เหล่านางสนมทยอยออกมาน้อมรับกระแสรับสั่ง แต่ละคนต่างมีลางสังหรณ์ไม่ดีเลยจากนั้นก็ได้ยินข้าหลวงผู้นั้นเอ่ยขึ้น“ฮองเฮาทรงส่งหมอหลวงมาตรวจพระสนมทั้งหลาย“ผู้ใดป่วยจักได้รักษา ส่วนผู้ใดจงใจอ้างเรื่องป่วยไม่ยอมไปสนามม้าหลวง จักถูกลงโทษให้คัดกฎของวังห้าสิบรอบ และถูกโบยห้าครั้ง!”เหล่านางสนมต่างมีสีหน้าหลากหลายในบรรดาพวกนางไม่มีใครคาดคิด ว่าฮองเฮาจะลงโทษอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้!จากนั้นเหล่าหมอหลวงก็เข้ามาตรวจให้เหล่านางสนมทีละคนผลตรวจเป็นอย่างไรแทบไม่ต้องคาดเดาแต่ละคนต่างถูกโบย ทั้งยังถูกลงโทษให้คัดกฎของวัง ส่วนทางหนิงเฟยเพราะมีบอกกล่าวล่วงหน้า และมีไทเฮาคอยปกป้อง ดังนั้นจึงไม่เป็นอะไรมีนางสนมบางคนไม่ยอม จึงเอ่ยถามว่า “แล้วกุ้ยเฟยล่ะ! ได้ยินมาว่าวันนี้กุ้ยเฟยก็ไม่ได้ไปที่สนามม้าหลวงเหมือนกัน! เหตุใดฮองเฮาถึงไม่กล้าลงโทษนางบ้าง?”ข้าหลวงผู้นั้นตอบกลับอย่างนอบน้อม“คาดว่าเวลานี้ กระแสรับสั่งคงไปถึงตำหนักหลิงเซียวแล้วขอรับ”“อะไรนะ? ฮองเฮากล้าลงโทษกุ้ยเฟยจริง ๆ หรือ?” ทุกคนต่างมีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อณ ตำหนักหลิงเซียวผู้คุมโทษมีท่าทางดุร้าย“กุ้ยเฟย ต้องขอล่วงเกินแล้ว!”ชุนเ
กุ้ยเฟยมองไปยังทางเข้า แต่กลับไม่เห็นขบวนเสด็จขันทีผู้นั้นมีเหงื่อเย็น ๆ ผุดขึ้นมาเต็มหน้าผาก“พระนาง หลิวกงกงกล่าวว่า ฝ่าบาท…ฝ่าบาททรงเหนื่อยล้ามาทั้งวัน จึงเข้าบรรทมตั้งแต่หัววันแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทั้งมีกระแสรับสั่งว่า ห้ามผู้ใดเข้าไปรบกวนเด็ดขาด”ชุนเหอนิ่งอึ้ง“เจ้าเลอะเลือนหรือไง นี่ยังพูดไม่ชัดอีกหรือ พระนางกำลังจะถูกโบยนะ!”พระนางเป็นถึงแก้วตาดวงใจของฝ่าบาท ไม่มีทางรวมอยู่ใน “ผู้ใด” ที่ว่านั้นแน่!สีหน้าของกุ้ยเฟยก่อเกิดไอเย็น สายตาที่มองมาทางขันที แฝงไปด้วยไอสังหารเศษสวะไร้ประโยชน์!ในเวลาสำคัญเช่นนี้ ขนาดเชิญเสด็จฝ่าบาทมาก็ยังไม่ได้อีกข้าหลวงผู้คุมโทษมองหน้ากันไปมา จากนั้นก็ลุกขึ้นมาพูด“กุ้ยเฟย ต้องขอล่วงเกินแล้ว!”พวกเขาเตรียมเข้ามาจับตัว ชุนเหอพลันตะโกนเสียงดัง“สามหาว! พวกเจ้ากล้าดีอย่างไร!”……ผ่านไปครึ่งชั่วยามกุ้ยเฟยก็เอนพิงแท่นบรรทมอย่าง “อ่อนแรง”เมื่อเห็นชุนเหอเปิดม่านมุ้งเข้ามา นางก็รีบถามทันที“ฝ่าบาทล่ะ? เขามาไหม?”ชุนเหอกัดริมฝีปาก แล้วส่ายหน้า“ทางตำหนักจื้อเฉิน หลิวกงกงเองก็ยังไม่สามารถเข้าไปกราบทูลได้เลยเพคะ” “พระนาง บางทีฝ่าบาทอาจจะทรงเหนื
กุ้ยเฟยมีท่วงท่าสง่างามเด็ดเดี่ยว แตกต่างจากท่าทางอ่อนแอตอนที่อยู่กับฮ่องเต้ ยามอยู่ต่อหน้าฮองเฮา แววตาก็แฝงไปด้วยแววยั่วยุ่“ต้องขออภัยด้วยจริง ๆ ที่หม่อมฉันมาสาย“เป็นเพราะฝ่าบาทเป็นห่วงหม่อมฉัน จึงกำชับอยู่นาน กว่าจะยอมปล่อยหม่อมฉันมา”สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนเย็นชา ไร้แววไหวหวั่น“ฝากทูลฝ่าบาทด้วย เขาไม่จำเป็นต้องเป็นห่วง ข้าจะดูแลกุ้ยเฟยเป็นอย่างดี”นางย้ำคำว่า “ดูแล” เสียงหนักแต่กุ้ยเฟยหาได้กลัวไม่ ซ้ำยังป้องปากหัวเราะ เสียงใสดั่งกระดิ่งเงิน“คงไม่ใช่ว่าฮองเฮาลืมไปแล้วหรอกกระมัง? เมื่อเช้าฝ่าบาทยังตรัสอยู่เลย ว่าท่านต้องใช้คุณธรรมชนะใจคน ไม่ควรเอะอะอะไรก็จะลงโทษคนอื่นอยู่นั่น”ต่อมา นางก็เดินเฉียดผ่านไป นั่งลงในกระโจมที่พัก รอบด้านมีแต่คนเข้ามาปรนนิบัติรับใช้นางเหล่านางสนมเห็นการกระทำของกุ้ยเฟย นางทำเช่นไร พวกนางเองก็ทำเช่นนั้นฮองเฮาแค่ให้พวกนางมาฝึกที่สนามม้าหลวง ไม่ได้บอกว่าพวกนางต้องฝึกไปถึงขั้นไหนเสียหน่อยดังนั้นแต่ละคนจึงเริ่มแอบอู้ เหลียนซวงเห็นแบบนั้นก็โมโหอย่างมาก“พระนาง พวกนางไม่เหมือนมาขี่ม้าเลย มีแต่แอบอู้ทั้งนั้น!”แววตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนเย็นชา มอง
ฝั่งตะวันออกของสนามม้าหลวง ฮ่องเต้และรุ่ยอ๋องยืนอยู่ตรงนั้น ราวกับเพิ่งมาถึงเมื่อครู่เสียนเฟยรีบเตือนให้นางสนมเจียเข้าไปทำความเคารพเมื่อทั้งสองคนเดินมาหยุดตรงหน้าฮ่องเต้ น้ำเสียงก็เบาหวิวดุจเมฆ “ถวายบังคมฝ่าบาท”รุ่ยอ๋องเองก็โค้งคำนับให้ทั้งสองคน “กระหม่อมขอคารวะพระนางทั้งสอง”นัยน์ตาของเขามักจะแฝงไปด้วยแววอบอุ่นเจือรอยยิ้ม มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนนิสัยดีเซียวอวี้ละสายตาจากทิศทางที่ฮองเฮาขี่ม้าออกไป ทอดมองมายังทั้งสองคน“ไม่ต้องพิธีรีตองมาก”เสียนเฟยถอยไปอยู่หลังเขาอย่างสงบเสงี่ยมส่วนนางสนมเจียรีบคว้าโอกาสที่นาน ๆ ทีจะมีครั้งไว้อย่างตื่นเต้น“ฝ่าบาท ท่านเสด็จมาขี่ม้าหรือเพคะ?”เซียวอวี้ไม่ตอบนาง แต่เดินผ่านนางไปรุ่ยอ๋องรีบเดินตามไปทันที“พระนางทั้งสองผู้หนึ่งอ่อนหวานเรียบร้อย ผู้หนึ่งสดใสร่าเริง ฝ่าบาทช่างโชคดีเหลือเกิน”คิ้วของเซียวอวี้คมปลาบ “อิจฉาหรือ? เช่นนั้นพรุ่งนี้เราจะมอบหมายคู่หมั้นให้เจ้า”รุ่ยอ๋องประสานมือรับผิดด้วยรอยยิ้มทันที “กระหม่อมผิดไปแล้ว!”จากนั้น เขาก็เอ่ยถามอย่างจริงจัง“แต่ได้ยินมาว่าเหล่านางสนมในวังหลังต่างมาฝึกขี่ม้าที่นี่ แต่ทำไมกร
เมื่อเหล่านางสนมวิ่งออกไป ก็พบว่าฝ่าบาทเสด็จกลับไปตั้งนานแล้ว พวกนางรู้สึกเสียดายไม่น่าแอบอู้เลย ไม่อย่างนั้นก็คงได้เจอฝ่าบาทแล้วโอกาสที่พวกนางจะได้เจอฝ่าบาทมีอยู่น้อยยิ่งนักหลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกลับแล้ว มีเพียงกุ้ยเฟยที่ยังอยู่ที่เดิมนางย่อมไม่จำเป็นต้องกระเหี้ยนกระหือรือเหมือนคนอื่น ตราบใดที่นางอยากเจอฝ่าบาท นางก็สามารถเจอได้ทุกเมื่อนางสนมเจียเก็บงำเอาไว้ไม่ได้ จึงนำเรื่องนี้ไปบอกกล่าวกับทุกคนอย่างอดรนทนรอไม่ไหวจากนั้นก็ถูกส่งต่อไปเรื่อย ๆ ทั้งยังใส่สีตีไข่ พูดเสียจนฟังดูสวยหรูสำหรับนางสนมที่มีโอกาสน้อยนักในการได้เข้าเฝ้าฝ่าบาท ต่างชวนให้รู้สึกอิจฉาแทนที่จะทนเปล่าเปลี่ยวอยู่ในตำหนัก สู้ออกมาเสี่ยงดวงที่สนามม้าหลวงยังจะดีกว่าวันต่อมา ยังไม่ถึงเวลาฝึก เหล่านางสนมก็มาที่สนามม้าหลวงกันแล้วทว่า หลังจากนั้นอีกหลายวัน ฝ่าบาทก็ไม่ได้เสด็จมาที่สนามม้าหลวงอีกเลยทุกคนต่างทอดถอนใจกันอีก“นางสนมเจียแค่โชคดี ผู้ใดสามารถรับรองได้ว่าพวกเราจะโชคดีได้เจอฝ่าบาทเช่นนั้น?”“นั่นสิ ใช่ว่าฝ่าบาทจะเสด็จมาที่สนามม้าหลวงทุกวันเสียหน่อย ข้าว่าพวกเรากลับไปเล่นไพ่นกกระจอกเหมือนเดิมดี
ชุนเหอเป็นบ่าวคนสนิทของกุ้ยเฟย ทั้งยังฉลาดเป็นกรดนางคาดเดาว่า “ฮองเฮาต้องกลัวว่าหากท่านอยู่ที่สนามม้าหลวง แล้วฝ่าบาททรงเสด็จมา จะสนใจเพียงแต่ท่านผู้เดียว ไม่ชายตามองคนอื่นเป็นแน่เพคะ”กุ้ยเฟยลำพองใจ“ถึงข้าไม่ไป ในสายตาของฝ่าบาทก็ไม่มีพวกนางอยู่ดี”แต่ว่า หลายวันมานี้ต้องตื่นแต่เช้าไปที่สนามม้าหลวงทุกวัน นางค่อนข้างเหนื่อยล้าจริง ๆ หลายวันต่อมาเฟิ่งจิ่วเหยียนก็มาถามผู้ดูแลผู้ดูแลตอบเสียงเบา“พระนาง ระยะนี้มีคนฝึกกระบวนท่า “เกล็ดน้ำค้างโบยบินดั่งหิมะ” หลายคนเลยพ่ะย่ะค่ะ บ่าวเองก็ทำตามที่ท่านกำชับ คอยชี้แนะเพิ่มเติม ยามที่เหล่าสนมเจอท่ายาก ๆ “แต่มีเพียงสนมเจียเท่านั้นที่มีพรสวรรค์ สามารถเรียนรู้ได้ไว และขยันเรียนที่สุด แถมยังแอบเข้ามากลางดึกทุกคืนด้วย”เฟิ่งจิ่วเหยียนเข้าใจ จึงโบกมือให้เขาออกไปได้เหลียนซวงถามอย่างสงสัย“พระนาง สนมเจียจะกระตุ้นให้กุ้ยเฟยเปิดเผยทักษะขี่ม้าออกมาได้จริง ๆ หรือเพคะ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนใช้นิ้วหมุนลูกบอลโปโลเล่น ด้วยความคล่องแคล่ว“ทำสองสิ่งพร้อมกัน จำเป็นต้องใช้สิ่งของอีกอย่างนั่นคือ——ความระแวง” ……ยามราตรีโอบล้อมทุกสารทิศณ ตำหนักหลิงเซีย
บุรุษที่ประลองฝ่ามือกับเฟิ่งจิ่วเหยียนสวมใส่ชุดสีแดง ดูสถุนอย่างมากเขาถูกแรงฝ่ามือของเฟิ่งจิ่วเหยียนซัดจนต้องถอย เมื่อเห็นว่าตนกำลังจะเจ็บตัว ก็รีบตระโกน“เจ้าแซ่ซู! โคตรเหง้าบิดาเจ้าเถอะ! ทักทายแค่นี้ ไม่จำเป็นต้องเอาจริงก็ได้กระมัง!”เฟิ่งจิ่วเหยียนเอียงคอเล็กน้อย“บิดาใคร?”เท้าของชายหนุ่มชุดแดงเสียดสีกับพื้น รีบขอร้องอ้อนวอนออกมา “ก็ได้ ๆ ๆ บิดาข้าเอง เจ้าคือบิดาของข้า!”เฟิ่งจิ่วเหยียนถึงได้เก็บมือกลับมาจากนั้นก็สะบัดมือ ปิดประตูที่แง้มเปิดไว้ให้ปิดลงเฟิ่งจิ่วเหยียนกับพวกเขาล้วนเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่นางแกะเชือกบนตัวของซ่งหลี พร้อมดึงผ้าขี้ริ้วในปากของเขาออก พอไม่มีเชือกมาพันธการ ซ่งหลีก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ “สหายซู ไม่ใช่ว่าข้าไม่เตือนเจ้า แต่เขากักขฬะมากเกินไป สะกดรอยตามข้ามาตลอดทาง แถมยังจับข้ามัดไว้”บุรุษชุดแดงนั่งลงบนขอบหน้าต่าง สายลมพัดผ่านมา จนปลิวผมไสว ทำให้เขาดูเหมือนคุณชายเจ้าสำราญคนอื่น ๆ คงไม่คาดคิดแน่ ว่าเขาคือบุตรชายของเศรษฐีแนวหน้า——เจียงหลินเจียงหลินใช้มือทัดปรอยผม แล้วพร่ำบ่นออกมา“ว่าข้ากักขฬะหรือ? ซูฮ่วน เจ้านั่นแหละที่ไร้เหตุผล“หายไปต
ยามปกติเซียวอวี้โปรดปรานการไปสนามม้าหลวง แต่หากเป็นการไปทอดพระเนตรเหล่านางสนมทำการแสดง เขาหาได้สนใจไม่ทว่าไทเฮากลับมาเชิญเขาด้วยพระองค์เองเสียนี่“ฝ่าบาทราชกิจรัดตัว เดิมข้าไม่สมควรมารบกวน”“แต่ช่วงนี้ในราชสำนักมีข่าวลือหนาหูว่าพวกเราแม่ลูกหมางใจกัน เพื่อความมั่นคงของราชสำนักและวังหลังแล้วต้องทำอะไรเสียหน่อย”“วันนี้ก็ถือโอกาสเดินเล่นเป็นเพื่อนข้า ดีหรือไม่?”......ณ สนามม้าหลวงไทเฮาเหลือบมองนางสนมหลายนางที่ขี่ม้าอยู่ก็แย้มพระโอษฐ์ไม่หยุดพวกนางยอมทุ่มเทขนาดนี้เพื่อที่จะได้รับความโปรดปราน ลำบากพวกนางแล้ว“ฮ่องเต้ ท่านเชี่ยวชาญทักษะการขี่ม้า ลองทอดพระเนตรพวกนางดูว่ามีจุดไหนไม่เหมาะสมหรือไม่?”สีหน้าเซียวอวี้เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ทอดมองไปยังเงาร่างของฮองเฮาที่กำลังจูงม้าเดินเข้ามาอยู่ไม่ไกล“หัวมังกุท้ายมังกร [1]”สีหน้าไทเฮาแข็งทื่อขึ้นมาเล็กน้อยฮ่องเต้ทรงไร้อารมณ์เช่นนี้ เกรงว่านางสนมเหล่านี้จะต้องผิดหวังอีกแล้วน่าเสียดายน้ำใจนี้ของฮองเฮานักเฟิ่งจิ่วเหยียนส่งม้าให้กับผู้ดูแล แล้วเดินไปเบื้องหน้าของไทเฮาและฮ่องเต้“หม่อมฉันคารวะเสด็จแม่และฝ่าบาทเพคะ”สายตาไทเฮาเปี
เฉินจี๋ได้รับการช่วยเหลือจากนายพรานผู้หนึ่ง ด้วยอาการบาดเจ็บรุนแรง กระทั่งตอนนี้ก็ยังหมดสติอยู่นี่จึงไม่น่าแปลกใจที่เขายังไม่ปรากฏตัว ที่แท้เป็นเพราะร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้นายพรานรู้ว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนกับคณะรู้จักกับเฉินจี๋ จึงรู้สึกโล่งใจ“ข้าลำบากใจจริง ๆ เพราะคิดว่านี่คือชีวิตคนคนหนึ่ง จึงไม่อาจทอดทิ้งได้ ทว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บของเขา ข้าก็ต้องใช้เงิน...”ไม่รอให้นายพรานพูดจบ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ส่งสัญญาณให้อู๋ไป๋นำเงินให้อู๋ไป๋ถนัดการจัดการเรื่องต่าง ๆ สักพักก็เริ่มคุ้นเคยกับนายพราน และเอ่ยขอบคุณอย่างสนิทสนม“พี่ชาย ขอบคุณจริง ๆ ที่เจ้าช่วยสหายข้าไว้! เงินเล็กน้อยนี้ไม่พอจะทดแทนคำขอบคุณได้! ใช่แล้ว เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า เจอสหายข้าที่ใด แล้วเขาได้รับบาดเจ็บอย่างไร? และเจอคนที่น่าสงสัยคนอื่นหรือไม่?“เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าเพียงแค่อยากรู้ให้ชัดเจน ว่าผู้ใดทำร้ายสหายข้า บาปมีคนก่อหนี้ย่อมมีเจ้าหนี้”คำพูดของอู๋ไป๋ ล้วนเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติของคนนายพรานลองคิดทบทวนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง“ข้าช่วยเขาตรงริมแม่น้ำ ตอนนั้นไม่พบผู้อื่น ขอโทษจริง ๆ ที่ข้าช่วยพวกท่านไม่ได้”“
ปลายเดือนสิบสอง ปีใหม่ใกล้เข้ามาเส้นทางมุ่งหน้าไปทางเหนือเต็มไปด้วยน้ำแข็ง การเดินทางนั้นยากลำบากเฟิ่งจิ่วเหยียนในช่วงอยู่ไฟมิได้พักฟื้นอย่างเต็มที่ ตอนนี้ยังต้องเดินทางท่ามกลางพายุหิมะอีก จึงมักจะปวดเมื่อยเอว และเหงื่อออกมากอยู่บ่อย ๆในช่วงกลางคืนเข้านอน ก็มักรู้สึกเย็นที่ไหล่ และหนาวอย่างรุนแรงอู๋ไป๋เห็นสีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก จึงเตือนนาง“นายท่าน ไม่สู้ให้หมอมาตรวจดูบ้าง?”เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบร้อนจะตามหาคน จึงไม่อยากล่าช้าครั้งนี้อู๋ไป๋ยืนหยัดอย่างเต็มที่“นายท่าน ต่อให้ท่านไม่คำนึงถึงตนเอง ก็ควรนึกถึงฝ่าบาท หากท่านเจ็บป่วย จะยิ่งไม่ล่าช้ามากกว่าหรอกหรือ?”เขาเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเริ่มลังเลก็จริงหากนางเจ็บป่วยจนลุกไม่ขึ้น ก็จะไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไปตรงชายแดนหนานฉี เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ไปที่สำนักการแพทย์แห่งหนึ่งหลังจากหมอจับชีพจรของนาง ก็เอาแต่ส่ายหัว“ฮูหยินท่านนี้ ท่านมีภาวะร่างกายไม่สมดุลหลังคลอด จึงเป็นต้นเหตุเกิดโรคเรื้อรัง“อาการปวดตามข้อเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในระยะนี้ที่ฝนหิมะรุนแรง แน่นอนว่าย่อมไม่สบายตัว“ในยามปกติรู้สึกว่าไม่เป็นไร ทนหน่อยก็ผ่
บนบัลลังก์มังกร เซียวถงเต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของจักรพรรดิ “เรารับพระราชโองการจากเสด็จอา มาทำหน้าที่รักษาการแทนตำแหน่งฮ่องเต้ชั่วคราว ทุกท่านมีเรื่องใดก็เสนอได้”เหล่าขุนนางในราชสำนักมองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงงบางคนถึงกับสงสัยว่าเซียวถงแย่งชิงบัลลังก์ทว่าคิดดูอีกที ฮองเฮาทรงมีทักษะเพียงนั้น ผู้ใดจะกล้าแย่งชิงบัลลังก์?ณ วังหลังเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกอาวรณ์อย่างยิ่งที่จะกล่าวอำลาต่อบุตรทั้งสองพวกเขายังคงนอนหลับอยู่ ใบหน้าขณะหลับดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ นางจุมพิตบนหน้าผากของพวกเขา หัวใจราวกับถูกบีบเข้าหากันสาวใช้หว่านชิวรู้สึกเศร้าใจ “ฮองเฮา จักต้องเสด็จไปให้ได้หรือเพคะ?”ฮองเฮาทรงตัดใจจากเลือดเนื้อเชื้อไขของตนได้อย่างไร?เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าอย่างหนักแน่นการไปของนางครั้งนี้ จะมีชีวิตอยู่หรือตายยังไม่แน่นอนการพาบุตรทั้งสองคนไปด้วย หนึ่งจะเป็นภาระให้กับนาง สองอาจจะนำภัยอันตรายถึงแก่ชีวิตมาให้พวกเขาการแยกจากบุตร ย่อมต้องทุกข์ใจอยู่แล้ว ทว่าหากให้นางกับลูกรออยู่ในวัง และทนทรมานกับการรอฟังข่าว นางยิ่งไม่ยินยอม“ฮองเฮา หนิงเฟยมาถึงแล้วเพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบปรับอารมณ์ทันที และเ
ที่ดินที่โซ่วอ๋องได้รับมอบไม่ถือว่าไกลจากเมืองหลวงมากนัก หลังจากได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ซื่อจื่อเซียวถงก็ออกเดินทางภายในวันเดียวกันห้าวันต่อมา เซียวถงก็มาถึงพระราชวัง และตรงไปยังห้องทรงพระอักษรเพื่อเข้าเฝ้าครั้งล่าสุดที่เขามาเมืองหลวง ก็คือเมื่อสามปีก่อน ช่วงที่เกิดความวุ่นวายในวิหารบรรพบุรุษ เขาได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากฮ่องเต้ ให้ขึ้นครองบัลลังก์ชั่วคราว เพื่อหลอกลวงพรรคเทียนหลงกับกองทัพศัตรูให้สับสนในตอนนั้นเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก พระราชโองการพินัยกรรมของฝ่าบาท ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นว่าที่จักรพรรดิครั้งนี้ฮองเฮาทรงเรียกเขามา ไม่รู้ว่ามาเพราะเรื่องใดทว่าก็รู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับพระราชโองการพินัยกรรมก่อนที่เขาจะมาเมืองหลวง ท่านพ่อก็ยังเตือนเขาว่า ตอนนี้ฮองเฮาทรงประสูติองค์ชายแล้ว เช่นนั้นเขาที่เคยเป็นคนที่อ้างถึงในพระราชโองการพินัยกรรม ก็เท่ากับเป็นตัวขัดขวางขององค์ชายดังนั้น การมาเมืองหลวงครั้งนี้ ก็เสี่ยงอันตรายอย่างมากในใจของเซียวถงเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย ทว่าสีหน้ายังคงสงบนิ่ง ไม่ถือตัวไม่ถ่อมตนเกินพอดีแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยสนใจตำแหน่งฮ่องเต้ แล
วันต่อมา องค์หญิงเซี่ยนอี๋เสด็จมาพบองค์ชายสี่ด้วยพระองค์เององค์ชายสี่ทรงยิ้มแย้ม ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น“แขนของน้องหญิงเป็นอย่างไรบ้าง?”องค์หญิงเซี่ยนอี๋โมโหจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่“เหตุใดเสด็จพี่ต้องขัดขวางข้า!”รอยยิ้มขององค์ชายสี่เลือนหายไป และตอบอย่างมีเหตุมีผล“เซี่ยนอี๋ ข้าคิดว่าเจ้าแค่พาลไร้เหตุผล นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะโง่เขลาเพียงนี้ เจ้าคิดได้อย่างไรที่จะวางยาผู้อื่น แล้วบังคับขืนใจเขา?“หากเจ้าพลีกายให้กับฮ่องเต้ฉี แล้วจะให้ข้าทูลเสด็จพ่ออย่างไร?“คืนก่อนเจ้าเกือบจะแขนหักไปข้างหนึ่ง ก็น่าจะจำเป็นบทเรียนได้แล้วกระมัง”เซี่ยนอี๋รู้ตัวว่าทำผิดทว่าเรื่องที่นางยังทำไม่เสร็จสิ้น จะไม่ยอมแพ้และเลิกล้มเช่นนี้“หากข้าได้เป็นฮองเฮาของหนานฉี หนานฉีก็จะไม่เล่นงานเป่ยเยี่ยนอีก นี่ไม่ดีหรอกหรือ?”องค์ชายสี่แย้มพระสรวล“เซี่ยนอี๋ หากเสด็จพ่อได้ยินคำพูดนี้ของเจ้า เกรงว่าจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก“การเกี่ยวดองของสองแคว้น เดิมทีไม่อาจหยุดยั้งความโหดเหี้ยมของหนานฉีได้“เจ้าจะทำให้ตนเองเสียหายโดยเปล่าประโยชน์ และถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ“บุรุษดี ๆ ในเป่ยเยี่ยนของเรามีมากมาย เหตุใดเจ้าต
ช่วงหลายวันที่เซียวอวี้ถูกขังอยู่ในคุกลับ หาได้นั่งนิ่งรอความตายไม่ จากการสังเกตของเขา องค์ชายสี่แห่งเป่ยเยี่ยนมิได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เยี่ยน แต่กลับเป็นหินที่ไว้ปูทางเดิน เพื่อผลักดันความทะเยอะทะยานให้องค์ชายเจ็ด หากสามารถโน้มน้าวใจองค์ชายสี่ได้ เขาก็จะหนีออกจากที่นี่ได้ กระนั้น องค์ชายสี่ของเป่ยเยี่ยนไม่โง่ ทันทีที่เขาได้ยินคำพูดของเซียวอวี้ ก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการชนะใจตน เพื่อยุแยงเขากับเจ้าเจ็ด รวมถึงตัวเขาและเสด็จพ่อด้วย “ฮ่องเต้ฉี ยิ่งพูดยิ่งพลาด ท่านตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ควรพูดให้น้อยลงจะดีกว่า” องค์ชายสี่พูดจบก็คิดจะเดินจากไป จู่ ๆ เซียวอวี้หัวเราะเยือกเย็นขึ้นมา “ในเวลาหนึ่งเดือน ฮ่องเต้เยี่ยนจะแต่งตั้งองค์ชายเจ็ดเป็นองค์รัชทายาท” องค์ชายสี่หยุดชะงัก ฮ่องเต้ฉีมั่นใจขนาดนั้นเชียวหรือ? ตำแหน่งองค์รัชทายาทนั้นเย้ายวนใจนัก องค์ชายสี่ต้องหันกลับมา พิจารณาเซียวอวี้อีกครั้ง เขาหาได้รุกถามใด ๆ ไม่ เพียงรอให้เซียวอวี้พูดต่ออย่างเงียบ ๆ เซียวอวี้ไม่ทำให้ผิดหวัง เอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “กองทัพเยี่ยนเดินทัพลงใต้ เพื่อพิชิตแ
ในคุกลับ เซียวอวี้กินอาหารตามปกติ ไม่นานก็รู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกาย เขาตระหนักได้ทันที มันเป็นฤทธิ์ยาปลุกกำหนัด! ดวงตาเย็นชาของเขามืดลง ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมา ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า เป็นฝีมือของผู้ใด จริงตามคาด เพียงไม่นาน องค์หญิงเซี่ยนอี๋ก็มาที่คุกลับ คืนนี้นางแต่งกายอย่างพิถีพิถัน สวมอาภรณ์สีสันสดใส ประทินโฉมประณีตงดงาม สายตาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและความต้องการครอบครอง นางมองใบหน้าที่แดงเพราะฤทธิ์ยาของเซียวอวี้ รู้สึกปรีดาบนความทุกข์ของผู้อื่น “สิ่งใดที่ข้าอยากได้ ไม่มีคำว่าไม่ได้!” เซียวอวี้พยายามสงบจิตใจอย่างหนัก เพื่อไม่ให้ถูกควบคุมโดยฤทธิ์ยา เขาไม่กล้าคิด หากสัมผัสผู้หญิงคนอื่นแล้ว เขาจะเผชิญหน้ากับจิ่วเหยียยอย่างไรในอนาคต ให้ตาย! เขาอยากจะฆ่าคน ทว่ากลับสูญเสียกำลังภายในทั้งหมด แม้คุกลับจะคุมขังผู้คนไว้มากมาย แต่ห้องขังของเซียวอวี้อยู่ในจุดที่ลับตาคน และเป็นเอกเทศ องค์หญิงเซี่ยนอี๋จึงไม่กลัวที่จะมีคนมารบกวน นางปลดอาภรณ์ชั้นนอกของตนออก หัวเราะอย่างหยาบคาย “ฮ่องเต้ฉี ข้ารอให้เจ้าขอร้องข้าอยู่” ถูกฤ
ตำหนักหย่งเหอ เมื่อไทเฮาและหนิงเฟยมาถึง กลับไม่เห็นฮองเฮา เด็กทารกน้อยร้องไห้ระงมราวกับหัวใจจะแตก แม้พวกนางได้ยินแล้วยังรู้สึกปวดใจนัก หมอหลวงกำลังถวายโอสถให้องค์ชายน้อย ปริมาณยาทำให้คนเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน หนิงเฟยขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะเตือน “พวกเจ้าระวังหน่อย! อย่าทำให้เด็กสำลัก!” ไทเฮาอดไม่ได้ที่จะตำหนิ “ฮองเฮาอยู่ที่ใด? นี่คือลูกชายแท้ ๆ ของนาง กลับทิ้งไว้แบบนี้รึ?” สาวใช้หว่านชิวตอบ “มีรายงานด่วนจากชายแดนเพคะ ฮองเฮาประทับที่ห้องทรงพระอักษร เพื่อหารือกับเหล่าแม่ทัพ...” ไทเฮาทนไม่ไหวอีกแล้ว น้ำเสียงจริงจังขึ้น “หารือตลอดทั้งวัน นางคิดถึงลูกชายทั้งสองบ้างหรือไม่? “คนหนึ่งถูกนางใช้เป็นเครื่องมือว่าราชการหลังม่าน อีกคนถูกนางทิ้งให้โดดเดี่ยวในวังหลัง นางทนได้อย่างไร!” ไทเฮาทราบดีว่าฮองเอามีราชกิจรัดตัว ทว่าเห็นเด็กน้อยที่น่าสงสารเช่นนี้ ก็อดจะทุกข์ใจมิได้ หว่านชิวไม่กล้าโต้แย้ง หนิงเฟยเกลี้ยกล่อม “ท่านป้าเพคะ ฮองเฮาต้องเห็นราชกิจสำคัญที่สุด ส่วนองค์ชายมีหมอหลวงถวายการดูแล เขาจะปลอดภัยแน่นอนเพคะ” ไทเฮามองทารกด้วยค
หลังจากที่ฮ่องเต้เยี่ยนได้ฟังคำขอของพระธิดา ก็หาได้ปฏิเสธทันทีไม่ ฮองเฮาของเซียวอวี้——เฟิ่งจิ่วเหยียน มิใช่สตรีธรรมดา สาเหตุที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อหนานฉีหลายครั้ง ล้วนมีฝีมือของสตรีคนนี้อยู่ในนั้น ถึงแม้เซี่ยนอี๋ไม่เอ่ย เขาก็ต้องการกำจัดเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่แล้ว “ได้ พ่อรับปากเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกพอใจมาก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” สิ่งใดที่นางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ ทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนยังไม่หายแคลงใจ เขาถาม “เรื่องในคุกลับนั้น ผู้ใดบอกเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ยังมีจิตสำนึกอยู่ หาได้ทรยศองค์ชายสี่ไม่ “เป็น...เสด็จพี่เจ็ดเพคะ” สีหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนพลันมืดลง เจ้าเจ็ดนี่ เลอะเลือนเกินไปแล้ว! องค์หญิงเซี่ยนอี๋ขอร้อง “เสด็จพ่อ เสด็จพี่เจ็ดก็ถูกหม่อมฉันบังคับ ท่านอย่าตำหนิเขาเลย และอย่าบอกเขาด้วยว่า หม่อมฉันพูด มิฉะนั้นต่อจากนี้เขาคงไม่รักเอ็นดูหม่อมฉันอีกเพคะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนแสดงความอดกลั้นไม่ใส่ใจ “ได้ เราเข้าใจแล้ว”…… เมื่อองค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกจากวังหลวง ก็ตรงไปที่คุกลับอีกครั้ง ครั้