ข้างนอกกระท่อมมุงจาก ชายชราผมขาวกำลังเฝ้าดูไฟใต้เตาต้มยา เด็กจัดยาวิ่งออกมาจากข้างในห้อง พร้อมตะโกนด้วยความตื่นเต้น“อาจารย์ อาจารย์! มีพี่ชายคนหนึ่งขยับแล้ว! เขาจะตื่นแล้วใช่หรือไม่!”ผู้เฒ่าเอามือไพล่หลัง เดินหลังค่อมเข้าไปในห้อง หลังจากตรวจดู ก็ส่ายหัวถอนหายใจ“กระดูกทั้งร่างกายถูกแช่แข็ง คิดอยากตื่นขึ้นมา ยาก!”เด็กจัดยาตัวน้อยหน้ามุ่ย “งั้นจะทำอย่างไรดี! อาจารย์ ข้าจะไปเก็บยาเดี๋ยวนี้ เก็บยามากมายมาให้พวกเขา!……ภูเขาหิมะเทียนฉือหลังจากฮูหยินเมิ่งมาถึง กลับถูกองครักษ์ขวางไว้อยู่ข้างล่างสุดท้ายแล้วอู๋ไป๋มาหา พาพวกนางเข้าไป“ฮูหยิน พวกเราตามหามาตั้งนานแล้ว ก็หาแม่ทัพน้อยไม่เจอ” อู๋ไป๋ผอมเกินไปจนดูไม่เข้ารูป “เช่นนี่จะแสดงว่า แม่ทัพน้อยยังมีชีวิตอยู่ใช่หรือไม่?”เขาเงยหน้าขึ้นมามองฮูหยินเมิ่ง หวังอยากให้นางให้คำตอบกับตนเองฮูหยินเมิ่งมองขึ้นไปบนภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะสูงตระหง่าน สีหน้าเยือกเย็น“จิ่วเหยียนยังมีเรื่องค้างคาอีกมากมาย นางยังไม่ยอมตายหรอก”ความพากเพียรของเด็กคนนั้น คนธรรมดาไม่อาจคาดคิดได้ขอเพียงนางอยากมีชีวิตอยู่ ก็จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้!ด้วยความเชื่อมั
ยามบ่ายณ วิหารบรรพบุรุษของราชวงศ์ ไทฮองไทเฮานำเหล่าขุนนางและบุตรหลานเชื้อพระวงศ์มาถึงตามกำหนดการตั้งแต่หนึ่งเดือนก่อนที่ฮ่องเต้ไปตามหาคนที่ภูเขาเทียนฉือยังไม่เสด็จกลับมา มีท่านอ๋องจำนวนมากที่แอบมาถึงนอกเมืองหลวงโดยอ้างว่ามาคุ้มกันเมืองหลวงพวกเขาเคยเขียนจดหมายให้ไทฮองไทเฮาอย่างลับ ๆ ในจดหมายล้วนมีแต่เจตนาเอาอกเอาใจวันนี้พอไทฮองไทเฮาต้องการให้พวกเขามาปรึกษาเรื่องการเมืองด้วยกันที่วิหารบรรพบุรุษ ทั้งยังให้พวกเขาพาทหารส่วนตัวมาด้วย พวกเขาก็รู้ทันทีว่าเรื่องในวันนี้ย่อมไม่ธรรมดา!เพียงไม่นาน ฮ่องเต้ก็มาถึงตามกำหนดการเซียวอวี้สวมชุดมังกรสีทองสว่างทั้งร่าง รวบผมด้วยกวานหยก จอนผมสีเงินเทาสองสามปอยด้านข้างเผยอยู่ด้านนอกอย่างไม่คิดจะปิดบัง ทำให้ดูเหมือนผ่านเรื่องราวมามากมาย ดูโดดเดี่ยวอย่างผู้ที่ยิ่งอยู่สูง ก็ยิ่งเหน็บหนาวอยู่หลายส่วน ดวงตาทั้งสองข้างของเขาไม่มีสีสันที่เกินจำเป็น ไม่ว่าสายตานี้จะตกไปอยู่บนสิ่งใด ล้วนดำมืดไร้ชีวิตชีวาไทฮองไทเฮาไม่ได้เจอเขามานานมากแล้วเมื่อได้พบก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดใจเพียงเพื่อซูฮ่วน พระเกศาของฮ่องเต้ถึงกับเปลี่ยนเป็นสีขาวเลยหรือ!เขาชอบสตร
เมื่อเห็นมู่หรงหลันแม่ลูกถูกจับตัวไป ไทฮองไทเฮาก็พูดอย่างแข็งกร้าว“ฮ่องเต้! แม้แต่ลูกแท้ ๆ ของตนก็ยังไม่ยอมรับแล้วรึ!“เจ้าถูกซูฮ่วนนั่นทำจนฟั่นเฟือนไปแล้วจริง ๆ!“วันนี้ ต่อหน้าบรรพบุรุษ เจ้าต้องแต่งตั้งเด็กคนนี้เป็นรัชทายาท และรับหลันเอ๋อร์กลับเข้าวัง!”“ไม่เช่นนั้น ข้าไม่มีทางยอมให้เจ้าไปตามหาซูฮ่วนแน่ ภูเขาหิมะเทียนฉือนั่นยังถูกเรียกว่าภูเขาไม่หวนกลับ เจ้าเป็นฮ่องเต้ จะไปที่อันตรายเช่นนั้นได้อย่างไร!”เหล่าท่านอ๋องพูดคล้อยตามอย่างเซ็งแซ่“ฝ่าบาท กระหม่อมเห็นด้วยกับไทฮองไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ!”“เสด็จพี่ เสด็จย่าพูดถูก ท่านจะไม่ยอมรับเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”“ฝ่าบาท เรื่องนี้ท่านทำผิดแล้ว!”ไทฮองไทเฮากวาดตามองเหล่าขุนนาง “พวกเจ้าคิดเช่นไร!”เหล่าขุนนางต่างมองตากัน สุดท้ายต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน“ขอฝ่าบาททรงแต่งตั้งรัชทายาทโดยเร็วพ่ะย่ะค่ะ!”ทุกสิ่งที่ฝ่าบาททรงทำในช่วงนี้ ทำให้พวกเขาราวกับกำลังเหยียบอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบาง ๆแล้วเขายังจะไปภูเขาไม่หวนกลับนั่นอีก หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น แคว้นหนานฉีจะไม่เกิดความวุ่นวายใหญ่หลวงหรอกหรือ!ดังนั้นรีบแต่งตั้งรัชทาย
ที่อยู่ด้านนอกวิหารบรรพบุรุษล้วนเป็นทหารส่วนพระองค์ของไทฮองไทเฮาคนเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่อดีตฮ่องเต้เหลือเอาไว้ให้นางนางเองก็นึกไม่ถึงว่าวันหนึ่งจะได้ใช้พวกเขามาบีบบังคับฮ่องเต้เป็นฮ่องเต้ที่ไร้น้ำใจไร้เหตุผลก่อน ช่างทำให้นางผิดหวังเกินไปแล้ว!ใบหน้าที่แก่ชราของไทฮองไทเฮาเต็มไปด้วยความผิดหวัง“ฮ่องเต้ หากวันนี้เจ้าไม่แต่งตั้งรัชทายาท ข้าก็จะไม่อนุญาตให้เจ้าไป!”นางหันกลับมาพูดกับเหล่าท่านอ๋องอีก“พวกเจ้าต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับข้า! ข้าทำเพื่อบ้านเมือง ทำเพื่อแผ่นดินของแคว้นหนานฉี!”ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าพฤติกรรมของฝ่าบาทช่างเหลวไหลนัก ควรจะบังคับเขาเสียหน่อยแล้ว“กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ ไทฮองไทเฮาพูดไม่ผิด! ฝ่าบาท แต่งตั้งรัชทายาทเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”มู่หรงหลันจูงมือเด็กคนนั้น เดินไปด้านหน้าเซียวอวี้อย่างไม่กลัวตายนางเดินไปพูดไป“ฝ่าบาท ไทฮองไทเฮาทรงทำเช่นนี้ก็เพราะหวังดีต่อท่านนะเพคะ“หากท่านยืนกรานจะไปภูเขาไม่หวนกลับให้ได้ แล้วจะให้ท่านผู้เฒ่าวางใจได้อย่างไรกัน?“ขอเพียงท่านแต่งตั้งลูกของพวกเราเป็นรัชทายาท ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องข้างหลังแล้ว“ฝ่าบาท...”หลังจากเข้าใกล้
เมื่อประโยคนี้ดังขึ้น ทุกคนที่เดิมก็ตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูกอยู่แล้ว ยามนี้ก็ยิ่งโกลาหลขึ้นไปอีกมีเพียงเซียวอวี้เท่านั้นที่ยังคงสงบนิ่งไม่ตื่นตูม ในฐานะที่เป็นฮ่องเต้ ย่อมต้องมีท่าทางไม่สะทกสะท้อนแม้ไท่ซานจะถล่มลงต่อหน้าเขาพูดเสียงทุ้มหนัก“วางยาเซียวหย่า ด้านหนึ่งอาศัยโอกาสนี้กำจัดซูฮ่วน อีกด้านหนึ่งให้จู้กั๋วกงออกจากเมืองเซวียน ทำให้เมืองเซวียนไร้ผู้นำ พรรคเทียนหลง นี่คือการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว”หม่ากงกงหัวเราะอย่างสดใส“ฝ่าบาทหัวไวกว่าผู้อื่นนัก“น่าเสียดาย! ยามนี้ท่านเพิ่งจะเข้าใจ สายเกินไปแล้ว!”แววตาของเขาเย็นชา“กองทัพใหญ่แคว้นเป่ยเยี่ยนจะบุกโจมตีแคว้นหนานฉีหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความคิดเพียงชั่ววูบของท่านแล้ว เพียงท่านรีบแต่งตั้งรัชทายาทและสละราชบัลลังก์ ข้าก็จะส่งสัญญาณออกไป เมื่อกองทัพเป่ยเยี่ยนเห็นก็จะถอยทัพ ไม่เช่นนั้นราษฎรย่อมเดือดร้อนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า!”“เพราะการสูญเสียของเมืองเซวียน แคว้นหนานฉีในยามนี้ถูกแบ่งแยกออกเป็นสองส่วน! กองทัพใหญ่ของทางเหนือและตะวันตกไม่อาจมาเป็นกำลังหนุนให้ได้ กองทัพเยี่ยนสามารถเข้ามาถึงใจกลางแคว้นโดยตรงได้ ย่อมทำได้แม้กระทั่งการบุกยึดเ
ณ วิหารบรรพบุรุษของราชวงศ์ที่โอ่อ่าน่าเกรงขาม บัดดนี้กลับถูกคนชั่วยึดครอง“ปล่อยข้า...อย่านะ! อย่ามาแตะต้องข้า!” สนมนางนั้นถูกกดลงบนพื้น ดิ้นรนเสียงดังโครมครามยิ่งนางร้องไห้ตะโกนดังเท่าไหร่ พวกชั่วก็ยิ่งได้ใจมากขึ้นเท่านั้นภายในกรง องค์หญิงใหญ่กล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว“อย่าแตะต้องนาง! มาที่ข้านี่! ข้าคือองค์หญิงใหญ่!”นางคิด หากแม่ทัพน้อยเมิ่งอยู่ล่ะก็ จะต้องยอมสละตนเพื่อช่วยคนเป็นแน่สตรีเหล่านี้ล้วนถูกฮ่องเต้ทอดทิ้งก็น่าสงสารอยู่แล้ว ยามนี้ยังต้องถูกทำให้อับอายเช่นนี้ ช่างน่าโมโหนัก!ไทเฮาร้อนใจยิ่ง รีบปิดปากองค์หญิงใหญ่ข้างหนึ่งนางโอบองค์หญิงใหญ่ อีกข้างหนึ่งโอบหนิงเฟย ราวกับแม่ไก่ที่ปกป้องลูก ไม่ให้คนชั่วช้ามาทำร้ายพวกนางได้แม้แต่น้อยหม่ากงกงยิ้มเย็นพลางตอบ“นำตัวองค์หญิงใหญ่ผู้นั้นออกมาด้วย!”นางเป็นถึงพี่สาวแท้ ๆ ของฮ่องเต้ใจของไทเฮาส่งเสียงดังกึกไม่ได้!ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์ทำร้ายลูกสาวของนางทั้งนั้น!!นางเตรียมใจที่จะสู้สุดชีวิต ยามนี้เอง กลับได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น“ต่อให้เจ้าฆ่าพวกนางจนหมด เราก็ไม่สนใจ”ปฏิกิริยาของเซียวอวี้เย็นชาจนผิดปกติเข
แม้นจะบอกว่าช้าแต่กลับเร็วกว่าที่คิด หม่ากงกงถีบระเบิดสายฟ้าจนปลิว ไม่ให้องครักษ์จุดมันเขาอ้าปากตะคอก“ไสหัวเข้าไปในวิหารบรรพบุรุษให้หมด!! อยากตาย มันไม่ง่ายขนาดนั้น!”พวกเขาบ้าไปแล้ว!ทุกคน แม้แต่ฮ่องเต้ ต่างถูกขังไว้ในวิหารบรรพบุรุษไทฮองไทเฮาและเหล่าสตรีในวังหลังถูกขังไว้ด้วยกันสีหน้าของผู้อาวุโสเช่นนางไม่ค่อยดีนัก รู้สึกคิดผิดและรู้สึกโทษตัวเองที่เผลอไปเชื่อมู่หรงหลัน“ข้าไม่คิดเลยว่า หลันเอ๋อร์จะร่วมมือกับกลุ่มกบฏพวกนั้น…”นางเอาแต่พร่ำบ่น แต่กลับไม่ฟังคำพูดเข้าอกเข้าใจของคนอื่น จนทำให้หนิงเฟยหงุดหงิดหนิงเฟยทนไม่ไหว จึงดุด่านางไป“ยายแก่น่ารำคาญ! พอได้แล้ว!”“จะแสร้งทำเป็นไม่มีความผิดไปทำไม! หากไม่ใช่เพราะท่านช่วยเหลือพวกเผด็จการ พวกเราจะตกอยู่ในสถานการณ์นี้หรือ? ท่านป่วยมาตั้งนาน ทำไมไม่ตาย ๆ ไปซะ!”ไทฮองไทเฮาไม่อยากจะเชื่อ หนิงเฟยที่เคยเคารพนางในยามปกติ จะกล้าตะคอกใส่นางเช่นนี้“เจ้า…บังอาจ!”ไทเฮาโอบไหล่ของหนิงเฟย ปกป้องนางไว้ในอ้อมกอด “ไทฮองไทเฮา หนิงเฟยคงตกใจกลัว ถึงได้หลุดวาจาไม่สุภาพ…”“ฮือ ๆ…” ในมุมหนึ่งมีนางสนมร้องไห้สะอึกสะอื้น “ข้าอยากกลับบ้าน หากรู้เ
วิหารบรรพบุรุษถูกกลุ่มกบฏล้อมเอาไว้ กอปรกับระเบิดฟ้าคำรณเหล่านั้น จึงไม่มีผู้ใดกล้าก้าวผ่านดงระเบิดนั้นไป เหล่าท่านอ๋องบ่นกันไม่หยุด“ข้าบอกแล้วว่าไม่เข้าร่วม ไม่เข้าร่วม! ก็ยังจะให้ข้ามาให้ได้!”“นั่นสิ! หากรู้ตั้งแต่แรกว่าเสด็จย่าจะแต่งตั้งรัชทายาท พวกเราจะมายุ่งวุ่นวายไปทำอะไร! ตอนนี้เป็นอย่างไรล่ะ ต้องมาถูกกลุ่มกบฏจับขัง น่าขายหน้าจริง ๆ!”พวกเขาล้วนเป็นคนสูงศักดิ์ในราชวงศ์ อาหารการกินและข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันล้วนเป็นของที่ดีที่สุด พอคราวนี้ต้องมาเบียดเสียดรวมกันอยู่ในห้องฌานห้องเดียว ซึ่งเตียงที่มีเพียงหลังเดียว ถูกผู้มีอำนาจสูงสุดอย่างซู่อ๋องยึดครองไปแล้ว คนอื่น ๆ จำต้องนอนบนพื้นข่าวที่ฝ่าบาทถูกขังถูกส่งต่ออย่างรวดเร็ว จนรุ่ยอ๋องรู้เรื่องในวันนั้นรุ่ยอ๋องรับคำสั่ง กำจัดกลุ่มลับในราชวัง และส่งตัวแม่ทัพอาวุโสหลี่นำกองกำลังไปช่วยเหลือแม่ทัพอาวุโสหลี่นำทัพทหารรักษาพระองค์เข้าบุกวิหารบรรพบุรุษเขาไม่ได้รีบร้อนช่วยคนออกมา สังเกตสถานการณ์ของศัตรูก่อนเป็นอย่างแรกซึ่งก็พบสิ่งผิดปกติอย่างที่คิดไว้ตามหลักแล้ว ราชองครักษ์ของไทฮองไทเฮากับองค์ชายทั้งหลาย มีจำนวนมากกว
เฉินจี๋ได้รับการช่วยเหลือจากนายพรานผู้หนึ่ง ด้วยอาการบาดเจ็บรุนแรง กระทั่งตอนนี้ก็ยังหมดสติอยู่นี่จึงไม่น่าแปลกใจที่เขายังไม่ปรากฏตัว ที่แท้เป็นเพราะร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้นายพรานรู้ว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนกับคณะรู้จักกับเฉินจี๋ จึงรู้สึกโล่งใจ“ข้าลำบากใจจริง ๆ เพราะคิดว่านี่คือชีวิตคนคนหนึ่ง จึงไม่อาจทอดทิ้งได้ ทว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บของเขา ข้าก็ต้องใช้เงิน...”ไม่รอให้นายพรานพูดจบ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ส่งสัญญาณให้อู๋ไป๋นำเงินให้อู๋ไป๋ถนัดการจัดการเรื่องต่าง ๆ สักพักก็เริ่มคุ้นเคยกับนายพราน และเอ่ยขอบคุณอย่างสนิทสนม“พี่ชาย ขอบคุณจริง ๆ ที่เจ้าช่วยสหายข้าไว้! เงินเล็กน้อยนี้ไม่พอจะทดแทนคำขอบคุณได้! ใช่แล้ว เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า เจอสหายข้าที่ใด แล้วเขาได้รับบาดเจ็บอย่างไร? และเจอคนที่น่าสงสัยคนอื่นหรือไม่?“เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าเพียงแค่อยากรู้ให้ชัดเจน ว่าผู้ใดทำร้ายสหายข้า บาปมีคนก่อหนี้ย่อมมีเจ้าหนี้”คำพูดของอู๋ไป๋ ล้วนเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติของคนนายพรานลองคิดทบทวนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง“ข้าช่วยเขาตรงริมแม่น้ำ ตอนนั้นไม่พบผู้อื่น ขอโทษจริง ๆ ที่ข้าช่วยพวกท่านไม่ได้”“
ปลายเดือนสิบสอง ปีใหม่ใกล้เข้ามาเส้นทางมุ่งหน้าไปทางเหนือเต็มไปด้วยน้ำแข็ง การเดินทางนั้นยากลำบากเฟิ่งจิ่วเหยียนในช่วงอยู่ไฟมิได้พักฟื้นอย่างเต็มที่ ตอนนี้ยังต้องเดินทางท่ามกลางพายุหิมะอีก จึงมักจะปวดเมื่อยเอว และเหงื่อออกมากอยู่บ่อย ๆในช่วงกลางคืนเข้านอน ก็มักรู้สึกเย็นที่ไหล่ และหนาวอย่างรุนแรงอู๋ไป๋เห็นสีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก จึงเตือนนาง“นายท่าน ไม่สู้ให้หมอมาตรวจดูบ้าง?”เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบร้อนจะตามหาคน จึงไม่อยากล่าช้าครั้งนี้อู๋ไป๋ยืนหยัดอย่างเต็มที่“นายท่าน ต่อให้ท่านไม่คำนึงถึงตนเอง ก็ควรนึกถึงฝ่าบาท หากท่านเจ็บป่วย จะยิ่งไม่ล่าช้ามากกว่าหรอกหรือ?”เขาเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเริ่มลังเลก็จริงหากนางเจ็บป่วยจนลุกไม่ขึ้น ก็จะไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไปตรงชายแดนหนานฉี เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ไปที่สำนักการแพทย์แห่งหนึ่งหลังจากหมอจับชีพจรของนาง ก็เอาแต่ส่ายหัว“ฮูหยินท่านนี้ ท่านมีภาวะร่างกายไม่สมดุลหลังคลอด จึงเป็นต้นเหตุเกิดโรคเรื้อรัง“อาการปวดตามข้อเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในระยะนี้ที่ฝนหิมะรุนแรง แน่นอนว่าย่อมไม่สบายตัว“ในยามปกติรู้สึกว่าไม่เป็นไร ทนหน่อยก็ผ่
บนบัลลังก์มังกร เซียวถงเต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของจักรพรรดิ “เรารับพระราชโองการจากเสด็จอา มาทำหน้าที่รักษาการแทนตำแหน่งฮ่องเต้ชั่วคราว ทุกท่านมีเรื่องใดก็เสนอได้”เหล่าขุนนางในราชสำนักมองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงงบางคนถึงกับสงสัยว่าเซียวถงแย่งชิงบัลลังก์ทว่าคิดดูอีกที ฮองเฮาทรงมีทักษะเพียงนั้น ผู้ใดจะกล้าแย่งชิงบัลลังก์?ณ วังหลังเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกอาวรณ์อย่างยิ่งที่จะกล่าวอำลาต่อบุตรทั้งสองพวกเขายังคงนอนหลับอยู่ ใบหน้าขณะหลับดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ นางจุมพิตบนหน้าผากของพวกเขา หัวใจราวกับถูกบีบเข้าหากันสาวใช้หว่านชิวรู้สึกเศร้าใจ “ฮองเฮา จักต้องเสด็จไปให้ได้หรือเพคะ?”ฮองเฮาทรงตัดใจจากเลือดเนื้อเชื้อไขของตนได้อย่างไร?เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าอย่างหนักแน่นการไปของนางครั้งนี้ จะมีชีวิตอยู่หรือตายยังไม่แน่นอนการพาบุตรทั้งสองคนไปด้วย หนึ่งจะเป็นภาระให้กับนาง สองอาจจะนำภัยอันตรายถึงแก่ชีวิตมาให้พวกเขาการแยกจากบุตร ย่อมต้องทุกข์ใจอยู่แล้ว ทว่าหากให้นางกับลูกรออยู่ในวัง และทนทรมานกับการรอฟังข่าว นางยิ่งไม่ยินยอม“ฮองเฮา หนิงเฟยมาถึงแล้วเพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบปรับอารมณ์ทันที และเ
ที่ดินที่โซ่วอ๋องได้รับมอบไม่ถือว่าไกลจากเมืองหลวงมากนัก หลังจากได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ซื่อจื่อเซียวถงก็ออกเดินทางภายในวันเดียวกันห้าวันต่อมา เซียวถงก็มาถึงพระราชวัง และตรงไปยังห้องทรงพระอักษรเพื่อเข้าเฝ้าครั้งล่าสุดที่เขามาเมืองหลวง ก็คือเมื่อสามปีก่อน ช่วงที่เกิดความวุ่นวายในวิหารบรรพบุรุษ เขาได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากฮ่องเต้ ให้ขึ้นครองบัลลังก์ชั่วคราว เพื่อหลอกลวงพรรคเทียนหลงกับกองทัพศัตรูให้สับสนในตอนนั้นเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก พระราชโองการพินัยกรรมของฝ่าบาท ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นว่าที่จักรพรรดิครั้งนี้ฮองเฮาทรงเรียกเขามา ไม่รู้ว่ามาเพราะเรื่องใดทว่าก็รู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับพระราชโองการพินัยกรรมก่อนที่เขาจะมาเมืองหลวง ท่านพ่อก็ยังเตือนเขาว่า ตอนนี้ฮองเฮาทรงประสูติองค์ชายแล้ว เช่นนั้นเขาที่เคยเป็นคนที่อ้างถึงในพระราชโองการพินัยกรรม ก็เท่ากับเป็นตัวขัดขวางขององค์ชายดังนั้น การมาเมืองหลวงครั้งนี้ ก็เสี่ยงอันตรายอย่างมากในใจของเซียวถงเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย ทว่าสีหน้ายังคงสงบนิ่ง ไม่ถือตัวไม่ถ่อมตนเกินพอดีแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยสนใจตำแหน่งฮ่องเต้ แล
วันต่อมา องค์หญิงเซี่ยนอี๋เสด็จมาพบองค์ชายสี่ด้วยพระองค์เององค์ชายสี่ทรงยิ้มแย้ม ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น“แขนของน้องหญิงเป็นอย่างไรบ้าง?”องค์หญิงเซี่ยนอี๋โมโหจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่“เหตุใดเสด็จพี่ต้องขัดขวางข้า!”รอยยิ้มขององค์ชายสี่เลือนหายไป และตอบอย่างมีเหตุมีผล“เซี่ยนอี๋ ข้าคิดว่าเจ้าแค่พาลไร้เหตุผล นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะโง่เขลาเพียงนี้ เจ้าคิดได้อย่างไรที่จะวางยาผู้อื่น แล้วบังคับขืนใจเขา?“หากเจ้าพลีกายให้กับฮ่องเต้ฉี แล้วจะให้ข้าทูลเสด็จพ่ออย่างไร?“คืนก่อนเจ้าเกือบจะแขนหักไปข้างหนึ่ง ก็น่าจะจำเป็นบทเรียนได้แล้วกระมัง”เซี่ยนอี๋รู้ตัวว่าทำผิดทว่าเรื่องที่นางยังทำไม่เสร็จสิ้น จะไม่ยอมแพ้และเลิกล้มเช่นนี้“หากข้าได้เป็นฮองเฮาของหนานฉี หนานฉีก็จะไม่เล่นงานเป่ยเยี่ยนอีก นี่ไม่ดีหรอกหรือ?”องค์ชายสี่แย้มพระสรวล“เซี่ยนอี๋ หากเสด็จพ่อได้ยินคำพูดนี้ของเจ้า เกรงว่าจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก“การเกี่ยวดองของสองแคว้น เดิมทีไม่อาจหยุดยั้งความโหดเหี้ยมของหนานฉีได้“เจ้าจะทำให้ตนเองเสียหายโดยเปล่าประโยชน์ และถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ“บุรุษดี ๆ ในเป่ยเยี่ยนของเรามีมากมาย เหตุใดเจ้าต
ช่วงหลายวันที่เซียวอวี้ถูกขังอยู่ในคุกลับ หาได้นั่งนิ่งรอความตายไม่ จากการสังเกตของเขา องค์ชายสี่แห่งเป่ยเยี่ยนมิได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เยี่ยน แต่กลับเป็นหินที่ไว้ปูทางเดิน เพื่อผลักดันความทะเยอะทะยานให้องค์ชายเจ็ด หากสามารถโน้มน้าวใจองค์ชายสี่ได้ เขาก็จะหนีออกจากที่นี่ได้ กระนั้น องค์ชายสี่ของเป่ยเยี่ยนไม่โง่ ทันทีที่เขาได้ยินคำพูดของเซียวอวี้ ก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการชนะใจตน เพื่อยุแยงเขากับเจ้าเจ็ด รวมถึงตัวเขาและเสด็จพ่อด้วย “ฮ่องเต้ฉี ยิ่งพูดยิ่งพลาด ท่านตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ควรพูดให้น้อยลงจะดีกว่า” องค์ชายสี่พูดจบก็คิดจะเดินจากไป จู่ ๆ เซียวอวี้หัวเราะเยือกเย็นขึ้นมา “ในเวลาหนึ่งเดือน ฮ่องเต้เยี่ยนจะแต่งตั้งองค์ชายเจ็ดเป็นองค์รัชทายาท” องค์ชายสี่หยุดชะงัก ฮ่องเต้ฉีมั่นใจขนาดนั้นเชียวหรือ? ตำแหน่งองค์รัชทายาทนั้นเย้ายวนใจนัก องค์ชายสี่ต้องหันกลับมา พิจารณาเซียวอวี้อีกครั้ง เขาหาได้รุกถามใด ๆ ไม่ เพียงรอให้เซียวอวี้พูดต่ออย่างเงียบ ๆ เซียวอวี้ไม่ทำให้ผิดหวัง เอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “กองทัพเยี่ยนเดินทัพลงใต้ เพื่อพิชิตแ
ในคุกลับ เซียวอวี้กินอาหารตามปกติ ไม่นานก็รู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกาย เขาตระหนักได้ทันที มันเป็นฤทธิ์ยาปลุกกำหนัด! ดวงตาเย็นชาของเขามืดลง ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมา ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า เป็นฝีมือของผู้ใด จริงตามคาด เพียงไม่นาน องค์หญิงเซี่ยนอี๋ก็มาที่คุกลับ คืนนี้นางแต่งกายอย่างพิถีพิถัน สวมอาภรณ์สีสันสดใส ประทินโฉมประณีตงดงาม สายตาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและความต้องการครอบครอง นางมองใบหน้าที่แดงเพราะฤทธิ์ยาของเซียวอวี้ รู้สึกปรีดาบนความทุกข์ของผู้อื่น “สิ่งใดที่ข้าอยากได้ ไม่มีคำว่าไม่ได้!” เซียวอวี้พยายามสงบจิตใจอย่างหนัก เพื่อไม่ให้ถูกควบคุมโดยฤทธิ์ยา เขาไม่กล้าคิด หากสัมผัสผู้หญิงคนอื่นแล้ว เขาจะเผชิญหน้ากับจิ่วเหยียยอย่างไรในอนาคต ให้ตาย! เขาอยากจะฆ่าคน ทว่ากลับสูญเสียกำลังภายในทั้งหมด แม้คุกลับจะคุมขังผู้คนไว้มากมาย แต่ห้องขังของเซียวอวี้อยู่ในจุดที่ลับตาคน และเป็นเอกเทศ องค์หญิงเซี่ยนอี๋จึงไม่กลัวที่จะมีคนมารบกวน นางปลดอาภรณ์ชั้นนอกของตนออก หัวเราะอย่างหยาบคาย “ฮ่องเต้ฉี ข้ารอให้เจ้าขอร้องข้าอยู่” ถูกฤ
ตำหนักหย่งเหอ เมื่อไทเฮาและหนิงเฟยมาถึง กลับไม่เห็นฮองเฮา เด็กทารกน้อยร้องไห้ระงมราวกับหัวใจจะแตก แม้พวกนางได้ยินแล้วยังรู้สึกปวดใจนัก หมอหลวงกำลังถวายโอสถให้องค์ชายน้อย ปริมาณยาทำให้คนเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน หนิงเฟยขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะเตือน “พวกเจ้าระวังหน่อย! อย่าทำให้เด็กสำลัก!” ไทเฮาอดไม่ได้ที่จะตำหนิ “ฮองเฮาอยู่ที่ใด? นี่คือลูกชายแท้ ๆ ของนาง กลับทิ้งไว้แบบนี้รึ?” สาวใช้หว่านชิวตอบ “มีรายงานด่วนจากชายแดนเพคะ ฮองเฮาประทับที่ห้องทรงพระอักษร เพื่อหารือกับเหล่าแม่ทัพ...” ไทเฮาทนไม่ไหวอีกแล้ว น้ำเสียงจริงจังขึ้น “หารือตลอดทั้งวัน นางคิดถึงลูกชายทั้งสองบ้างหรือไม่? “คนหนึ่งถูกนางใช้เป็นเครื่องมือว่าราชการหลังม่าน อีกคนถูกนางทิ้งให้โดดเดี่ยวในวังหลัง นางทนได้อย่างไร!” ไทเฮาทราบดีว่าฮองเอามีราชกิจรัดตัว ทว่าเห็นเด็กน้อยที่น่าสงสารเช่นนี้ ก็อดจะทุกข์ใจมิได้ หว่านชิวไม่กล้าโต้แย้ง หนิงเฟยเกลี้ยกล่อม “ท่านป้าเพคะ ฮองเฮาต้องเห็นราชกิจสำคัญที่สุด ส่วนองค์ชายมีหมอหลวงถวายการดูแล เขาจะปลอดภัยแน่นอนเพคะ” ไทเฮามองทารกด้วยค
หลังจากที่ฮ่องเต้เยี่ยนได้ฟังคำขอของพระธิดา ก็หาได้ปฏิเสธทันทีไม่ ฮองเฮาของเซียวอวี้——เฟิ่งจิ่วเหยียน มิใช่สตรีธรรมดา สาเหตุที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อหนานฉีหลายครั้ง ล้วนมีฝีมือของสตรีคนนี้อยู่ในนั้น ถึงแม้เซี่ยนอี๋ไม่เอ่ย เขาก็ต้องการกำจัดเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่แล้ว “ได้ พ่อรับปากเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกพอใจมาก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” สิ่งใดที่นางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ ทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนยังไม่หายแคลงใจ เขาถาม “เรื่องในคุกลับนั้น ผู้ใดบอกเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ยังมีจิตสำนึกอยู่ หาได้ทรยศองค์ชายสี่ไม่ “เป็น...เสด็จพี่เจ็ดเพคะ” สีหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนพลันมืดลง เจ้าเจ็ดนี่ เลอะเลือนเกินไปแล้ว! องค์หญิงเซี่ยนอี๋ขอร้อง “เสด็จพ่อ เสด็จพี่เจ็ดก็ถูกหม่อมฉันบังคับ ท่านอย่าตำหนิเขาเลย และอย่าบอกเขาด้วยว่า หม่อมฉันพูด มิฉะนั้นต่อจากนี้เขาคงไม่รักเอ็นดูหม่อมฉันอีกเพคะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนแสดงความอดกลั้นไม่ใส่ใจ “ได้ เราเข้าใจแล้ว”…… เมื่อองค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกจากวังหลวง ก็ตรงไปที่คุกลับอีกครั้ง ครั้