เข้าสู่ระบบเจ็ดวันต่อมา
“เร็วเข้าพวกมันจะตามมาแล้ว” จินเซียงมองย้อนกลับไปด้านหลังขณะควบม้าด้วยความเร็ว
“จินเซียงพวกข้าพึ่งหายจากอาการบาดเจ็บน่ะ” ถังอี้หลันตะโกนแข่งกับเสียงลมที่ปะทะหน้า
“อย่าบ่นพวกเราขี่ม้าไม่ได้วิ่ง”
“ย่ะ!” ม้าทั้งสองตัวเร่งความเร็วเพื่อหวังที่จะสลัดพวกคนที่ตามล่าให้หลุด ทว่าพวกมันก็ควบม้าตามจนฝุ่นกระจาย พื้นสะเทือน
“ทำไมพวกมันจมูกไวแบบนี้” ถิงถิงหันไปมองพวกนักฆ่าที่ไล่ตามมา
“พวกนั้นเผาบ้านหลังน้อยของข้า!! อ้ากกกก!! โมโหโว้ยยย!! ข้าไม่ไหวแล้วขอหน่อยเถอะ!!” จินเซียงหยุดม้าแล้วหันหลังกลับไปประเชิญหน้า
“จินเซียง! เดี๋ยว! เจ้าจะไปไหนกลับมาก่อน!” เสียงของถังอี้หลันตะโกนดังลั่น นางพยายามจะคว้าบังเหียนม้าแต่สายเกินไป จินเซียงกระชากเชือก เร่งความเร็วม้าพุ่งทะยานเข้าใส่กลุ่มนักฆ่าที่ตามมา
“จินเซียง!”
เสียงร้องเรียกเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น แต่หญิงสาวกลับตอบเพียงชักดาบยาวเล่มใหญ่ เงาโลหะวาววับ
“ตาย!!”
เสียงตะโกนก้องผสานกับเสียงกีบม้าที่กระทบพื้นแข็งดังก้อง ตึก! ตึก! ตึก! ความเร็วและแรงปะทะทำให้ศัตรูตั้งตัวไม่ทัน
“ไม่กลัวตายก็เข้ามา!”
จินเซียงคำราม แววตาเย็นเฉียบราวคมดาบ
“ไอพวกลูกหมา!”
เคร้ง! ปัง! ฉึก! ฉึก!
ดาบในมือของนางกวาดเป็นวงกว้าง โลหะกระแทกโลหะจนเกิดประกายไฟ นักฆ่าที่อยู่แนวหน้าถูกแรงกระแทกสังหารร่วงลงจนไปกองกับพื้น เลือดสาดกระเซ็นติดกีบม้า
‘เลือด!’
มันปลุกสัญชาตญาณนักล่าของนางให้เดือดพล่าน
“วิชาลับ!! เงามายา!!”
เงาร่างของจินเซียงแตกซ้อนนับสิบสาย สายตาของพวกนักฆ่าเห็นเพียงเงาหญิงสาวพาดผ่านไปมาอย่างรวดเร็ว แทบไม่รู้ว่าตัวจริงอยู่ตรงไหนจนสับสนเสียกระบวน
ฉึก! ฉึก! ฟัง!
เลือดสาดเป็นสายน้ำพุสีแดงฉาด ร่างศัตรูทรุดลงทีละคน…ทีละคน เสียงกีบม้าและเสียงดาบที่สะบัดดังเป็นจังหวะเหมือนเสียงกลองแห่งความตาย
ไม่นานนัก กลิ่นคาวเลือดก็คละคลุ้งทั่วบริเวณ ร่างนักฆ่ากว่า 30 คน กองเรียงรายอยู่บนพื้น ทิ้งไว้เพียงความเงียบที่ชวนขนลุก
จินเซียงยังคงนั่งอยู่บนหลังม้า ลมหายใจหนักหน่วง ดวงตาแข็งกร้าวไร้ร่องรอยสั่นไหว ราวกับหญิงสาวตรงหน้าไม่ใช่เพื่อนที่ถังอี้หลันรู้จัก แต่เป็น “ยมทูต” ที่เพิ่งก้าวออกจากนรก รอบตัวเต็มไปด้วยไอแห่งความตาย
“เฮ้อ~ ถุ้ย! ไอพวกชั่ว! ไอพวกเลว! บังอาจเผาบ้านคนอื่นฝีมือ ถุ้ย! แค่ขี้เล็บ ถุ้ย!” จินเซียงด่าใส่ร่างพวกนักฆ่า แล้วรีบกลับขึ้นม้าเพื่อเดินทางต่อ
“ทำไมไม่สู้แต่แรก แล้วจะหนีทำไม” อี้หลันถาม
“คนนอนอยู่แล้วบ้านไฟไหม้แล้วใครก็ไม่รู้ยิงธนูใส่ เป็นเจ้าจะอยู่ให้พวกมันเชือดรึไง”
“ก็จริง เรารีบไปต่อเถอะอีกไกลกว่าจะถึงเมือง”
“อืม พวกเรารีบไปกันเถอะ”
ม้าทั้งสองตัวเร่งฝีเท้า เสียงกีบม้าที่กระทบพื้นแข็งดังก้อง ตึก! ตึก! ตึก! บ่งบอกได้ว่ามีความรีบเร่งเพียงใด
ตะวันบ่ายคล้อยทั้งสามก็มาถึงเมืองใหญ่ที่ตั้งอยู่ระหว่างรอยต่อของแม่น้ำสายใหญ่แต่ทั้งชื่อเมืองและแม่น้ำนั้นดันจำไม่ได้เพราะเจ้าของร่างไม่เคยออกจากหมู่บ้านกลางป่าเลย แม้แต่ภาษาก็ยังพูดไม่คล่อง อ่านเขียนพอได้
“จินเซียงข้าถามจริงเหอะ”
“ว่าไงคุณหนูอี้หลัน”
“เจ้าอ่านกับเขียนไม่ได้รึ”
“พอได้..แต่ว่าไม่ดีมาก ข้ามาจากเปอร์เซียพูดได้บ้างก็บุญแล้ว”
ถังอี้หลันยิ้มเยาะกับคำตอบ อย่างน้อยก็ยังมีบางอย่างที่เหนือกว่า
ทว่า “แล้วบัตรประจำตัวเจ้าอยู่ไหน” จินเซียงถามกลับ ถังอี้หลันจึงหันไปมองถิงถิง
“มะ...มันหายไปกับกองไฟแล้ว” ถังอี้หลันยิ้มค้างเมื่อได้ยินคำตอบ
“เอ่อ คือว่าพวกเราเหลือแค่ 20 ตำลึง” ถิงถิงเขย่าถุงเงินให้ทั้งคู่ดู
“ตำลึงทองใช่ไหม” จินเซียงถาม เมื่อเห็นถังอี้หลันนับเงินในกระเป๋า
“ฮึ...ตำลึงเงิน” อี้หลันตอบแบบไม่เต็มเสียง
“.....” จินเซียงแทบหมดคำพูด
พอเอาเงินที่พอมีมานับรวมกัน ผลที่ออกมาก็ได้แค่โรงเตี๊ยมธรรมดากับจ่ายค่าอาหารอีกเล็กน้อย ค่าที่พักนั้นไม่ถูกเลย
“นี่เถ้าแก่! พวกเราสามคนจองห้องพักหนึ่งห้องพร้อมอาหารทำไมถึงแพงแบบนี้ ตั้ง 15 ตำลึง ท่านจะเก็บไปสร้างตึกรึไง”
“ฮัยย้า ลื้อจายเย็งก่อง อั้วไม่ล่ายโกงน่า พวกลื้อดูให้ดี เห็นไหมตอนนี้บ้านเมืองไม่สงบข้าวยากหมากแพง ทุกอย่างก็แพงขึ้น ราคานี้ถูกสุดเลี้ยว”
“เถ้าแก่ มันถูกตรงไหน!” จินเซียงเริ่มกดดันอีกครั้งเพื่อที่นอนในค่ำคคืนนี้ ร่างกายต้องการพักผ่อน
“ลื้อจะเสียงดังเรียกเตี่ยหรอ ฮั้วให้ทั้งอาหารเย็ง ที่พักม้า ห้องนองใหญ่สำหรับ 3 ถึง 4 คน และไหนจะอาหารเช้าอีก ราคานี้ดีสุดเลี้ยว” เถ้าแก่โรงเตี๊ยมปาดเหงื่อ
“ก็ได้! ข้าตกลง!” สรุปได้บริการเพิ่มเติมมาอีก 2 อย่าง นั่นคือน้ำสำหรับอาบและขนมว่างพร้อมน้ำชา เถ้าแก่โรงเตี๊ยมจำใจยอมและสาบส่งตามหลังอีกหลายคำ
“จินเซียงไหนว่าเจ้าพูดไม่เก่งไงทำไมถึงต่อรองได้ดีขนาดนี้”
“อี้หลัน อย่าถามเยอะข้าอยากอาบน้ำแล้ว ง่วงด้วย”
“อาเซียงเจ้านี่มัน”
“พวกเจ้ากินก่อนเลยข้าอาบน้ำก่อน”
“อ่าวนางเดินไปอาบน้ำจริงหรอเนี่ย”
“คุณหนูทานอาหารเถอะเจ้าค่ะ”
“อืม”
เช้าวันต่อมาหลังจากทานอาหารแล้ว ทั้งสามก็พากันออกเดินทางต่อทันที โดยมีเจ้าของโรงเตี๊ยมยืนสาบส่งอย่าได้เจอกันอีกเลย จุดหมายปลายทางคือเมืองเซียโจวที่อยู่ปากแม่น้ำ รอยต่อระหว่างทะเลและแม่น้ำ เป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของแคว้น
“อีกนานไหมกว่าจะถึงบ้านเจ้า”
“บ้านตระกูลถังของข้าใหญ่เป็นอันดับหนึ่งในเมืองเซียโจว ข้าคิดว่าคงจะอีกประมาณ 2-3 วัน แต่หลังจากนี้อาจต้องนอนป่า”
“คุณหนูท่านว่า บิดาท่านจะส่งคนตามหาพวกเราไหมเจ้าค่ะ”
“ถ้าท่านอาจารย์รู้อาจจะส่งข่าวให้บิดาข้า”
“อืม ข้าหวังว่าบ้านเจ้าจะไม่ส่งนักฆ่ามาเพิ่มน่ะ” จินซียงถามกลับเพราะคนที่รู้ว่าเดินทางตอนไหนกลับตอนไหน มีเพียงคนในเท่านั้น
“รีบไปกันเถอะถึงบ้านแล้วจะรู้เอง”
“อาเซียงแล้วเจ้าจะไปทำอะไรต่อ”
“ข้าคงเกาะเจ้ากินไปก่อน”
“ข้าเลี้ยงเจ้าได้สบายอยู่แล้ว” ถังอี้หลันตบอกตัวเองอย่างภูมิใจ
“ฮ่าฮ่าฮ่า ถิงถิงนายเจ้ารับปากข้าแล้วน่ะ”
“ไป ไป เดี๋ยวจะหาที่พักคืนนี้ไม่ได้อีก”
“ได้ ได้”
ทั้งสามมาถึงจุดพักม้าตอนหัวค่ำ และได้เข้าพักที่โรงเตี๊ยมด้วยทุนทรัพย์ที่พวกนักฆ่าเอามาให้ เช้าวันต่อมาหลังจากทานอาหารเช้าเสร็จทั้งสามก็ขึ้นม้าและออกเดินทางต่อ
วิวธรรมชาติที่ไม่สามารถหาได้ในโลกก่อนทำให้จินเซียงที่ไม่ค่อยอยากที่จะเดินทางอย่างรีบเร่งนัก แต่ด้วยเกรงว่าจะมีพวกนักฆ่าตามมาอีกจึงรีบเดินทางต่อไม่อาจช้าได้
“เห็นเมืองแล้ว!” อี้หลันชี้ไปที่เมืองที่อยู่ไม่ไกล
“ว้าว มีท่าเรือด้วยแบบนี้ก็ต้องมีพวกโพ้นทะเลด้วยซิ” จินเซียงถาม
“ก็มีน่ะ แต่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยเข้าใกล้ท่าเรือเพราะพูดภาษาไม่ได้”
จินเซียงที่ได้ฟังก็หันมองคุณหนูบนหลังม้าเหมือนเยาะเย้ย
“พูดจริงดิ”
“อย่ามองข้าแบบนั้น”
“คุณหนูนั่นใช่ธงของตระกูลรึเปล่าเจ้าค่ะ” ถังอี้หลันมองไปด้านหน้าก็เห็นกลุ่มฝุ่นลอยมาแต่ไกล
เสียงกีบม้าที่กระทบพื้นแข็ง ตึก! ตึก! ตึก! พร้อมกับฝุ่นจำนวนมากที่ลอยดำอยู่ด้านหลัง จนมาหยุดตรงหน้าทั้งสาม
“นายกองหลี่!!”
ทันทีที่เห็นคุณหนูของตนปลอดภัย นายกองหลี่ก็รีบลงจากม้าวิ่งตรงมาอย่างไว้
“คุณหนู! ขอบคุณสวรรค์ที่ท่านยังปลอดภัย”
“พวกท่านกำลังไปไหนกัน”
“พวกเราพึ่งได้รับจดหมายจากอาจารย์ของท่าน ว่าท่านได้หายตัวไปหลังจากเดินทางกลับจากสำนักศึกษาขอรับ”
“10 วันเนี่ยน่ะ 10 เลยน่ะ! พวกเจ้า...เอาเถอะรีบกลับจวนกันก่อน สหายข้าคงหิวแย่แล้ว” ถังอี้หลันถอนหายใจอย่างหมดแรง
“ข้าน้อยนามว่าจินเซียง คารวะผู้อาวุโสเจ้าค่ะ”
“ดี ดีมาก รู้จักเคารพผู้ใหญ่ ต่อไปตามคุณหนูเจ้าจะโชคดีเอง”
“เจ้าค่ะ” การประสานมือคารวะทำให้นายกองหลี่ยิ้มออกมาอย่างพอใจ ที่คนตรงหน้าเป็นคนรู้จักมารยาทเช่นนี้ แม้ว่าจะแต่งตัวแปลกไปหน่อย
“คุณหนู พวกเราจะคุ้มกันท่านกลับจวนขอรับ”
“ขอบคุณท่านมาก”
ก่อนอาทิตย์ลับขอบฟ้าทั้งหมดก็มาถึงหน้าเมือง ทหารหน้าประตูเมืองสังเกตเห็นป้ายหยกของกองทหารม้าก็รีบเปิดทางให้ทันที เมืองเซียโจวเป็นเมืองที่มีกำแพงสูงและแข็งแกร่ง ภายในเมืองมีหลากหลายวัฒนธรรมปะปนกันดูแปลกตาสำหรับคนที่ดูหนังจีนบ่อยอย่างจินเซียง
“ดูนั่น มีหนุ่มมารอรับด้วย”
“เจ้าอย่ามาเยอะจินเซียง นั่นคู่หมั้นข้า...แต่ข้าไม่ค่อยชอบเลยข้ายกให้เจ้าดีไหม”
“อะ ฮึม คุณหนูถ้าคนอื่นได้ยินจะไม่ดีน่ะขอรับ”
“เหอะ! ข้าเกือบตายมาหลายรอบเพราะชายคนนั้น ท่านจะให้ข้าชอบได้เช่นไร” อี้หลันเถียงกลับ
“หยุดเลย อย่ามาทำให้เสียบรรยากาศ รีบเข้าจวนเถอะข้าอยากอาบน้ำแล้ว” จินเซียงบ่นออกมาอย่างเบื่อหน่ายหลังจากเดินทางมาทั้งวัน
“แม่นางเพียงเลี้ยวหัวมุมถนนก็ถึงแล้ว ป่านนี้บ่าวคงจะรายงานให้นายท่านทราบแล้ว”
“ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ”
แต่เมื่อมาถึงหน้าจวนชายคนนั้นก็รีบเดินเข้ามาถังอี้หลันพร้อมทั้งพูดจาต่างๆ นาๆ มีทั้งคำหวานและของขวัญมันจึงง่ายที่จะทำให้ถังอี้หลันยอมใจอ่อน
“อย่าเกะกะทาง ถ้าไม่เข้าก็หลบไปคุยกันตรงนู้น”
“จินเซียงเบาหน่อยเดี๋ยวจะเดือดร้อนน่ะ”
“ถิงถิง นี่ก็เย็นแล้วน่ะ ข้าหิวแล้ว” จินเซียงพูดด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่าฮ่าฮ่า คุณหนูขอรับดูท่าท่านคงต้องรีบแล้ว ก่อนที่สหายของท่านจะเชือดคู่หมั้นท่านทิ้ง” พูดไม่ผิดหรอกข้าสัมผัสได้ ดูจากหน้านางก็รู้เชื่อข้าซิ นายกองหลี่ยิ้มด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อ
ถังอี้หลันทำหน้าเหมือนนึกขึ้นได้ “ห่ะ อ้อๆ มาๆ เข้าจวนกันเถอะป่านนี้ท่านพ่อคงรอแล้ว”
“อะไรกันหลันเอ้อ เจ้าเห็นนางสำคัญกว่าขอข้ารึ” คนที่ฟังได้แต่กรอกตาไปมาด้วยท่าทีเบื่อหน่าย
“พี่จางหมิง นางเป็นสหายข้า นางช่วยข้ามาเยอะเหตุใดจะให้ความสำคัญมิได้เล่า”
“หึ ดูการแต่งตัวแล้วคงเป็นพวกนอกด่านกระมั้ง กล้าดีอย่างไรมาตีสนิทกับคู่หมั้นข้า”
“น่าเบื่อ”
“เจ้า เจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นใคร”
“ถ้าเจ้าไม่เลอะเลือนถึงขนาดจำไม่ได้ข้าคงช่วยไม่ได้แล้ว ถิงถิงมาเถอะปล่อยนายเจ้าไว้กับคนบ้าแล้วเรารีบไปพักกันเถอะ” จินเซียงดึงเชือกม้าบังคับผ่านจางหมิงที่ยืนค้างเป็นรูปปั้นเข้าไปในจวน
“รอข้าด้วยอาเซียง!” ถังอี้หลันรีบจูงม้าตามเข้าจวน ทิ้งชายคนนั้นไว้ที่นอกจวนอย่างไม่ไยดีหรือบางทีอาจแค่ลืม...
สายลมอุ่นพัดผ่านไปตามตรอกอาคารบ้านเรือนในย่านตลาดหลังท่าเรือ บนหลังคาอาคารรอบ ๆ เรือนหลังหนึ่งมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งกำลังเฝ้าจับตามองอยู่เด็กสาวสองคนเดินฮัมเพลงเป็นจังหวะสบาย ๆ เข้ากับบรรยากาศอบอุ่นและกลิ่นของน้ำทะเล ทั้งคู่เดินมาหยุดอยู่หน้าประตูไม้บานใหญ่ของเรือนหลังใหญ่ที่สุดในตรอกนี้ มีคนคุ้มกันสองคนยืนเฝ้าอยู่“เจ้าหนู ถ้าไม่มีอะไรอย่ามายืนขวางประตู!” ผู้คุ้มกันตะโกนใส่“ที่นี่คือเรือนของผู้ใดกัน ถึงมีคนคุ้มกันที่เป็นถึงจอมยุทธ์เช่นนี้” เด็กสาวถามด้วยความสงสัย“พวกเจ้าดูไปก็ใช้ได้เลยนิ ถ้ายอม.... เล่นกับพวกข้าบางทีอาจยอมให้เข้า... ก็...”ผัวะ! ตุ้บ! พูดไม่ทันจบ... พวกมันก็ถูกตีจนสลบแล้วถูกมัดมือมัดเท้าก่อนจะโดนหิ้วตัวออกไปอย่างรวดเร็ว“เจอรึยัง” ไต้เจียงหันไปถามชายคนหนึ่งที่โผล่ออกมาจากเงามืด“ขอรับ ที่คุกใต้ดินมีคนถูกจับไว้สิบห้าคน แล้วก็... อื้ม...”ไต้เฉียวหันมองหน้าคนพูดอย่างตั้งคำถาม “แล้วก็อะไร พูดมา”“ขอรับคุณหนูใหญ่... คือว่ามีทาสจำนวนมากถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินอีกแห่งขอรับ”สองสาวพี่น้องมองหน้ากันด้วยสายตาเย็นชา เพราะกฎหมายเรื่องค้าทาสนั้นถูกยกเลิกไปตั้งแต่อดีตฮ่องเต้ ที่ทรงส
สายลมอุ่น ๆ พัดโชยเข้ามาในหน้าต่างห้องทำงานชั้นบนสุดของหอการค้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของต้าซ่ง เด็กสาวสองคนกำลังนั่งเล่นไพ่รับลมชมวิวเมือง ไต้เฉียวกับไต้เจียง สองพี่น้องผู้เป็นคุณหนูของหอการค้า ที่นับวันยิ่งมีความคล้ายกับผู้เป็นแม่ไต้เฉียวนั้นจะคล้ายกับจินเซียงมากที่สุด ไต้เจียงนั้นจะออกไปทางเผยอิงผู้เป็นมารดา สองคนนี้จะแตกต่างกันตรงสีผิวและดวงตาเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่หาตัวยากมากที่สุด พวกนางขึ้นชื่อเรื่องการซ่อนตัวเป็นที่สุด ส่วนน้อยจะได้เห็นหน้าพวกนาง“ท่านแม่ไปไหนกัน” ไต้เจียงหันไปถามเลขาหน้าห้องของจินเซียง “ไม่ทราบเจ้าค่ะคุณหนู ท่านประธานออกไปแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ”“ไปกับท่านแม่หรอ”“เจ้าค่ะ ฮูหยินไปด้วย”“พี่ใหญ่เอาไงต่อดี แม่ไม่อยู่”“ไปเดินเล่นกันหน่อยเป็นไง เดี๋ยวต้องไปรับองค์หญิงน้อยอีก เบื่อพวกองค์ชายมาก” ไต้เฉียวบ่นอย่างเบื่อหน่าย ทุกวันนี้อีกฝ่ายมักหาเรื่องเข้าหาตลอด“คุณหนู อีกสองวันมีงานเลี้ยงตระกูลหวาง ของพระสนมหวางหลงเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าจะเข้าร่วมไหมเจ้าค่ะ” ไต้เฉียวมองหน้าคนพูดอย่างรู้เจตนา“ขออภัยเจ้าค่ะคุณหนู”“หลานเจ้าหรือคนในตระกูลให้เอามาให้พวกเรา”“ปะ..เป็นคุณ
เช้าวันต่อมา ทั้งสองสาวจีนพาเพื่อนชาวไทยผู้ที่ไม่ได้นอนหลับทั้งคืนไปเดินชมหมู่บ้าน ความเหนื่อยล้าสะสมไม่ได้ทำให้ความกระหายใคร่รู้ของมีมี่ลดลงเลยพวกเธอเข้าไปไหว้หอบรรพบุรุษตามคำแนะนำของคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้าน บรรยากาศภายในเงียบสงัด มีมี่เดินไปตามทางเดินแคบ ๆ ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อสายตาปะทะกับภาพวาดเก่าแก่บนกำแพงภาพวาดนั้นคือเงาหญิงสาวในชุดโบราณที่เธอเห็นซ้อนทับอยู่ในความฝันเมื่อคืน!“นั่นใครกัน?” มีมี่ถามเสียงแผ่ว“คนเฒ่าคนแก่เล่ากันว่า ภาพนี้คือภาพของผู้ก่อตั้งหมู่บ้านแห่งนี้เมื่อหลายร้อยปีก่อน ตั้งแต่ยุคราชวงศ์ซ่งนู่นเลย”“เก่าเหมือนกันเนอะ ภาพยังคมชัดเหมือนพึ่งถ่ายเลย” มีมี่ยิ้มแห้ง ๆ มองดูรูปบนกำแพง เธอรู้สึกเหมือนกำลังมองใบหน้าของตัวเองในอดีต“พวกเราก็คิดเหมือนกัน มา ๆ ไปเที่ยวที่อื่นกันต่อ” สองสาวลากตัวมีมี่ขึ้นรถเพื่อไปยัง อุทยานประวัติศาสตร์ ที่เคยเป็นหมู่บ้านเก่าแก่หลายร้อยปีซึ่งถูกทิ้งร้างไว้กลางป่า นี่คือหมู่บ้านเริ่มแรกที่เคยเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดมีมี่ที่เดินตามสาวจีนทั้งสองอยู่หลังสุดนั้น พยายามสลัดความคิดเรื่องภาพวาดออกไป เธอสูดหายใจลึกเพื่อเรียกสติแต่แล้ว... สายตาของ
อากาศร้อนระอุของเดือนเมษายนพัดปะทะหน้าของหญิงสาวที่ยืนอยู่ในชานชาลารถไฟของสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ความร้อนที่แผดเผาไม่ได้ช่วยลดความตื่นเต้นผสมความหวาดระแวงในอกของมีมี่เลยแม้แต่น้อย เสียงประกาศตามสายดังขึ้นท่ามกลางเสียงพูดคุยที่อื้ออึงของคนที่มารอ เสียงประกาศไทยสลับกับเสียงอังกฤษ‘ผู้โดยสารที่จะไปกับขบวนนี้ขอให้เตรียมตัว รถไฟจะเข้าเทียบชานชาลาที่ 2 อีกสิบนาที’มีมี่ยิ้มให้กับตัวเองแล้วสำรวจดูความเรียบร้อย เมื่อไม่ลืมอะไรก็เดินไปยืนรอตรวจตั๋วขึ้นรถไฟ เจ้าหน้าที่มองตั๋วแล้วยิ้มให้ก่อนจะให้พนักงานอีกคนช่วยขนของไปไว้ที่ห้องโดยสาร“เดินทางคนเดียวหรอค่ะ เห็นจองห้องนอนคู่ไว้ทั้งห้อง”“คะ เลยจองไว้ทั้งสองเตียง”“เดินทางไกลเลยน่ะค่ะ ลาวต่อจีนคงเหนื่อยน่าดู ถึงแล้วค่ะ ขอให้สนุกกับการเดินทาง” พนักงานพามาถึงหน้าห้องที่จองไว้ ก่อนจะยิ้มให้แล้วเดินจากไปมีมี่รู้สึกแปลกใจกับคำถามของพนักงานคนนี้มาก รู้สึกว่าถูกจับจ้องจนเกินความจำเป็น แต่ก็ไม่ทันจะถาม อีกฝ่ายก็เดินไปไกลแล้วกระเป๋าสองใบวางไว้ที่พื้น มีมี่ทิ้งตัวลงนั่งข้างหน้าต่างมองดูผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา ในห้องโดยสารส่วนตัวที่จองไว้ทั้งสองเตียงนั้
เสียงผู้คนเดินสัญจรไปมา สลับกับเสียงคอมเพรสเซอร์แอร์จากอาคารใหญ่ในย่านสุขุมวิท หญิงสาวผมสั้นประบ่าในชุดพนักงานออฟฟิศสวมแว่นกันแดด หน้าตาของเธอนั้นอยู่ในระดับที่เรียกว่าสาวสวยคนหนึ่งสำหรับออฟฟิศบริษัทใหญ่ที่เธอทำงาน“หัวหน้า! พวกเราไปกินข้าวที่ไหนดี” เสียงพนักงานรุ่นน้องถาม ทว่าคนตรงหน้าก็หันกลับมา“สาว ๆ พวกเรามีงานด่วน บอสแจ้งว่าลูกค้าชาวจีนตกลงคุยงานที่โรงแรมเชอราตัน เดี๋ยวไปกินข้าวที่นู่นเลย”“หัวหน้า! คุณคงไม่หลอกพาพวกเราไปขายใช่ไหม” รุ่นน้องถามอย่างระแวง“กินไม่กิน!”“กิน ๆ !” สองสาวรีบเดินคล้องแขนรุ่นพี่คนสวยไปที่ลานจอดรถซูซูกิฮัตสเลอร์สีชมพูจอดอยู่ในลานจอดรถใต้ตึกใหญ่ มีมี่จอดรถแล้วจัดเสื้อผ้า “พวกเราระ...” สองสาวกะพริบตาถี่ ๆ เมื่อเห็นว่ารุ่นพี่สาวนั้นเตรียมตัวเสร็จแล้ว และกำลังเดินไปเปิดท้ายรถเพื่อเอาเอกสารและปริ้นสัญญาที่จะใช้ในวันนี้ออกมา“พี่มีออฟฟิศในรถด้วยหรอค่ะ”“เผื่อไว้ พวกเธอเร็วหน่อยจะเที่ยงแล้ว” มีมี่พูดจบก็เอาเอกสารใส่แฟ้มแล้วปิดท้ายรถ “ป่ะ พี่เสร็จละ”พอถึงหน้าภัตตาคารก็แจ้งกับพนักงานว่าได้นัดไว้กับชาวจีน “ฉัน มีมี่ คนที่จะมาคุยเรื่องสัญญาวันนี้ค่ะ ทางนี้คือรุ่น
หลังจากที่จินเซียงไปถึงเมืองหลวงของเผ่ามองก้าร์แล้ว นางก็ตรงไปหาข่านสูงสุดของเผ่าเพื่อพูดคุยถึงปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมนำตัวคนผิดที่ถูกองค์ชายสี่จับมาส่งมอบอย่างเป็นทางการ ทำให้สงครามของทุกเผ่ายุติลงในเวลาอันรวดเร็ว เพราะชนเผ่าอื่นต่างเกรงกลัวในพลังอำนาจและอิทธิพลที่มองก้าร์มีต่อ “อันเตรีย” หรือ “จินเซียง”นางใช้เวลาในแถบทุ่งหญ้าเป็นเวลาเกือบครึ่งเดือน จับจอมธนูผู้มีฝีมือและเป็นมือขวาของข่านแห่งมองก้าร์ มาสอนลูกสาวทั้งสองยิงธนูบนหลังม้าอย่างเข้มงวดจินเซียงมักตั้งกระโจมพักกลางทุ่งกับครอบครัว กินข้าวชมดาวเป็นความสุขอย่างหนึ่งในชีวิตอันวุ่นวายของนาง แต่รอบ ๆ กระโจมกลับมีแต่คนของมองก้าร์มาคอยคุ้มกันห่าง ๆ เพื่อแสดงความเคารพต่อสตรีผู้มีอำนาจล้นฟ้าคนนี้“ท่านแม่~ เมื่อไหร่เราจะกลับอ่ะเจ้าค่ะ” ไต้เฉียวงอแงเล็กน้อย“ช่าย~” ไต้เจียงเสริมทัพ ทั้งสองพี่น้องต่างเรียกร้อง แต่กลับนอนหนุนตักแม่สบาย“ไม่กี่วันก็กลับแล้ว แม่พาพวกเจ้ามาเที่ยวไง” จินเซียงลูบผมลูกสาวด้วยความอ่อนโยน“น้องเจียงง่วงแย้ว” ไต้เจียงที่นอนหนุนตักเผยอิงอยู่เริ่มงอแง“รอดูดาวตกก่อนสิคนดี... เขาว่าถ้าอธิษฐานอะไรก็จะสมปรารถนา” จินเซ







