เฟิ่งจิ่วเหยียนลอยขึ้นไปบนอากาศ ก่อนจะใช้เท้าของตนเองที่ดูวุ่นวายมิเป็นระบบ แท้จริงแล้วนั่นคือเร็วไวของเท้าที่เตะลงมาที่คู่ต่อสู้อย่างบ้าคลั่งหากว่าวิชาตัวเบาเก่งกาจนั้น ฝีเท้าย่อมมิมีทางย่ำแย่ยิ่งไปกว่านั้น วิชาตัวเบาของเฟิ่งจิ่วเหยียนยังยอดเยี่ยมมากอีกด้วยด้วยความว่องไวของเฟิ่งจิ่วเหยียนนั้น จ้าวหรู่หลานมิอาจป้องกันได้แม้แต่น้อย สองมือของนางมิอาจป้องกันการโจมตีเหล่านั้นได้ ทั้งยังต้องคิดถึงการทรงตัวให้มั่น เวลาเดียวกันก็ต้องคิดหาทางถอยให้กับตนเองยามที่กำลังพัวพันกับการต่อสู้นั้น ใบหน้าของจ้าวหรู่หลานถูกเตะเข้าที่ใบหน้าหลายครั้ง ทำให้ใบหน้าของนางฟกช้ำบวมเป่งขึ้นมาในทันทีเฟิ่งจิ่วเหยียนลงมาบนพื้น พร้อมสะบัดอาภรณ์ของตนเองไปอีกฝั่งหนึ่ง มืออีกข้างไพล่หลังเอาไว้ ก่อนจะยื่นมืออีกข้างมาด้านหน้า พลางชี้นิ้วก่อนจะกระตุกยั่วยุให้จ้าวหรู่หลานเข้ามาโจมตีตนเองเลือดสองสายไหลออกมาจากจมูกของจ้าวหรู่หลานในทันทีนางยกแขนขึ้นมา ก่อนจะใช้แขนเสื้อของตนเองเช็ดไปยังเลือดกำเดาที่ไหลออกมา แววตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตนั้นจ้องเขม็งไปที่เฟิ่งจิ่วเหยียน ลำคอพลันร้อนผ่าวออกมา“เจ้าเป็นใครกัน?”องครั
ประมุขแคว้นซีหนี่ว์มองดูเฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างสงบ ท่าทีหาได้แตกต่างกันไม่ ทว่าน้ำเสียงอ่อนโยนกว่าปกติ “อีกสักครู่ตามเรากลับวัง เราจะให้หมอหลวงตรวจดูให้ดี” เฟิ่งจิ่วเหยียนไปปฏิบัติภารกิจลับที่แคว้นซีหนี่ว์ นอกจากประมุขแคว้นกับมั่วซินหมัวมัวคนสนิทแล้ว หาได้มีผู้ใดในแคว้นซีหนี่ว์รู้ตัวตนของนางไม่ ต่างก็คิดเพียงว่านางเป็นองครักษ์ข้างกายของประมุขแคว้น ได้รับน้ำใจจากประมุขแคว้นเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงคิดจะปฏิเสธอย่างสุภาพ ทว่า นางกำลังจะเปิดปากเอ่ย มั่วซินหมัวมัวกลับขอคำชี้แนะก่อนแล้ว “ท่านประมุขแคว้นเพคะ ขุนนางเหล่านั้น...” ประมุขแคว้นทอดสายตามองไปที่เหล่าขุนนางทั้งบู๊และบุ๋นที่ถูกจับกุมไว้ เมื่อครู่ที่จ้าวหรู่หลานกำลังจะสั่งยิงธนูเพื่อสังหารทุกคนทิ้ง นางก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนก่นด่าจากคนกลุ่มหนึ่ง ที่ดังมาจากพวกเขาทั้งหมด“จับกุมจ้าวหรู่หลานและพรรคพวกทั้งหมดไว้ คนอื่นที่เหลือ ให้คุ้มกันกลับบ้านอย่างปลอดภัย” “น้อมรับพระบัญชา!” ทันใดนั้น กลุ่มกบฏที่รู้ว่าตนเองกำลังตกอยู่ในหายนะก็พลันคุกเข่าร้องขอความเมตตา “ท่านประมุขแคว้นโปรดไว้ชีวิตด้วย!” “
พระราชวังแห่งแคว้นซีหนี่ว์ ณ ห้องโถงด้านข้างของตำหนักเทียนเจ๋อ มีองครักษ์เงาหลายคนเฝ้าอยู่ด้านนอกตำหนัก โดยมีหมอหลวงกำลังวินิจฉัยอาการของเฟิ่งจิ่วเหยียน อยู่ด้านในตำหนัก นางได้รับบาดเจ็บภายในเพียงเล็กน้อย โชคดีที่มิได้บาดเจ็บสาหัส ครั้นหมอหลวงออกไปแล้ว เฟิ่งจิ่วเหยียนอยากจะลุกขึ้นบ้าง กลับถูกประมุขแคว้นซีหนี่ว์กดไหล่ไว้ “อย่าเพิ่งเคลื่อนไหวนัก ประเดี๋ยวเราจะสั่งให้คนมาทายาสลายเลือดคั่งและช่วยให้เลือดหมุนเวียนแก่เจ้า” เฟิ่งจิ่วเหยียนผงกศีรษะเบา ๆ “ขอบพระทัยท่านประมุขแคว้นเพคะ” ประมุขแคว้นซีหนี่ว์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เราต่างหากที่ต้องขอบคุณเจ้า หากมิได้เจ้าช่วยชี้แนะ เกรงว่าด้วยแผนการของเรา จักทำให้เหล่าทหารผู้บริสุทธิ์จำนวนมากจักต้องพลีชีพ “เวลานี้จำนวนผู้เสียชีวิตลดน้อยลง และยังสามารถกำจัดจ้าวหรู่หลานกับซู่ยวนตัวปลอมได้อย่างชอบธรรม การยิงธนูดอกเดียวได้นกสามตัว ช่างดีนัก” เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยเตือนนาง “จ้าวหรู่หลานยืนกรานที่จะผนึกกำลังกับแคว้นตงซานเพื่อทำลายหนานฉี เกรงว่าได้รับผลประโยชน์จากแคว้นตงซานไม่น้อย “เพื่อมิให้ผิดพลา
เฟิ่งจิ่วเหยียนเหลือบมองชายหนุ่มรูปงามที่เต็มไปด้วยความคาดหวังเหล่านั้น “ก่อนที่จะสังหารพวกเขาทิ้ง ให้ทิ้งยาไว้เสีย” หนุ่มรูปงามทั้งหลาย : ! ผู้มีพระคุณอำมหิตเกินไปแล้ว! พวกเขาต่างก็กำลังจะตาย นางกลับสนใจแต่เรื่องยา! มั่วซินหมัวมัวขมวดคิ้วเบา ๆ ดูเหมือนว่า แม่ทัพน้อยเมิ่งผู้นี้จักมิใช่ลุ่มหลงในรูปงาม…… เหล่าองครักษ์เงาที่คอยอารักขากลางแจ้งฉายแววตาที่เฉียบคม ขณะที่จ้องมองบุรุษรูปงามที่ถูกไล่ออกมาเหล่านั้น แววตามีแต่กลิ่นอายสังหาร เพียงทำเช่นนี้ หมายจะยั่วยุฮองเฮาของพวกเขาอย่างนั้นหรือ? สมควรตาย! เหล่าองครักษ์เงาที่ซ่อนตัวอยู่ก็เห็นฉากนี้เช่นกัน ต่างก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด “พี่รอง ประมุขแคว้นซีหนี่ว์คิดจะทำอันใดกันแน่?” หยิ่นเอ้อร์คาบหญ้าหางสุนัขไว้ในปาก พลางเอ่ยเหน็บแนม “ยังจะทำอันใดได้อีกเล่า นางคิดจะรั้งตัวฮองเฮาไว้!” “ว่าอันใดนะ?!” ทันใดนั้นเหล่าองครักษ์เงาต่างก็รู้สึกว่าหายนะกำลังจะบังเกิด หากประมุขแคว้นซีหนี่ว์ทำสำเร็จแล้วไซร้ ฝ่าบาทของพวกเขาจักทำเช่นไร? โชคดีที่ฮองเฮาต้านทานสิ่งเย้ายวนใจได้ หาได้ยอมรับบุรุษเหล่า
ถึงแม้เฟิ่งจิ่วเหยียนจะสั่งให้เหล่าองครักษ์เงาถอยออกไป พวกเขาก็หาได้เคลื่อนไหวไม่ ประมุขแคว้นซีหนี่ว์รับสั่งกับองครักษ์เงาของตนเอง “ถอยออกไป” เมื่อนางออกคำสั่ง องครักษ์เงาทั้งหมดก็หายตัวไปทันที เหลือเพียงมั่วซินหมัวมัวอยู่ข้างกาย ประมุขแคว้นก็หาได้หวาดหวั่นไม่ นางมองไปที่เฟิ่งจิ่วเหยียน พลางเอ่ยยั่วยุอย่างแนบเนียน “ดูเหมือนว่า พวกเขาเชื่อฟังเจ้าอย่างผิวเผิน แท้จริงยังเชื่อฟังคำสั่งของฮ่องเต้ฉีสุดหัวใจ และดูแลเจ้าในนามของเขา ถึงแม้เจ้าจะเต็มใจอยู่ในแคว้นซีหนี่ว์ต่อไป ก็จักถูกพวกเขาลักพาตัวกลับไปที่หนานฉีอยู่วันยังค่ำ” หยิ่นซานกังวลเล็กน้อย “ฮองเฮา คือพวกกระหม่อม...” เฟิ่งจิ่วเหยียนเมินเฉยต่อคำแก้ตัวของหยิ่นซาน นางก้าวไปข้างหน้า และเอ่ยกับประมุขแคว้นซีหนี่ว์อย่างสงบเยือกเย็น “ท่านมิต้องพยายามเอ่ยยุแยงหรอกเพคะ “ศัตรูต่างแคว้นคืบคลานเข้ามาทุกที เราควรจะสามัคคีกันไว้ แทนที่จะทำเรื่องไร้ประโยชน์เช่นนี้” ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ส่ายศีรษะอย่างเสียดาย “ในที่สุดก็มีอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน เรายังคิดว่า แม่ทัพน้อยเป็นสตรีที่มีความทะเยอทะยาน ไม่
ครั้นเอ่ยถึงบิดาผู้ล่วงลับไปแล้วนั้น ประมุขแคว้นซีหนี่ว์พลันขมวดคิ้วเล็กน้อย “เสด็จพ่อประชวรหนักจนสิ้นลม ตั้งแต่เรายังเล็ก “ในวังจึงไม่มีภาพเหมือนของท่านอยู่เลย “เราเองก็จดจำหน้าตาของท่านไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ หากเจ้าต้องการได้ภาพเหมือนจริง ๆ เราจักหาผู้เฒ่าในสมัยนั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ แล้วสอบถามจากพวกเขา” เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกลำบากใจขึ้นมาบ้าง ไร้ภาพเหมือนแล้วไซร้ ย่อมจะไม่มีเบาะแสด้านรูปลักษณ์ภายนอกเลย เป็นการยากยิ่งกว่าให้คนลงไปงมเข็มในมหาสมุทร! ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ยังกล่าวต่อ “ในสมัยนั้น เรากับซู่ยวนเพิ่งจะอายุเพียงสองสามขวบ พวกบุรุษก่อกบฏ และบุกเข้าไปในพระราชวัง เสด็จแม่ต้องการเก็บรักษาทายาทไว้ จึงส่งเรากับซู่ยวนออกจากวังเพื่อลี้ภัย “เพื่อให้พี่น้องจดจำกันได้ในอนาคต จึงหักปิ่นหยกออกเป็นสองส่วน “นี่เป็นครึ่งหนึ่งที่อยู่ในมือของเรา” นางหยิบปิ่นหยกขาวครึ่งท่อนออกมา ซึ่งเป็นส่วนของหัวปิ่นประกอบด้วยด้ามปิ่นอีกเสี้ยวหนึ่ง เฟิ่งจิ่วเหยียนถามด้วยความรอบคอบ “ถ้าเช่นนี้ ในมือของซู่ยวนตัวจริง ก็ควรจะมีด้ามจับของปิ่นที่เหลือใช่หรือไม่เพค
เฟิ่งจิ่วเหยียนมีสีหน้าเคร่งขรึม ชวีสื่อสามารถเอ่ยคำดังกล่าวได้ เกรงว่าจักมิใช่เขาคนเดียวที่คิดเช่นนั้น นางได้เข้าวังเป็นฮองเฮา มิอาจเป็นผู้นำกองทัพได้อีก ชวีสื่อคิดว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้เปิดใจกัน จึงเอ่ยทุกสิ่งที่อยากจะเอ่ย ผลลัพธ์อย่างเลวร้ายที่สุดก็แค่ความตาย “ท่านก่อตั้งทัพของพวกเราขึ้นมา และเป็นท่านที่ฝึกฝนพวกเรา ผลักดันให้พวกเราเข้าสู่สมรภูมิและสังหารศัตรู “ทว่าหลังจากเข้าร่วมกับทหารรักษาพระองค์ของวังหลวง เหล่าพี่น้องก็ไม่รู้จะคล้อยตามใครดี “ถึงแม้ตอนนี้ท่านจะมิใช่แม่ทัพน้อยแล้ว แต่ก็ได้รับความไว้วางใจจากฝ่าบาท ในเมื่อสามารถไปสอนที่สถาบันทางการทหารได้ ไฉนไม่สามารถก่อตั้งกองทัพของตนเองได้เล่าขอรับ? “ฮองเฮา ข้าน้อยขอบังอาจกล่าวคำที่ไม่สมควร ข้าน้อยคิดว่า คำพูดของประมุขแคว้นซีหนี่ว์มิได้ผิดไปเสียหมด “หลังจากที่ท่านอภิเษกสมรสกับฝ่าบาทแล้ว ก็หาได้มีอำนาจแท้จริงไม่ มีเพียงการดูแลสามีและเลี้ยงดูบุตร ช่างน่าเสียดายทักษะวิทยายุทธชั้นยอดของท่าน...” เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยขัดจังหวะเขาด้วยสีหน้าเย็นชา “ประมุขแคว้นซีหนี่ว์มาพบเจ้ารึ
ลูกค้าเจ้าปัญหาจ้องมองด้วยดวงตาถมึงทึง “เจ้ายังมีขนขึ้นไม่ครบเลยด้วยซ้ำ! ข้าจ่ายเงินแล้ว เจ้าก็ทำงานสิ ฟังไม่เข้าใจรึ! บอกให้เจ้าเขียนว่า ‘กุมมือกันและอยู่เคียงข้างจนแก่เฒ่า’ เจ้าก็เขียนเช่นนี้! ไยต้องมาพูดมากน่ารำคาญด้วย!” เด็กชายคนนั้นหน้าตอบร่างกายผอมโซ ถือพู่กันไว้ในมือ และเอ่ยอย่างชอบธรรม “บอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้! นั่นเป็นเพลงในกองทัพ! ใช้โดยพี่น้องทหารร่วมชาติ เจ้ากับหญิงนางโลมของเจ้าเป็นตัวอะไร! พวกเจ้าไม่คู่ควร!” ลูกค้าคนนั้นโกรธมากจนกัดฟันกรอด “หญิงนางโลม? เจ้า! เจ้าด่าใครอยู่! อายุยังน้อย ไม่เรียนรู้เรื่องดี ๆ ข้าจะตีเจ้าให้ตาย!” “แม้จะฆ่าข้า พวกเจ้าก็ยังเป็นหญิงชู้ชายเลวอยู่ดี! เจ้ามีภรรยาแล้ว ยังจะส่งจดหมายไปสู่ขอถึงหญิงนางโลม เจ้าเป็นผู้ชายที่ไร้ประโยชน์! ไปเป็นขันทีเสีย! ตอนทิ้งเสียยิ่งดีกว่า! จักได้ไม่ออกลูกเป็นครอก!” การออกลูกเป็นครอก เหมือนหมูเหมือนหมา! “ไอ้เดรัจฉานน้อย! เจ้าช่างมีปากคอเราะร้ายอะไรเช่นนี้!” ลูกค้าคนนั้นโกรธมากจนหน้าเขียวคล้ำ คิดจะลงไม้ลงมือ กลับถูกดึงใบหูไว้ “ใคร! ใครบังอาจตีข้า...” ครั้นหันขวับไปมอง ก็พบกับภรรย
องค์ชายเจ็ดทรงนำทัพออกศึกแล้ว ยามดึกเฟิ่งจิ่วเหยียนเข้าไปค้นหาที่จวนขององค์ชาย ก็ไม่มีองครักษ์เฝ้าอยู่มากนักค้นหาติดต่อกันสามคืนแล้ว ก็ยังไม่มีเบาะแสใดเลยพวกอู๋ไป๋ก็ไปค้นหาที่จวนขององค์ชายองค์อื่น ๆ ทว่าก็ไม่มีข่าวดีเช่นเดียวกันทางด้านวังหลวงจนถึงตอนนี้ก็ยังสืบหาไม่พบสถานที่ที่เหมาะสมกับการคุมขังคนหยิ่นลิ่วไปสืบหาในจวนองค์ชายสี่ ก็แอบได้ยินองค์ชายสี่ทรงเอ่ยตัดพ้อกับที่ปรึกษา“เสด็จพ่อทรงโปรดปรานน้องเจ็ด ข้าจะแย่งชิงได้อย่างไร? ก่อนหน้านี้ยังมีฮ่องเต้ฉีคอยแนะนำข้า ตอนนี้แม้แต่จะพบฮ่องเต้ฉีก็ยังไม่อาจทำได้เลย!”หยิ่นลิ่วจับจุดสำคัญนี้ได้ จึงรีบกลับไปที่โรงพักแรมเพื่อทูลรายงาน“ฮองเฮา มิต้องสงสัยเลยว่า องค์ชายสี่ผู้นี้จะต้องทราบว่าฝ่าบาททรงถูกขังอยู่ที่ใด!”เมื่อเทียบกับหยิ่นลิ่ว เฟิ่งจิ่วเหยียนใจเย็นยิ่งกว่านางต้องการยืนยันอีกครั้ง “องค์ชายสี่ทรงเอ่ยคำพูดเช่นนี้จริงหรือ”หยิ่นลิ่วมั่นใจอย่างยิ่งอู๋ไป๋เริ่มรู้สึกร้อนใจ“นายท่าน ข้าน้อยจะไปจับตัวองค์ชายสี่ และสอบสวนอย่างลับ ๆ !”ด้วยการทรมานอย่างหนัก องค์ชายสี่แห่งเป่ยเยี่ยนไม่มีทางที่จะไม่บอกความจริงเฟิ่งจิ่วเหยียนยกม
ช่วงเริ่มต้นของปีใหม่ กองทัพเยี่ยนเคลื่อนเข้ามาใกล้ชายแดน เหล่าทหารมีจิตใจที่ฮึกเหิม ใช้การยึดคืนเมืองที่เสียไปเป็นเป้าหมาย และแย่งกรูกันเข้าไปทางเมืองชายแดนของหนานฉีองค์ชายเจ็ดของเป่ยเยี่ยนได้รับแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพใหญ่ ควบคุมทั้งสามกองทัพในการรบครั้งนี้ ฮ่องเต้เยี่ยนทรงคาดหวังต่อเขาอย่างมาก ก่อนออกรบทรงตักเตือนและกำชับไว้มากมาย“เจ้าเจ็ด หากชนะสงครามครั้งนี้ ตำแหน่งว่าที่จักรพรรดิ ก็ต้องเป็นเจ้าเพียงผู้เดียว! เหล่าพี่น้องของเจ้าก็จะยอมรับโดยไม่มีข้อโต้แย้งเช่นกัน!”องค์ชายเจ็ดพยักหน้าอย่างนอบน้อม“กระหม่อมจะไม่ทำให้เสด็จพ่อผิดหวัง”ฮ่องเต้เยี่ยนมองบุตรชายด้วยความพึงพอใจ ในบรรดาเหล่าองค์ชายที่เหลืออยู่ มีเพียงองค์ชายเจ็ดที่มีลักษณะของความเป็นจักรพรรดิมากที่สุดองค์ชายสี่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน มองดูฉากเหตุการณ์นั้นด้วยสายตาอันคมกริบฮ่องเต้ฉีเอ่ยไว้ถูกต้องจริง ๆ เสด็จพ่อดีต่อน้องเจ็ดเหลือเกิน!ขอเพียงทหารสามารถรบชนะ ไม่ว่าใครจะเป็นแม่ทัพใหญ่ ก็จะได้รับความดีความชอบไปด้วยชัดเจนว่าเสด็จพ่อทรงให้โอกาสกับน้องเจ็ดแล้วเขาเล่า? เขาเป็นองค์ชายสี่นะ?เหตุใดเสด็จพ่อทรงมองไม่เห็นเข
อาจือถูกส่งเข้าวังมาตั้งแต่เล็ก และคอยรับใช้ข้างกายองค์หญิงเซี่ยนอี๋ที่จริงนางถือกำเนิดในตระกูลที่มีฐานะและชื่อเสียง ทว่าคนในตระกูลทำผิด จึงกลายมาอยู่ในสถานะต่ำต้อยอาจือคอยติดตามรับใช้องค์หญิง ทว่ากลับมองตนเองว่าพิเศษกว่าคนทั่วไปอาจารย์สอนศาสตร์ความรู้ต่าง ๆ ให้กับองค์หญิง ไม่ว่าทำอย่างไรองค์หญิงก็ทรงร่ำเรียนไม่สำเร็จ ส่วนนางเรียนรู้ไม่นานก็ทำได้หมัวมัวในวังก็มักจะมองนางด้วยความเสียดาย---อาจือ หากเจ้าไม่อยู่ในสถานะต่ำต้อย ก็คงมีชื่อเสียงรุ่งโรจน์กว่าองค์หญิงเป็นแน่ทว่า คนที่อยู่ในสถานการณ์มักจะมองไม่เห็นภาพรวมชัดเจนอาจือฉลาดก็จริง ทว่าไม่ถือว่าฉลาดถึงขั้นสุดเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอย่างเซียวอวี้ จึงกลายเป็นคนฉลาดเพียงเล็กน้อยคนที่มีทักษะครึ่ง ๆ กลาง ๆ กลับมั่นใจเกินไป เหมือนกับคนที่ว่ายน้ำเป็นกลับจมน้ำอาจือก็มีจุดอ่อนที่อันตรายถึงแก่ชีวิตเช่นกันนางเข้าใจว่าตนเองพูดไม่กี่คำ ก็สามารถได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ฉีแล้ว กลับไม่รู้ว่า อีกฝ่ายวางแผนลวงไว้ตั้งแต่แรกแล้วเมื่อมองจักรพรรดิรูปงามที่อยู่เบื้องหน้า ในใจอาจือเริ่มว้าวุ่นเมื่อใจเริ่มว้าวุ่น แม้จะมีความฉลาดอยู่เล็กน้อ
ณ เป่ยเยี่ยนจวนขององค์หญิงเซี่ยนอี๋ได้รับพระราชทานแล้ว นางไม่อาจทนรอได้อีกต่อไปจึงย้ายเข้าไปในเรือนหลังใหม่มิใช่ว่าองค์หญิงทุกพระองค์จะสามารถเปิดจวนได้ นี่เป็นความโปรดปรานที่เสด็จพ่อมีต่อนางเป็นพิเศษและสิ่งที่นางยินดีเป็นอย่างยิ่งคือ ฮ่องเต้ฉีก็ถูกส่งมาที่จวนของนางด้วยเช่นกันถึงแม้เสด็จพ่อจะส่งคนมาคุ้มกัน ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าออกห้องลับที่คุมขังฮ่องเต้ฉีตามอำเภอใจ ทว่า นี่คือจวนของนาง นางย่อมต้องหาโอกาสได้จากคุกลับมาที่จวนองค์หญิง เซียวอวี้ถูกคนคลุมศีรษะมาตลอดทางบวกกับเป็นเวลาค่ำคืน ก็ยิ่งไม่มีผู้ใดรู้องค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกมาต้อนรับด้วยพระองค์เอง โดยยืนรออยู่ที่หน้าประตูห้องลับ ราวกับเชื้อเชิญให้เข้ามาติดกับ และยิ่งเหมือนนายพรานที่สร้างกรงขัง กำลังมองดูเหยื่อเดินเข้ามาในกรงด้วยความพอใจขณะที่เซียวอวี้เดินผ่านตัวนาง นางก็เอ่ยอย่างอารมณ์ดี“ฮ่องเต้ฉี พวกเรายังมีอนาคตร่วมกันอีกยาวไกล”เซียวอวี้มีท่าทีเย็นชา ไม่แสดงสีหน้าเป็นมิตรแม้แต่น้อยทว่านางก็ชอบท่าทางดื้อรั้นเช่นนี้ของเขาและว่ากันตามตรง ห้องลับก็ดูสะอาดกว่าคุกลับองค์หญิงเซี่ยนอี๋ทรงเกเรเอาแต่ใจ ทว่าก็มีความจริงใจ
เฉินจี๋ได้รับการช่วยเหลือจากนายพรานผู้หนึ่ง ด้วยอาการบาดเจ็บรุนแรง กระทั่งตอนนี้ก็ยังหมดสติอยู่นี่จึงไม่น่าแปลกใจที่เขายังไม่ปรากฏตัว ที่แท้เป็นเพราะร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้นายพรานรู้ว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนกับคณะรู้จักกับเฉินจี๋ จึงรู้สึกโล่งใจ“ข้าลำบากใจจริง ๆ เพราะคิดว่านี่คือชีวิตคนคนหนึ่ง จึงไม่อาจทอดทิ้งได้ ทว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บของเขา ข้าก็ต้องใช้เงิน...”ไม่รอให้นายพรานพูดจบ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ส่งสัญญาณให้อู๋ไป๋นำเงินให้อู๋ไป๋ถนัดการจัดการเรื่องต่าง ๆ สักพักก็เริ่มคุ้นเคยกับนายพราน และเอ่ยขอบคุณอย่างสนิทสนม“พี่ชาย ขอบคุณจริง ๆ ที่เจ้าช่วยสหายข้าไว้! เงินเล็กน้อยนี้ไม่พอจะทดแทนคำขอบคุณได้! ใช่แล้ว เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า เจอสหายข้าที่ใด แล้วเขาได้รับบาดเจ็บอย่างไร? และเจอคนที่น่าสงสัยคนอื่นหรือไม่?“เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าเพียงแค่อยากรู้ให้ชัดเจน ว่าผู้ใดทำร้ายสหายข้า บาปมีคนก่อหนี้ย่อมมีเจ้าหนี้”คำพูดของอู๋ไป๋ ล้วนเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติของคนนายพรานลองคิดทบทวนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง“ข้าช่วยเขาตรงริมแม่น้ำ ตอนนั้นไม่พบผู้อื่น ขอโทษจริง ๆ ที่ข้าช่วยพวกท่านไม่ได้”“
ปลายเดือนสิบสอง ปีใหม่ใกล้เข้ามาเส้นทางมุ่งหน้าไปทางเหนือเต็มไปด้วยน้ำแข็ง การเดินทางนั้นยากลำบากเฟิ่งจิ่วเหยียนในช่วงอยู่ไฟมิได้พักฟื้นอย่างเต็มที่ ตอนนี้ยังต้องเดินทางท่ามกลางพายุหิมะอีก จึงมักจะปวดเมื่อยเอว และเหงื่อออกมากอยู่บ่อย ๆในช่วงกลางคืนเข้านอน ก็มักรู้สึกเย็นที่ไหล่ และหนาวอย่างรุนแรงอู๋ไป๋เห็นสีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก จึงเตือนนาง“นายท่าน ไม่สู้ให้หมอมาตรวจดูบ้าง?”เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบร้อนจะตามหาคน จึงไม่อยากล่าช้าครั้งนี้อู๋ไป๋ยืนหยัดอย่างเต็มที่“นายท่าน ต่อให้ท่านไม่คำนึงถึงตนเอง ก็ควรนึกถึงฝ่าบาท หากท่านเจ็บป่วย จะยิ่งไม่ล่าช้ามากกว่าหรอกหรือ?”เขาเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเริ่มลังเลก็จริงหากนางเจ็บป่วยจนลุกไม่ขึ้น ก็จะไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไปตรงชายแดนหนานฉี เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ไปที่สำนักการแพทย์แห่งหนึ่งหลังจากหมอจับชีพจรของนาง ก็เอาแต่ส่ายหัว“ฮูหยินท่านนี้ ท่านมีภาวะร่างกายไม่สมดุลหลังคลอด จึงเป็นต้นเหตุเกิดโรคเรื้อรัง“อาการปวดตามข้อเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในระยะนี้ที่ฝนหิมะรุนแรง แน่นอนว่าย่อมไม่สบายตัว“ในยามปกติรู้สึกว่าไม่เป็นไร ทนหน่อยก็ผ่
บนบัลลังก์มังกร เซียวถงเต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของจักรพรรดิ “เรารับพระราชโองการจากเสด็จอา มาทำหน้าที่รักษาการแทนตำแหน่งฮ่องเต้ชั่วคราว ทุกท่านมีเรื่องใดก็เสนอได้”เหล่าขุนนางในราชสำนักมองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงงบางคนถึงกับสงสัยว่าเซียวถงแย่งชิงบัลลังก์ทว่าคิดดูอีกที ฮองเฮาทรงมีทักษะเพียงนั้น ผู้ใดจะกล้าแย่งชิงบัลลังก์?ณ วังหลังเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกอาวรณ์อย่างยิ่งที่จะกล่าวอำลาต่อบุตรทั้งสองพวกเขายังคงนอนหลับอยู่ ใบหน้าขณะหลับดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ นางจุมพิตบนหน้าผากของพวกเขา หัวใจราวกับถูกบีบเข้าหากันสาวใช้หว่านชิวรู้สึกเศร้าใจ “ฮองเฮา จักต้องเสด็จไปให้ได้หรือเพคะ?”ฮองเฮาทรงตัดใจจากเลือดเนื้อเชื้อไขของตนได้อย่างไร?เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าอย่างหนักแน่นการไปของนางครั้งนี้ จะมีชีวิตอยู่หรือตายยังไม่แน่นอนการพาบุตรทั้งสองคนไปด้วย หนึ่งจะเป็นภาระให้กับนาง สองอาจจะนำภัยอันตรายถึงแก่ชีวิตมาให้พวกเขาการแยกจากบุตร ย่อมต้องทุกข์ใจอยู่แล้ว ทว่าหากให้นางกับลูกรออยู่ในวัง และทนทรมานกับการรอฟังข่าว นางยิ่งไม่ยินยอม“ฮองเฮา หนิงเฟยมาถึงแล้วเพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบปรับอารมณ์ทันที และเ
ที่ดินที่โซ่วอ๋องได้รับมอบไม่ถือว่าไกลจากเมืองหลวงมากนัก หลังจากได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ซื่อจื่อเซียวถงก็ออกเดินทางภายในวันเดียวกันห้าวันต่อมา เซียวถงก็มาถึงพระราชวัง และตรงไปยังห้องทรงพระอักษรเพื่อเข้าเฝ้าครั้งล่าสุดที่เขามาเมืองหลวง ก็คือเมื่อสามปีก่อน ช่วงที่เกิดความวุ่นวายในวิหารบรรพบุรุษ เขาได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากฮ่องเต้ ให้ขึ้นครองบัลลังก์ชั่วคราว เพื่อหลอกลวงพรรคเทียนหลงกับกองทัพศัตรูให้สับสนในตอนนั้นเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก พระราชโองการพินัยกรรมของฝ่าบาท ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นว่าที่จักรพรรดิครั้งนี้ฮองเฮาทรงเรียกเขามา ไม่รู้ว่ามาเพราะเรื่องใดทว่าก็รู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับพระราชโองการพินัยกรรมก่อนที่เขาจะมาเมืองหลวง ท่านพ่อก็ยังเตือนเขาว่า ตอนนี้ฮองเฮาทรงประสูติองค์ชายแล้ว เช่นนั้นเขาที่เคยเป็นคนที่อ้างถึงในพระราชโองการพินัยกรรม ก็เท่ากับเป็นตัวขัดขวางขององค์ชายดังนั้น การมาเมืองหลวงครั้งนี้ ก็เสี่ยงอันตรายอย่างมากในใจของเซียวถงเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย ทว่าสีหน้ายังคงสงบนิ่ง ไม่ถือตัวไม่ถ่อมตนเกินพอดีแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยสนใจตำแหน่งฮ่องเต้ แล
วันต่อมา องค์หญิงเซี่ยนอี๋เสด็จมาพบองค์ชายสี่ด้วยพระองค์เององค์ชายสี่ทรงยิ้มแย้ม ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น“แขนของน้องหญิงเป็นอย่างไรบ้าง?”องค์หญิงเซี่ยนอี๋โมโหจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่“เหตุใดเสด็จพี่ต้องขัดขวางข้า!”รอยยิ้มขององค์ชายสี่เลือนหายไป และตอบอย่างมีเหตุมีผล“เซี่ยนอี๋ ข้าคิดว่าเจ้าแค่พาลไร้เหตุผล นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะโง่เขลาเพียงนี้ เจ้าคิดได้อย่างไรที่จะวางยาผู้อื่น แล้วบังคับขืนใจเขา?“หากเจ้าพลีกายให้กับฮ่องเต้ฉี แล้วจะให้ข้าทูลเสด็จพ่ออย่างไร?“คืนก่อนเจ้าเกือบจะแขนหักไปข้างหนึ่ง ก็น่าจะจำเป็นบทเรียนได้แล้วกระมัง”เซี่ยนอี๋รู้ตัวว่าทำผิดทว่าเรื่องที่นางยังทำไม่เสร็จสิ้น จะไม่ยอมแพ้และเลิกล้มเช่นนี้“หากข้าได้เป็นฮองเฮาของหนานฉี หนานฉีก็จะไม่เล่นงานเป่ยเยี่ยนอีก นี่ไม่ดีหรอกหรือ?”องค์ชายสี่แย้มพระสรวล“เซี่ยนอี๋ หากเสด็จพ่อได้ยินคำพูดนี้ของเจ้า เกรงว่าจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก“การเกี่ยวดองของสองแคว้น เดิมทีไม่อาจหยุดยั้งความโหดเหี้ยมของหนานฉีได้“เจ้าจะทำให้ตนเองเสียหายโดยเปล่าประโยชน์ และถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ“บุรุษดี ๆ ในเป่ยเยี่ยนของเรามีมากมาย เหตุใดเจ้าต