั้งหมด สีหน้าพลันเปลี่ยนไปจากเดิม“สิ่งที่ถานไถเหยี่ยนทำทั้งหมด เพื่อตระกูลถานไถงั้นหรือ? หากเป็นเช่นนั้น เขาคงจะคิดว่า เดิมทีในจุดศูนย์กลางค่ายกลน่าจะมีอะไรบางอย่าง ที่สามารถเปลี่ยนแปลงตระกูลถานไถได้”เฟิ่งจิ่วเหยียนคาดเดา“บางทีอาจเป็นความหวังสุดท้าย หรืออาจจะ ยังมีเรื่องภายในที่พวกเราไม่รู้ซ่อนอยู่“ไม่ว่าอย่างไร เรื่องนี้คงต้องพักไว้ชั่วคราวก่อน สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ คือทำให้สถานการณ์ของทุกฝ่ายสงบมั่นคง“ต้องยึดครองแคว้นตงซานให้ได้ก่อน แล้วค่อยรีบปราบปรามทั่วทุกสารทิศให้สงบ ถึงจะสามารถควบคุม ‘ใยแมงมุม’ ทั้งหมดได้ และไม่ถูกผู้อื่นควบคุม”ไม่เพียงแคว้นหนานฉีที่มีคนเก่งกล้าสามารถ แคว้นอื่น ๆ ก็มีเช่นกันไม่แน่ว่าพวกเขาอาจกำลังสำรวจหา “ใยแมงมุม” อยู่ก็เป็นได้ ไม่อาจดูแคลนแคว้นใดได้เลยเพื่อความอยู่รอด พวกเขาทำอะไรได้ทุกอย่าง เช่นเดียวกับแคว้นหนานเจียง โชคยังดี ที่ตอนนี้วิกฤตในแคว้นหนานเจียงคลี่คลายลงชั่วคราวเซียวอวี้มองไปทางเฟิ่งจิ่วเหยียน ด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง“เกี่ยวกับเรื่องนี้ เราอยากจะหารือกับเจ้าอย่างละเอียด”เฟิ่งจิ่วเหย
เฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อยดวงตาของถานไถจิ้งฉายแววเย็นชา“พิษมนุษย์โอสถ ใช้ตระกูลถานไถในการทดลองยา ค่อย ๆ ปรุงขึ้นมา ซึ่งเดิมที ก็หาใช่เป็นยาพิษไม่“เพียงได้ยินว่า มีคนต้องการหาประโยชน์จากสิ่งนี้ ด้วยการปรุงเป็นยาอายุวัฒนะ จึงได้ลงนามทำสัญญากับตระกูลถานไถ“พวกเราส่งคน พวกเขาส่งหมอ ยาอายุวัฒนะที่ทำออกมาได้ กำไรสามส่วนจะตกเป็นของตระกูลถานไถ“ดังนั้น พิษมนุษย์โอสถ ก็คือเป็นยาอายุวัฒนะ”เฟิ่งจิ่วเหยียนถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “แล้วยาพิษในร่างกายของถานไถเหยี่ยน เป็นอย่างไรกันแน่ ในเมื่อเขาถูกพิษมนุษย์โอสถ แต่ยังประคองสติไว้ได้?”ถานไถจิ้งเอ่ยช้า ๆ“เป็นเพราะท่านปู่”“บรรพบุรุษของตระกูลข้า นอกจากศึกษากลยุทธ์ทางการทหาร และวิชากลไกแล้ว ยังชำนาญวิชาการแพทย์ด้วย หลังจากที่ท่านปู่รู้เรื่องของอาเหยี่ยน เพื่อจะช่วยอาเหยี่ยน จึงให้อาเหยี่ยนกินยาเข้าไป พวกเราต่างก็ไม่รู้ว่า นั่นปรุงขึ้นมาได้อย่างไร มีเพียงท่านปู่เท่านั้นที่รู้“ท่านปู่ไม่ยอมบอกใคร รวมถึงท่านพ่อของพวกเรา“ทุกคนต่างบอกว่าท่านปู่ตรอมใจตาย แต่ความจริงแล้ว คือตอนที่เขาอายุใกล้เจ็ดสิบ ท่านพ่อใช้เหตุผลนี้ นำคนในตระกูลมาบีบบัง