ตำหนักหย่งเหอ ชายแดนเหนือสงบแล้ว เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงกลับมา เพื่อตามสืบเรื่องบุคคลลึกลับต่อ ทว่าเบาะแสหยุดอยู่ที่จดหมายสองฉบับนั้น ไม่มีอื่นใดอีก ราวกับว่านางติดอยู่ในทางตัน เดินหน้าไม่ได้ถอยก็มิได้ “ฮองเฮา ดื่มยาเพคะ” เหลียนซวงเข้ามาพร้อมถ้วยยา เห็นว่าฮองเฮายังอ่านจดหมายสองฉบับนั้นอยู่ เฟิ่งจิ่วเหยียนใช้มือเดียวหยิบถ้วยยาขึ้นมา ดื่มหมดภายในไม่กี่อึก เหลียนซวงมองดูถ้วยเปล่า ด้วยความตะลึงงัน ยาขมขนาดนั้น ฮองเฮาทนได้อย่างไร? จู่ ๆ เฟิ่งจิ่วเหยียนชายตาขึ้น มองไปไกลนอกตำหนัก ในตำหนักหย่งเหอ มีองครักษ์ลับเพิ่มอีกหลายคน เซียวอวี้คิดตรวจสอบนางเรื่องใดอีก? วันรุ่งขึ้น ฮูหยินเฟิ่งเข้าวัง นางเห็นใบหน้าซีดเซียวของเฟิ่งจิ่วเหยียน หัวใจยากจะรับไหว “ฮองเฮา ร่างกายสำคัญที่สุด” แคว้นหนานฉีมีทหารมากมาย มิใช่หน้าที่ของจิ่วเหยียนในการนำทัพออกรบจริง ๆ นางในฐานะเป็นมารดา เพียงแค่หวังว่าพวกลูก ๆ ทุกคนจะแข็งแรงปลอดภัย เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ว่านางกังวลเรื่องใดอยู่ จึงพูดปลอบใจ “พักไม่กี่วันก็หายแล้ว” ฮูหยินเฟิ่ง
เซียวอวี้มองคนที่นอนอยู่บนหลังอาชาด้วยสายตาลึกล้ำ นางมีท่าทางราวกับเมามาย และสับสนมึนงง มือข้างหนึ่งห้อยลงมา มองเห็นได้ราง ๆ ว่าฝ่ามือมีเลือดออก... เหลียนซวงตามมาที่สนามม้าหลวง ก็ได้เห็นฝ่าบาทอุ้มฮองเฮาออกมาพอดี “ฝ่าบาท ฮองเฮา!” เหลียนซวงเร่งรีบคำนับ เกิดอันใดขึ้นกับฮองเฮา?! เซียวอวี้อุ้มนางกลับไปที่ตำหนักหย่งเหอ สั่งให้หมอหลวงรักษาบาดแผลให้นาง เหลียนซวงคุกเข่าลงบนพื้น ตัวสั่นระริก เซียวอวี้นั่งอยู่ข้างเตียง เสมือนพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ทำให้คนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง หัวใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว หลังจากหมอหลวงพันแผลที่ฝ่ามือของเฟิ่งจิ่วเหยียนเสร็จ ก็รายงาน “ฝ่าบาท อาการบาดเจ็บที่มือของฮองเฮาไม่ร้ายแรง ทว่าร่างกายยังไม่ฟื้นตัว ยังขี่ม้าไม่ได้เด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ” หลังจากหมอหลวงทูลลา เซียวอวี้ก็มองไปที่เหลียนซวง ดวงตาแหลมคมเยือกเย็น “ฮองเฮาบาดเจ็บได้อย่างไร” เหลียนซวงไม่รู้จริง ๆ “บ่าว...บ่าวได้รับคำสั่งให้พาฮูหยินเฟิ่งออกจากวัง จึงไม่เห็นเพคะ...” “ฮูหยินเฟิ่ง? นางพูดเรื่องใดกับฮองเฮา” ใบหน้าที่งดงามเย็นชาของเซียวอวี้
โดยปกติแม่ทัพเมิ่งเป็นคนอารมณ์ดี เวลานี้ก็สุดที่จะทนเช่นกัน เขาขยำจดหมายจนเป็นลูกบอล ยังไม่บรรเทาโทสะ จึงนำไปเผาทิ้ง “ฮูหยิน มิต้องสนใจ! จิ่วเหยียนเป็นลูกสาวของพวกเราตลอดไป! เว้นเสียแต่นางจะไม่ยอมรับพวกเราเอง ชั่วชีวิตนี้พวกเราก็ไม่ทอดทิ้งนางเด็ดขาด!” ฮูหยินเมิ่งได้เห็นปฏิกิริยาของเขา จึงหลุดหัวเราะ “พรืด” ความโกรธเมื่อครู่นี้บรรเทาลงเช่นกัน แล้วนางก็ถามถึงอีกเรื่องหนึ่ง “เฉียวม่อไปรายงานผลงานที่เมืองหลวงแทนจิ่วเหยียน สองวันนี้คงใกล้ถึงแล้วกระมัง?” แม่ทัพเมิ่งผงกศีรษะ “ใกล้มากแล้ว” ฮูหยินเมิ่งถอนหายใจเบา ๆ “เดิมข้าไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เวลานี้ก็ได้แค่หวังว่านางจะสามารถทำได้อย่างราบรื่น” แม่ทัพเมิ่งเกลี้ยกล่อมนางด้วยความอดทน “ฝ่าบาทมีพระราชโองการหลายครั้ง ทุกครั้งได้แต่อ้างเรื่องความไม่สงบของชายแดน เลื่อนการไปรายงานผลงานที่เมืองหลวงตลอด เวลานี้มีคนยื่นฎีกาแล้ว กล่าวโทษพวกเราว่าเย่อหยิ่งในกองทัพ ทำคุณงามความดีได้ก็ลำพองตน “ชัยชนะยิ่งใหญ่เหนือรัฐเหลียงครานี้ ชายแดนได้สงบสุข ฝ่าบาททรงจัดงานเลี้ยงรับรองแม่ทัพ มีแม่ทัพอื่น
เซียวอวี้ลุกขึ้นมา พูดด้วยเสียงแหบแห้งทุ้มต่ำว่า“เตรียมขบวน กลับตำหนักจื้อเฉิน”เขาไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้ ออกมาจากตำหนักหย่งเหอโดยตรงเฟิ่งจิ่วเหยียนมองดูแผ่นหลังของเขา ด้วยแววตาเยือกเย็นชาเหลียนซวงไม่เข้าใจ“ฮองเฮา อยู่ดีๆ ทำไมฝ่าบาทถึงไปแล้ว?”เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่พูดอะไรช่วงยามไฮ่ ไฟในตำหนักฉางซิ่นสว่างไสว เซียวอวี้นั่งอยู่ในตำหนัก รออยู่หนึ่งชั่วยามเห็นว่าเวลาค่ำมืดแล้ว เฉินจี๋พูดขึ้นมาว่า“ฝ่าบาท น่าจะไม่มาแล้ว...”ทันใดนั้น ด้านนอกประตูมีเสียงเคาะประตูดัง “ตูมๆ ” ขึ้นมาแววตาเฉินจี๋เป็นประกายขึ้นมานักฆ่าหญิงคนนั้น จะเป็นฮองเฮาไหม?เซียวอวี้ส่งสายตาไปมอง เฉินจี๋เปิดประตูทันทีทว่าคนที่อยู่ตรงหน้า ไม่ใช่นักฆ่าหญิงคนนั้น ทว่าเป็นขันทีน้อยธรรมดาคนหนึ่งขันทีน้อยคนนั้นเห็นว่าคนที่นั่งอยู่ข้างในคือฝ่าบาท ก็รีบคุกเข่าอยู่บนพื้น ตัวสั่นเทาไม่หยุด“บ่าวๆ บ่าวๆ...บ่าวถวายบังคมฝ่าบาท!”แววตาเซียวอวี้ลึกล้ำเฉินจี๋รีบถามขันทีคนนั้นว่า “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร!”อีกฝ่ายตอบอย่างสั่นเทาว่า“บ่าวเดินผ่านตำหนักฉางซิ่น เห็นว่าข้างในมีไฟสว่างอยู่และไม่มีคนเฝ้าดู จึงนึกว่
เซียวอวี้ไม่ได้ไวต่อกลิ่นขนาดนั้น ถึงแม้เขาเคยได้กลิ่นบนตัวนักฆ่าหญิงคนนั้น แต่กลิ่นนั้นจางมาก ครู่เดียวก็ลืมแล้วเขาก็เคยบีบคอ บีบข้อมือผู้หญิงคนนั้นจริง ทว่ามือของเขาไม่ใช่สายวัด เป็นไปไม่ได้ที่ลองจับแล้วก็ทราบทันทียิ่งไปกว่านั้น ข้อมือผู้หญิงไม่ได้ต่างกันมาก อาศัยการคาดเดาด้วยมือตนเอง ไม่มีทางทำได้อย่างแม่นยำเขาเพียงแค่ แต่งเรื่องหลอกฮองเฮาเท่านั้นวิธีนี้ใช้กับคนอื่นได้ผลทว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนเป็นผู้ใด?นางผ่านการรบมาเป็นร้อยครั้ง สอบสวนไส้ศึกบ่อยครั้งวิธีการต่างๆ นั้น นางเชี่ยวชาญอย่างมากหากเซียวอวี้มั่นใจว่านางคือนักฆ่าหญิงคนนั้น ก็จะไม่มีอ้อมค้อมเช่นนี้เบาะแสเพียงอย่างดียวที่มีในมือเขา ก็คือแส้เก้าท่อนนั้นสีหน้าของนางนิ่งสงบเหมือนน้ำ แฝงไปด้วยความสงบเห็นเป็นเรื่องง่าย“หม่อมฉันอธิบายได้“ข้างกายหม่อมฉัน นอกจากเหลียนซวงแล้ว ยังมีองครักษ์ลับหญิงผู้หนึ่ง ติดตามหม่อมฉันเข้ามาในวัง คอยปกป้องตลอดเวลา“สิ่งของพวกนั้น ล้วนเป็นของนาง”แววตาเซียวอวี้เยือกเย็นเล็กน้อย“องครักษ์ลับ?”คำโกหกของเฟิ่งจิ่วเหยียน พูดขึ้นมาได้ง่ายดายตามอำเภอใจ“ข้าช่วยนางไว้โดยบังเอิญ สถานะตั
ประตูเมืองเปิดกว้าง คนทุกบ้านพากันออกมาจากตรอกซอย ต้อนรับกองทัพกลับมาอย่างมีชัยชนะพวกชาวบ้านยืนอยู่ข้างทาง เงยหน้าขึ้นมองดู“แม่ทัพน้อยเมิ่งล่ะ? เขาคือคนไหน?”“คือคนที่ขี่ม้าอยู่ข้างหน้าสุดคนนั้น!”“ทำไมถึงสวมหน้ากากไว้? ดูไม่เห็นว่ารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร!”“เจ้าไม่รู้เสียแล้ว แม่ทัพน้อยเมิ่งหน้าตาหล่อเหลาสง่าเกินไป จึงสวมหน้ากากบดบังไว้ เพื่อเสริมความทรงพลัง”“ไม่ถูก เพราะบนใบหน้าของเขามีรอยแผลเป็น อัปลักษณ์อย่างมาก จึงไม่กล้าเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงต่อสาธารณะ!”ความเห็นที่แตกต่าง จมอยู่ในเสียงคำรามของผู้คนทั้งหมดแม่ทัพน้อยเมิ่งที่ทุกคนต่างสงสัยนั้น เวลานี้คือเฉียวม่อปลอมตัวมานางมองดูชาวบ้านพวกนั้นอยู่บนที่สูง ตลอดการเดินทางนี้ ทุกหนแห่งที่ไปถึง ล้วนมีชาวบ้านต่างออกมายืนรอต้อนรับตามถนนอยู่ตรงชายแดน บางคนถึงขั้นคุกเข่าอยู่บนข้างถนน โขกศีรษะขอบคุณนาง“ชายแดนเหนือ ไม่มีแม่ทัพน้อยเมิ่งไม่ได้!”“แม่ทัพน้อยเมิ่ง สมกับที่เป็นเทพสงครามจริงๆ !”ความกระตือรือร้นของประชาชน มาถึงเมืองหลวงก็ยังไม่ลดน้อยลงพวกเขานำผลไม้ ผักสดให้กับทหาร ยังมีพวกพ่อค้าผู้มั่งคั่ง นำจี้หยก อัญมณีล้ำ
วันต่อมา เหล่าขุนนางมารวมตัวกันอยู่ในวัง มาร่วมงานเลี้ยงรับรองแม่ทัพจักรพรรดิหฮองเฮานั่งอยู่บนตำแหน่งสูง เหล่านางสนมนั่งตามลำดับตำแหน่งทว่าการปรากฏตัวของแม่ทัพทั้งหลาย จึงจะเป็นสิ่งสำคัญในงานเลี้ยงรับรองแม่ทัพนี้เฉียวม่อเดินอยู่ข้างหน้าสุด พาพวกแม่ทัพถวายความเคารพ“ฮ่องเต้อายุยืนหมื่นปี!”เซียวอวี้ยกมือขึ้นมา อาภรณ์ยาวคลุมอยู่กับพื้น“ทุกท่าน ไม่ต้องมากพิธี!”ทุกคนล้วนดูออก ความชื่นชมที่ฝ่าบาทมีต่อเมิ่งสิงโจวนั้น ไม่มีการปกปิดหลังจากเฉียวม่อยืนตรงแล้ว สายตาสบกับเฟิ่งจิ่วเหยียน ที่นั่งบนตำแหน่งฮองเฮาเฟิ่งจิ่วเหยียนก็จำนางได้ทั้งสองคนไม่ได้สื่อสารผ่านสายตาอะไรกันมาก แล้วก็หลบเลี่ยงกันไปงานเลี้ยงรับรองแม่ทัพนี้ หนิงเฟยเป็นคนรับผิดชอบจัดงาน ตามกฎตามจรรยาบรรณ ทว่าก็ไม่เป็นที่พอใจมากระหว่างงานเลี้ยงมีการเต้นรำเพิ่มความสนุกสนาน และมีเพลงบรรเลงประกอบการดื่มสุราสาวงามสุราดี สามารถชะล้างความเหนื่อยล้าของทหารที่ได้รับชัยชนะกลับมาพวกเขากินดื่มอย่างอิสระรื่นรมย์ ไม่ยึดติดกับกฎหนิงเฟยยังไตร่ตรองถึงนิสัยการกินของแม่ทัพแต่ละคนด้วย มีการเตรียมของว่างต่าง ๆ ไว้สำหรับพวกเขาโดยเฉ
สีหน้านางสนมเจียงขาวซีด เมื่อได้ยินเสียงฮองเฮาดังขึ้นมา แววตาเต็มไปด้วยความรอคอยหนิงเฟยก็หันไปมองเฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างมุ่งร้ายเวลานี้ หากฮองเฮาปฏิเสธการถวายการเต้นรำของนางสนมเจียง ถือเป็นการทำร้ายจิตใจของพวกทหารนางพูดขึ้นมาอย่างท้าทายว่า “ฮองเฮา หรือท่านคิดว่า เหล่าทหารไม่คู่ควรที่จะชมการรำกลองของนางสนมเจียง?”เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่สนใจหนิงเฟย เพียงพูดขึ้นมาอย่างนอบน้อมว่า“ฝ่าบาท ใช้กลองทงเทียน[1]ไหม?”กลองทงเทียนมักจะใช้ในการเซ่นไหว้ดังชื่อที่บ่งบอก ใช้สื่อสารกับเทพเจ้าผ่านเสียงกลอง ไม่ว่าจะอธิษฐานหรือแก้บนกลองทงเทียนนี้แลดูไม่ได้แตกต่างอะไรกับกลองปกติธรรมดา แต่หน้ากลองที่ทำขึ้นเป็นพิเศษ สามารถทำให้เสียงกลองดังก้องขึ้กว่ากลองธรรมดาพวกทหารรักษาการณ์อยู่ชายแดน ไม่เคยเห็นกลองทงเทียน ล้วนรู้สึกแปลกใหม่เซียวอวี้ขมวดคิ้วเข้ม“ฮองเฮาหมายความว่าอย่างไร”เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงอธิบายขึ้นมาว่า“หม่อมฉันได้อธิฐานขอพรให้กับเหล่าทหาร ยามนี้ได้ชัยชนะกลับมา เดิมควรที่จะแก้บน แต่ด้วยสุขภาพไร้เรี่ยวแรง”“พอดีที่จะได้ใช้โอกาสในวันนี้ พวกทหารล้วนก็อยู่ด้วย ให้นางสนมเจียงตีกลองทงเทียนแทนหม่อม
องค์ชายเจ็ดทรงนำทัพออกศึกแล้ว ยามดึกเฟิ่งจิ่วเหยียนเข้าไปค้นหาที่จวนขององค์ชาย ก็ไม่มีองครักษ์เฝ้าอยู่มากนักค้นหาติดต่อกันสามคืนแล้ว ก็ยังไม่มีเบาะแสใดเลยพวกอู๋ไป๋ก็ไปค้นหาที่จวนขององค์ชายองค์อื่น ๆ ทว่าก็ไม่มีข่าวดีเช่นเดียวกันทางด้านวังหลวงจนถึงตอนนี้ก็ยังสืบหาไม่พบสถานที่ที่เหมาะสมกับการคุมขังคนหยิ่นลิ่วไปสืบหาในจวนองค์ชายสี่ ก็แอบได้ยินองค์ชายสี่ทรงเอ่ยตัดพ้อกับที่ปรึกษา“เสด็จพ่อทรงโปรดปรานน้องเจ็ด ข้าจะแย่งชิงได้อย่างไร? ก่อนหน้านี้ยังมีฮ่องเต้ฉีคอยแนะนำข้า ตอนนี้แม้แต่จะพบฮ่องเต้ฉีก็ยังไม่อาจทำได้เลย!”หยิ่นลิ่วจับจุดสำคัญนี้ได้ จึงรีบกลับไปที่โรงพักแรมเพื่อทูลรายงาน“ฮองเฮา มิต้องสงสัยเลยว่า องค์ชายสี่ผู้นี้จะต้องทราบว่าฝ่าบาททรงถูกขังอยู่ที่ใด!”เมื่อเทียบกับหยิ่นลิ่ว เฟิ่งจิ่วเหยียนใจเย็นยิ่งกว่านางต้องการยืนยันอีกครั้ง “องค์ชายสี่ทรงเอ่ยคำพูดเช่นนี้จริงหรือ”หยิ่นลิ่วมั่นใจอย่างยิ่งอู๋ไป๋เริ่มรู้สึกร้อนใจ“นายท่าน ข้าน้อยจะไปจับตัวองค์ชายสี่ และสอบสวนอย่างลับ ๆ !”ด้วยการทรมานอย่างหนัก องค์ชายสี่แห่งเป่ยเยี่ยนไม่มีทางที่จะไม่บอกความจริงเฟิ่งจิ่วเหยียนยกม
ช่วงเริ่มต้นของปีใหม่ กองทัพเยี่ยนเคลื่อนเข้ามาใกล้ชายแดน เหล่าทหารมีจิตใจที่ฮึกเหิม ใช้การยึดคืนเมืองที่เสียไปเป็นเป้าหมาย และแย่งกรูกันเข้าไปทางเมืองชายแดนของหนานฉีองค์ชายเจ็ดของเป่ยเยี่ยนได้รับแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพใหญ่ ควบคุมทั้งสามกองทัพในการรบครั้งนี้ ฮ่องเต้เยี่ยนทรงคาดหวังต่อเขาอย่างมาก ก่อนออกรบทรงตักเตือนและกำชับไว้มากมาย“เจ้าเจ็ด หากชนะสงครามครั้งนี้ ตำแหน่งว่าที่จักรพรรดิ ก็ต้องเป็นเจ้าเพียงผู้เดียว! เหล่าพี่น้องของเจ้าก็จะยอมรับโดยไม่มีข้อโต้แย้งเช่นกัน!”องค์ชายเจ็ดพยักหน้าอย่างนอบน้อม“กระหม่อมจะไม่ทำให้เสด็จพ่อผิดหวัง”ฮ่องเต้เยี่ยนมองบุตรชายด้วยความพึงพอใจ ในบรรดาเหล่าองค์ชายที่เหลืออยู่ มีเพียงองค์ชายเจ็ดที่มีลักษณะของความเป็นจักรพรรดิมากที่สุดองค์ชายสี่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน มองดูฉากเหตุการณ์นั้นด้วยสายตาอันคมกริบฮ่องเต้ฉีเอ่ยไว้ถูกต้องจริง ๆ เสด็จพ่อดีต่อน้องเจ็ดเหลือเกิน!ขอเพียงทหารสามารถรบชนะ ไม่ว่าใครจะเป็นแม่ทัพใหญ่ ก็จะได้รับความดีความชอบไปด้วยชัดเจนว่าเสด็จพ่อทรงให้โอกาสกับน้องเจ็ดแล้วเขาเล่า? เขาเป็นองค์ชายสี่นะ?เหตุใดเสด็จพ่อทรงมองไม่เห็นเข
อาจือถูกส่งเข้าวังมาตั้งแต่เล็ก และคอยรับใช้ข้างกายองค์หญิงเซี่ยนอี๋ที่จริงนางถือกำเนิดในตระกูลที่มีฐานะและชื่อเสียง ทว่าคนในตระกูลทำผิด จึงกลายมาอยู่ในสถานะต่ำต้อยอาจือคอยติดตามรับใช้องค์หญิง ทว่ากลับมองตนเองว่าพิเศษกว่าคนทั่วไปอาจารย์สอนศาสตร์ความรู้ต่าง ๆ ให้กับองค์หญิง ไม่ว่าทำอย่างไรองค์หญิงก็ทรงร่ำเรียนไม่สำเร็จ ส่วนนางเรียนรู้ไม่นานก็ทำได้หมัวมัวในวังก็มักจะมองนางด้วยความเสียดาย---อาจือ หากเจ้าไม่อยู่ในสถานะต่ำต้อย ก็คงมีชื่อเสียงรุ่งโรจน์กว่าองค์หญิงเป็นแน่ทว่า คนที่อยู่ในสถานการณ์มักจะมองไม่เห็นภาพรวมชัดเจนอาจือฉลาดก็จริง ทว่าไม่ถือว่าฉลาดถึงขั้นสุดเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอย่างเซียวอวี้ จึงกลายเป็นคนฉลาดเพียงเล็กน้อยคนที่มีทักษะครึ่ง ๆ กลาง ๆ กลับมั่นใจเกินไป เหมือนกับคนที่ว่ายน้ำเป็นกลับจมน้ำอาจือก็มีจุดอ่อนที่อันตรายถึงแก่ชีวิตเช่นกันนางเข้าใจว่าตนเองพูดไม่กี่คำ ก็สามารถได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ฉีแล้ว กลับไม่รู้ว่า อีกฝ่ายวางแผนลวงไว้ตั้งแต่แรกแล้วเมื่อมองจักรพรรดิรูปงามที่อยู่เบื้องหน้า ในใจอาจือเริ่มว้าวุ่นเมื่อใจเริ่มว้าวุ่น แม้จะมีความฉลาดอยู่เล็กน้อ
ณ เป่ยเยี่ยนจวนขององค์หญิงเซี่ยนอี๋ได้รับพระราชทานแล้ว นางไม่อาจทนรอได้อีกต่อไปจึงย้ายเข้าไปในเรือนหลังใหม่มิใช่ว่าองค์หญิงทุกพระองค์จะสามารถเปิดจวนได้ นี่เป็นความโปรดปรานที่เสด็จพ่อมีต่อนางเป็นพิเศษและสิ่งที่นางยินดีเป็นอย่างยิ่งคือ ฮ่องเต้ฉีก็ถูกส่งมาที่จวนของนางด้วยเช่นกันถึงแม้เสด็จพ่อจะส่งคนมาคุ้มกัน ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าออกห้องลับที่คุมขังฮ่องเต้ฉีตามอำเภอใจ ทว่า นี่คือจวนของนาง นางย่อมต้องหาโอกาสได้จากคุกลับมาที่จวนองค์หญิง เซียวอวี้ถูกคนคลุมศีรษะมาตลอดทางบวกกับเป็นเวลาค่ำคืน ก็ยิ่งไม่มีผู้ใดรู้องค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกมาต้อนรับด้วยพระองค์เอง โดยยืนรออยู่ที่หน้าประตูห้องลับ ราวกับเชื้อเชิญให้เข้ามาติดกับ และยิ่งเหมือนนายพรานที่สร้างกรงขัง กำลังมองดูเหยื่อเดินเข้ามาในกรงด้วยความพอใจขณะที่เซียวอวี้เดินผ่านตัวนาง นางก็เอ่ยอย่างอารมณ์ดี“ฮ่องเต้ฉี พวกเรายังมีอนาคตร่วมกันอีกยาวไกล”เซียวอวี้มีท่าทีเย็นชา ไม่แสดงสีหน้าเป็นมิตรแม้แต่น้อยทว่านางก็ชอบท่าทางดื้อรั้นเช่นนี้ของเขาและว่ากันตามตรง ห้องลับก็ดูสะอาดกว่าคุกลับองค์หญิงเซี่ยนอี๋ทรงเกเรเอาแต่ใจ ทว่าก็มีความจริงใจ
เฉินจี๋ได้รับการช่วยเหลือจากนายพรานผู้หนึ่ง ด้วยอาการบาดเจ็บรุนแรง กระทั่งตอนนี้ก็ยังหมดสติอยู่นี่จึงไม่น่าแปลกใจที่เขายังไม่ปรากฏตัว ที่แท้เป็นเพราะร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้นายพรานรู้ว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนกับคณะรู้จักกับเฉินจี๋ จึงรู้สึกโล่งใจ“ข้าลำบากใจจริง ๆ เพราะคิดว่านี่คือชีวิตคนคนหนึ่ง จึงไม่อาจทอดทิ้งได้ ทว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บของเขา ข้าก็ต้องใช้เงิน...”ไม่รอให้นายพรานพูดจบ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ส่งสัญญาณให้อู๋ไป๋นำเงินให้อู๋ไป๋ถนัดการจัดการเรื่องต่าง ๆ สักพักก็เริ่มคุ้นเคยกับนายพราน และเอ่ยขอบคุณอย่างสนิทสนม“พี่ชาย ขอบคุณจริง ๆ ที่เจ้าช่วยสหายข้าไว้! เงินเล็กน้อยนี้ไม่พอจะทดแทนคำขอบคุณได้! ใช่แล้ว เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า เจอสหายข้าที่ใด แล้วเขาได้รับบาดเจ็บอย่างไร? และเจอคนที่น่าสงสัยคนอื่นหรือไม่?“เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าเพียงแค่อยากรู้ให้ชัดเจน ว่าผู้ใดทำร้ายสหายข้า บาปมีคนก่อหนี้ย่อมมีเจ้าหนี้”คำพูดของอู๋ไป๋ ล้วนเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติของคนนายพรานลองคิดทบทวนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง“ข้าช่วยเขาตรงริมแม่น้ำ ตอนนั้นไม่พบผู้อื่น ขอโทษจริง ๆ ที่ข้าช่วยพวกท่านไม่ได้”“
ปลายเดือนสิบสอง ปีใหม่ใกล้เข้ามาเส้นทางมุ่งหน้าไปทางเหนือเต็มไปด้วยน้ำแข็ง การเดินทางนั้นยากลำบากเฟิ่งจิ่วเหยียนในช่วงอยู่ไฟมิได้พักฟื้นอย่างเต็มที่ ตอนนี้ยังต้องเดินทางท่ามกลางพายุหิมะอีก จึงมักจะปวดเมื่อยเอว และเหงื่อออกมากอยู่บ่อย ๆในช่วงกลางคืนเข้านอน ก็มักรู้สึกเย็นที่ไหล่ และหนาวอย่างรุนแรงอู๋ไป๋เห็นสีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก จึงเตือนนาง“นายท่าน ไม่สู้ให้หมอมาตรวจดูบ้าง?”เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบร้อนจะตามหาคน จึงไม่อยากล่าช้าครั้งนี้อู๋ไป๋ยืนหยัดอย่างเต็มที่“นายท่าน ต่อให้ท่านไม่คำนึงถึงตนเอง ก็ควรนึกถึงฝ่าบาท หากท่านเจ็บป่วย จะยิ่งไม่ล่าช้ามากกว่าหรอกหรือ?”เขาเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเริ่มลังเลก็จริงหากนางเจ็บป่วยจนลุกไม่ขึ้น ก็จะไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไปตรงชายแดนหนานฉี เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ไปที่สำนักการแพทย์แห่งหนึ่งหลังจากหมอจับชีพจรของนาง ก็เอาแต่ส่ายหัว“ฮูหยินท่านนี้ ท่านมีภาวะร่างกายไม่สมดุลหลังคลอด จึงเป็นต้นเหตุเกิดโรคเรื้อรัง“อาการปวดตามข้อเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในระยะนี้ที่ฝนหิมะรุนแรง แน่นอนว่าย่อมไม่สบายตัว“ในยามปกติรู้สึกว่าไม่เป็นไร ทนหน่อยก็ผ่
บนบัลลังก์มังกร เซียวถงเต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของจักรพรรดิ “เรารับพระราชโองการจากเสด็จอา มาทำหน้าที่รักษาการแทนตำแหน่งฮ่องเต้ชั่วคราว ทุกท่านมีเรื่องใดก็เสนอได้”เหล่าขุนนางในราชสำนักมองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงงบางคนถึงกับสงสัยว่าเซียวถงแย่งชิงบัลลังก์ทว่าคิดดูอีกที ฮองเฮาทรงมีทักษะเพียงนั้น ผู้ใดจะกล้าแย่งชิงบัลลังก์?ณ วังหลังเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกอาวรณ์อย่างยิ่งที่จะกล่าวอำลาต่อบุตรทั้งสองพวกเขายังคงนอนหลับอยู่ ใบหน้าขณะหลับดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ นางจุมพิตบนหน้าผากของพวกเขา หัวใจราวกับถูกบีบเข้าหากันสาวใช้หว่านชิวรู้สึกเศร้าใจ “ฮองเฮา จักต้องเสด็จไปให้ได้หรือเพคะ?”ฮองเฮาทรงตัดใจจากเลือดเนื้อเชื้อไขของตนได้อย่างไร?เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าอย่างหนักแน่นการไปของนางครั้งนี้ จะมีชีวิตอยู่หรือตายยังไม่แน่นอนการพาบุตรทั้งสองคนไปด้วย หนึ่งจะเป็นภาระให้กับนาง สองอาจจะนำภัยอันตรายถึงแก่ชีวิตมาให้พวกเขาการแยกจากบุตร ย่อมต้องทุกข์ใจอยู่แล้ว ทว่าหากให้นางกับลูกรออยู่ในวัง และทนทรมานกับการรอฟังข่าว นางยิ่งไม่ยินยอม“ฮองเฮา หนิงเฟยมาถึงแล้วเพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบปรับอารมณ์ทันที และเ
ที่ดินที่โซ่วอ๋องได้รับมอบไม่ถือว่าไกลจากเมืองหลวงมากนัก หลังจากได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ซื่อจื่อเซียวถงก็ออกเดินทางภายในวันเดียวกันห้าวันต่อมา เซียวถงก็มาถึงพระราชวัง และตรงไปยังห้องทรงพระอักษรเพื่อเข้าเฝ้าครั้งล่าสุดที่เขามาเมืองหลวง ก็คือเมื่อสามปีก่อน ช่วงที่เกิดความวุ่นวายในวิหารบรรพบุรุษ เขาได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากฮ่องเต้ ให้ขึ้นครองบัลลังก์ชั่วคราว เพื่อหลอกลวงพรรคเทียนหลงกับกองทัพศัตรูให้สับสนในตอนนั้นเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก พระราชโองการพินัยกรรมของฝ่าบาท ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นว่าที่จักรพรรดิครั้งนี้ฮองเฮาทรงเรียกเขามา ไม่รู้ว่ามาเพราะเรื่องใดทว่าก็รู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับพระราชโองการพินัยกรรมก่อนที่เขาจะมาเมืองหลวง ท่านพ่อก็ยังเตือนเขาว่า ตอนนี้ฮองเฮาทรงประสูติองค์ชายแล้ว เช่นนั้นเขาที่เคยเป็นคนที่อ้างถึงในพระราชโองการพินัยกรรม ก็เท่ากับเป็นตัวขัดขวางขององค์ชายดังนั้น การมาเมืองหลวงครั้งนี้ ก็เสี่ยงอันตรายอย่างมากในใจของเซียวถงเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย ทว่าสีหน้ายังคงสงบนิ่ง ไม่ถือตัวไม่ถ่อมตนเกินพอดีแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยสนใจตำแหน่งฮ่องเต้ แล
วันต่อมา องค์หญิงเซี่ยนอี๋เสด็จมาพบองค์ชายสี่ด้วยพระองค์เององค์ชายสี่ทรงยิ้มแย้ม ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น“แขนของน้องหญิงเป็นอย่างไรบ้าง?”องค์หญิงเซี่ยนอี๋โมโหจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่“เหตุใดเสด็จพี่ต้องขัดขวางข้า!”รอยยิ้มขององค์ชายสี่เลือนหายไป และตอบอย่างมีเหตุมีผล“เซี่ยนอี๋ ข้าคิดว่าเจ้าแค่พาลไร้เหตุผล นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะโง่เขลาเพียงนี้ เจ้าคิดได้อย่างไรที่จะวางยาผู้อื่น แล้วบังคับขืนใจเขา?“หากเจ้าพลีกายให้กับฮ่องเต้ฉี แล้วจะให้ข้าทูลเสด็จพ่ออย่างไร?“คืนก่อนเจ้าเกือบจะแขนหักไปข้างหนึ่ง ก็น่าจะจำเป็นบทเรียนได้แล้วกระมัง”เซี่ยนอี๋รู้ตัวว่าทำผิดทว่าเรื่องที่นางยังทำไม่เสร็จสิ้น จะไม่ยอมแพ้และเลิกล้มเช่นนี้“หากข้าได้เป็นฮองเฮาของหนานฉี หนานฉีก็จะไม่เล่นงานเป่ยเยี่ยนอีก นี่ไม่ดีหรอกหรือ?”องค์ชายสี่แย้มพระสรวล“เซี่ยนอี๋ หากเสด็จพ่อได้ยินคำพูดนี้ของเจ้า เกรงว่าจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก“การเกี่ยวดองของสองแคว้น เดิมทีไม่อาจหยุดยั้งความโหดเหี้ยมของหนานฉีได้“เจ้าจะทำให้ตนเองเสียหายโดยเปล่าประโยชน์ และถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ“บุรุษดี ๆ ในเป่ยเยี่ยนของเรามีมากมาย เหตุใดเจ้าต