LOGINเมื่อบทสนทนาเข้าสู่ช่วงการพูดคุยเรื่องงาน เหล่าคุณหนูต่างก็แสดงท่าทีอึดอัด และยังคงมีข้อสงสัยอยู่บ้าง ต้องดูว่าเสิ่นอวี้เจาจะปกปิดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในใจได้แค่ไหน พร้อมกับยกยอองค์รัชทายาท ให้ดูเลอเลิศเกินความจริง
"องค์รัชทายาทคือใคร? ท่านคือบุรุษหนุ่มผู้สง่างามและมีเสน่ห์ล้ำลึก เป็นไท่จื่อที่อบอุ่นและเปิดใจรับผู้อื่น ทรงมีนิสัยตรงไปตรงมา และเปี่ยมด้วยความเมตตา ใครก็ตามที่ได้เข้าตำหนักรัชทายาท นั่นคือบุญวาสนาจากการสร้างสมบารมีมาแต่ชาติปางก่อน! อย่าไปเชื่อข่าวลือ และเรื่องนินทาจากภายนอก คนทั่วไปมักไม่พูดถึงความหอมหวานของแอปเปิล แต่ชอบจ้องจับผิดแค่องุ่นเขียว นี่ก็เพราะความอิจฉาริษยา และอยากก่อเรื่องเท่านั้นเอง ตอนนี้โอกาสที่จะได้เชิดชูวงศ์ตระกูลมาถึงแล้ว จะทำให้องค์รัชทายาทพึงพอใจ และได้รับความรักจากพระองค์เป็นร้อยปีหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถของพวกท่านแล้ว!"
คำพูดเหล่านี้ทำให้เหล่าสตรีพากันลูบมือด้วยความตื่นเต้น อยากลองพิสูจน์ฝีมือ ในกลุ่มนั้นคุณหนูเฉียน ได้ตั้งคำถามขึ้นด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น "รบกวนบอกข้าเถิดแม่สื่อเสิ่น ไท่จื่อทรงโปรดอะไรบ้าง? ข้าจะได้เตรียมตัวให้พร้อมล่วงหน้า"
"องค์รัชทายาททรงโปรดการขับร้องและดูการร่ายรำ ยามถึงเวลาทุกคนต้องแสดงความสามารถที่สั่งสมมาตลอดชีวิตให้เป็นที่ประจักษ์ ที่สำคัญต้องใส่ใจในรสนิยมของพระองค์ซึ่งไม่ธรรมดาเลย ไท่จื่อชอบสตรีที่กล้าหาญและเปิดเผย อย่ามัวเกรงใจจนเกินไป"
"แบบนั้น...จะเหมาะสมหรือ?"
หญิงสาวคนหนึ่งเอ่ยด้วยท่าทางเขินอาย เมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้น เจียงเฉินถึงกับอยากจะอาเจียน
แต่เสียงของเสิ่นอวี้เจากลับนิ่งสงบ "วางใจเถิด ข้าจะคอยดูแลพวกท่านอยู่ข้างๆ รับรองว่าไม่มีข้อผิดพลาดแน่นอน"
"ท่านหญิงเสิ่นช่างสมกับเป็นแม่สื่ออันดับหนึ่งในเมืองหลวงจริงๆ!"
"อย่ายกยอข้าจนเกินไปนัก ข้าก็เพียงแต่หวังดีต่อองค์ไท่จื่อ และอยากให้พวกท่านมีความสุขในเบื้องหน้าเท่านั้น เมื่อเห็นทุกคนมีชีวิตคู่ที่สมบูรณ์แบบ ข้าก็วางใจแล้ว"
เจียงเฉินที่ทนฟังน้ำเสียงไร้ยางอายของนางไม่ไหวอีกต่อไป ถึงกับหันหลังเดินออกจากห้องรับรองเงียบๆ ช่วงนี้องครักษ์หนุ่มได้ยินเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ที่ท้าทายขอบเขตจิตใจมามากเกินไป เขาจำเป็นต้องหาเวลาสงบสติอารมณ์บ้างแล้ว...
เช้าตรู่, สามวันให้หลัง
ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะโผล่ขึ้นจากทางทิศตะวันออก เกี้ยวของเหล่าคุณหนูทั้งหลาย ก็มาถึงตำหนักรัชทายาทแล้ว
ฉู่มู่ฉือซึ่งเพิ่งเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเสร็จเรียบร้อย เดินออกมาอย่างเกียจคร้าน ดวงตาหรี่ปรือพอเห็นเงาของเสิ่นอวี้เจา ที่ค่อยๆ ปรากฏตัวในลานอีกฝั่ง นางส่งแกนแอปเปิลที่ถูกกัดจนเกลี้ยงให้เจียงเฉิน แล้วเงยหน้าทักทายอย่างหน้าตาเฉย
"ฝ่าบาทตื่นเช้าเสียจริง หรือเป็นเพราะมีลางบอกเหตุ ว่ากำลังจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้น เลยตื่นเต้นจนหลับไม่ลง?"
"ข้าไม่ได้หิวกระหายเหมือนที่แม่สื่อเสิ่นคิดหรอก" พระองค์กล่าวขณะเดินผ่านนางไปอย่างไม่ใส่ใจ "ว่าอย่างไรเล่า หรือว่าเจ้าได้เลือกตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมมาให้ข้าได้จริงๆ? สมกับเป็นแม่สื่ออันดับหนึ่งของเมืองหลวง ความสามารถของเจ้าช่างไม่ธรรมดาเลย"
เสิ่นอวี้เจาเอ่ยด้วยท่าทีจริงจัง "การช่วยฝ่าบาทหาคู่ครองเป็นหน้าที่หลักของหม่อมฉัน ไม่กล้าละเลยแม้แต่นิดเดียว"
ฉู่มู่ฉือทำหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที "อ้อ? นั่นแปลว่าแม่สื่อเสิ่นกระตือรือร้น ให้ข้ารีบแต่งงานหรือ?"
เมื่อเห็นท่าทีจงใจยั่วโมโหของไท่จื่อแล้ว เสิ่นอวี้เจาที่รู้สึกไม่สบอารมณ์ตั้งแต่แรก ถึงกับอยากตบหน้าอีกฝ่ายเสียจริงๆ แต่พอคิดแล้วก็ยังอดไม่ได้ ที่จะขยับไปหลบหลังเจียงเฉินอย่างรวดเร็ว "เหตุใดฝ่าบาทจึงตรัสเช่นนั้น? ทั้งที่เมื่อก่อนพระองค์เคยต่อว่าหม่อมฉัน ที่ไม่ใส่ใจเรื่องคู่ครองของท่าน หม่อมฉันจึงต้องเสียเวลาพักผ่อนเพื่อทำให้ฝ่าบาทพึงพอใจ บัดนี้คุณหนูจากตระกูลขุนนางทั้งหลายกำลังรออยู่ ฝ่าบาทควรระวังคำพูด และการกระทำให้สมกับฐานะ ไม่เช่นนั้นจะทำลายชื่อเสียงหม่อมฉันจนหมดสิ้น"
"ระวังคำพูดและการกระทำ?" ฉู่มู่ฉือแค่นหัวเราะเบาๆ "นี่ข้าเป็นฝ่ายเลือกพวกนาง หรือพวกนางเป็นฝ่ายเลือกข้ากันแน่?"
เสิ่นอวี้เจาตอบอย่างจริงจัง "ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ไม่แน่ว่าพวกนางอยากเลือกฝ่าบาทหรือไม่ ฝ่าบาทอย่าเพิ่งอวดดีเกินไปจะดีกว่า"
"..."
เสิ่นอวี้เจาโบกมือให้เจียงเฉิน องครักษ์รีบวิ่งไปบอกคนยกเกี้ยวให้เปิดม่าน เพื่อให้คุณหนูเหล่านั้นลงมาพบกับฉู่มู่ฉือ หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เขาหันหน้าหนีด้วยความสะเทือนใจอย่างที่สุด เพราะไม่มีความกล้าพอแม้แต่จะหันไปมอง
หลังจากนั้นฉู่มู่ฉือยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับ เขามองด้วยความสิ้นหวัง ขณะที่เหล่าคุณหนูผู้ได้รับการคัดเลือกให้เป็นว่าที่พระชายา ทยอยลงจากเกี้ยวทีละคน พวกนางเรียงแถวตรงหน้าเขา ซึ่งบรรยากาศนั้นไม่ต่างจากการเผชิญหน้ากับพวกอสูรกายร้ายในน้ำหลาก
พูดตามตรง ภายใต้สายตาอันร้อนแรงและไม่ปิดบังเหล่านั้น แม้แต่เขายังอดไม่ได้ ที่จะอยากหาที่หลบซ่อนตัวชั่วคราว
"แม่สื่อเสิ่น นี่มัน..."
"คุณหนูแต่ละคนล้วนงามราวกับดวงจันทร์" เสิ่นอวี้เจากล่าวด้วยน้ำเสียงชื่นชมสุดหัวใจ ขณะเดียวกันก็ลากเก้าอี้มาบังคับให้เขานั่งลง "ฝ่าบาทอย่าเพิ่งรีบร้อน ควรให้พวกนางมีโอกาสแสดงความสามารถก่อน ท้ายที่สุดแล้ว ความงามเพียงอย่างเดียวไม่พอ พระชายาควรมีความสามารถรอบด้าน"
บรรยากาศเงียบสงัดอย่างยิ่ง อาจเป็นเพราะใบหน้าเย็นชาของนาง แม้แต่ในขณะที่ฉู่มู่ฉือไม่ได้แสดงความยินดีใดๆ สีหน้าของนางยังคงจริงจัง ราวกับกำลังอำลาศพ
“ข้าอยากทราบนักว่าท่านหญิงเสิ่น นิยามคำว่า ‘ความงาม’ ไว้อย่างไร?”
“เรื่องนี้ยังต้องถามอีกหรือ? หม่อมฉันได้คัดเลือกสาวงาม ตามมาตรฐานที่ครบถ้วนสมบูรณ์ เพื่อถวายให้แก่ฝ่าบาทแล้ว” คำตอบนั้นเรียบง่ายอย่างยิ่ง
“ดังนั้น ข้าจึงมาพบกับคนเหล่านี้อย่างนั้นรึ?”
เสิ่นอวี้เจาจ้องหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง “พวกนางล้วนเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติอันโดดเด่น ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องขอบคุณหม่อมฉัน อีกทั้งยังไม่ต้องรู้สึกด้อยค่า หรือไม่คู่ควรกับพวกนาง เพราะพวกนางล้วนมีใจที่บริสุทธิ์ หากพวกนางยินดีมาที่นี่ แสดงว่าพวกนางยอมรับในตัวฝ่าบาทแล้ว”
ฉู่มู่ฉือชั่งใจอยู่ว่าควรจะสาดน้ำชาที่ถืออยู่ในมือลงบนหน้าอีกฝ่ายดีหรือไม่ “เช่นนั้นหรือ เจ้าช่างทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยมเสียจริง มิสู้ให้ข้า…”
ก่อนที่จะพูดจบ อีกฝ่ายก็ยกมือขึ้นปิดปากเขาทันที “หม่อมฉันเคยเตือนฝ่าบาทแล้ว ว่าให้รักษาภาพลักษณ์ของตนเอง! เรื่องนี้มิใช่เพียงเรื่องส่วนพระองค์ แต่ยังเกี่ยวข้องกับความปรองดอง ระหว่างฝ่าบาทกับฮ่องเต้ และขุนนางในราชสำนักด้วย!”
มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ได้หลบเลี่ยง คว้าข้อมือนางไว้ทันที “ท่านหญิงเสิ่น ต้องการที่จะทำให้ขุนนางราชสำนักไขว้เขวหรือ?”
“หม่อมฉันคิดถึงประโยชน์ของฝ่าบาทโดยแท้” เสิ่นอวี้เจาจ้องมองเขาโดยไม่หลบสายตา น้ำเสียงของนางจริงจัง ฉู่มู่ฉือในที่สุดก็พ่ายแพ้ให้กับความหน้าด้านของนาง เบือนหน้าหนีอย่างรำคาญ พร้อมโบกมือไล่
“หากพวกเจ้ามีความสามารถก็แสดงออกมาเสีย”
เสิ่นอวี้เจาเพียงส่งสายตาสื่อความหมาย กลุ่มคุณหนูก็เริ่มแสดงความสามารถของตน ทั้งขับร้องเพลง เล่นเครื่องดนตรี และร่ายรำ แต่กลับมีคนร้องเพลงผิดคีย์ เล่นพิณจนสายขาด สาวจากตระกูลจ้าวที่ฟันยื่น แม้ท่วงท่าร่ายรำของนางจะไม่เลว แต่ในขณะที่นางกำลังเต้นเพลินไป ก็เหวี่ยงผ้าแพรในมือตบเข้าหน้าฉู่มู่ฉือเต็มแรง...
เจียงเฉินซึ่งนั่งชม “ระบำปีศาจ” อยู่ รีบหดคอเข้าเสื้อคลุม เขาไม่อาจเข้าใจได้เลย ว่าทำไมเจ้านายของเขายังคงรักษาสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึกไว้ได้ อีกทั้งยังปรบมือชมเชย ด้วยความกระตือรือร้น นางไม่รู้สึกอับอายบ้างเลยหรือ?
แต่แล้วเขาก็คิดได้ว่า นางอาจจะไม่รู้สึกอะไรเลยจริงๆ เพราะก่อนหน้านี้ นางเคยกล่าวไว้ว่าผู้ที่หน้าบางนั้นไม่อาจโกหกได้ และไม่สามารถเป็นแม่สื่อได้ นางคงฝึกฝนจนหน้านางหนา ยิ่งกว่ากำแพงสิบเมตรแล้ว
มาดึกหน่อยน้าา ยังรอกันอยู่ไหมมมมม
ฮ่องเต้ถอนหายใจด้วยความท้อ"ยี่สิบปี...ข้าก็รอคอยมาถึงยี่สิบปี ท้ายที่สุดก็จบลงด้วยความยากลำบากถึงเพียงนี้ แถมยังโง่เขลาอ่อนข้อให้เจ้า จนเกือบทำลายความสุขของคนรุ่นหลัง"เล่อเฟยหัวเราะลั่นราวกับคนเสียสติ นางหัวเราะไม่หยุดจนใบหน้าแดงระเรื่อ น้ำตาไหลพราก "ใช่เพคะ ฝ่าบาททรงโง่เขลาอย่างที่สุด! แล้วตอนนี้ทรงเสียพระทัยแล้วหรือ? หม่อมฉันไม่เสียใจ ไม่เคยเสียใจเลย แต่...หม่อมฉันก็ไม่อาจยกโทษให้ฝ่าบาทได้"เล่อเฟยจ้องมองฮ่องเต้เงียบๆ ชายที่นอนเคียงข้างนางมานาน ชายผู้ที่รักและโปรดปรานนางมาตลอด รู้ว่านางยังนึกถึงคนในอดีต แต่ไม่เคยโกรธเคืองแม้แต่น้อย ชายที่เคยละเลยนางสนมคนอื่นเพื่อเอาใจนาง ปฏิเสธการเลือกนางสนมใหม่เพื่อเห็นแก่นาง เดินทางไปยังเจียงหนานเพื่อสนองความต้องการของนาง และยอมรับความผิดพลาดของนางชายคนนี้คือฮ่องเต้ผู้โง่เขลาที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่เพราะความโง่เขลานี้เอง นางจึงไม่อยากให้เวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ทำให้เขาต้องอับอายต่อคำถามของบุตรธิดา นางรู้ดีว่าฮ่องเต้ไม่มีทางลงโทษนางอย่างเด็ดขาดถ้าเช่นนั้น นางก็จะไม่เป็นหนี้บุญคุณของเขาอีกต่อไป เพราะสิ่งที่ผิดก็ได้ทำลงไปแล้ว เล่อเฟยได้ปลดปล่อยความ
"หม่อม...หม่อมฉันไม่รู้จักคนผู้นี้"คนแซ่จูถึงกับถอนหายใจ "เจ้าจะไม่อยากเกี่ยวข้องกับข้า ก็ถือเป็นเรื่องที่ฝืนใจไม่ได้ แต่ข้าไม่คิดเลย ว่าตอนแรกข้าคิดว่าที่เจ้าทิ้งข้าไป เพราะข้าดูแลเจ้าไม่ดีพอ แต่มาตอนนี้กลับเข้าใจได้ว่า เป็นเพราะเจ้าเห็นแก่ลาภยศสมบัติ...ความรักที่ข้ามีให้เจ้ามาหลายปี กลับกลายเป็นข้าทุ่มเทผิดคน"ฮ่องเต้แทบประทับไม่ติด พระองค์ทอดพระเนตรสองคน ที่คุกเข่าอยู่ไม่ไกลด้วยความตกตะลึง แล้วหันถามฉู่มู่ฉือหลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง "เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?""เรื่องนี้อธิบายยาวพ่ะย่ะค่ะ" ฉู่มู่ฉือตอบอย่างสงบนิ่ง "ลูกได้ยินข่าวมาว่า สหายสนิทของราชครูซูซึ่งก็คือเจ้าของโรงสุราจุ้ยเซียนเป็นชาวเจียงหนาน ในอดีตนางเคยท่องยุทธภพ ลูกจึงขอให้ราชครูซูช่วยฝากฝังให้นางเดินทางไปเจียงหนานพร้อมกับเจียงเฉิน เพื่อช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด"เจียงเฉินก้มตัวคารวะด้วยความเคารพและกล่าว "ข้าน้อยสามารถยืนยันได้ว่าทุกคำที่องค์รัชทายาทกล่าวเป็นความจริง อีกทั้งยังได้ตรวจสอบพบว่า ท่านหญิงอวี้หนี่ว์ก่อนที่จะรู้จักองค์รัชทายาท นางหาใช่หญิงบริสุทธิ์ ซึ่งเรื่องนี้เถ้าแก่จูเจ้าของร้านสามารถเป็นพยานได้"เยว่
"บังอาจ!" ฮ่องเต้ที่เหมือนโดนแทงจุดเจ็บ ทรงโยนถ้วยชาใบที่สองลงพื้น จนแตกกระจายใต้เท้าของฉู่หยุนชิง เสียงแตกดังก้องสะท้อนทั่วห้อง "ข้าไม่อนุญาต! เจ้าจงเลิกล้มความคิดนี้เสียตั้งแต่ตอนนี้!"พระสนมเล่อเฟยเห็นฮ่องเต้แสดงท่าทีแน่วแน่ ก็เหมือนจะโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อได้สติกลับคืน นางรีบไล่ทั้งสองคนออกไปจากตำหนักทันที"อย่าให้ความวู่วามชั่วครู่ ทำให้เจ้าตัดสินใจผิดพลาด อย่าทำให้เสด็จพ่อของเจ้าขุ่นเคืองไปมากกว่านี้ รีบพาท่านหญิงเสิ่นกลับไป...โอ้ข้าเกือบลืมไป เสิ่นอวี้เจามิใช่ข้าราชบริพารฝ่ายในแล้ว" แม้ในสถานการณ์เช่นนี้ นางยังไม่ลืมที่จะพูดเสียดสีเสิ่นอวี้เจาแม่สื่อเสิ่นได้ยินดังนั้นก็หมุนตัวเดินจากไปโดยไม่คิดแม้แต่จะตอบโต้"อวี้เจา รอข้าก่อน ข้ามีบางสิ่งที่ต้องบอกกับเจ้า""หวู่อ๋องพูดมาเถิด""มีความจริงบางอย่าง ที่เสด็จพ่อและเสด็จแม่เก็บงำเอาไว้ไม่เคยบอกเรา แต่เมื่อเรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว การปิดบังต่อไปคงไม่ยุติธรรมกับเจ้าอีก"เสิ่นอวี้เจาหันกลับมาอย่างตื่นตะลึง และแทบจะพร้อมกันนั้น สีหน้าของพระสนมเล่อเฟยก็ซีดเผือดลงทันที ฉู่หยุนชิงค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นที่ปลายชายเสื้อออกอย่างสงบ จาก
"เสิ่นอวี้เจา เจ้าอยู่กับฉู่หยุนชิงได้อย่างไร...เกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เสิ่นอวี้เจาทำหน้าเรียบเฉย ไม่เอื้อนเอ่ยคำใด เพราะนางเองก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรให้เข้าใจ"ทูลเสด็จพ่อ ลูกพาตัวเสิ่นอวี้เจากลับมาเอง ความจริงแล้วช่วงนี้ เราสองคนอยู่ด้วยกันตลอด""..." ความรู้สึกไม่ดีแล่นเข้ามาในใจอย่างรุนแรง นางชำเลืองมองฉู่หยุนชิงด้วยความกังวล รู้สึกว่าคำพูดต่อจากนี้คงยิ่งน่าตกใจและเหลือเชื่อเข้าไปใหญ่นี่ใช่ชายผู้สูงส่งที่นางรู้จักจริงหรือ?ดูเหมือนว่าฮ่องเต้เองก็เริ่มจะงุนงงไม่น้อย พระองค์ทรงคิดไม่ออกเลยว่าทำไมสองคนนี้ถึงได้ "อยู่ด้วยกัน" อย่างไม่น่าเชื่อ และเหตุใดถึงพากันมาที่ตำหนักกวนซือ เพื่อรายงานสถานการณ์"เรื่องนี้...เจ้าหมายถึงอยู่ด้วยกัน ในความหมายเดียวกับที่เราคิดหรือไม่?"ฉู่หยุนชิงเหลือบมองไปทางเล่อเฟย โดยไม่เผยอารมณ์ใดๆ พระมารดาก็จ้องตอบเขาอย่างแน่วแน่ ดวงตาคู่งามเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดและความโกรธที่ซ่อนอยู่ คล้ายจะส่งคำเตือนทั้งสองแม่ลูกดูเหมือนจะใช้สายตาเป็นอาวุธ แข่งกันสร้างแนวป้องกันทางจิตใจ ไม่มีใครยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียวบรรยากาศที่เงียบงันและอึดอัดนั้น ทำให้ทุกคนแทบลืมหายใจ เ
แม้เสิ่นอวี้เจาไม่มีคำอธิษฐานขอพร แต่ก็ไม่อยากปฏิเสธความหวังดีของฉู่หยุนชิง นางจึงพยักหน้าเบาๆ และก้าวไปยังต้นไม้ใหญ่แห่งวาสนา เลียนแบบท่าทางของคนอื่นๆ ยกมือประนมไหว้ใต้แสงจันทร์ ก่อนจะก้มลงกราบสามครั้งใต้ต้นไม้มีชายชราผู้ดูสง่างามในอาภรณ์นักพรต ส่งเครื่องรางคู่หนึ่งที่ร้อยด้วยด้ายทองให้ พร้อมรอยยิ้มอบอุ่น“จากรูปโฉมของคุณหนู ข้ามั่นใจว่าท่านมีคนในใจอยู่แล้ว”“ท่านนักพรตน่าเลื่อมใสยิ่งนัก แต่ข้าคงต้องบอกว่าเครื่องรางนี้คงไม่มีความหมายสำหรับข้าอีกแล้ว”นักพรตชราเพียงหัวเราะเบาๆ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเมตตา “เก็บมันไว้เถิด อะไรที่เป็นของท่าน ท้ายที่สุดก็จะกลับมา”คำพูดนี้ทำให้เสิ่นอวี้เจายิ้มออกมาเล็กน้อย แม้เป็นรอยยิ้มขมขื่น แต่ลึกๆ ในใจ นางรู้สึกขอบคุณต่อความหวังเล็กๆ นั้น เมื่อกลับมา ฉู่หยุนชิงยังรออยู่ที่เดิม ในมือของเขามีถุงขนมสนอบน้ำตาล องค์ชายห้ายิ้มพร้อมยื่นขนมชิ้นหนึ่งส่งให้ “รู้ว่าเจ้าชอบกินที่สุด”“องค์ชายห้ารู้ใจข้าเสียจริง” รสหวานล้ำละลายในปาก แต่ใจของนางยังคงลังเล “ข้าขอถามได้หรือไม่ ทำไมท่านพาข้ามาที่นี่?”“ไม่มีเหตุผล เพียงแค่อยากอยู่กับเจ้าในคืนฉงเฉียวเท่านั้น” ฉู่หยุนชิงตอ
เวลาผ่านไปพักใหญ่ จึงมีเสียงฝีเท้าแผ่วเบาแต่มั่นคงดังมาจากด้านใน คนที่มีประสบการณ์ย่อมทราบได้ทันทีว่าคนผู้นี้มีวรยุทธ์ ประตูเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าของสตรีที่คิ้วคมตาดูสง่างามสายตาสองคู่ประสานกัน คนหนึ่งแปลกใจ อีกคนหนึ่งสงบนิ่ง"ไม่ได้พบกันนานเลยนะ ท่านหญิงเสิ่น"เสิ่นอวี้เจาแสดงท่าทางสะท้านเล็กน้อย ก่อนจะก้มสายตาลง พลางผายมือเชื้อเชิญอย่างสุภาพ "เชิญองค์ชายห้าเข้ามาก่อน ข้าได้ลาออกจากตำแหน่งแล้ว จึงไม่เหมาะกับคำเรียก 'ท่านหญิง' อีกต่อไป หากไม่รังเกียจ โปรดเรียกข้าว่าเสิ่นอวี้เจาก็พอ"จากนั้นทั้งสองเดินเคียงข้างกันอย่างเงียบๆ ทางเดินที่ปูด้วยหินเย็นเฉียบ ทั้งสองมุ่งหน้าไปยังสวนหลังเรือน ข้างทางมีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ยังไม่ออกดอก แต่กิ่งใบเขียวชอุ่มชวนให้ชื่นชมฉู่หยุนชิงถอนหายใจเบาๆ "ทุกสิ่งที่นี่ได้รับการรักษาไว้อย่างดีเยี่ยม"เสิ่นอวี้เจาตอบอย่างธรรมชาติ "ทุกปีข้าจะกลับมาทำความสะอาดเอง หากไม่มีเวลาก็จะมอบหมายให้เฉินเฉินกลับมาดูแลให้ ไม่อาจปล่อยให้จวนแม่ทัพรกร้างได้""เจ้าตั้งใจจะอยู่ที่นี่ถาวรงั้นหรือ?""ที่นี่เหมาะสมที่สุดสำหรับข้า บางทีอาจเปิดร้านบนถนนใหญ่ เพื่อช่วยจัดหาคู่ให้ประ







