LOGINปฐมเหตุทัณฑ์สวรรค์
เด็กชายอายุเพียงสิบขวบยืนตัวสั่น ดวงตาแนวแน่จ้องมองศัตรูตรงหน้าด้วยความอาฆาต เส้นผมของเขาเปียกชุ่มไปด้วยหยาดฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง ครึ่งหนึ่งของใบหน้าเปียกโชกไปด้วยโลหิตสีแดงฉาน เสื้อผ้าแพรพรรณเนื้อดี เวลานี้กลับเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบดินโคลนและโลหิต
มือข้างขวากำดาบที่อาบชุ่มไปด้วยเลือดของศัตรู ที่เวลานี้ทั้งหนักและเยือกเย็นในความรู้สึกอ่อนล้า ข้าศึกคนสุดท้ายถูกปาดคอลงไปนอนดิ้นสิ้นชีวิต สายฝนที่โปรยปราย ทำให้ทั่วพื้นถนนที่เต็มไปด้วยซากศพ กลับเจิ่งนองไปด้วยเลือดผสมน้ำ กลิ่นคาวคละคลุ้งชวนอาเจียน เด็กชายยกมือขึ้นปาดหยาดฝนปนเลือดออกจากใบหน้า มองดูประตูวังที่ถูกทุบทำลาย เผยให้เห็นภาพภายในเปลวเพลิงร้อนแรง ที่กำลังโหมไหม้เผาผลาญอาคารสูงใหญ่ ที่ครั้งหนึ่งเคยโอ่อ่าวิจิตรงดงาม เปลวเพลิงลุกไหม้แข่งกับสายฝนเบาบางที่โปรยปรายไม่ขาดสาย แต่ดูเหมือนสายฝนเม็ดเล็กจะไม่สามารถทำอะไร เปลวเพลิงที่บ้าคลั่งได้เลย
จ้าวตงหยาง หมุนตัวมองดูเหล่าองครักษ์ที่ยอมพลีชีพ เพื่อปกป้องเขาจากเหล่าศัตรู จนชีวิตต้องมาดับสูญ ชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ทั้งเด็กและคนชรา ที่หนีออกจากเมืองไม่ทัน ต่างต้องมาสิ้นชีพ เพียงเพราะคนทรยศเพียงคนเดียว
“องค์ชาย…องค์ชาย ช่วยด้วย ข้า…อยู่ตรงนี้ องค์ชาย…” เสียงเรียกแผ่วเบา ดังออกมาจากใต้กองซากศพของเหล่าทหาร ที่สมัครใจใช้ร่างตนเองป้องกันห่าธนูลูกดอกที่พุ่งเข้าใส่เขาและพี่เลี้ยง ในเวลานี้ร่างของนาง ได้ถูกศพทหารทับถมจนได้ยินเพียงเสียงเรียกแผ่วเบา ดังแว่วออกมาจากใต้กองซากศพ
จ้าวตงหยางตั้งสติโยนดาบในมือทิ้ง สลัดความหวาดกลัวและเหนื่อยล้าเมื่อครู่ออกไป ยกมือขึ้นเช็ดหยาดฝนและคราบเลือออกจากใบหน้า เขาย่อตัวลงพลิกศพเหล่านั้น ด้วยความยากลำบาก จนพบพี่เลี้ยงหนึ่งเดียวที่รอดชีวิตอยู่ในเวลานี้
“องค์ชาย ท่านปลอดภัยดีหรือไม่…”
“ข้าปลอดภัย แล้วท่านล่ะ พี่หลิว”
“ข้า…เจ็บขามากเลยเจ้าค่ะ”
เด็กชายขยับไปด้านล่างตัวนางพยายามพลิกศพที่กองทับขาของนางออก จนพบกับบาดแผล ที่แม้แต่เขาเองยังรู้สึกหวาดเสียว ไม่ต้องพูดถึงสตรีร่างบางที่นอนอยู่เลย หากนางเห็นขาของตนเอง คงเป็นลมล้มลงเป็นแน่
“พี่หลิวท่านนอนลงก่อน อย่าลุกขึ้นมาเป็นอันขาด”
“ทำไมเล่า ไหนข้าขอดูหน่อย โอ๊ย…”
เด็กชายผลักและกดไหล่ของนางลง ไม่ยอมให้นางลุกมาเห็นบาดแผลตนเอง “ช้าก่อน…” เด็กชายก้มลงเลือกดึงเอาผ้าคาดเอวจากศพทหารผู้หนึ่งออกมา แล้วหักก้านธนูออก เหลือส่วนหัวที่ไม่สามารถดึกออกได้ แล้วรีบมัดปิดบาดแผลด้วยผ้าคาดเอวจากศพให้แน่น เพื่อชะลอเลือดที่ยังคงไหลออกมา
หลิวหยุน เจ็บจนน้ำตาไหล แต่นางก็ทำได้เพียงยกแขนเสื้อของตนเองขึ้นมากัดเอาไว้ กลัวว่าหากนางเปล่งเสียงร้องออกไป จะกลายเป็นเรียกศัตรูที่อยู่แถวนั้น ให้เข้ามาสังหารเจ้านายตัวน้อยที่กำลังหาทางช่วยนางอยู่
“เอ่อ…ท่านพี่หลิว ขาท่าน อาจมีบางอย่างติดอยู่ ข้าพยายามพันแผลของท่านเอาไว้ อย่างน้อยหากลูกธนูนี้ไม่ขยับท่านก็อาจเจ็บไม่มาก เอาไว้เราหาที่ซ่อนตัวที่ปลอดภัยได้แล้ว ข้าจะพยายามดึงมันออกให้ ท่านไหวหรือไม่”
หญิงสาวพยายามยันตัวลุกขึ้นนั่ง แม้จะเจ็บทรมาน จนใบหน้าซีดเซียว แต่ก็แกล้งฝืนยิ้มให้เขา เวลานี้ไม่มีอะไรดีไปกว่ากำลังใจที่ส่งถึงกัน เด็กชายตรงหน้าเพิ่งสูญเสียบิดาและมารดาต่อหน้าต่อตา แต่เขาสามารถกดเก็บความเจ็บปวดนั้นเอาไว้ แล้วพยายามช่วยเหลือนาง มีหรือที่นางจะกล้าแสดงออกถึงความอ่อนแอ
“ไหว…ข้าไหว เรารีบไปจากตรงนี้กันเถอะ องค์ชายตราหยกยังอยู่กับท่านใช่หรือไม่”
องค์ชายจ้าวตงหยางล้วงเอาตราประทับที่มีขนาดเท่ากำปั้นออกมาจากปกเสื้อ พร้อมกับดึงเชือกจากป้ายหยกคาดเอวของนายทหารท่านหนึ่ง ขึ้นมาผูกมัดกับตราประทับเจ้าแคว้น ยกขึ้นคล้องกับคอของตนเอง ก่อนจะยัดคืนเข้าด้านในปกเสื้อ เขาได้พลิกดูตัวอักษรบนป้ายหยก “จู…ร่างนี้คือท่านองครักษ์จู ท่านอาป้ายหยกของท่านข้าขอนะ ข้าสัญญาจะรักษามันอย่างดี”
“ไปกันเถอะ อยู่ที่นี่นานไม่ได้ หากพวกข้าศึกวนกลับมาเราจะลำบาก”
“ข้าขอมอบตราประทับนี้ให้เจ้า จงรักษามันเท่าชีวิตของเจ้าเอง ห้ามให้กวงไฮแย่งชิงไปได้เป็นอันขาด รับปากข้า”“ข้าจ้าวตงหยาง น้อมรับพระบัญชา จะเก็บรักษาตราประทับแผ่นดินแคว้นจ้าว เท่าชีวิต”“ไป รีบไปได้เแล้ว”หลิวหยุนรีบเข้าไปคว้าแขนเด็กชาย หมุนตัวตั้งใจกลับตามทางเก่าที่เดินเข้ามา แต่เวลานี้ด้านนอกเหมือนมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งปิดล้อมทางออกอุโมงค์ลับเอาไว้“พวกเจ้าออกทางนั้น” ตงหยางและหลิวหยุนมองดูเส้นทางเล็ก ๆ จากโถงลับ ที่มืดหายไปตามช่องทางขนาดเล็กจนต้องคลานออกไปทีละคน ตงหยางเอาตราประทับยัดใส่ไว้ในปกเสื้อเพื่อป้องกันสูญหาย“ท่านพ่อรักษาตัวด้วย ข้าจะรอท่านตามออกไป”จ้าวตงหยางทำได้เพียงตะโกนพูดคุยกับผู้เป็นบิดา ด้วยเพราะตัวเขาเอง ก็กำลังถูกหลิวหยุนกึ่งลากกึ่งจูง นางบังคับผลักเขาให้มุดเข้าไปในอุโมงค์ แต่แท้จริง ทั้งคู่กลับใช้มุมมืดหยุดรั้งรอเพื่อดูเหตุการณ์สำคัญ ด้วยหวังเพียงว่า อ๋องแคว้นจ้าวจะปลอดภัยและออกไปจากที่นี่พร้อมพวกตนแต่ภาพที่เห็นทำเอาทั้งสองแทบสติหลุด ดีที่หลิวหยุนมีสติดีกว่า รีบปิดปากองค์ชายข้างกาย ก่อนที่เขาจะตะโกนเรียกบิดาที่โดนทำร้ายและถูกคุมตัวออกไป นางพี่เลี้ยงทำได้แค่กอดเขาเอาไ
จ้าวตงหยาง นั่งสงบต่อหน้าป้ายบรรพชนที่เรียงรายอยู่รอบตัว ภายในห้องมีเพียงแสงสว่างจากเปลวประทีปน้ำมัน ด้านนอกยังคงความโกลาหลปั่นป่วน ด้วยข้าศึกที่เริ่มบุกเข้ามาถึงด้านในเขตพระราชฐานชั้นนอกหลิวหยุนเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข เดินวนไปมาด้วยความร้อนใจ เมื่อเสียงที่วุ่นวายดูเหมือนกำลังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ไม่มีทีท่าว่าจะมีใครหน้าไหน ต้านทานข้าศึกที่ถาโถมเข้ามาได้“องค์ชาย ข้าคิดว่าที่นี่หาใช่สถานที่ที่ปลอดภัยไม่ เรารีบออกจากที่นี่กันเถอะเพคะ”“ไม่มีคำสั่งข้าจะไปได้เช่นไรพี่หลิวหยุน”“องค์ชาย เวลานี้ข้าศึกบุกเข้ามาถึงด้านในแล้ว ไม่มีขันที ไม่มีผู้นำสาส์น ใครกันจะรู้ได้ว่า คำกล่าวรายงานออกคำสั่ง จะมาถึงที่นี่หรือไม่ องค์ชาย…การเป็นผู้อยู่ในระเบียบวินัยเป็นสิ่งที่พึ่งกระทำ แต่กับเวลาเช่นนี้การรักษาชีวิตเอาไว้เพื่อวันข้างหน้า จะมิใช่ทางออกที่ดีกว่าหรือ ได้โปรดไตร่ตรองแล้วไปกับหม่อมฉันเถอะเพคะ”จ้าวตงหยางเงยหน้าขึ้นมองดูป้ายบรรพชน ที่ตั้งเรียงรายอยู่เบื้องหน้า “บรรพบุรุษทุกท่าน ข้าจ้าวตงหยางขอคำนับพวกท่าน หากมีชีวิตรอด สักวันข้าจะกลับมาทำพิธีบูชาพวกท่านที่นี่”ประตูตำหนักบูชาบรรพชนกำลังถูกเปิดออก แต่ผู้
หลิวหยุนเหล่ตามองดูเด็กชายที่ผ่านความตายร่วมกันมาด้วยความแปลกใจ “ข้าอยู่กับเจ้ามาตลอด ทำไมไม่รู้เลยว่าองค์ชายจ้าวตงหยางมีความสามารถมากมายเช่นนี้”“พี่หลิวหยุน ในวังหาใช่สถานที่ ที่ข้าควรแสดงออกถึงความรู้ความสามารถไม่ หากเป็นเช่นนั้นข้าคงไม่ต่างกับกระเรียนในฝูงไก่ ตามปรัชญาของท่านสวินจื่อ หากข้าเอาแต่เปิดเผยสิ่งที่รู้สิ่งที่เป็น เพื่อหวังให้ตนเป็นที่โปรดปราน เช่นนั้นพวกเสด็จพี่คงหมายตาข้าเป็นศัตรูมิใช่พี่น้อง ”หลิวหยุนย่อตัวนั่งลงข้างองค์ชายแห่งเมืองล่มสลาย มองดูเขาด้วยความชื่นชมและเวทนาไปพร้อมกัน “ท่านคิดถึงพวกเขาบ้างไหมตงหยาง”จ้าวตงหยางหยุดมือที่กำลังโกยผงยาลงอ่างไม้ เงยหน้าขึ้นมองดูหญิงสาวตรงหน้า ที่ก่อนนี้เคยเป็นนางกำนันดูแลตนเอง มาตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็กน้อย จนกลายมาเป็นพี่สาวร่วมสาบานในเวลานี้ “คิดถึง…แล้วเช่นไร ข้าหนีเอาชีวิตรอดมาได้ เพราะท่านนะพี่หลิวหยุน พวกเขาบางคน ลืมไปเสียด้วยซ้ำว่ายังเหลือพวกเราอยู่ในห้องนั้น”ภาพวันเกิดเหตุย้อนกลับมาอีกครั้ง บรรดาเชื้อพระวงศ์ถูกเรียกตัวให้ไปรวมกันยังท้องพระโรง เว้นแต่จ้าวตงหยางเพียงผู้เดียวที่ถูกจับแยกจากพระมารดา ให้ไปที่ตำหนักบูชาบรรพ
หลิวหยุนได้แต่ยิ้มแล้วพยักหน้าเข้าใจ นางยกถ้วยน้ำแกงกลิ่นหอมส่งให้ตงหยาง “นี่น้ำแกงสร่างเมา ข้าเตรียมไว้ให้เจ้าโดยเฉพาะ เช้านี้พี่ไป่เยว่เอาสมุนไพรไปตากแดดให้แล้ว แต่วันนี้ท้องฟ้ามืดครึ้ม คงไม่ค่อยมีแสงแดด”“ขอบคุณท่านพี่ทั้งสอง สมุนไพรนั่นเริ่มแห้งแล้ว อันที่จริงวันนี้ไม่ต้องตากแดดก็ได้ หากถูกฝนจะเป็นเชื้อราอันตรายต่อการนำไปปรุงยา ต้องทิ้งทั้งหมด”“เช่นนั้น ข้าจะออกไปเก็บเข้ามาไว้ที่เดิมน่าจะดีกว่า ตอนนี้ท่านไป๋เยว่น่าจะเอาควายไปทุ่งนาแล้ว ที่นี่เหลือแค่เราสองคน”พูดจบนางก็หมุนตัวทำท่าจะออกไปเก็บสมุนไพร ตงหยางมองดูท่าเดินของนางแล้วให้รู้สึกไม่สบายใจ“พี่หลิวหยุน…ไม่เป็นไร เอาไว้เช่นนั้นก่อน รอสักครู่ข้าไปเก็บเอง ขาของท่านยังไม่หายดี อย่าขยับมากจะดีกว่า”“ไม่เป็นไรองค์ชาย ให้ข้าได้ทำอะไรบ้างเถอะ อยู่เฉย ๆ ข้ารู้สึกไม่ดีเลย”จ้าวตงหยางวางถ้วยน้ำแกงลง แล้วเหมือนคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “ข้ารู้แล้วว่าท่านพอจะช่วยอะไรข้าได้”แท่นหินกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ถูกนำมาจัดวางยังลานกลางบ้าน หลิวหยุนยืนดูด้วยความสงสัย“นี่อะไรกัน”“อ๋อ…แม่นางหลิวหยุน ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน องค์ชาย เอ่อ…ไม่สิ เจ้าหนูตงหยาง
รายนามของผู้คน เทพเจ้า ปีศาจ มาร หรือแม้แต่สรรพสัตว์ทั่วพิภพ ต่างกึกก้องสะท้อนนามอยู่ในหัวของเขา จนไม่สามารถฟังออกได้ว่าชื่อใครเป็นชื่อใคร ตงหยางทรุดตัวลง ยกมือขึ้นกุมหัวด้วยความรู้สึกปวดร้าว แล้วเริ่มเปล่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ด้วยสิ่งที่เกิดขึ้น มันรุนแรงเกินกว่าร่างมนุษย์จะรับไหว ก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดนิ่งลง เหลือเพียงเสียงหัวใจที่หอบเหนื่อยของเขาเอง“ข้าจำได้…ข้าจำได้ ท่านเยว่เซียนเหล่าเหริน ข้าจำมันได้แล้ว…”“สมแล้วที่เป็นศิษย์เอกหนึ่งเดียวของแดนดาราห้วงเวหา นับได้ว่าซื่อเว่ยต้าตี้โชคดีนัก ที่มีศิษย์ผู้มีปฏิภาณความรู้เช่นเจ้า จดจำได้ก็ดี ตงฉางเวลาไม่เคยคอยท่า หน้าที่ของเจ้าใกล้มาถึงแล้ว ข้าเพียงได้แต่หวังว่า เจ้าจะทำมันได้เป็นอย่างดี”จ้าวตงหยางคุกเข่าลง คำนับต่อเสียงไร้ตัวตน “ข้าจะทำให้สำเร็จ เพียงแต่ข้าจะรู้ได้เช่นไร ว่าผู้ใดคือด้ายแดงสิบเส้นที่มีปัญหา”“ไม่ยากเลยเด็กน้อย ในจิตของเจ้ามันมีบันทึกของข้าที่เจ้าขโมยไป เพียงแต่เวลานี้ร่างมนุษย์ของเจ้า มันไม่มีพลังมากพอที่จะเปิดบันทึกออกมาอ่านได้ แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไป ต่อจากนี้เจ้าจงหมั่นฝึกฝนร่างกายและพลังปราณ”“พลังปราณ…เช่น
“เด็กน้อย ๆ เฉิงวั่งซู ข้าจะบอกเจ้าเอาบุญ เจ้าน่ะมีหน้าที่ ที่ไม่อาจหลีกหนีได้รออยู่ กับคำสาปสิบข้อจากข้า นับแต่นี้ยังมีเหตุการณ์อีกมากมายที่เจ้าต้องเผชิญ อารมณ์แห่งธาตุไฟในกาย รู้จักระงับควบคุมมันบ้าง บิดาของเจ้าไม่อาจดูแลบุตรชายเสเพลเช่นเจ้าไปได้ตลอดชีวิต จำคำข้าไว้ แล้วสำนึกตนให้ดี นับแต่นี้ไป จงเร่งแก้ปัญหาที่ตนทำไว้ ข้ามีเวลาจำกัดหาได้ใจดีเช่นที่เจ้าคิด”พูดจบเขาก็หัวเราะออกมา แล้วเสียงนั้นก็เหมือนค่อย ๆ ถอยห่างออกไป เหมือนดั่งชายผู้มีเพียงเสียง กำลังจะจากไป “ช้าก่อน นี่…เจ้า…กลับมานะ เจ้าทำข้าเจ็บเช่นนี้ แล้วก็จะจากไป กลับมานะ เจ้าคนไร้ชื่อแซ่ กลับมา…" เสียงที่ตอบกลับมามีแค่เพียงเสียงหัวเราะ ที่ไร้นามเฉิงวั่งซูสะดุ้งตื่นขึ้นอีกครั้ง เสียงไก่ขันดังแววมาตามสายลม ฟ้ายังไม่สว่าง แต่ในตอนนี้คงใกล้เช้าแล้ว เขาเปิดม่านมุ้งลุกออกมานั่งอยู่ริมหน้าต่าง ทอดสายตาออกไปภายนอกห้อง มือก็จับลูบแก้มที่ในความฝันเหมือนโดนตบจนรู้สึกได้ถึงความเจ็บและชา แต่เวลานี้กลับไม่มีความรู้สึกอะไรเหลืออยู่บนใบหน้า ตกลงแล้วนี่มันคืออะไรกันแน่ หน้าที่อะไรที่รออยู่ ผู้ชายในฝันคือใคร เหมือนคุ้นเคยแต่ทำไมกลับจำไม่ได







