INICIAR SESIÓNทันทีที่เข้ามาในบ้าน ถังอี้หลันรีบตรงไปหาบิดาที่รออยู่ในห้องหนังสือ แม้จะหิวแค่ไหนจินเซียงก็ตามไปด้วยเช่นกันเพื่อไม่ให้เสียมารยา ทำให้ต้องตามไปทักทายเจ้าบ้านก่อนเป็นอันดับแรก
ประตูห้องหนังสือเปิดออก ถังอี้หลันรีบเดินเข้าไปในห้องและได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นจากครอบครัว อบอุ่นแบบฉาบใหญ่
เพี๊ยะ!!
ถังอี้หลันถึงกับเซถลาไปเกาะเสาที่อยู่ใกล้ แล้วมองบิดาด้วยสายตาที่ต้องการคำตอบว่า มาตบตนด้วยเรื่องอะไร
“เจ้าลูกไม่รักดี! ทำเรื่องเสื่อมเสียแล้วยังมีหน้ากลับมาอีก!” ถังอี้หลันผู้โดนตบหันมองผู้ฟาดฝ่ามือลงหน้านางอย่างงวยงง
“ท่านพ่อ ลูกโดนรอบสังหารและมีสาวชาวบ้านช่วยไว้น่ะเจ้าค่ะ ตบข้าทำไมเนี่ย”
“เจ้ากล้าเถียงพ่อรึ ถ้าไม่มีคนมาบอกว่าเจ้าโดนโจรป่าจับไป ฮึ้ย!”
“โจรป่า โจรไหน” ถังอี้หลันยังคงยืนงง
“คารวะท่านเจ้าบ้าน ฮูหยิน และเออ~” จินเซียงมองไปที่อีกสองคน
“ฮูหยินรอง กับฮูหยินสาม แล้วเจ้าเป็นใคร” ฮูหยินเอกถาม
“ข้าน้อยนามว่าจินเซียง และเป็นคนช่วยอี้หลันจากพวกนักฆ่า แต่ตอนนี้พวกนั้นเผาบ้านข้าน้อยจนวอดวาย ข้าน้อยจึงติดตามนางมาแต่ในระหว่างทางพวกมันก็ยังตามมาแต่เสียดายที่ศพพวกมันมีเงินเพียงน้อยนิด จนแสนจนยังมาเป็นนักฆ่าอีก...สำนักพวกมันคงจนข้นแค้นมาก...แต่มีสิ่งนี้แทนเจ้าค่ะ” คนสนิทของฮูหยินเอกเดินมารับของในห่อผ้า
“มันคืออะไรกัน เปิดดูซิอาจู”
“เจ้าค่ะฮูหยิน”
“ป้ายคำสั่งของกลุ่มนักฆ่ากงจักร!”
“ท่านพี่แล้วทำไมลูกหญิงถึงโดนคนกลุ่มนั้นตามล่า ทำไมกันเจ้าค่ะ”
“ว่าแต่เจ้าเถอะ เจ้าดูไม่เหมือนพวกเราเลย เจ้ามาจากไหนกัน โทษทีข้าลืมแนะนำตัว ข้าคือผู้นำตระกูลถังนามว่าเอี้ยซ่ง ทางนี้คือหลอหลัน หลี่อิง และฮวาเจียว”
“ข้าน้อยเป็นเดินทางมาจากเปอร์เซียผ่านเส้นทางสายไหมเจ้าค่ะ ข้าน้อยอาศัยอยู่คนเดียวในหมู่บ้านกลางป่าหาเลี้ยงชีพด้วยการล่าสัตว์และคุ้มกันชาวบ้านเจ้าค่ะ”
“อืม เช่นนั้นข้าถามได้รึไม่ว่าตอนเจ้าเจอลูกข้า นางอยู่ในสภาพเช่นไรบ้าง แล้วเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
“บาดเจ็บเจ้าค่ะ แต่ถิงถิงเจ็บหนักกว่า...ส่วนคนอื่นนั้นล้วนตายหมดเจ้าค่ะ ข้าพานางสองคนไปรักษาตัวที่บ้านจนกระทั่งหลายวันก่อนพวกมันก็เผาบ้านข้าเจ้าค่ะ”
“อืม ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะให้สาวใช้ไปเตรียมเรือนพักให้เจ้า”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
“ท่านพ่อแต่ท่านตบข้าน่ะเจ้าค่ะ”
“พี่ใหญ่ ท่านอย่าบ่นให้มากเลยแค่นี้ท่านพ่อก็เสียชื่อเสียงมากพอแล้วที่ท่านหาไปนานเช่นนี้” เด็กสาวผู้ไม่ชอบขี้หน้าผู้เป็นพี่ได้ทีก็ขอหน่อย
“เจ้า!”
“พอเลย ท่านเจ้าบ้านเช่นนั้นข้าขอตัวก่อนน่ะเจ้าค่ะ ส่วนเจ้ามานี่เลยข้าหิวข้าวแล้ว” จินเซียงลากอี้หลันออกไปจากห้อง
“อาเซียงเดี๋ยวอย่าพึ่ง อย่าลากข้าแบบนี้! ม่าย~” ทุกคนมองบุตรีคนโตของบ้านถูกสตรีตัวสูงลากออกนอกห้องไปด้วยสายตาเวทนา
“ถิงถิง เจ้ารีบบอกมาว่าเกิดอะไรขึ้น”
“เจ้าค่ะนายท่าน” ถิงถิงเล่าทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ
“นายกองหลี่ ท่านว่าเด็กคนนั้นเป็นเช่นไร”
“ข้าคิดว่านางอาจเป็นยอดฝีมือขอรับและจากที่ฟังมา นางน่าจะเป็นยอดฝีมืออันดับต้นๆ เลยก็ว่าได้เพราะพวกนักฆ่าส่วนใหญ่จะเป็นชาวยุทธยอดฝีมือทั้งสิ้นและยิ่งเป็นสำนักกงจักรด้วยแล้ว ข้าน้อยคิดว่าฝีมือของนางมีไม่น้อยทีเดียวขอรับ”
“ข้ารู้แล้ว พวกเจ้าไปพักเถอะ”
“ขอรับ”
“เจ้าค่ะ” เมื่อถิงถิงกับนายกองหลี่ออกไปแล้ว เหล่าภรรยาและลูกก็พากันกลับไปที่เรือนของตัวเอง
“ใครมันช่างกล้ามาท้าทายตระกูลถังเช่นนี้” ป้ายถูกเก็บเข้าไปในช่องลับใต้โต๊ะหนังสือ ก่อนจะเดินกลับไปที่เรือนนอน
เช้าวันต่อมาในจวนต่างวุ่นวายเมื่อคนที่ควรนอนอยู่ที่เรือนรับรองกลับหายตัวไปตั้งแต่เช้ามืด บ่าวที่มาเพื่อคอยดูแลในช่วงเช้าพากันงงว่าแขกคนนั้นหายไปไหน พากันออกตามหาไปทั่วเรือนเพราะคนผู้นี้เป็นแขกคนสำคัญมาก
แต่คนที่ว่าตอนนี้กำลังวิ่งออกกำลังด้วยความเร็วอยู่รอบจวนและต่อด้วยการฝึกดาบรวมไปถึงทักษะหลากหลายชนิด ทำให้ไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างมากนัก
“นะ...นายท่านขอรับ พะ...พวกเราเจอนางแล้วขอรับ” องครักษ์วิ่งมารายงานที่ห้องอาหาร หลังจากผ่านไปเจอเจ้าตัวนั่งพักจิบชาอยู่ป่าท้ายจวน
“นางทำอะไรถึงไม่มากินข้าว” ฮูหยินผู้เฒ่าถามด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก “ดูแล้วนางคงไม่รู้จักมารยาทเลย”
“คือว่าพวกเราเจอนางฝึกดาบอยู่ที่ป่าท้ายจวนขอรับ” บ่าวอีกคนถึงกับไอออกมาด้วยวความเหนื่อย
“เป็นสตรีเหตุใดต้องจับดาบฝึกยุทธ์ด้วย ท่านพี่..ข้าคิดว่าสหายของท่านประหลาดคนแท้”
“ฟางฟางเจ้ากินข้าวเถอะ สหายพี่นั้นประหลาดเกินถึงขนาดหมูป่าตัวใหญ่นางยังล่าด้วยตัวคนเดียวเรากินข้าวกันเถอะท่านพ่อ” ใช่นางยังไม่ชินจริงๆ แม้จะอยู่ด้วยกันมาหลายวันก็ตาม
ไม่นานจินเซียงก็เดินเข้ามาในชุดที่เรียบร้อยที่สุดที่มีในระบบมิติที่สามารถดึงออกมาใช้ได้ จะบอกว่าพึ่งนึกออกมันก็ออกจะน่าอายไปนิดหน่อย
“ขออภัยท่านเจ้าบ้าน ฮูหยินผู้เฒ่า ข้าน้อยเคยชินกับการฝึกยามเช้า” จินเซียงประสานมือตามแบบในหนังจอมยุทธที่ชอบดู
“ข้าเข้าใจ มาเถอะสายแล้ว” ฮูหยินเอกพยักหน้าให้จินเซียงรีบมานั่งกินข้าวข้างนาง
ถังอี้หลันมองสำรวจชุดตั้งแต่หัวจรดเท้า “อาเซียงว่าแต่ชุดเจ้ามัน”
“มีอะไรรึ ชุดข้ามีอะไร”
“เจ้าใส่เกราะมาทำไม” ฟางฟางถามแบบไม่อ้อมค้อม
“แปลกรึ ที่บ้านเกิดข้าก็ใส่กันแบบนี้เป็นปกติน่ะ อีกอย่างพี่สาวมีแค่ชุดนี้ที่ดูแล้วดีที่สุด”
คนฟังต่างพากันมองหญิงสาวอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ไม่นานหลังจากทานอาหารกันเสร็จ แต่ล่ะคนก็แยกย้ายกันไปทำงานของตน ยกเว้นจินเซียงที่ไม่มีอะไรทำจึงได้แต่เดินไปเดินมาในจวน ถังอี้หลันกับถิงถิงก็ไม่อยู่เพราะนางต้องไปเรียนอะไรสักอย่าง ถิงถิงเลยต้องตามไปด้วย
“น่าเบื่อจริง” สุดท้ายก็กลับมานั่งเช็ดดาบในห้องตัวเอง
“ขออนุญาตเจ้าค่ะ ฮูหยินเรียกท่านไปพบเจ้าค่ะ”
“นางมีเรื่องรึเปล่า”
“ไม่ทราบเจ้าค่ะ”
“เจ้าชื่ออะไรน่ะ” จินเซียงมองสาวใช้คนสนิทของฮูหยินหลอหลัน
“อาจูเจ้าค่ะ”
“ไปเถอะ ปล่อยให้ผู้ใหญ่รอนานไม่ดี”
หลังเก็บของเสร็จก็เดินตามอาจูไปที่เรือนของฮูหยินเอก พอเข้าไปถึงก็เจออีกสองฮูหยินนั่งอยู่ในห้องรอการมาถึงของนาง ทว่านางนั้นลืมมัดสายรัดให้ดี ทำให้ชุดคลุมหลุดเผยให้เห็นหน้าท้องเรียบเนียนและรูปร่างที่น่าอิจฉา
“ฮึก!” ทั้งสามกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
“พวกท่านเป็นอะไรรึเจ้าค่ะ”
“ข้าอยากลูบหน้าท้องเข้าจัง โอ้ย!”
“น้องรองเจ้าเก็บอาการหน่อย”
“พี่ใหญ่ท่านเช็ดน้ำลายก่อนเถอะ อ่าวน้องสามหายไปไหน”
“นี่น้องเซียงข้ายกลูกชายให้เจ้าดีไหม” พูดไปมือก็จับตรงนั้นตรงนี้ จนจินเซียงก้มมองชุดตัวเอง รีบชุดจัดให้เรียบร้อยอย่างรวดเร็ว
“ขออภัยข้าชอบผู้หญิงเจ้าค่ะ”
“งั้นก็ลูกรองยังโสด นางพึ่ง 15 เองถือว่ากำลังดี”
“เอ่อ พวกท่านหยุดก่อนเถอะ ว่าแต่เรียกข้ามามีอะไรรึเปล่าเจ้าค่ะ” เดี๋ยวใจเกเร ไม่ได้ต้องรีบเข้าคำถาม
“เจ้าอยากได้สิ่งได้ พวกเรายังไม่ตอบแทนเรื่องที่เจ้าช่วยชีวิตลูกหญิง ถ้ามีอะไรต้องการบอกได้เลยน่ะ”
“เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจ ตัวข้านั้นอยากเปิดกิจการร้านค้า เพื่อขายอาหารเจ้าค่ะ จะให้เกาะพวกท่านกินคงไม่ดี”
สามฮูหยินพยักหน้าให้กับความคิดของจินเซียง
“ได้ ข้าจะให้บ่าวพาไปดูส่วนเรื่องที่พักก็ไม่ต้องย้ายออกไปไหน เจ้าก็อยู่ที่นี่แหละเดี๋ยวจะให้บ่าวจัดเรือนไว้ให้” หลอหลันพูดตัดบทไม่เหลือพื้นที่ไว้ให้เถียงหรือปฏิเศษ
“ขอบคุณฮูหยินที่เมตา”
“พี่ใหญ่ พี่รอง น้องได้ยินจากถิงถิงมาว่านางทำอาหารได้อร่อยยิ่งนัก ตอนนี้ก็ใกล้เที่ยงแล้วทำไมเราไม่รอชิมอาหารของนางล่ะเจ้าค่ะ” ฮวาเจียวฮูหยินสามออกความเห็น
“ความคิดดี อาจูเจ้าพาอาเซียงไปที่ห้องครัวทีน่ะ”
“เจ้าค่ะฮูหยินใหญ่ เชิญท่างนี้เจ้าค่ะ”
“รบกวนเจ้าแล้วอาเซียง” หลอหลันยิ้มให้จินเซียง
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” แล้วก็ตามอาจูออกไป
สามฮูหยินนั่งคุยกันอยู่ที่นั้นก็ได้กลิ่นอาหารที่ลอยออกมาไกลถึงห้องนั่งเล่น กลิ่นอาหารลอยไปไกลถึงนอกจวนจนคนผ่านไปมาพากันหยุดมอง ต่างพากันคิดไปว่ามีงานมงคลหรืองานเลี้ยงอะไรรึไม่ถึงได้เชิญพ่อครัวมาทำอาหารรสเลิศเช่นนี้ เพียงได้กลิ่นก็ทำให้อยากอาหารแล้ว
“คนก็น่ากิน อาหารก็น่าทาน”
“ยัง ยังไม่หยุดอีก อาหารยังไม่มา มาแค่กลิ่น”
“พี่รองอย่าขัดข้าซิ ลูกไม่อยู่ก็ปล่อยบ้างอะไรบ้าง ไม่อย่างนั้นเครียดตายพอดี”
“พวกเจ้าว่านางจะทำอะไร”
“ไม่รู้ซิเจ้าค่ะ น้องว่าคงเป็นอะไรที่เราไม่เคยทานแน่นอน” รอไม่นานคำตอบก็เดินมา
สาวใช้หลายคนทยอยเดินถืออาหารเข้ามาในห้อง แล้วจัดวางไว้บนโต๊ะกลม อาหารมีทั้งคาวหวานและเครื่องดื่มสีส้มอ่อน ดูแล้วน่าจะเย็นพอกับอากาศช่วงนี้
“มาแล้วเจ้าค่ะ อาหารจานสุดท้าย” จินเซียงเดินถือถังใบเล็กเข้ามาภายในห้องแล้ววางไว้กลางโต๊ะ
“มาเร็ว อย่ามากพิธี” จินเซียงนั่งลงตามแรงดึงของหลอหลัน
“เจ้าอธิบายให้พวกเราฟังซิว่ามีอะไรบ้าง”
“เจ้าค่ะ”
“อันแรกคือเนื้อแกะย่าง เวลาทานต้องทานคู่กับแผ่นแป้งและเครื่องเคียงเจ้าค่ะ พวกนี้” จินเซียงทำเป็นตัวอย่างและแนะนำอาหารจานต่อไป
“จานนี้เป็นซุบข้าวโพดเจ้าค่ะ สามารถทานคู่กับจานแรกได้ จานนี้เป็นไก่ทอดเจ้าค่ะ ของชอบข้าเอง มีเครื่องเคียงห้าแบบ มะเขือเทศ พริก แบบดังเดิม น้ำจิ้มไก่ และมายองเนส” พวกพลางยกจานขึ้นให้กลิ่นรอยติดจมูก
“อันนี้เป็นขนมหวานที่ข้าได้เรียนรู้มาระหว่างเดินทางมาและได้ปรับสูตรนิดหน่อย มันคือขนมปังไส้หวาน และสุดท้ายคือชานมแบบเย็นเจ้าค่ะ”
“ใช่เจ้านี่รึไม่ที่ส่งกลิ่นหอมไปทั่วจวนเช่นนี้” หลอหลันยกถ้วยชาขึ้นสูดดมกลิ่นพิสูจน์
“เจ้าค่ะ”
“พอเลย มาลงมือกันเถอะเดี๋ยวมีคนมาเพิ่มจะไม่ดี” เพราะดูแล้วเป็นการจัดชุดมาแบบพอดีคนแต่หารู้ไม่ว่าสาวใช้และบ่าวทั้งหลายก็ได้กินด้วย
“รสชาติดียิ่งนัก ข้ากินที่เหล่าอาหารชื่อดังยังไม่ได้แบบนี้เลย รสชาติของเนื้อแกะไม่คาวแม้แต่น้อย ซ้ำยังนุ่มลิ้นอีกต่างหาก”
“น้องตัดสินใจล่ะ” ฮูหยินสามฮวาเจียวเช็ดปากหลังจากจัดการอาหารเบื้องหน้าจนหมดเกลี้ยง
“ว่า”
“น้องจะยกโรงเตี๊ยมให้นาง”
“เจ้าว่าอะไรน่ะ” ฮูหยินหลี่อิงรองถามย้ำ
“น้องจะยกโรงเตี๊ยมให้นาง อย่างไรมันก็ปิดมานานมากแล้ว อีกอย่างเราก็ไม่สามารถดูแลกิจการได้ทั้งหมด สู้ให้คนที่มีความรู้ความสามารถในด้านนี้มาจัดการจะมิเป็นการดีกว่ารึเจ้าค่ะ” ฮูหยินสามฮวาเจียวอธิบาย
“ถ้าน้องสามว่าเช่นนั้น พวกพี่ก็ไม่มีปัญหา”
“เจ้าค่ะพี่ใหญ่”
“เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะให้คนพาไปดูน่ะ วันนี้บ่ายมากแล้วหรือถ้าเจ้าอยากเปิดหูเปิดตาก็ได้ข้าไม่ว่า”
“ขอบคุณฮูหยินทั้งสามที่เมตาเจ้าค่ะ”
“จริงซิ อาเซียงปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่”
“22 เจ้าค่ะ” จินเซียงตอบฮูหยินเอก
“อืม เจ้าออกไปเถอะ”
“ข้าขอตัวเจ้าค่ะ” จินเซียงยืนขึ้นประสาทมือและก้มตัวเล็กน้อยก่อนจะเดินออกไปเพื่อไปเดินเล่นที่ตลาด
“อ่าว คุณหนูท่านจะไปไหนรึขอรับ” จินเซียงหันมองตามเสียง
“ท่านหลี่” จินเซียงหันไปคารวะ
“ข้ากำลังออกไปเดินเล่นในเมือง ไม่นานก็กลับข้าว่าจะเดินดูนกสักตัวแถบท่าเรือ”
“ท่าเรือรึขอรับ อืม~ มันอาจดูไม่เหมาะสมเช่นนั้นข้าจะให้คนตามท่านไปดีรึไม่” นายกองหลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย
“ข้าขอรับไว้เพียงน้ำใจเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ระวังตัวด้วยรึกัน”
“เจ้าค่ะ” จินเซียงได้รับเงินถุงนิดหน่อยเป็นค่าเดินเล่น
บ้านเมืองที่พึ่งผ่านพ้นสงครามมาดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ จากข้อมูลที่ได้มาดูเหมือนนางจากอยู่ช่วงต้นของราชวงศ์ซ่งเพราะเห็นพวกทหารและชาวบ้านคุยกันเกี่ยวกับสงครามระหว่างนครรัฐที่พึ่งจบลงและกษัตริย์แห่งราชวงศ์ซ่งก็เป็นคนรวบรวมแผ่นดินทั้งหมด
‘พึ่งผ่านยุคสงครามมาซิน่ะ ว่าแต่นี่คือยุคในประวัติศาสตร์ใช่รึไม่ มองไปทางไหนก็มีแต่พวกต่างชาติ’
ระหว่างเดินชมเมืองอยู่นั้น สายตาก็ไปหยุดที่ร้านค้าหนึ่งที่ดูสะดุดตามากที่สุด กับชื่ออันคุ้นดีเคย0
“หญิงสี่ก๋วยเตี๋ยว ชื่อร้านมันคุ้นเกินไปไหม” จินเซียงหยุดเดินแล้วยืนมองหน้าร้านอยู่แปบนึงก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปในร้าน
“สวัสดีเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่ามากี่คนจะทานที่ร้านหรือกลับบ้านเจ้าค่ะ” เด็กสาวผู้มาต้อนรับหน้าร้านพูดจาฉะฉานจนยกนิ้วให้ในใจ
“พี่สาวกินที่ร้านและมาคนเดียว”
“เช่นนั้นเชิญชั้นบนเลยเจ้าค่ะ เรามีระเบียงยาวสำหรับทานอาหารและชมบรรยากาศของท่าเรือเจ้าค่ะ”
“ตกลง นำทางไปเลย”
“เชิญทางนี้เจ้าค่ะ”
จินเซียงเดินตามเด็กสาวขึ้นไปที่ชั้นสองระหว่างทางก็มองบรรยากาศในร้านไปด้วยไม่ว่าจะการตบแต่งหรือแม้แต่รายการที่แปะไว้ตามผนังก็บ่งบอกได้ว่าเจ้าของร้านมาจากที่ไหน รวมถึงรูปปั้นแมวกวักตัวเล็กและนางกวักที่วางไว้บนตู้ก๋วยเตี๋ยว ยังมีพวงมาลัยกับธูปปักไว้ด้วย
‘แม่ค้าจากตลาดแถวไหนเนี่ย’
“เชิญเจ้าค่ะถึงแล้ว” เด็กสาวพาเดินมาที่นั่งที่ดีที่สุด สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของท่าเรือได้ทั้งหมด เด็กสาวรีบส่งรายการอาหารลูกค้าสาวทันที
“นายท่านจะรับอะไรดีเจ้าค่ะ นี่คือรายการอาหารของเราเจ้าค่ะ” พูดจบก็ส่งรายการอาหารให้จินเซียงดู
“อืม~ พี่สาวขอเล็กแห้งไม่ผักพิเศษไม่เผ็ดด้วยน่ะ และก็ผัดไทยห่อไข่ แล้วก็เอานมเย็นด้วยสองแก้ว พี่ฝากกระดาษใบนี้ให้เถ้าแก่เนี้ยหน่อยน่ะ”
“เจ้าค่ะ” รับรายการเสร็จก็รีบวิ่งลงไปส่งรายการอาหารทันที
“พี่สาวๆ มีคนฝากมาให้ท่าน” เด็กสาวส่งกระดาษให้ผู้เป็นพี่สาว
“ไหนมีอะไร นางให้อะไรเจ้ามา”
“นี่เจ้าค่ะ กระดาษใบสีเขียว” เถ้าแก่เนี้ยรับมาดูแล้วนิ่งไปสักพัก
จินเซียงนั่งทอดสายตามองวิวท่าเรือพลางจิบลมเย็นที่พัดผ่าน เจ้าของร้านกำกระดาษสีเขียวในมือแน่ ก่อนที่เวลาไม่นานนัก หญิงสาวผู้เป็นเถ้าแก่เนี้ยก็เร่งก้าวขึ้นมา ใบหน้างามซ่อนรอยยิ้มบางแต่ในดวงตากลับฉายแววระคนสงสัย
นางรีบมองหาบุคคลตามที่น้องสาวบอก สายตาไปหยุดที่หญิงสาวในชุดคลุมสีขาวเหมือนนักเดินทาง มีสายหนังสีน้ำตาลพาดอยู่บ่าและดาบโค้งเหน็บไว้ที่เอว นั่งอยู่ที่นั่งริมระเบียงสำหรับแขกที่มาคนเดียว
“เจ้าเป็นใครกัน” เสียงทุ้มใสเอ่ยถามเมื่อเข้ามานั่งเคียงข้าง
จินเซียงหันเพียงเล็กน้อย ผ้าคลุมหัวถูกปลดลง เผยให้เห็นใบหน้าขาวนวลและดวงตาคมที่เหมือนจะมองทะลุใจคนตรงหน้า
หัวใจเจ้าของร้านสะดุดวูบไปชั่วครู่ ก่อนที่นางจะยกยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา “อุ๊ย… ข้าคิดว่าข้าพบดาราบนฟากฟ้าเสียแล้ว”
จินเซียงเลิกคิ้วเล็กน้อย “ดารา?”
“เจ้าช่างงามเสียจนทำเอาข้าลืมอาหารที่เจ้าสั่งไปทีเดียว” นางก้มศีรษะลงเล็กน้อย เอียงคางยิ้มเจื่อนแต่แฝงความเจ้าชู้ “หรือมิสู้…ให้ข้ากินท่านแทนดีหรือไม่?”
จินเซียงนิ่งไปวูบหนึ่ง ก่อนหัวเราะเบา ๆ “เจ้ามักปากกล้าเช่นนี้กับทุกแขกหรือ?”
“มิใช่ดอก” เถ้าแก่เนี้ยจงใจลดเสียงลง คล้ายกระซิบใกล้หู “เฉพาะแขกที่ทำให้ใจข้าเต้นแรง…เท่านั้น”
คำตอบนั้นทำเอาจินเซียงชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาคมสั่นไหว แต่เพียงอึดใจนางก็ยกถ้วยน้ำชาขึ้นบังริมฝีปาก
สายลมอุ่นพัดผ่านไปตามตรอกอาคารบ้านเรือนในย่านตลาดหลังท่าเรือ บนหลังคาอาคารรอบ ๆ เรือนหลังหนึ่งมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งกำลังเฝ้าจับตามองอยู่เด็กสาวสองคนเดินฮัมเพลงเป็นจังหวะสบาย ๆ เข้ากับบรรยากาศอบอุ่นและกลิ่นของน้ำทะเล ทั้งคู่เดินมาหยุดอยู่หน้าประตูไม้บานใหญ่ของเรือนหลังใหญ่ที่สุดในตรอกนี้ มีคนคุ้มกันสองคนยืนเฝ้าอยู่“เจ้าหนู ถ้าไม่มีอะไรอย่ามายืนขวางประตู!” ผู้คุ้มกันตะโกนใส่“ที่นี่คือเรือนของผู้ใดกัน ถึงมีคนคุ้มกันที่เป็นถึงจอมยุทธ์เช่นนี้” เด็กสาวถามด้วยความสงสัย“พวกเจ้าดูไปก็ใช้ได้เลยนิ ถ้ายอม.... เล่นกับพวกข้าบางทีอาจยอมให้เข้า... ก็...”ผัวะ! ตุ้บ! พูดไม่ทันจบ... พวกมันก็ถูกตีจนสลบแล้วถูกมัดมือมัดเท้าก่อนจะโดนหิ้วตัวออกไปอย่างรวดเร็ว“เจอรึยัง” ไต้เจียงหันไปถามชายคนหนึ่งที่โผล่ออกมาจากเงามืด“ขอรับ ที่คุกใต้ดินมีคนถูกจับไว้สิบห้าคน แล้วก็... อื้ม...”ไต้เฉียวหันมองหน้าคนพูดอย่างตั้งคำถาม “แล้วก็อะไร พูดมา”“ขอรับคุณหนูใหญ่... คือว่ามีทาสจำนวนมากถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินอีกแห่งขอรับ”สองสาวพี่น้องมองหน้ากันด้วยสายตาเย็นชา เพราะกฎหมายเรื่องค้าทาสนั้นถูกยกเลิกไปตั้งแต่อดีตฮ่องเต้ ที่ทรงส
สายลมอุ่น ๆ พัดโชยเข้ามาในหน้าต่างห้องทำงานชั้นบนสุดของหอการค้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของต้าซ่ง เด็กสาวสองคนกำลังนั่งเล่นไพ่รับลมชมวิวเมือง ไต้เฉียวกับไต้เจียง สองพี่น้องผู้เป็นคุณหนูของหอการค้า ที่นับวันยิ่งมีความคล้ายกับผู้เป็นแม่ไต้เฉียวนั้นจะคล้ายกับจินเซียงมากที่สุด ไต้เจียงนั้นจะออกไปทางเผยอิงผู้เป็นมารดา สองคนนี้จะแตกต่างกันตรงสีผิวและดวงตาเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่หาตัวยากมากที่สุด พวกนางขึ้นชื่อเรื่องการซ่อนตัวเป็นที่สุด ส่วนน้อยจะได้เห็นหน้าพวกนาง“ท่านแม่ไปไหนกัน” ไต้เจียงหันไปถามเลขาหน้าห้องของจินเซียง “ไม่ทราบเจ้าค่ะคุณหนู ท่านประธานออกไปแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ”“ไปกับท่านแม่หรอ”“เจ้าค่ะ ฮูหยินไปด้วย”“พี่ใหญ่เอาไงต่อดี แม่ไม่อยู่”“ไปเดินเล่นกันหน่อยเป็นไง เดี๋ยวต้องไปรับองค์หญิงน้อยอีก เบื่อพวกองค์ชายมาก” ไต้เฉียวบ่นอย่างเบื่อหน่าย ทุกวันนี้อีกฝ่ายมักหาเรื่องเข้าหาตลอด“คุณหนู อีกสองวันมีงานเลี้ยงตระกูลหวาง ของพระสนมหวางหลงเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าจะเข้าร่วมไหมเจ้าค่ะ” ไต้เฉียวมองหน้าคนพูดอย่างรู้เจตนา“ขออภัยเจ้าค่ะคุณหนู”“หลานเจ้าหรือคนในตระกูลให้เอามาให้พวกเรา”“ปะ..เป็นคุณ
เช้าวันต่อมา ทั้งสองสาวจีนพาเพื่อนชาวไทยผู้ที่ไม่ได้นอนหลับทั้งคืนไปเดินชมหมู่บ้าน ความเหนื่อยล้าสะสมไม่ได้ทำให้ความกระหายใคร่รู้ของมีมี่ลดลงเลยพวกเธอเข้าไปไหว้หอบรรพบุรุษตามคำแนะนำของคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้าน บรรยากาศภายในเงียบสงัด มีมี่เดินไปตามทางเดินแคบ ๆ ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อสายตาปะทะกับภาพวาดเก่าแก่บนกำแพงภาพวาดนั้นคือเงาหญิงสาวในชุดโบราณที่เธอเห็นซ้อนทับอยู่ในความฝันเมื่อคืน!“นั่นใครกัน?” มีมี่ถามเสียงแผ่ว“คนเฒ่าคนแก่เล่ากันว่า ภาพนี้คือภาพของผู้ก่อตั้งหมู่บ้านแห่งนี้เมื่อหลายร้อยปีก่อน ตั้งแต่ยุคราชวงศ์ซ่งนู่นเลย”“เก่าเหมือนกันเนอะ ภาพยังคมชัดเหมือนพึ่งถ่ายเลย” มีมี่ยิ้มแห้ง ๆ มองดูรูปบนกำแพง เธอรู้สึกเหมือนกำลังมองใบหน้าของตัวเองในอดีต“พวกเราก็คิดเหมือนกัน มา ๆ ไปเที่ยวที่อื่นกันต่อ” สองสาวลากตัวมีมี่ขึ้นรถเพื่อไปยัง อุทยานประวัติศาสตร์ ที่เคยเป็นหมู่บ้านเก่าแก่หลายร้อยปีซึ่งถูกทิ้งร้างไว้กลางป่า นี่คือหมู่บ้านเริ่มแรกที่เคยเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดมีมี่ที่เดินตามสาวจีนทั้งสองอยู่หลังสุดนั้น พยายามสลัดความคิดเรื่องภาพวาดออกไป เธอสูดหายใจลึกเพื่อเรียกสติแต่แล้ว... สายตาของ
อากาศร้อนระอุของเดือนเมษายนพัดปะทะหน้าของหญิงสาวที่ยืนอยู่ในชานชาลารถไฟของสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ความร้อนที่แผดเผาไม่ได้ช่วยลดความตื่นเต้นผสมความหวาดระแวงในอกของมีมี่เลยแม้แต่น้อย เสียงประกาศตามสายดังขึ้นท่ามกลางเสียงพูดคุยที่อื้ออึงของคนที่มารอ เสียงประกาศไทยสลับกับเสียงอังกฤษ‘ผู้โดยสารที่จะไปกับขบวนนี้ขอให้เตรียมตัว รถไฟจะเข้าเทียบชานชาลาที่ 2 อีกสิบนาที’มีมี่ยิ้มให้กับตัวเองแล้วสำรวจดูความเรียบร้อย เมื่อไม่ลืมอะไรก็เดินไปยืนรอตรวจตั๋วขึ้นรถไฟ เจ้าหน้าที่มองตั๋วแล้วยิ้มให้ก่อนจะให้พนักงานอีกคนช่วยขนของไปไว้ที่ห้องโดยสาร“เดินทางคนเดียวหรอค่ะ เห็นจองห้องนอนคู่ไว้ทั้งห้อง”“คะ เลยจองไว้ทั้งสองเตียง”“เดินทางไกลเลยน่ะค่ะ ลาวต่อจีนคงเหนื่อยน่าดู ถึงแล้วค่ะ ขอให้สนุกกับการเดินทาง” พนักงานพามาถึงหน้าห้องที่จองไว้ ก่อนจะยิ้มให้แล้วเดินจากไปมีมี่รู้สึกแปลกใจกับคำถามของพนักงานคนนี้มาก รู้สึกว่าถูกจับจ้องจนเกินความจำเป็น แต่ก็ไม่ทันจะถาม อีกฝ่ายก็เดินไปไกลแล้วกระเป๋าสองใบวางไว้ที่พื้น มีมี่ทิ้งตัวลงนั่งข้างหน้าต่างมองดูผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา ในห้องโดยสารส่วนตัวที่จองไว้ทั้งสองเตียงนั้
เสียงผู้คนเดินสัญจรไปมา สลับกับเสียงคอมเพรสเซอร์แอร์จากอาคารใหญ่ในย่านสุขุมวิท หญิงสาวผมสั้นประบ่าในชุดพนักงานออฟฟิศสวมแว่นกันแดด หน้าตาของเธอนั้นอยู่ในระดับที่เรียกว่าสาวสวยคนหนึ่งสำหรับออฟฟิศบริษัทใหญ่ที่เธอทำงาน“หัวหน้า! พวกเราไปกินข้าวที่ไหนดี” เสียงพนักงานรุ่นน้องถาม ทว่าคนตรงหน้าก็หันกลับมา“สาว ๆ พวกเรามีงานด่วน บอสแจ้งว่าลูกค้าชาวจีนตกลงคุยงานที่โรงแรมเชอราตัน เดี๋ยวไปกินข้าวที่นู่นเลย”“หัวหน้า! คุณคงไม่หลอกพาพวกเราไปขายใช่ไหม” รุ่นน้องถามอย่างระแวง“กินไม่กิน!”“กิน ๆ !” สองสาวรีบเดินคล้องแขนรุ่นพี่คนสวยไปที่ลานจอดรถซูซูกิฮัตสเลอร์สีชมพูจอดอยู่ในลานจอดรถใต้ตึกใหญ่ มีมี่จอดรถแล้วจัดเสื้อผ้า “พวกเราระ...” สองสาวกะพริบตาถี่ ๆ เมื่อเห็นว่ารุ่นพี่สาวนั้นเตรียมตัวเสร็จแล้ว และกำลังเดินไปเปิดท้ายรถเพื่อเอาเอกสารและปริ้นสัญญาที่จะใช้ในวันนี้ออกมา“พี่มีออฟฟิศในรถด้วยหรอค่ะ”“เผื่อไว้ พวกเธอเร็วหน่อยจะเที่ยงแล้ว” มีมี่พูดจบก็เอาเอกสารใส่แฟ้มแล้วปิดท้ายรถ “ป่ะ พี่เสร็จละ”พอถึงหน้าภัตตาคารก็แจ้งกับพนักงานว่าได้นัดไว้กับชาวจีน “ฉัน มีมี่ คนที่จะมาคุยเรื่องสัญญาวันนี้ค่ะ ทางนี้คือรุ่น
หลังจากที่จินเซียงไปถึงเมืองหลวงของเผ่ามองก้าร์แล้ว นางก็ตรงไปหาข่านสูงสุดของเผ่าเพื่อพูดคุยถึงปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมนำตัวคนผิดที่ถูกองค์ชายสี่จับมาส่งมอบอย่างเป็นทางการ ทำให้สงครามของทุกเผ่ายุติลงในเวลาอันรวดเร็ว เพราะชนเผ่าอื่นต่างเกรงกลัวในพลังอำนาจและอิทธิพลที่มองก้าร์มีต่อ “อันเตรีย” หรือ “จินเซียง”นางใช้เวลาในแถบทุ่งหญ้าเป็นเวลาเกือบครึ่งเดือน จับจอมธนูผู้มีฝีมือและเป็นมือขวาของข่านแห่งมองก้าร์ มาสอนลูกสาวทั้งสองยิงธนูบนหลังม้าอย่างเข้มงวดจินเซียงมักตั้งกระโจมพักกลางทุ่งกับครอบครัว กินข้าวชมดาวเป็นความสุขอย่างหนึ่งในชีวิตอันวุ่นวายของนาง แต่รอบ ๆ กระโจมกลับมีแต่คนของมองก้าร์มาคอยคุ้มกันห่าง ๆ เพื่อแสดงความเคารพต่อสตรีผู้มีอำนาจล้นฟ้าคนนี้“ท่านแม่~ เมื่อไหร่เราจะกลับอ่ะเจ้าค่ะ” ไต้เฉียวงอแงเล็กน้อย“ช่าย~” ไต้เจียงเสริมทัพ ทั้งสองพี่น้องต่างเรียกร้อง แต่กลับนอนหนุนตักแม่สบาย“ไม่กี่วันก็กลับแล้ว แม่พาพวกเจ้ามาเที่ยวไง” จินเซียงลูบผมลูกสาวด้วยความอ่อนโยน“น้องเจียงง่วงแย้ว” ไต้เจียงที่นอนหนุนตักเผยอิงอยู่เริ่มงอแง“รอดูดาวตกก่อนสิคนดี... เขาว่าถ้าอธิษฐานอะไรก็จะสมปรารถนา” จินเซ







