ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอาหารมื้อนี้นั้น จบลงด้วยการที่เสิ่นอวี้เจาจงใจทำลายบรรยากาศ นางโยนตั๋วเงินให้เถ้าแก่เพื่อชดเชยความเสียหาย จากนั้นก็หันหลังออกจากหอสุราอย่างไม่รีรอ
แน่นอนว่าทันทีที่ลุกขึ้นเดิน ไม่ลืมที่จะรักษามาดสง่างาม ด้วยการประสานมือคำนับอำลาฉู่หยุนชิงที่พยายามห้ามนางเอาไว้ เสิ่นอวี้เจาตัดสินใจแน่วแน่ว่าจากนี้ไป หากที่ไหนมีรัชทายาทฉู่มู่ฉือปรากฏตัว นางจะไม่อยู่ที่นั่นเกินครึ่งก้านธูปเด็ดขาด แม้แต่องค์ชายห้าจะอยู่ด้วยก็ตาม!
แต่ความคิดก็คือความคิด ความจริงนั้นกลับห่างไกลออกไปมาก เพราะสุดท้ายนางก็ยังต้องใช้ชีวิตอยู่ใต้ชายคาเดียวกับไท่จื่อ การนัดหมายล่ม อาหารก็กินไม่อิ่มท้อง พอกลับถึงตำหนัก ยังต้องฟังคำเทศนาจากองค์รัชทายาทที่หาเรื่องมาอบรมอีก
"เจ้าสาบานต่อฮ่องเต้แล้วว่าจะช่วยเรื่องหาพระชายาให้ข้าอย่างเต็มใจ แต่เพิ่งผ่านมาไม่กี่วัน เจ้ากลับอยากจับมือร่วมรบกับน้องห้า แล้วถอดใจไปเช่นนั้นหรือ?"
"ฝ่าบาทโปรดแก้ไขให้ถูกต้อง หม่อมฉันบอกเพียงว่าจะลองดูเท่านั้น เพราะไม่มีความมั่นใจว่าจะช่วยแก้ปัญหาชีวิตคู่ของฝ่าบาทได้สำเร็จ" เสิ่นอวี้เจานั่งอยู่บนเก้าอี้ทรงลูกแพร์ ปอกส้มด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ "ยิ่งไปกว่านั้น หม่อมฉันกับองค์ชายห้าก็เพียงพบกันตามปกติ ไม่ได้ 'ร่วมรบ' และยิ่งไม่ได้ 'กลายเป็นคู่รัก' ส่วนเรื่อง 'ถอดใจ' นั้นตรงกันข้าม ฝ่าบาทต่างหากที่ไปฉิงลั่วหว่านหาความสำราญเอง ขาดความจริงใจเช่นนี้ ท้ายที่สุดฝ่าบาทยังคิดจะตัดสัมพันธ์ที่ดีนี้อีกหรือ?"
ฉู่มู่ฉือที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับนาง ยิ้มพร้อมใช้มือเท้าคาง จ้องมองเสิ่นอวี้เจาด้วยสายตาส่องประกาย "ท่านหญิงเสิ่นปกปิดความคิดชั่วร้ายไว้มาโดยตลอด ไยต้องพยายามปิดบังเล่า? ใครก็ตามที่ไม่โง่เขลา ก็เดาได้ว่าเจ้าคิดเช่นไรกับองค์ชายห้า แต่ก็มิใช่เรื่องน่าอับอาย เจ้าเป็นแม่สื่อมานานจนเปล่าเปลี่ยวแล้ว มันย่อมเป็นเรื่องปกติ"
"หม่อมฉันไม่อาจเปรียบเทียบกับฝ่าบาทได้เลย ฝ่าบาทไม่เคยเปล่าเปลี่ยว เพียงแค่กวักนิ้ว สตรีงามก็วิ่งเข้ามาหา...อ้อ หม่อมฉันเกือบลืมไป นั่นเพราะเงื่อนไขคือ อีกฝ่ายไม่รู้ฐานะของฝ่าบาท มิเช่นนั้นคงวิ่งหนีไปเหมือนเจองูพิษ เพื่อปกป้องชีวิตและวงศ์ตระกูล"
"ท่านหญิงเสิ่นนี่ช่างแทงใจดำข้าจริงๆ นิสัยไม่อ่อนโยน และไม่ชวนให้หลงรักเลย" น้ำเสียงของเขาฟังเหมือนต่อว่า แต่ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มแฝงความเจ้าเล่ห์ แถมยังมีเวลาหยอกเย้าอีก "ข้าคิดว่าท่านหญิงเสิ่นอยู่ในตำหนักข้าได้ดีทีเดียว ไม่เสียแขนเสียขา บางทีชะตาของเราอาจเข้ากันได้ดี ในอนาคตหากหาพระชายาที่เหมาะสมไม่ได้จริงๆ ก็ให้ท่านหญิงเสิ่นมาเติมเต็มก็แล้วกัน!"
เบื้องหน้าชายรูปงามประดุจภาพวาด หากเป็นหญิงสาวทั่วไปคงไม่อาจต้านทานได้ แต่โชคร้ายที่เป้าหมายของเขาคือเสิ่นอวี้เจา นางรู้จักเขามาสิบปีแล้ว และชินชากับใบหน้านี้มานาน มีแต่จะยิ่งรำคาญเมื่อมองนานขึ้น และไม่มีอานุภาพใดๆ ให้รู้สึกใจอ่อนเลย
"ฝ่าบาท ไม่ควรตรัสคำหยาบเช่นนี้ เรื่อง 'ชะตา' เป็นเรื่องเหลวไหล ฝ่าบาทควรรู้ว่าหม่อมฉันมีชะตาที่จะได้เสวยสุขความมั่งคั่ง มิเช่นนั้นไยหม่อมฉันจึงเป็นแม่สื่อได้?" เสิ่นอวี้เจาโยนเปลือกส้มที่ปอกเป็นกลีบวางลงบนโต๊ะ ก่อนจะยัดทั้งลูกใส่ปากของเขา แล้วลุกขึ้นยืนเดินออกไปโดยไม่แยแส ทิ้งไว้เพียงประโยคเรียบๆ ว่า "ฝ่าบาทมิต้องทรงกังวล พรุ่งนี้หม่อมฉันจะเริ่มพิจารณาเลือกพระชายาให้ฝ่าบาทเอง โปรดทรงรออย่างสงบเถิด"
ฉู่มู่ฉือจ้องมองร่างบอบบางที่หายลับไปหลังประตู รอยยิ้มบนใบหน้างามยังคงไม่จาง เขาลูบคางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพึมพำเบาๆ
"ไม่ว่ามองอย่างไร ก็เห็นชัดว่ามีเพียงท่านหญิงเสิ่นเท่านั้นที่ถูกใจข้า"
เสิ่นอวี้เจาที่เดินเล่นอยู่ในตำหนัก เผลอคิดในใจขึ้นมา "หรือจะเป็นเพราะแกล้งข้ามานานจนรู้สึกว่า 'แต่งงานกับข้าก็คงไม่แย่' หรอกหรือ?"
ในเช้าวันรุ่งขึ้น
เสิ่นอวี้เจาก็รักษาสัญญา เริ่มปฏิบัติการคัดเลือกพระชายาให้รัชทายาทอย่างจริงจัง ด้วยท่าทีที่ดูจริงใจเหมือนแม่สื่อที่ตั้งใจทำงาน แต่ในฐานะองครักษ์ผู้ภักดี และช่างสังเกตอย่างยิ่งเจียงเฉิน กลับพบประเด็นที่ชวนให้สงสัย
หากดูจากรายชื่อที่คัดเลือกไว้ล่วงหน้า สาวงามเหล่านี้ล้วนมาจากตระกูลขุนนางชั้นสูงที่ยังไม่เคยแต่งงาน ซึ่งดูสมเหตุสมผลดี เพียงแต่...บุคคลที่อยู่ในรายชื่อนั้น กลับเป็นสตรีที่แทบไม่มีความน่าเอ็นดูให้กล่าวถึง พวกนางล้วนมีลักษณะภายนอกแปลกประหลาด จนไม่มีใครกล้าหันไปมองซ้ำ
เจียงเฉินขมวดคิ้วพลางคิดในใจว่า เจ้านายแน่ใจแล้วหรือว่านี่ไม่ใช่ความตั้งใจ จะบีบคอรัชทายาทให้ขาดใจตาย?
"ท่านหญิง การเลือกสตรีจากตระกูลเหล่านี้ ดูเหมือนท่านมิได้ตั้งใจเลยสักนิด"
"ตรงไหนที่ว่าข้าเลือกส่งๆ ข้าตัดสินใจหลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วต่างหาก" เสิ่นอวี้เจาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "สาวงามเหล่านี้ล้วนเป็นยอดพธูที่เลิศล้ำ เจ้ารู้ไหมว่าทำไมพวกนางถึงยังไม่แต่งงาน? เพราะพวกนางรอคอยช่วงเวลาประวัติศาสตร์นี้ต่างหาก พวกนางเกิดมาเพื่อองค์รัชทายาทโดยแท้"
อย่าพูดจาจริงจังอย่างเหลวไหลแบบนี้ได้หรือไม่?!
เจียงเฉินแทบจะล้มทั้งยืน ต้องสูดหายใจลึกอยู่หลายครั้งเพื่อสงบสติ "ท่านหญิง ข้าว่าองค์รัชทายาทคงไม่เห็นด้วยแน่ๆ เพราะว่า..."
เพราะว่าผู้ชายปกติคนไหนก็คงไม่เห็นด้วย!
น้ำชาหมิงเยว่
เสิ่นอวี้เจายืนอยู่หน้าประตูโรงน้ำชาหมิงเยว่ สถานที่นัดพบกับสาวงามจากตระกูลขุนนาง แม่สื่อเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจยาว
"เฉินเฉิน เจ้าไม่เข้าใจความหวังดีของข้าเลย ข้าไม่อาจปล่อยให้สตรีที่งดงามเหล่านี้ ต้องตกอยู่ในทะเลแห่งทุกข์ได้หรอก"
"...เช่นนั้นท่านหญิงจึงเลือกแต่สตรีที่ไม่เกี่ยวข้องกับคำว่า 'งดงาม' มาอย่างนั้นหรือ?"
"จริงๆ แล้ว ข้าคิดว่าการมีคนยอมเข้าตำหนักรัชทายาทสักคนก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องตาบอดแค่ไหนถึงจะยอมรับได้? ฝ่าบาทควรพอใจนะ" นางพูดด้วยน้ำเสียงธรรมชาติ เหมือนคุยเรื่องกินข้าวดื่มน้ำ "ตั้งแต่แรกข้ากำหนดมาตรฐานไว้แค่สองข้อ หนึ่งคือเป็นสตรี สองคือต้องยังมีชีวิตอยู่"
เจียงเฉินน้ำตาแทบไหล องค์รัชทายาทที่ได้รับการยกย่อง ว่าเป็นบุคคลสูงส่งและยอดเยี่ยม ไยต้องถูกปฏิบัติเหมือนคนข้างถนนที่ไม่มีใครสนใจเช่นนี้? นายหญิงของเขา ช่างเป็นคนที่เอาเรื่องส่วนตัว มาปะปนกับงานได้อย่างยอดเยี่ยมจริงๆ!
เมื่อเจ้าของโรงน้ำชานำทาง ทั้งสองเดินตามกันเข้าไปในห้องรับรองส่วนตัว และทันทีที่เข้าประตูมา ก็รู้สึกได้ถึงแสงจ้าประหลาดที่ส่องมากระทบจนแทบลืมตาไม่ขึ้น เจียงเฉินรู้สึกว่าช่วงเวลานั้นเขาไม่ได้หมดสติไป และยังสามารถยืนอยู่กับที่ได้อย่างมั่นคง เขาช่างเป็นชายที่มีจิตใจแข็งแกร่งจริงๆ!
ใครอธิบายได้บ้างว่าสตรีเหล่านี้มาจากไหน?
คนที่นั่งอยู่ด้านซ้ายคนแรก ใบหน้าอ้วนกลมจนไม่เห็นดวงตา ไขมันหน้าท้องส่วนเกินพับซ้อนกันสามชั้น คนที่สองทางด้านซ้าย มีใบหน้าหยาบกร้านประหนึ่งซาลาเปาไส้งา เมื่อยิ้มยังเผยให้เห็นฟันเหลืองไม่เป็นระเบียบ คนที่หนึ่งด้านขวาแต่งหน้าหนาประหนึ่งสวมหน้ากาก แม้เครื่องประทินผิวจะเยอะ ก็ปกปิดโครงหน้าที่บิดเบี้ยวโดยกำเนิดไม่ได้ ส่วนคนที่นั่งตรงกลางมีดวงตาเรียวเล็กเป็นสามเหลี่ยม และหน้าผากที่เหมือนผมถูกจับรวมกันเป็นกระจุก...
นี่สินะที่เขาบอก สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น!
เจียงเฉินอดคิดไม่ได้ว่า ท่านหญิงของเขารวมปีศาจจากทั้งใต้หล้ามาได้จริงๆ
ในทางกลับกัน เสิ่นอวี้เจากลับดูสงบนิ่งมาก นางกวัดแกว่งพัดไหมในมือ ด้วยท่วงท่าสง่างาม ก่อนจะยกมือขึ้นดึงความสนใจ และกล่าวคำชมที่ทำให้คนฟังตะลึงเหมือนฟ้าผ่า
"ไม่ได้พบกันเสียนาน คุณหนูทุกท่านช่างดูงดงาม และมีเสน่ห์ขึ้นมากนัก หากข้าเป็นองค์ไท่จื่อ คงตื่นเต้นจนหัวใจเต้นแรงเมื่อเห็นพวกท่าน สวยจนดวงดาวและพระจันทร์ต้องหมองเลยทีเดียว"
หลังจากนั้น เหล่าคุณหนูทั้งหลายก็เป็นกันเองและร่าเริงขึ้นมาทันที ต่างพากันรายล้อมเสิ่นอวี้เจา พร้อมพูดคุยอย่างเป็นมิตร บรรยากาศดูสนุกสนานจนเรียกได้ว่า "แม่ทัพมา ทหารสู้ น้ำมา ดินสกัด" ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น โดยไม่ต้องออกแรงมากนัก นางสามารถทำให้เหล่าสตรีใจเต้นแรง ราวกับกำลังอยู่ในงานเทศกาล
ความสามารถในฐานะแม่สื่อ ของนางเป็นที่ประจักษ์อย่างชัดเจน จนใครๆ ก็อดชื่นชมไม่ได้
แอบสงสารองค์รัชทายาทอยู่นะ 5555555555 คู่นี้เขาเกิดมาเพื่อฟาดฟันกันจริงๆ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอาหารมื้อนี้นั้น จบลงด้วยการที่เสิ่นอวี้เจาจงใจทำลายบรรยากาศ นางโยนตั๋วเงินให้เถ้าแก่เพื่อชดเชยความเสียหาย จากนั้นก็หันหลังออกจากหอสุราอย่างไม่รีรอแน่นอนว่าทันทีที่ลุกขึ้นเดิน ไม่ลืมที่จะรักษามาดสง่างาม ด้วยการประสานมือคำนับอำลาฉู่หยุนชิงที่พยายามห้ามนางเอาไว้ เสิ่นอวี้เจาตัดสินใจแน่วแน่ว่าจากนี้ไป หากที่ไหนมีรัชทายาทฉู่มู่ฉือปรากฏตัว นางจะไม่อยู่ที่นั่นเกินครึ่งก้านธูปเด็ดขาด แม้แต่องค์ชายห้าจะอยู่ด้วยก็ตาม!แต่ความคิดก็คือความคิด ความจริงนั้นกลับห่างไกลออกไปมาก เพราะสุดท้ายนางก็ยังต้องใช้ชีวิตอยู่ใต้ชายคาเดียวกับไท่จื่อ การนัดหมายล่ม อาหารก็กินไม่อิ่มท้อง พอกลับถึงตำหนัก ยังต้องฟังคำเทศนาจากองค์รัชทายาทที่หาเรื่องมาอบรมอีก"เจ้าสาบานต่อฮ่องเต้แล้วว่าจะช่วยเรื่องหาพระชายาให้ข้าอย่างเต็มใจ แต่เพิ่งผ่านมาไม่กี่วัน เจ้ากลับอยากจับมือร่วมรบกับน้องห้า แล้วถอดใจไปเช่นนั้นหรือ?""ฝ่าบาทโปรดแก้ไขให้ถูกต้อง หม่อมฉันบอกเพียงว่าจะลองดูเท่านั้น
สีหน้าของเสิ่นอวี้เจาเคร่งขรึม นางเงยหน้าขึ้นมองรอบตัวทันที แต่พบว่าโต๊ะที่อยู่ข้างๆ ล้วนเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังดื่มกินและหัวเราะสนุกสนาน ไม่มีใครดูเหมือนจะเป็นคนลอบโจมตี"มีมือสังหารอยู่ที่นี่หรือ?""ข้าว่าคงมีคนจงใจล้อเล่นเสียมากกว่า" ฉู่หยุนชิงไม่ได้แสดงความไม่พอใจแม้แต่น้อย เขาหยิบถ้วยใหม่มาแทนถ้วยเดิม และรินเหล้าลงไปใหม่ "อย่าใส่ใจเลย หากอีกฝ่ายมีจุดประสงค์ซ่อนเร้น เดี๋ยวก็ต้องสร้างปัญหาอีก เราค่อยรอดูตามสถานการณ์ก็พอ"เสิ่นอวี้เจาพยักหน้าเห็นด้วย แต่จู่ๆ นางกลับรู้สึกไม่สบายใจ ความรู้สึกวูบไหวบางอย่างเกิดขึ้น แต่ยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดได้ ไม่นานนักคำตอบก็ปรากฏ เพราะนางยังไม่ได้ดื่มเหล้าจากถ้วยให้หมดดี ก็ได้ยินเสียงดังโครมครามขึ้นมาทันที และในสายตาของเสิ่นอวี้เจาก็ปรากฏร่างของสตรีสองคนที่แต่งหน้างดงาม พวกนางเดินตรงมาที่โต๊ะและนั่งลงข้างๆ ฉู่หยุนชิง"คุณชาย เป็นท่านใช่หรือไม่ ที่จ่ายเงินจำนวนมาก เพื่อเชิญพวกเราให้มาขับร้องเพลง?"
เสิ่นอวี้เจาคิดว่าหากยังอยู่ตรงนี้ต่อ คงต้องถูกทรมานจนเจียนตาย หรือไม่นางอาจถึงขั้นจุดไฟเผาตำหนักรัชทายาทก็เป็นได้ จึงรีบออกไปข้างนอกเพื่อระบายความเครียดนางเดินออกไปด้วยท่าทีไม่แยแส ทิ้งคำพูดไว้ว่า“ขอตัวไปตรวจสอบหญิงสาวในราชสำนักก่อน” พร้อมห้ามเจียงเฉินติดตาม จากนั้นก็หายลับไปจากประตูสีแดงทองถนนในเมืองหลวงยังคงคึกคักเต็มไปด้วยผู้คน พ่อค้าแม่ค้าเร่ต่างร้องเรียกขายของ กลิ่นหอมจากร้านค้าสองฝั่งถนนลอยมาเป็นระยะ เพียงเดินเล่นช้าๆ ไปตามถนนนี้ ก็ทำให้จิตใจสดชื่นขึ้น เสิ่นอวี้เจาเดินไปพลางกินไป ตั้งแต่ขนมเปี๊ยะเม็ดบัว ตีนไก่ต้ม จนถึงในที่สุด นางถือฮวาเหมยเคลือบน้ำตาลก่อนจะเดินเข้าร้านหยกร้านแห่งนี้เป็นร้านชื่อดังในเมืองหลวง นางอยากเลือกต่างหู ที่เหมาะสมสักคู่ให้ตนเอง เพื่อสนองความต้องการเล็กๆ แก้ความเบื่อหน่าย แม้ว่าตอนนี้นางจะดูไม่มีความเป็นหญิงเลยก็ตาม“เถ้าแก่ ต่างหูคู่นี้ราคาเท่าไหร่?&rd
ใครจะไปคาดคิดว่าคำพูดต่อมาของนาง จะทำให้เขากลับสู่ความจริงอย่างโหดร้าย "ถ้าฝ่าบาทเป็นอะไรไป ทรัพย์สินที่เหลืออยู่ก็ต้องขายให้ข้ามิใช่หรือ? เช่นนั้นคงต้องเจรจากับฮ่องเต้เสียหน่อย""ท่านหญิง ช่วยจริงจังหน่อยได้หรือไม่ขอรับ!""อ่า รู้แล้ว ข้าจะไปดูสักหน่อยแล้วกัน?" เสิ่นอวี้เจามองเขาด้วยแววตาดูถูก "ดูเจ้าเถอะ ไม่มีอนาคตเลยจริงๆ ทั้งวันเอาแต่ทำให้ข้าขายหน้า แล้วข้าจะหาใครมาเป็นคู่ให้เจ้าในเบื้องหน้าได้อย่างไร?""..." นี่มันความผิดเขาหรือ?!เจียงเฉินอยากจะอธิบายให้กระจ่างนัก อยากบอกว่านับว่ายังโชคดี ที่เขายอมใช้หัวใจและจิตวิญญาณ ทำหน้าที่องครักษ์ที่ดีให้นาง ไม่เช่นนั้นคงไม่มีใครทนกับอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ของนางได้ แต่เมื่อสัมผัสตั๋วเงินหอมหวาน ในที่สุดเขาก็กล้ำกลืนอดทนต่อไปยังมีเวลาอีกยาวนานที่เขาต้องทนรับความอัปยศนี้เสิ่นอวี้เจาเดินไปที่หน้าห้องของฉู่มู่
เสิ่นอวี้เจากล่าวอย่างสงบนิ่ง "อ้อ เช่นนั้นรึ หม่อมฉันคงใจแคบไปเอง แต่ขอแก้เสียหน่อย มิใช่เรื่องแปลกเลยที่ฝ่าบาทจะถูกคนตำหนิ เพราะนั่นดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติตั้งแต่ฝ่าบาทยังเยาว์วัย”ฉู่มู่ฉือยิ้มรับอย่างจริงใจ "ที่เจ้ากล่าวไม่ผิดแม้แต่น้อย แต่เจ้าจะยังนอนแช่น้ำแล้วคุยกับข้าแบบนี้ต่อไปหรือไม่?""ถ้าเช่นนั้นฝ่าบาทมีข้อเสนออะไรที่ดีกว่าหรือ?""ตัวอย่างเช่น ข้าผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตา จะช่วยอาบน้ำเป็นคู่กับเจ้า"เสิ่นอวี้เจากล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง "ไม่จำเป็น หากอาบน้ำร่วมกับฝ่าบาท หม่อมฉันเกรงว่าจะจมน้ำตายเสียก่อน"พูดจบ นางก็ตวัดมือน้ำในอ่างสาดใส่ใบหน้าของฉู่มู่ฉือ ก่อนจะกระโดดพรวดออกจากอ่างน้ำ มือขวาคว้าอาภรณ์ด้านหลังมาสวมคลุมตัวอย่างรวดเร็ว พลิกตัวลงยืนบนพื้นอย่างมั่นคง ท่วงท่าของนางนั้นลื่นไหลและสง่างาม เมื่อฉู่มู่ฉือเช็ดน้ำออกจากหน้าและลืมตาขึ้น นางก็แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว"ท่านหญิงเสิ่นช่
การกระทำของเจียงเฉินย่อมไม่อาจสำเร็จแท้จริงแล้ว ตั้งแต่ช่วงเวลาที่เขาแอบย่องเข้าไปในห้องของฉู่มู่ฉืออย่างเงียบเชียบ ก็ถูกจับได้เสียแล้ว ตอนที่ก้าวออกมา สิ่งที่เห็นคือองค์รัชทายาทยืนพิงประตูอยู่ หาวออกมาด้วยท่าทีเบื่อหน่าย ทันใดนั้นเจียงเฉินก็ตัวแข็งทื่อยืนจังงังอยู่กับที่"ฝะ...ฝ่าบาท..."" ถึงกับรบกวนองครักษ์เจียง มาช่วยทำความสะอาดห้องให้ข้า ช่างรู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก"หัวใจของเจียงเฉินแทบจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ มีลางสังหรณ์ว่าเพราะตั๋วเงินสองใบนี้ ตนเองอาจต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างมหาศาล "กระหม่อม…คือ กระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” จนปัญญาจะพูดอะไรออกมาปลายหางตาของฉู่มู่ฉือยกขึ้น รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้า "หากข้ามองไม่ผิด เมื่อครู่สิ่งที่เจ้านำเข้าไปในห้องคือ'ตะปูเหล็ก' ใช่หรือไม่? หรือเจ้าตั้งใจจะทำ'กระบองหนามพกพา' ให้ข้าไว้ป้องกันตัวกันแน่?""กระหม่อมเพีย