หร่วนฝูอวี้ดูลุกลี้ลุกลน ความหงุดหงิดวาววับอยู่ในแววตา กู่เสน่ห์ที่นางเตรียมไว้อย่างดีสำหรับซูฮ่วน เพียงฝังมันไว้ในกายของซูฮ่วน ก็จักทำให้อยู่โดยขาดนางมิได้ นางต้องใช้ความพยายามอย่างหนัก ทว่ายามสำคัญกู่เสน่ห์กลับหายไป! โอกาสเช่นคืนนี้หาได้ยากยิ่ง ครั้นแผนการล้มเหลว หร่วนฝูอวี้ต้องคิดวางแผนใหม่อีก เช่นนั้นก็ร่วมดื่มจนเมามายไปกับซูฮ่วนดีกว่า! คิดแล้วก็ลงมือทำเลย หร่วนฝูอวี้เริ่มเชิญชวนให้ดื่ม นางเสนอ “ดื่มแบบนี้ มันน่าเบื่อจริง ๆ พวกเรามาเล่นพนันดื่มรอบวงกัน ว่าอย่างไร?” “ดี!” ฝานจิ้นเห็นด้วยอย่างยิ่ง จากนั้น คนทั้งหลายเริ่มพนันดื่มรอบวงกัน หร่วนฝูอวี้ต้องการกรอกสุราให้เฟิ่งจิ่วเหยียน กลับต้องเป็นตัวเองที่ถูกกรอกติดต่อกันหลายจอก นางพุ่งความสนใจไปที่เฟิ่งจิ่วเหยียนทั้งหมด หาได้สังเกตเห็นว่า รุ่ยอ๋องที่อยู่อีกด้านหนึ่งเริ่มตัวแดง ดูร้อนรนกระสับกระส่าย พลางโน้มตัวเข้าหานางมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว…… นอกห้องส่วนตัว เซียวอวี้เห็นคนในห้องไม่มีทีท่าจะหยุดดื่ม จึงกังวลว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนจะเมาเพราะพวกเขา เขาทนไม่ไหวจริง ๆ แต่ก็กลัวไปรบกวนอา
เฟิ่งจิ่วเหยียนมองไปยังที่ไกล และสั่งการอู๋ไป๋ “หากในเจียงโจวมีความเคลื่อนไหวใด ๆ จงรีบส่งข่าวให้ข้าทราบ อีกอย่าง ให้ส่งคนจำนวนหนึ่ง ไปอารักขาท่านแม่กับเวยเฉียงที่จางโจวด้วย อย่าให้ผู้ใดไปรบกวนพวกนาง” อู๋ไป๋น้อมรับคำสั่ง “พ่ะย่ะค่ะ ฮองเฮา!” ยังเป็นนายท่านที่คิดได้รอบคอบเสมอ “ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ อีกเรื่องหนึ่ง ตอนนี้อาการประชวรของประมุขแคว้นซีหนี่ว์ทรุดลงเรื่อย ๆ เกรงว่าจะเหลือเวลาอยู่ได้อีกสองสามเดือนเท่านั้น “แคว้นเจิ้งกับแคว้นเสี่ยวโจวที่พวกนางเพิ่งพิชิตได้ กำลังวางแผนร่วมมือก่อกบฏ แคว้นซีหนี่ว์ ใกล้จะวุ่นวายแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ประมุขแคว้นซีหนี่ว์เป็นยอดวีรสตรี หากนางตาย ย่อมหลีกเลี่ยงความวุ่นวายในแคว้นซีหนี่ว์มิได้ เรื่องนี้เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกกังวลอย่างมาก ทว่า การเกิดแก่เจ็บตาย ล้วนอยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์ นางต้องพยายามตามหาซู่ยวนอย่างสุดกำลัง เพื่อให้ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ไม่ติดค้างในใจ และไม่ทำให้ความไว้วางใจของอีกฝ่ายสูญเปล่า “มีเหตุวุ่นวายใดหรือ?” เซียวอวี้ล้างหน้าเสร็จเพิ่งเดินเข้ามา จึงมิได้ยินคำพูดทั้งหมดของอู๋ไป๋ เฟิ่งจิ่วเหยีย
เซียวอวี้ตัดสินใจพาเฟิ่งจิ่วเหยียนไปที่ภูเขาหวูหยา และจักออกเดินทางในไม่ช้า เขาได้แต่งตั้งให้รุ่ยอ๋องเป็นผู้สำเร็จราชการแทน ทั้งยังแต่งตั้งขุนนางไว้ช่วยเหลืออีกหลายคน ในเวลาเดียวกัน รายชื่อขุนนางที่ถูกส่งไปทำงานต่างถิ่นถูกประกาศลงมาแล้ว แน่นอนว่าชื่อของนายท่านเฟิ่งเป็นหนึ่งในนั้น อีกทั้งจดหมายที่เขาส่งถึงนายหญิงเฟิ่ง ผ่านไปนานแล้วยังมิถูกตอบกลับ เรื่องนี้ทำให้เขากระวนกระวายใจยากจะหาทางออก มิหนำซ้ำ เวลานี้มีคนเข้ามาก่อความรำคาญอีก เฟิ่งหมิงเซวียนบุตรชายคนเล็กวิ่งเข้ามา และถามอย่างกังวลใจ “ท่านพ่อ! ท่านพ่อ! ได้ข่าวว่าท่านกำลังจะถูกส่งไปทำงานที่ต่างถิ่น! เจียงโจวอยู่ที่ใด ท่านยังกลับมาได้อีกหรือไม่ขอรับ?” นายท่านเฟิ่งโกรธจนตบศีรษะของเขา “กลับมาได้หรือไม่ เจ้ามีสิทธิ์พูดรึ?!” สุนัขตัวนี้เก่งแต่พ่นคำไม่เป็นมงคล! เฟิ่งหมิงเซวียนยกมือลูบศีรษะป้อย ๆ กล่าวอย่างเสียใจ “ท่านพ่อ ไยท่านต้องตีข้าด้วยเล่า ข้าก็แค่ถาม ข้าแค่หวังให้ท่านกลับมาโดยเร็ว ข้าจะแต่งงานแล้ว...” “แต่งงาน?” นายท่านเฟิ่งตกตะลึง คิดดูอีกที ไอ้ลูกตัวแสบควรจะแต่งงานนา
เฟิ่งจิ่วเหยียนมาที่ห้องทรงพระอักษร และเห็นเฟิ่งหมิงเซวียนคุกเข่าอยู่ข้างเซียวอวี้ น้ำมูกน้ำตาเปรอะเปื้อนเต็มหน้า ฉากนี้ “งดงาม” เกินไป จนเฟิ่งจิ่วเหยียนทนมองไม่ไหว ครั้นเฟิ่งหมิงเซวียนเห็นนาง จึงขอความเป็นธรรมอีกครั้ง พูดไปพูดมา ก็มีแค่อยากแต่งงานกับหญิงที่ชื่อ “อิงเอ๋อร์” ผู้นั้น เซียวอวี้มองเฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างหมดหนทาง ปล่อยให้นางจัดการตามสมควร เฟิ่งจิ่วเหยียนสงบนิ่งมิแปรเปลี่ยน ใบหน้าไม่มีร่องรอยของความโกรธเคือง นางหาได้ตำหนิเฟิ่งหมิงเซวียนไม่ ทว่า เรื่องการแต่งงานครั้งนี้ นางมิได้เห็นด้วย หรือคัดค้านใด ๆ เช่นกัน “ลุกขึ้นก่อน” น้ำเสียงของนางเรียบเฉย แววตาแฝงความเฉียบคม เฟิ่งหมิงเซวียนส่ายศีรษะ “ไม่ลุก หากพวกท่านไม่รับปากข้า ข้าก็จะคุกเข่าอยู่แบบนี้!” เฟิ่งจิ่วเหยียนแค่นเสียงเย็นชา “ช่างดื้อรั้นเสียนี่กระไร “หากเป็นเช่นนี้ เรื่องนี้ก็จัดการง่ายนัก” ดวงตาของเฟิ่งหมิงเซวียนเป็นประกาย “จะทำอย่างไรดี?” ดวงตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนเย็นชา และซื่อตรง “ถึงอย่างไรตระกูลเฟิ่งก็เป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงช้านาน กฎของบรรพบุรุษมิอาจ
หลิวอิ๋งสองแม่ลูกหารู้ไม่ว่า การกลับเจียงโจวครานี้ จักมีคนสะกดรอยตามเพื่อสอดแนมพวกนางด้วย ยิ่งคาดไม่ถึงว่า ทันทีที่พวกนางมาถึงเมืองหลวงอีกครั้ง แล้วก้าวผ่านประตูเมือง ก็ถูกเจ้าหน้าที่ทางการสองคนเข้ามาจับกุม “พวกเจ้าจะทำอะไร! บังอาจนัก! พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร...” หลิวอิ๋งตวาดอย่างโกรธเคือง พูดยังไม่ทันจบ พลันถูกปิดปากไว้ก่อน พระราชวัง ในตำหนักหย่งเหอ หว่านชิวยื่นกล่องผ้าไหมใบหนึ่งให้ด้วยความเคารพ “ฮองเฮา ค้นเจอสิ่งนี้จากน้าหญิงของท่านเพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนเหลือบมองกล่องผ้าไหม พลางยกมือขึ้นรับไว้ ครั้นเปิดดูแล้ว มีปิ่นหักวางอยู่ข้างในดังคาด นางหยิบปิ่นหยกอีกครึ่งของตนออกมา อย่างสุขุมเยือกเย็น และเปรียบเทียบอย่างรอบคอบ สิ่งที่น่าตกตะลึงคือ มันเหมือนกันทุกประการ! หว่านชิวได้เห็นเช่นนี้ พลันอ้าปากตาค้าง “ฮองเฮา นี่...นี่คือปิ่นหยกอีกครึ่งที่ท่านกำลังตามหาอยู่หรือเพคะ?” ดวงตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนเย็นชา พลางออกคำสั่งอย่างเรียบเฉย “ไปตามคนมายืนยัน” “เพคะ!” ในวังหลวงมีช่างฝีมือมากมาย ต่างก็เป็นระดับผู้เชี่ยวชาญ เ
ไม่ควรใส่ไข่ทั้งหมดในตะกร้าใบเดียว ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ใจร้อนอยากตามหาคน ย่อมไม่สามารถพึ่งพาเฟิ่งจิ่วเหยียนคนเดียวได้ ดังนั้น นางจึงส่งคนสนิทออกไป ให้พวกนางมาที่หนานฉี ส่วนหนึ่งลอบตามหาคนลับ ๆ อีกส่วนหนึ่งคอยติดตามความคืบหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียน สายลับเหล่านี้ล้วนถูกเลือกจากยอดฝีมือนับร้อย เฟิ่งจิ่วเหยียนจับตัวหลิวอิ๋งไว้ และพบปิ่นหยก เมื่อพวกนางสืบทราบ จึงต้องการพาตัวหลิวอิ๋งออกไปทันที เหล่าสายลับเข้าวังในฐานะของราชทูต ท่าทางมุ่งมั่น ในตำหนักหย่งเหอ เฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งบนตำแหน่งหลัก พลางเชิญให้พวกนางนั่งลง นางเอ่ยอย่างมีเหตุผล “ปิ่นหยกอีกครึ่งในมือของหลิวอิ๋ง เป็นชิ้นเดียวกันก็จริง “ทว่า เรื่องนี้ยังมีเหตุที่น่าสงสัย “มิควรอาศัยเพียงปิ่นหักชิ้นเดียว แล้วตัดสินว่าหลิวอิ๋งคือซู่ยวน” ราชทูตก็ตระหนักได้ถึงความจริงข้อนี้ แต่พวกนางก็ได้ไตร่ตรองแล้ว “ฮองเฮาเพคะ ขอทูลท่านตามตรง ท่านประมุขของเรา...ท่านประชวรหนักมาก เกรงว่าจักรอนานขนาดนั้นมิได้ “ข้อสงสัยที่ท่านกล่าวถึงนั้นมีอยู่จริง ทว่า ปิ่นหักอยู่ในมือของหลิวอิ๋ง กอปรกับอายุของนาง สิ่งเหล่
ตำหนักหย่งเหอเซียวอวี้รู้เรื่องหลิวอิ๋งถูกพาตัวไป จึงถามเฟิ่งจิ่วเหยียน“พวกนางออกจากเมืองไปแล้ว?”สีหน้าเขาเคร่งขรึมใครคือซู่ยวน เขาไม่สนใจสิ่งที่เขาสนใจคือ ประมุขแคว้นซีหนี่ว์คนนั้น ไม่ได้เชื่อใจจิ่วเหยียนทั้งหมด ได้ส่งสายสืบมาอยู่เมืองหลวงอย่างไร นางคิดว่า หลังจากจิ่วเหยียนเจอตัวซู่ยวน จะกีดกันการกลับแคว้นของซู่ยวนหรือไม่?สิ่งนี้ทำให้รู้สึกผิดหวังอย่างเจ็บปวด!เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าอย่างเหม่อลอย“คิดว่า น่าจะออกจากเมืองไปแล้วเพคะ”เซียวอวี้คว้าจับมือเฟิ่งจิ่วเหยียน ประสานนิ้วทั้งสิบของนางไว้“ในเมื่อคนถูกพวกนางพาตัวไปแล้ว เรื่องภายหลัง ก็ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเราแล้ว เจ้าก็ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย ไปภูเขาหวูหยากับเรา ดีหรือไม่?”เฟิ่งจิ่วเหยียนเงยหน้าขึ้นมามองเขา สัมผัสความร้อนใจในดวงตาของเขา แล้วพยักหน้า“ได้เพคะ ทว่า...”“ทว่าอันใด?” เซียวอวี้กังวลใจ กลัวว่านางจะถ่วงเวลาต่อไปอีกเฟิ่งจิ่วเหยียนพูดขึ้นมาอย่างแน่วแน่ “มีเริ่มต้นก็ต้องมีสิ้นสุด เรื่องของซู่ยวน หม่อมฉันจะให้คนสืบต่อไป”อย่างแรก นางจะละเลยสิ่งที่ผู้อื่นฝากฝังไม่ได้อย่างที่สอง ทั้งที่รู้ว่าเต็มไปด้วยสิ่ง
เฟิ่งจิ่วเหยียนมองหญิงสาวที่คุกเข่าอยู่บนพื้น พร้อมพูดขึ้นมาอย่างเชื่องช้า“เฟิ่งหมิงเซวียนรับปากเจ้า ว่าจะสู่ขอเจ้าเป็นภรรยา หรือเจ้าเองที่อยากเป็นภรรยาเอก?”แผ่นหลังอิงเอ๋อร์แข็งทื่อนางค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมา มองดูเฟิ่งจิ่วเหยียน พร้อมพูดตอบ“คุณชายรองเป็นคนพูด”เฟิ่งจิ่วเหยียนย้อนถามอย่างใจเย็น ไม่สะทกสะท้าน“เขาแต่งงานกับเจ้าไม่ได้ แต่สามารถเลี้ยงเจ้าไว้ข้างนอก เจ้าก็ไม่ยินดีหรือ?”สีหน้าอิงเอ๋อร์นิ่งอึ้ง คิ้วคู่งามขมวดขึ้นมา พร้อมลองถาม “ฮองเฮาหมายความว่า...เมียเก็บ?”เห็นสีหน้าฮองเฮาไม่เปลี่ยนแปลง อิงเอ๋อร์ส่ายหัวอย่างรุนแรง“ไม่ ข้าไม่ยอม!“ฮองเฮา ข้าก็เคยเป็นหญิงสาวตระกูลที่ดี สิ่งที่ข้าต้องการ คือการแต่งงานเป็นภรรยาเอก ข้าไม่เป็นเมียเก็บที่ไม่มีศักดิ์ศรี ที่จะถูกผู้ชายทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้”หว่านชิวได้ยินเช่นนี้แล้ว ประหลาดใจไม่น้อยอิงเอ๋อร์คนนี้ เป็นเพียงหญิงคณิกาคนหนึ่ง กลับมีความทะเยอทะยานมากขนาดนี้สายตาเฟิ่งจิ่วเหยียนสงบใจเย็น จับจ้องอิงเอ๋อร์ ครู่ใหญ่จึงพูดขึ้นมา“เฟิ่งหมิงเซวียนผิดคำพูด”“หากเขาอยากจะเป็นคุณชายรองตระกูลเฟิ่งต่อไป ก็จะแต่งงานให้เจ้าเป็นภรรยาเอ
เฉินจี๋ได้รับการช่วยเหลือจากนายพรานผู้หนึ่ง ด้วยอาการบาดเจ็บรุนแรง กระทั่งตอนนี้ก็ยังหมดสติอยู่นี่จึงไม่น่าแปลกใจที่เขายังไม่ปรากฏตัว ที่แท้เป็นเพราะร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้นายพรานรู้ว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนกับคณะรู้จักกับเฉินจี๋ จึงรู้สึกโล่งใจ“ข้าลำบากใจจริง ๆ เพราะคิดว่านี่คือชีวิตคนคนหนึ่ง จึงไม่อาจทอดทิ้งได้ ทว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บของเขา ข้าก็ต้องใช้เงิน...”ไม่รอให้นายพรานพูดจบ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ส่งสัญญาณให้อู๋ไป๋นำเงินให้อู๋ไป๋ถนัดการจัดการเรื่องต่าง ๆ สักพักก็เริ่มคุ้นเคยกับนายพราน และเอ่ยขอบคุณอย่างสนิทสนม“พี่ชาย ขอบคุณจริง ๆ ที่เจ้าช่วยสหายข้าไว้! เงินเล็กน้อยนี้ไม่พอจะทดแทนคำขอบคุณได้! ใช่แล้ว เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า เจอสหายข้าที่ใด แล้วเขาได้รับบาดเจ็บอย่างไร? และเจอคนที่น่าสงสัยคนอื่นหรือไม่?“เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าเพียงแค่อยากรู้ให้ชัดเจน ว่าผู้ใดทำร้ายสหายข้า บาปมีคนก่อหนี้ย่อมมีเจ้าหนี้”คำพูดของอู๋ไป๋ ล้วนเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติของคนนายพรานลองคิดทบทวนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง“ข้าช่วยเขาตรงริมแม่น้ำ ตอนนั้นไม่พบผู้อื่น ขอโทษจริง ๆ ที่ข้าช่วยพวกท่านไม่ได้”“
ปลายเดือนสิบสอง ปีใหม่ใกล้เข้ามาเส้นทางมุ่งหน้าไปทางเหนือเต็มไปด้วยน้ำแข็ง การเดินทางนั้นยากลำบากเฟิ่งจิ่วเหยียนในช่วงอยู่ไฟมิได้พักฟื้นอย่างเต็มที่ ตอนนี้ยังต้องเดินทางท่ามกลางพายุหิมะอีก จึงมักจะปวดเมื่อยเอว และเหงื่อออกมากอยู่บ่อย ๆในช่วงกลางคืนเข้านอน ก็มักรู้สึกเย็นที่ไหล่ และหนาวอย่างรุนแรงอู๋ไป๋เห็นสีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก จึงเตือนนาง“นายท่าน ไม่สู้ให้หมอมาตรวจดูบ้าง?”เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบร้อนจะตามหาคน จึงไม่อยากล่าช้าครั้งนี้อู๋ไป๋ยืนหยัดอย่างเต็มที่“นายท่าน ต่อให้ท่านไม่คำนึงถึงตนเอง ก็ควรนึกถึงฝ่าบาท หากท่านเจ็บป่วย จะยิ่งไม่ล่าช้ามากกว่าหรอกหรือ?”เขาเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเริ่มลังเลก็จริงหากนางเจ็บป่วยจนลุกไม่ขึ้น ก็จะไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไปตรงชายแดนหนานฉี เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ไปที่สำนักการแพทย์แห่งหนึ่งหลังจากหมอจับชีพจรของนาง ก็เอาแต่ส่ายหัว“ฮูหยินท่านนี้ ท่านมีภาวะร่างกายไม่สมดุลหลังคลอด จึงเป็นต้นเหตุเกิดโรคเรื้อรัง“อาการปวดตามข้อเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในระยะนี้ที่ฝนหิมะรุนแรง แน่นอนว่าย่อมไม่สบายตัว“ในยามปกติรู้สึกว่าไม่เป็นไร ทนหน่อยก็ผ่
บนบัลลังก์มังกร เซียวถงเต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของจักรพรรดิ “เรารับพระราชโองการจากเสด็จอา มาทำหน้าที่รักษาการแทนตำแหน่งฮ่องเต้ชั่วคราว ทุกท่านมีเรื่องใดก็เสนอได้”เหล่าขุนนางในราชสำนักมองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงงบางคนถึงกับสงสัยว่าเซียวถงแย่งชิงบัลลังก์ทว่าคิดดูอีกที ฮองเฮาทรงมีทักษะเพียงนั้น ผู้ใดจะกล้าแย่งชิงบัลลังก์?ณ วังหลังเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกอาวรณ์อย่างยิ่งที่จะกล่าวอำลาต่อบุตรทั้งสองพวกเขายังคงนอนหลับอยู่ ใบหน้าขณะหลับดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ นางจุมพิตบนหน้าผากของพวกเขา หัวใจราวกับถูกบีบเข้าหากันสาวใช้หว่านชิวรู้สึกเศร้าใจ “ฮองเฮา จักต้องเสด็จไปให้ได้หรือเพคะ?”ฮองเฮาทรงตัดใจจากเลือดเนื้อเชื้อไขของตนได้อย่างไร?เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าอย่างหนักแน่นการไปของนางครั้งนี้ จะมีชีวิตอยู่หรือตายยังไม่แน่นอนการพาบุตรทั้งสองคนไปด้วย หนึ่งจะเป็นภาระให้กับนาง สองอาจจะนำภัยอันตรายถึงแก่ชีวิตมาให้พวกเขาการแยกจากบุตร ย่อมต้องทุกข์ใจอยู่แล้ว ทว่าหากให้นางกับลูกรออยู่ในวัง และทนทรมานกับการรอฟังข่าว นางยิ่งไม่ยินยอม“ฮองเฮา หนิงเฟยมาถึงแล้วเพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบปรับอารมณ์ทันที และเ
ที่ดินที่โซ่วอ๋องได้รับมอบไม่ถือว่าไกลจากเมืองหลวงมากนัก หลังจากได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ซื่อจื่อเซียวถงก็ออกเดินทางภายในวันเดียวกันห้าวันต่อมา เซียวถงก็มาถึงพระราชวัง และตรงไปยังห้องทรงพระอักษรเพื่อเข้าเฝ้าครั้งล่าสุดที่เขามาเมืองหลวง ก็คือเมื่อสามปีก่อน ช่วงที่เกิดความวุ่นวายในวิหารบรรพบุรุษ เขาได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากฮ่องเต้ ให้ขึ้นครองบัลลังก์ชั่วคราว เพื่อหลอกลวงพรรคเทียนหลงกับกองทัพศัตรูให้สับสนในตอนนั้นเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก พระราชโองการพินัยกรรมของฝ่าบาท ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นว่าที่จักรพรรดิครั้งนี้ฮองเฮาทรงเรียกเขามา ไม่รู้ว่ามาเพราะเรื่องใดทว่าก็รู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับพระราชโองการพินัยกรรมก่อนที่เขาจะมาเมืองหลวง ท่านพ่อก็ยังเตือนเขาว่า ตอนนี้ฮองเฮาทรงประสูติองค์ชายแล้ว เช่นนั้นเขาที่เคยเป็นคนที่อ้างถึงในพระราชโองการพินัยกรรม ก็เท่ากับเป็นตัวขัดขวางขององค์ชายดังนั้น การมาเมืองหลวงครั้งนี้ ก็เสี่ยงอันตรายอย่างมากในใจของเซียวถงเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย ทว่าสีหน้ายังคงสงบนิ่ง ไม่ถือตัวไม่ถ่อมตนเกินพอดีแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยสนใจตำแหน่งฮ่องเต้ แล
วันต่อมา องค์หญิงเซี่ยนอี๋เสด็จมาพบองค์ชายสี่ด้วยพระองค์เององค์ชายสี่ทรงยิ้มแย้ม ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น“แขนของน้องหญิงเป็นอย่างไรบ้าง?”องค์หญิงเซี่ยนอี๋โมโหจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่“เหตุใดเสด็จพี่ต้องขัดขวางข้า!”รอยยิ้มขององค์ชายสี่เลือนหายไป และตอบอย่างมีเหตุมีผล“เซี่ยนอี๋ ข้าคิดว่าเจ้าแค่พาลไร้เหตุผล นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะโง่เขลาเพียงนี้ เจ้าคิดได้อย่างไรที่จะวางยาผู้อื่น แล้วบังคับขืนใจเขา?“หากเจ้าพลีกายให้กับฮ่องเต้ฉี แล้วจะให้ข้าทูลเสด็จพ่ออย่างไร?“คืนก่อนเจ้าเกือบจะแขนหักไปข้างหนึ่ง ก็น่าจะจำเป็นบทเรียนได้แล้วกระมัง”เซี่ยนอี๋รู้ตัวว่าทำผิดทว่าเรื่องที่นางยังทำไม่เสร็จสิ้น จะไม่ยอมแพ้และเลิกล้มเช่นนี้“หากข้าได้เป็นฮองเฮาของหนานฉี หนานฉีก็จะไม่เล่นงานเป่ยเยี่ยนอีก นี่ไม่ดีหรอกหรือ?”องค์ชายสี่แย้มพระสรวล“เซี่ยนอี๋ หากเสด็จพ่อได้ยินคำพูดนี้ของเจ้า เกรงว่าจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก“การเกี่ยวดองของสองแคว้น เดิมทีไม่อาจหยุดยั้งความโหดเหี้ยมของหนานฉีได้“เจ้าจะทำให้ตนเองเสียหายโดยเปล่าประโยชน์ และถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ“บุรุษดี ๆ ในเป่ยเยี่ยนของเรามีมากมาย เหตุใดเจ้าต
ช่วงหลายวันที่เซียวอวี้ถูกขังอยู่ในคุกลับ หาได้นั่งนิ่งรอความตายไม่ จากการสังเกตของเขา องค์ชายสี่แห่งเป่ยเยี่ยนมิได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เยี่ยน แต่กลับเป็นหินที่ไว้ปูทางเดิน เพื่อผลักดันความทะเยอะทะยานให้องค์ชายเจ็ด หากสามารถโน้มน้าวใจองค์ชายสี่ได้ เขาก็จะหนีออกจากที่นี่ได้ กระนั้น องค์ชายสี่ของเป่ยเยี่ยนไม่โง่ ทันทีที่เขาได้ยินคำพูดของเซียวอวี้ ก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการชนะใจตน เพื่อยุแยงเขากับเจ้าเจ็ด รวมถึงตัวเขาและเสด็จพ่อด้วย “ฮ่องเต้ฉี ยิ่งพูดยิ่งพลาด ท่านตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ควรพูดให้น้อยลงจะดีกว่า” องค์ชายสี่พูดจบก็คิดจะเดินจากไป จู่ ๆ เซียวอวี้หัวเราะเยือกเย็นขึ้นมา “ในเวลาหนึ่งเดือน ฮ่องเต้เยี่ยนจะแต่งตั้งองค์ชายเจ็ดเป็นองค์รัชทายาท” องค์ชายสี่หยุดชะงัก ฮ่องเต้ฉีมั่นใจขนาดนั้นเชียวหรือ? ตำแหน่งองค์รัชทายาทนั้นเย้ายวนใจนัก องค์ชายสี่ต้องหันกลับมา พิจารณาเซียวอวี้อีกครั้ง เขาหาได้รุกถามใด ๆ ไม่ เพียงรอให้เซียวอวี้พูดต่ออย่างเงียบ ๆ เซียวอวี้ไม่ทำให้ผิดหวัง เอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “กองทัพเยี่ยนเดินทัพลงใต้ เพื่อพิชิตแ
ในคุกลับ เซียวอวี้กินอาหารตามปกติ ไม่นานก็รู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกาย เขาตระหนักได้ทันที มันเป็นฤทธิ์ยาปลุกกำหนัด! ดวงตาเย็นชาของเขามืดลง ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมา ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า เป็นฝีมือของผู้ใด จริงตามคาด เพียงไม่นาน องค์หญิงเซี่ยนอี๋ก็มาที่คุกลับ คืนนี้นางแต่งกายอย่างพิถีพิถัน สวมอาภรณ์สีสันสดใส ประทินโฉมประณีตงดงาม สายตาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและความต้องการครอบครอง นางมองใบหน้าที่แดงเพราะฤทธิ์ยาของเซียวอวี้ รู้สึกปรีดาบนความทุกข์ของผู้อื่น “สิ่งใดที่ข้าอยากได้ ไม่มีคำว่าไม่ได้!” เซียวอวี้พยายามสงบจิตใจอย่างหนัก เพื่อไม่ให้ถูกควบคุมโดยฤทธิ์ยา เขาไม่กล้าคิด หากสัมผัสผู้หญิงคนอื่นแล้ว เขาจะเผชิญหน้ากับจิ่วเหยียยอย่างไรในอนาคต ให้ตาย! เขาอยากจะฆ่าคน ทว่ากลับสูญเสียกำลังภายในทั้งหมด แม้คุกลับจะคุมขังผู้คนไว้มากมาย แต่ห้องขังของเซียวอวี้อยู่ในจุดที่ลับตาคน และเป็นเอกเทศ องค์หญิงเซี่ยนอี๋จึงไม่กลัวที่จะมีคนมารบกวน นางปลดอาภรณ์ชั้นนอกของตนออก หัวเราะอย่างหยาบคาย “ฮ่องเต้ฉี ข้ารอให้เจ้าขอร้องข้าอยู่” ถูกฤ
ตำหนักหย่งเหอ เมื่อไทเฮาและหนิงเฟยมาถึง กลับไม่เห็นฮองเฮา เด็กทารกน้อยร้องไห้ระงมราวกับหัวใจจะแตก แม้พวกนางได้ยินแล้วยังรู้สึกปวดใจนัก หมอหลวงกำลังถวายโอสถให้องค์ชายน้อย ปริมาณยาทำให้คนเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน หนิงเฟยขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะเตือน “พวกเจ้าระวังหน่อย! อย่าทำให้เด็กสำลัก!” ไทเฮาอดไม่ได้ที่จะตำหนิ “ฮองเฮาอยู่ที่ใด? นี่คือลูกชายแท้ ๆ ของนาง กลับทิ้งไว้แบบนี้รึ?” สาวใช้หว่านชิวตอบ “มีรายงานด่วนจากชายแดนเพคะ ฮองเฮาประทับที่ห้องทรงพระอักษร เพื่อหารือกับเหล่าแม่ทัพ...” ไทเฮาทนไม่ไหวอีกแล้ว น้ำเสียงจริงจังขึ้น “หารือตลอดทั้งวัน นางคิดถึงลูกชายทั้งสองบ้างหรือไม่? “คนหนึ่งถูกนางใช้เป็นเครื่องมือว่าราชการหลังม่าน อีกคนถูกนางทิ้งให้โดดเดี่ยวในวังหลัง นางทนได้อย่างไร!” ไทเฮาทราบดีว่าฮองเอามีราชกิจรัดตัว ทว่าเห็นเด็กน้อยที่น่าสงสารเช่นนี้ ก็อดจะทุกข์ใจมิได้ หว่านชิวไม่กล้าโต้แย้ง หนิงเฟยเกลี้ยกล่อม “ท่านป้าเพคะ ฮองเฮาต้องเห็นราชกิจสำคัญที่สุด ส่วนองค์ชายมีหมอหลวงถวายการดูแล เขาจะปลอดภัยแน่นอนเพคะ” ไทเฮามองทารกด้วยค
หลังจากที่ฮ่องเต้เยี่ยนได้ฟังคำขอของพระธิดา ก็หาได้ปฏิเสธทันทีไม่ ฮองเฮาของเซียวอวี้——เฟิ่งจิ่วเหยียน มิใช่สตรีธรรมดา สาเหตุที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อหนานฉีหลายครั้ง ล้วนมีฝีมือของสตรีคนนี้อยู่ในนั้น ถึงแม้เซี่ยนอี๋ไม่เอ่ย เขาก็ต้องการกำจัดเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่แล้ว “ได้ พ่อรับปากเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกพอใจมาก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” สิ่งใดที่นางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ ทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนยังไม่หายแคลงใจ เขาถาม “เรื่องในคุกลับนั้น ผู้ใดบอกเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ยังมีจิตสำนึกอยู่ หาได้ทรยศองค์ชายสี่ไม่ “เป็น...เสด็จพี่เจ็ดเพคะ” สีหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนพลันมืดลง เจ้าเจ็ดนี่ เลอะเลือนเกินไปแล้ว! องค์หญิงเซี่ยนอี๋ขอร้อง “เสด็จพ่อ เสด็จพี่เจ็ดก็ถูกหม่อมฉันบังคับ ท่านอย่าตำหนิเขาเลย และอย่าบอกเขาด้วยว่า หม่อมฉันพูด มิฉะนั้นต่อจากนี้เขาคงไม่รักเอ็นดูหม่อมฉันอีกเพคะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนแสดงความอดกลั้นไม่ใส่ใจ “ได้ เราเข้าใจแล้ว”…… เมื่อองค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกจากวังหลวง ก็ตรงไปที่คุกลับอีกครั้ง ครั้