“เป็นอย่างไร รสดีหรือไม่” เหมาไป่เอ่ยถามหลานสาวและหลายชาย หลังจากตักอาหารให้ทั้งสองได้ลองทาน เช้าวันนี้เหมาไป่เข้าครัวทำอาหารให้หลานๆ ใบหน้าเหี่ยวย่นมองไปที่หลานทั้งสองด้วยสายตาที่คาดหวัง
“ดีขอยับ ดีที่สุด”
“รสดีมากเจ้าค่ะท่านยาย” ลี่มี่ยกยิ้มขึ้นมาเต็มใบหน้า ไม่ต่างจากลี่หมิงที่บัดนี้ตักข้าวเข้าปากอย่างสุขใจ อาหารที่ท่านยายทำมิได้เลิศรสราวกับนั่งกินในเหลาอาหาร แต่ทว่ากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความใส่ใจและรักใคร่
“เช่นนั้นก็กินให้มาก ประเดี๋ยวยายจะออกไปหาของป่าบนเขา วันนี้พวกเจ้าทั้งสองก็พักอยู่ที่เรือนเถิด” แม้เหมาไป่จะมีอายุมากแล้ว แต่นางมิมีบุตรคอยเลี้ยงดู ทั้งร่างกายยังแข็งแรงพอจะขึ้นเขาได้ นางจึงอาศัยการเก็บของป่ามาเลี้ยงปากท้อง
“ท่านยายมิต้องเข้าป่าแล้วเจ้าค่ะ ท่านอายุมากแล้ว ข้ากลัวว่าท่านจะเป็นลมล้มพับไป”
“ยายพอมีกำลัง เจ้าอย่าได้เป็นห่วงเลย”
“มิห่วงมิได้เจ้าค่ะ พวกเรามีท่านยายเพียงคนเดียวนะเจ้าคะ ต่อจากนี้มี่เอ๋อร์ผู้นี้จะเป็นคนหาเงินมาใช้จ่ายในครอบครัวเองเจ้าค่ะ ท่านยายอย่าได้กังวลไป”
“แต่-” เหมาไป่เข้าใจความห่วงใยของหลานสาว แต่จะให้นางปล่อยหลานสาวหาเงินทอง เพื่อเลี้ยงปากท้องของคนทั้งครอบครัวคงจะมิได้
“เอาตามที่ข้าว่าเถิดเจ้าค่ะ ข้าอยากให้ท่านยายช่วยอยู่ดูแลอาหมิงด้วย”
“เช่นนั้นก็ได้ แต่หากมีสิ่งใดให้ยายช่วย เจ้าต้องรีบบอกยาย เข้าใจหรือไม่”
“เจ้าค่ะ”
“ขอยับ” เด็กชายตัวน้อยมิได้รู้เรื่องราวอันใดแม้แต่น้อย แต่เมื่อได้ยินพี่สาวเอ่ยตอบรับ เขาก็รีบทำตามทันใด จนผู้เป็นยายและพี่สาวอดที่จะหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดูมิได้
ปัง ปัง ปัง!
“ท่านป้าเหมา อยู่หรือไม่ขอรับ” ลี่มี่ได้ยินเสียงเรียกจากนอกเรือนจึงลุกขึ้นไปเปิดประตู ก็พบว่าเป็นท่านลุงชุนไห่และพี่ชุนเต๋อ นางจึงเชิญทั้งสองเข้ามาในเรือนก่อน
“มีอันใดหรืออาไห่ มาแต่เช้าเช่นนี้”
“ข้าได้ข่าวว่าลี่มี่กับลี่หมิงมาอาศัยอยู่กับท่านป้า จึงอยากมาดูให้แน่ใจขอรับ” ชุนไห่มองไปทางหลานทั้งสองคนด้วยสายตารู้สึกผิด
“ข้ารับพวกเขาเป็นหลานแล้ว”
“ข้าและน้องก็เต็มใจอยู่กับท่านยายเจ้าค่ะ” ลี่มี่กระชับอ้อมกอดน้องชายแน่น นางรู้ดีว่าท่านลุงและพี่ชุนเต๋อเป็นห่วงพวกนางเพียงใด แต่นางมิอาจกลับไปที่สกุลชุนได้อีก
“เช่นนั้นข้าขอฝากทั้งสองด้วยนะขอรับ รบกวนท่านป้าด้วย”
“มิต้องห่วง ข้าจะดูแลพวกเขาเอง”
“ท่านพ่อขอรับ..เงิน” ชุนเต๋อที่นั่งเยื้องไปข้างหลัง เอ่ยทักผู้เป็นบิดา ชุนไห่เมื่อนึกได้ก็รีบนำถุงเงินออกมา
“รับไว้เถิดนะมี่เอ๋อร์ ลุงแอบหยิบมาได้เพียงเท่านี้” ถุงเงินที่มีเงินราวร้อยอีแปะถูกวางไว้บนมือของลี่มี่ แม้ว่าเด็กสาวจะปฏิเสธสักเท่าใด ชุนไห่ก็มิยินยอม จนลี่มี่ยอมรับเงิน ชุนไห่และชุนเต๋อจึงได้กลับไป
หลังจากนั้นลี่มี่ก็มาช่วยท่านยายทายาสมุนไพรให้กับน้องชาย รอยช้ำสีแดงม่วง ทำให้ลี่มี่นึกเสียใจที่ตนเองมิอาจไปช่วยน้องชายได้ทันการณ์ แต่ก็นึกดีใจที่เหตุการณ์นั้น ทำให้ตนเองตัดขาดกับสกุลชุนได้อย่างมิเหลือเยื่อใย มิแน่ว่าหากนางและน้องชายยังอยู่ในสกุลชุน อาจเกิดเหตุการณ์ที่ร้ายแรงกว่านี้ขึ้นได้
“นี่ก็ยามซื่อแล้ว (09:00 – 10:59 น.) เจ้าจะไปของานปักที่เรือนผู้ใหญ่บ้านก็ไปเถิด ยายจะดูอาหมิงให้ อย่าลืมของานมาเผื่อยายด้วยเล่า”
“เจ้าค่ะท่านยาย” ลี่มี่จัดอาภรณ์ให้เข้าที่ก่อนจะสะพายย่ามขนาดไม่ใหญ่มากไปด้วย หากมีงานปักผ้าจำนวนมาก นางจะได้มิต้องยืมย่ามจากเรือนผู้ใหญ่บ้านกลับมา
ขาเรียวก้าวเดินออกจากเรือนสกุลเหมาอยากแน่วแน่ วันนี้ถือเป็นการเริ่มต้นใหม่ เรือนใหม่ ครอบครัวใหม่ที่เต็มไปด้วยความสุขใจ ร่างบางสูดหายใจเข้าเต็มอก เดินตรงไปเรือนผู้ใหญ่บ้านด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
‘ท่านพ่อ ท่านแม่ หวังว่าท่านจะมองข้าอยู่ คอยเอาใจช่วยข้าด้วยนะเจ้าคะ’
ทว่า…ยิ่งเดินไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่าตนเองนั้นเป็นจุดสนใจของคนรอบข้างมากเกินไป ไม่ว่าเดินไปทางใด ก็มีผู้คนมองมาที่นางด้วยสายตาแปลกประหลาด จะว่าโกรธเคืองก็มิใช่ ดูเหมือนจะเป็นสายตาที่ผิดหวังปนไม่ชอบใจเสียมากกว่า ลี่มี่เองก็ได้แต่มึนงง ทว่าความสงสัยของนางก็จางหายไปเมื่อได้ยินเสียงสนทนาของสตรีสามคนที่จับกลุ่มพูดคุยกันอยู่หน้าเรือน
“มิน่าเชื่อว่าเด็กสาวตัวบางเพียงเท่านี้จะกล้าทำร้ายป้าสะใภ้ของตนเอง อกตัญญูเสียจริง”
“นั่นน่ะสิ ยามชุนเจียงเอ่ยเล่าไปร่ำไห้ไป ข้าเองก็นึกว่านางเพียงแสร้งทำ แต่เมื่อเห็นรอยช้ำบนร่างกายนางแล้ว ข้ายังรู้สึกเจ็บปวดแทน”
“จู่ๆ ก็เข้ามาทำร้ายป้าสะใภ้ เพียงเพราะนางเอ่ยตักเตือนน้องชาย ใช้มิได้เสียจริง” สตรีทั้งสามพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ ทั้งที่รู้ว่าลี่มี่กำลังเดินมาทางพวกนาง แต่พวกนางกลับมิยอมหยุด ราวกับต้องการเอ่ยให้ลี่มี่ได้ยิน
“เดิมที คิดว่าจะปากร้ายเหมือนมารดาเท่านั้น แต่นี่ถึงขั้นใช้กำลังทำร้ายผู้อื่น ยิ่งกว่ามารดานางเสียอีก”
เสียงซุบซิบนินทาที่พาดพิงถึงผู้ที่สิ้นลมไปแล้ว ทำให้ลี่มี่มิอาจทนฟังได้อีกต่อไป
“ข้าต้องขอบใจเจ้ามากนะลี่มี่ หากมิได้เจ้าเอ่ยเตือนในวันนั้น ข้าคงต้องตายเป็นผีเฝ้าป่าไปเสียแล้ว” กวนอู๋ท่งเอ่ยขอบใจลี่มี่ยาวเหยียด ด้วยเพราะเมื่อวานที่อู๋ท่งขึ้นเขาไปเก็บเผือกมัน มีงูพิษตัวใหญ่เท่าแขน พุ่งเข้ามากัดน่องของเขา ดีที่เขาพันผ้าไว้ที่น่องตามที่ลี่มี่บอก จึงช่วยให้รอดพ้นมาได้“ขอบใจเจ้ามาก นี่เป็นของฝากจากครอบครัวข้า เจ้ารับไว้เถิด” ท่านลุงกวนผู้ใหญ่บ้าน ยกตะกร้าที่เต็มไปด้วยเนื้อหมู เนื้อไก่ กุ้ง และปลามาวางตรงหน้าสามยายหลาน“หากข้าช่วยได้ ข้าก็ยินดี แต่ข้ามิรับของหรอกเจ้าค่ะ”“รับไว้เถิดมี่เอ๋อร์ พวกข้าเต็มใจยิ่งนัก หากเจ้ามิรับไว้ข้าคงรู้สึกติดค้างในใจไปชั่วชีวิต” ท่านป้ากวนเอ่ยเสริมพลางหยิบขนมที่นางทำเองมายื่นให้ลี่หมิง เด็กชายเหลือบมองไปทางท่านยายและพี่สาวราวกับต้องการขออนุญาต เมื่อเห็นว่าทั้งสองมิได้เอ่ยห้าม จึงส่งมือเล็กๆ ไปถือขนมไว้“ขอบพระคุณขอยับ”“เช่นนั้น ข้าก็ขอรับไว้ ขอบพระคุณเจ้าค่ะ” อยู่พูดคุยกันได้ไม่นาน ครอบครัวผู้ใหญ่บ้านก็ขอตัวกลับเรือนไป จึงเหลือเพียงสามคนยายหลานที่นั่งอยู่ที่เดิม“ยสดียิ่ง อื้มมม” ลี่หมิงนำขนมเข้าปากคำแล้วคำเล่า ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่เรือ
“ให้ยายดูสิ” เหมาไป่จ้องมองไปที่นัยน์ตาของหลายสาวก็พบว่าเป็นดั่งที่หลานชายตัวน้อยเอ่ย มิเพียงเท่านั้นหน้าผากมนของหลานสาวยังมีรอยคล้ายปานรูปดอกบัวติดอยู่ปาน…ปานสีเงินอย่างนั้นหรือ!!?“…” ลี่มี่ที่ยังวิตกกับเรื่องที่เกิดขึ้น จึงมิได้สบตาผู้ใด ปล่อยให้เหมาไป่และลี่หมิงมองสำรวจจนทั่ว“เกิดสิ่งใดขึ้น เจ้าเล่าให้ยายกับน้องฟังเถิด” เรื่องราวที่ได้ฟังจากปากหลานสาวทำให้เหมาไป่แทบมิอยากเชื่อว่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง“ท่านยาย…” สายตาที่ล่องลอยของลี่มี่ทำให้เหมาไป่ต้องรีบเข้าไปกอดปลอบหลานนอกไส้“ดีเหลือเกินที่เจ้ามิบาดเจ็บที่ใด คราวหลังอย่าได้เข้าไปในป่าลึกเช่นนั้นอีกเล่า เข้าใจหรือไม่”“เจ้าค่ะ”“โอ๋ๆ นะขอยับ” มือเล็กป้อมยกขึ้นลูบใบหน้าพี่สาวเบาๆ ลี่มี่อดเอ็นดูกับท่าทีของน้องชายมิได้ จึงกอบกุมเอามือเล็กมาจุมพิต พร้อมกับสบสายตาเข้ากับดวงตาน้อยๆ ทั้งสองที่จดจ้องมาที่นัยน์ตาของนางด้วยแววตาที่หลงใหลและทันใดนั้น…“วันนี้เจ้ากินกุ้งแม่น้ำย่างอย่างนั้นหรือ”“เอ๋? มิได้กินขอยับ น้องกินผัดผัก”“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ายายย่างกุ้งให้พวกเจ้ากินในมื้อเย็น หรือว่ากลิ่นมันติดกายยายมาอย่างนั้นหรือ ฮ่าๆ”“มิ
ดอกบัวสีขาวเพียงดอกเดียวเบ่งบานกลางสระน้ำ ทั้งที่บริเวณโดยรอบมิได้มีสิ่งใดอยู่เลย สองขาเรียวก้าวเข้าไปยืนที่ขอบสระ ยื่นคอดูภายในสระจนทั่ว เพื่อสำรวจหาปลาหากว่าได้ปลากลับไปให้ท่านยายและอาหมิงคงจะดีไม่น้อยเพียงแค่คิดเช่นนั้น ก็มีฝูงปลาหลายสิบตัวแหวกว่ายในสระสีมรกต! ทั้งที่ก่อนหน้านี้ลี่มี่มองไม่เห็นปลาแม้แต่ตัวเดียว ฝูงปลามากมายปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้เด็กสาวตกใจจนพลาดพลั้งเหยียบไปบนโขดหิน ที่เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ“ว๊าย!” ร่างบางซวนเซ ร่วงลงในสระน้ำจนเปียกปอนไปหมดทั้งตัวตุ้ม!!!“ฮื่อ ลี่มี่นะลี่มี่ มิระวังเอาเสียเลย” ปากเล็กบ่นให้กับความมิระมัดระวังของตนเอง ยังดีที่ของในตะกร้าสานนั้นเปียกน้ำได้ มิเสียหาย มิเช่นนั้นนางคงต้องทุบศีรษะตนเองสักทีสองทีลี่มี่นำตะกร้าออกจากหลังและยกไปไว้ริมสระน้ำ แต่ยังไม่ทันที่นางจะขึ้นจากสระ ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าอย่างไรนางก็เปียกไปทั้งตัวแล้ว ขอไปดูดอกบัวกลางสระให้หายแคลงใจเสียหน่อย ด้วยสงสัยว่าเหตุใดจึงมีดอกบัวเพียงดอกเดียวที่ขึ้นกลางน้ำ ทั้งยังมิเห็นกอบัวเลยสักกอเดียวร่างระหงที่แต่งกายและรวบผมราวกับชายหนุ่ม กำลังแหวกว่ายไปบริเวณกลางสระ ชะโงกหน้าเข้าไป
“แล้วข้าต้องแสดงออกเช่นนางหรือเจ้าคะ”“มิต้องทำเช่นนั้น เพียงแต่ยายอยากให้เจ้ารู้ว่าเวลาใดควรอ่อน เวลาใดควรแข็ง เวลาใดควรแสร้ง เวลาใดควรซื่อตรง หากเจอผู้ที่จริงใจ เราย่อมต้องจริงใจต่อเขา แต่หากว่าเขาไม่ เราก็ไม่ เท่านั้นเอง” เหมาไป่พบเจอผู้คนมาหลายรูปแบบ วิธีรับมือคือตัวเราเองต้องปรับตัวให้ทัน อย่างเจียวมี่มารดาของลี่มี่ นางเป็นคนแข็ง พูดตรง ผู้คนจึงมักมองว่านางปากร้าย มิน่าคบ ต่างกับชุนเจียงที่ทั้งพูดจาไพเราะ อ่อนโยน“ข้าจะพยายามเจ้าค่ะท่านยาย”“หลานยายต้องทำได้แน่ สำคัญอย่าได้ละเลยตัวตนของตนเองเล่า อีกอย่าง ยายรู้ว่าการสูญเสียนั้นเจ็บปวดเพียงใด ยามนี้เจ้าคงอยากเข้มแข็งเป็นที่พึ่งของยายและน้อง แต่ยายยังอยากเห็นมี่เอ๋อร์ที่สดใส ช่างพูดช่างถาม อย่าได้ทำตัวเป็นผู้ใหญ่เกินไปเลย ผ่อนคลายเสียบ้าง”“เอ่อ…ท่านยายมิได้ว่าข้าพูดมากใช่หรือไม่เจ้าคะ” ปากเล็กเบะยื่นออกมาอย่างน่าเอ็นดู“ฮ่าๆ มิได้ว่า” ท่าทีเช่นนี้แหละที่เหมาไป่อยากเห็นเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งสัปดาห์ ข่าวลือของลี่มี่ก็เบาบางลง ยังมีบางคนที่มองมาทางนางด้วยสายตาไม่ชอบใจ แต่ก็มีหลายคนที่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดและพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือน
“ขออภัยเจ้าค่ะ ที่ท่านเอ่ยมานั้น หมายถึงข้าใช่หรือไม่” ลี่มี่หน้าตึง เดินตรงไปหากลุ่มคนที่นินทานางอยู่ ลี่มี่ตั้งใจจะไปเอ่ยเล่าความจริงที่เกิดขึ้นให้สตรีเหล่านั้นได้ฟัง แล้วให้พวกนางพิจารณากันเอง แต่หญิงเหล่านั้นกลับเอ่ยวาจาก่อกวน“ข้าได้เอ่ยนามเจ้าหรือ” สีหน้ายียวนจากคนเหล่านั้น ทำให้ลี่มี่อดไม่ได้ที่จะตอบกลับไป นางมิได้ขอข้าวผู้ใดกินอีกต่อไปแล้ว จากนี้นางมิจำเป็นต้องยอมอ่อนให้ผู้ใด ดีมาย่อมดีตอบ แต่หากว่ามาร้ายก็เตรียมใจเอาไว้ได้เลย ว่าลี่มี่ผู้นี้จะมิอยู่เฉย“หึ! กล้านินทาผู้อื่น แต่มิกล้ารับผิด ทำตนเช่นคนขลาดเขลา หวาดกลัวกระทั่งเด็ก น่าสมเพชเสียจริง”“นี่เจ้ากล้าเอ่ยว่าผู้ใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร!” กลุ่มสตรีที่ยืนพูดคุยกันอยู่ถึงกลับตกใจที่ตนเองถูกเด็กสาวว่ากล่าวต่อหน้าต่อตา“ข้าได้เอ่ยนามพวกท่านหรือ…เช่นนั้นจะร้อนรนไปไย” ลี่มี่เอ่ยถามตาใส เมื่อเห็นว่าสตรีเหล่านั้นตกใจ หน้าเสียจนหลงลืมแม้กระทั่งวิธีพูด ร่างบางจึงมิใส่ใจ เดินตรงไปที่เรือนผู้ใหญ่บ้านทันที โดยที่มิรู้เลยว่าการกระทำของตนนั้น ยิ่งทำให้ข่าวลือความอกตัญญูของลี่มี่ถูกเล่าลือยิ่งขึ้นไปอีก ว่านอกจากจะอกตัญญูทำร้ายคนในครอบครัวแ
“เป็นอย่างไร รสดีหรือไม่” เหมาไป่เอ่ยถามหลานสาวและหลายชาย หลังจากตักอาหารให้ทั้งสองได้ลองทาน เช้าวันนี้เหมาไป่เข้าครัวทำอาหารให้หลานๆ ใบหน้าเหี่ยวย่นมองไปที่หลานทั้งสองด้วยสายตาที่คาดหวัง“ดีขอยับ ดีที่สุด”“รสดีมากเจ้าค่ะท่านยาย” ลี่มี่ยกยิ้มขึ้นมาเต็มใบหน้า ไม่ต่างจากลี่หมิงที่บัดนี้ตักข้าวเข้าปากอย่างสุขใจ อาหารที่ท่านยายทำมิได้เลิศรสราวกับนั่งกินในเหลาอาหาร แต่ทว่ากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความใส่ใจและรักใคร่“เช่นนั้นก็กินให้มาก ประเดี๋ยวยายจะออกไปหาของป่าบนเขา วันนี้พวกเจ้าทั้งสองก็พักอยู่ที่เรือนเถิด” แม้เหมาไป่จะมีอายุมากแล้ว แต่นางมิมีบุตรคอยเลี้ยงดู ทั้งร่างกายยังแข็งแรงพอจะขึ้นเขาได้ นางจึงอาศัยการเก็บของป่ามาเลี้ยงปากท้อง“ท่านยายมิต้องเข้าป่าแล้วเจ้าค่ะ ท่านอายุมากแล้ว ข้ากลัวว่าท่านจะเป็นลมล้มพับไป”“ยายพอมีกำลัง เจ้าอย่าได้เป็นห่วงเลย”“มิห่วงมิได้เจ้าค่ะ พวกเรามีท่านยายเพียงคนเดียวนะเจ้าคะ ต่อจากนี้มี่เอ๋อร์ผู้นี้จะเป็นคนหาเงินมาใช้จ่ายในครอบครัวเองเจ้าค่ะ ท่านยายอย่าได้กังวลไป”“แต่-” เหมาไป่เข้าใจความห่วงใยของหลานสาว แต่จะให้นางปล่อยหลานสาวหาเงินทอง เพื่อเลี้ยงปากท้องของคน