LOGINองค์ชายรีบคุกเข่าลง คำนับต่อศพองครักษ์ประจำตัว ที่ยอมพลีกายปกป้องเขาจนตัวตาย แล้วเข้าประคองหญิงสาวที่มีลูกดอกธนูหักติดขาอยู่ เพื่อช่วยกันหลบหนีลี้หายไปจากกำแพงเมือง อาศัยเงาแดดที่ใกล้พลบค่ำ ฝ่าสายฝนเม็ดบางที่ยังคงโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย เพื่อออกไปให้พ้นกองซากศพเปลวเพลิงและข้าศึก ของเมืองที่ล่มสลาย
ภาพเขม่าควันไฟ กับเสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดดังระงมไปทั่ว วั่งซูเด็กชายวัยเพียงสิบขวบเดินหลงอยู่ในกองซากศพของเหล่าทหาร สิ่งเดียวที่อยู่ภายในใจของเขา คือบิดามารดาและบรรดาพี่ชาย ที่เดินทางออกจากบ้านเพื่อนำกองกำลังในการดูแลของตน ไปเข้าร่วมกับทัพของท่านเสนาบดีฝ่ายซ้าย หลายปีแล้วที่พวกเขาทั้งสองไม่ได้กลับบ้าน จนตอนนี้แม้แต่ตัวเขาเองก็แทบจำใบหน้าของท่านทั้งสองไม่ได้แล้ว
“ลู่เสี่ยน…ลู่เสี่ยน…”
“เจ้าค่ะ คุณชาย ทำไมตื่นกลางดึกเช่นนี้” หญิงสาวรีบเข้ามาเปิดผ้าม่าน เพื่อดูแลนายน้อยที่ตนเฝ้ารับใช้อยู่
“พี่ลู่เสี่ยน ข้าฝันร้าย…”
“ฝันร้าย…ท่านฝันเห็นสิ่งใด”
“ข้าฝันเห็นซากศพของทหาร ข้าเห็น เห็น…”
“โถ ๆ ไม่เอาน่า ดูสิเมื่อหัวค่ำข้าบอกท่านแล้ว ว่าอย่ากินขนมพวกนั้นมากเกินไป ดูสิอิ่มมากก็ฝันร้าย”
“ไม่นะ พี่ลู่เสี่ยน ในฝันนั่นมันเหมือนจริงมาก ท่านพ่อ…มีข่าวท่านพ่อกับท่านแม่และก็พี่ใหญ่พี่รองบ้างหรือไม่ ไม่ได้การแล้ว พรุ่งนี้เช้าเราไปพบท่านย่ากันเถอะ”
“เจ้าค่ะ ๆ คุณชายท่านนอนต่อเถอะนะ อีกตั้งนานกว่าจะเช้า”
หญิงสาวห่มผ้าให้เขา แล้วเตรียมจะจากไปยังที่นอนของตน ที่อยู่ไม่ไกลกันนัก แต่เด็กชายกลับรีบจับมือของนางเอาไว้
“พี่ลู่เสี่ยน ฝันร้ายเช่นนี้ข้านอนไม่หลับหรอก ท่านร้องเพลงให้ข้าฟังก่อนนะ ได้โปรด นะ ๆ”
“ได้ ๆ บ่าวจะร้องเพลงให้ฟัง คุณชายนี่นะ โตจะเป็นหนุ่มอยู่แล้ว ยังขี้อ้อนเป็นเด็ก ๆ อยู่ได้ ไปพบท่านย่า คุณชายไม่กลัวท่านย่าจะส่งไปเรียนวิชายุทธหรือเจ้าคะ”
“กลัวแล้วจะทำเช่นไร ข้าเป็นห่วงท่านพ่อท่านแม่กับพวกพี่ ๆ มากกว่า”
ลู่เสี่ยนยิ้มให้ผู้เป็นนาย แล้วเริ่มขับกล่อมบทเพลงด้วยเสียงที่อ่อนหวานไพเราะจับใจ บทเพลงของนางช่วยให้หัวใจสั่นไหวหวาดกลัวของวั่งซู เริ่มบรรเทาความตื่นตระหนกลง แล้วหลับได้อีกครั้งในเวลาไม่นาน
สตรีชรากำลังบรรจงปักกิ่งดอกไม้สีหวานลงในอ่าง ที่มีน้ำหล่อก้นอ่างอยู่เพียงเล็กน้อย
“อะไรกันนะทำให้เจ้าพยักฆ์ดื้อรั้นตัวนี้ ยอมมาพบข้าได้”
“ท่านย่า ท่านอย่าพูดเช่นนั้น ที่ผ่านมาข้าเรียนอักษรเขียนภาพและบทกวี เลยไม่มีเวลามาพบท่าน วันนี้ข้ามาพบท่านแล้ว ท่านก็อย่าตำหนิข้านักเลย”
หญิงชราหัวเราะออกมา “ใครกันจะกล้าตำหนิเจ้า ข้ารึ ข้าเลิกตำหนิเจ้ามานานแล้ววั่งซู เจ้าน่ะมันดื้อรั้นเกินกว่าที่ข้าจะอบรมได้มานานแล้ว ดี…วันนี้มาพบข้าก็ดี ข้ามีคนผู้หนึ่งต้องการแนะนำให้เจ้ารู้จักอยู่พอดี”
“ใครกันท่านย่า ช่างเถอะ เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ ที่ข้ามาพบท่าน เพราะเมื่อคืนนี้ข้าฝันร้าย ข้าฝันถึงท่าน…”
ไม่ทันที่วั่งซูจะกล่าวจบ ชายแปลกหน้าที่มีอายุมากกว่าเขาเพียงไม่กี่ปี ก็เดินเข้ามาคำนับต่อผู้อาวุโสชรา ผู้เป็นใหญ่แห่งสกุลเฉิง และตามมาด้วยชายวัยกลางคนที่เดินตามกันมาติด ๆ
“ดีจริง มาถึงกันแล้ว วั่งซู นี่ท่านอาจารย์เป่า และนั่นหวังหย่ง ซึ่งต่อไปนี้ เขาก็คือศิษย์พี่ของเจ้า”
“ศิษย์พี่ของข้า ท่านย่า…ท่านหมายความว่า…”
“อายุเจ้าไม่น้อยแล้ว วิชาอักษรประวัติศาสตร์ตำราพิชัยยุทธิ์ เจ้าก็ยังคงต้องศึกษาต่อไป แต่วรยุทธวิชาดาบกระบี่หรืออาวุธอื่น ๆ ก็จำเป็นเช่นกัน อาจารย์เป่าแม้จะยังมีอายุไม่มาก แต่ก็นับว่าเป็นยอดฝีมือ ตระกูลเราล้วนแล้วแต่มีบรรพบุรุษที่เป็นจอมทัพนักรบ ในเมื่อเจ้าเกิดมาเป็นผู้ชาย การสืบทอดงานสงครามอย่างไรเสียก็ทิ้งไม่ได้”
“ท่านย่า…”
“ข้าขอมอบตราประทับนี้ให้เจ้า จงรักษามันเท่าชีวิตของเจ้าเอง ห้ามให้กวงไฮแย่งชิงไปได้เป็นอันขาด รับปากข้า”“ข้าจ้าวตงหยาง น้อมรับพระบัญชา จะเก็บรักษาตราประทับแผ่นดินแคว้นจ้าว เท่าชีวิต”“ไป รีบไปได้เแล้ว”หลิวหยุนรีบเข้าไปคว้าแขนเด็กชาย หมุนตัวตั้งใจกลับตามทางเก่าที่เดินเข้ามา แต่เวลานี้ด้านนอกเหมือนมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งปิดล้อมทางออกอุโมงค์ลับเอาไว้“พวกเจ้าออกทางนั้น” ตงหยางและหลิวหยุนมองดูเส้นทางเล็ก ๆ จากโถงลับ ที่มืดหายไปตามช่องทางขนาดเล็กจนต้องคลานออกไปทีละคน ตงหยางเอาตราประทับยัดใส่ไว้ในปกเสื้อเพื่อป้องกันสูญหาย“ท่านพ่อรักษาตัวด้วย ข้าจะรอท่านตามออกไป”จ้าวตงหยางทำได้เพียงตะโกนพูดคุยกับผู้เป็นบิดา ด้วยเพราะตัวเขาเอง ก็กำลังถูกหลิวหยุนกึ่งลากกึ่งจูง นางบังคับผลักเขาให้มุดเข้าไปในอุโมงค์ แต่แท้จริง ทั้งคู่กลับใช้มุมมืดหยุดรั้งรอเพื่อดูเหตุการณ์สำคัญ ด้วยหวังเพียงว่า อ๋องแคว้นจ้าวจะปลอดภัยและออกไปจากที่นี่พร้อมพวกตนแต่ภาพที่เห็นทำเอาทั้งสองแทบสติหลุด ดีที่หลิวหยุนมีสติดีกว่า รีบปิดปากองค์ชายข้างกาย ก่อนที่เขาจะตะโกนเรียกบิดาที่โดนทำร้ายและถูกคุมตัวออกไป นางพี่เลี้ยงทำได้แค่กอดเขาเอาไ
จ้าวตงหยาง นั่งสงบต่อหน้าป้ายบรรพชนที่เรียงรายอยู่รอบตัว ภายในห้องมีเพียงแสงสว่างจากเปลวประทีปน้ำมัน ด้านนอกยังคงความโกลาหลปั่นป่วน ด้วยข้าศึกที่เริ่มบุกเข้ามาถึงด้านในเขตพระราชฐานชั้นนอกหลิวหยุนเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข เดินวนไปมาด้วยความร้อนใจ เมื่อเสียงที่วุ่นวายดูเหมือนกำลังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ไม่มีทีท่าว่าจะมีใครหน้าไหน ต้านทานข้าศึกที่ถาโถมเข้ามาได้“องค์ชาย ข้าคิดว่าที่นี่หาใช่สถานที่ที่ปลอดภัยไม่ เรารีบออกจากที่นี่กันเถอะเพคะ”“ไม่มีคำสั่งข้าจะไปได้เช่นไรพี่หลิวหยุน”“องค์ชาย เวลานี้ข้าศึกบุกเข้ามาถึงด้านในแล้ว ไม่มีขันที ไม่มีผู้นำสาส์น ใครกันจะรู้ได้ว่า คำกล่าวรายงานออกคำสั่ง จะมาถึงที่นี่หรือไม่ องค์ชาย…การเป็นผู้อยู่ในระเบียบวินัยเป็นสิ่งที่พึ่งกระทำ แต่กับเวลาเช่นนี้การรักษาชีวิตเอาไว้เพื่อวันข้างหน้า จะมิใช่ทางออกที่ดีกว่าหรือ ได้โปรดไตร่ตรองแล้วไปกับหม่อมฉันเถอะเพคะ”จ้าวตงหยางเงยหน้าขึ้นมองดูป้ายบรรพชน ที่ตั้งเรียงรายอยู่เบื้องหน้า “บรรพบุรุษทุกท่าน ข้าจ้าวตงหยางขอคำนับพวกท่าน หากมีชีวิตรอด สักวันข้าจะกลับมาทำพิธีบูชาพวกท่านที่นี่”ประตูตำหนักบูชาบรรพชนกำลังถูกเปิดออก แต่ผู้
หลิวหยุนเหล่ตามองดูเด็กชายที่ผ่านความตายร่วมกันมาด้วยความแปลกใจ “ข้าอยู่กับเจ้ามาตลอด ทำไมไม่รู้เลยว่าองค์ชายจ้าวตงหยางมีความสามารถมากมายเช่นนี้”“พี่หลิวหยุน ในวังหาใช่สถานที่ ที่ข้าควรแสดงออกถึงความรู้ความสามารถไม่ หากเป็นเช่นนั้นข้าคงไม่ต่างกับกระเรียนในฝูงไก่ ตามปรัชญาของท่านสวินจื่อ หากข้าเอาแต่เปิดเผยสิ่งที่รู้สิ่งที่เป็น เพื่อหวังให้ตนเป็นที่โปรดปราน เช่นนั้นพวกเสด็จพี่คงหมายตาข้าเป็นศัตรูมิใช่พี่น้อง ”หลิวหยุนย่อตัวนั่งลงข้างองค์ชายแห่งเมืองล่มสลาย มองดูเขาด้วยความชื่นชมและเวทนาไปพร้อมกัน “ท่านคิดถึงพวกเขาบ้างไหมตงหยาง”จ้าวตงหยางหยุดมือที่กำลังโกยผงยาลงอ่างไม้ เงยหน้าขึ้นมองดูหญิงสาวตรงหน้า ที่ก่อนนี้เคยเป็นนางกำนันดูแลตนเอง มาตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็กน้อย จนกลายมาเป็นพี่สาวร่วมสาบานในเวลานี้ “คิดถึง…แล้วเช่นไร ข้าหนีเอาชีวิตรอดมาได้ เพราะท่านนะพี่หลิวหยุน พวกเขาบางคน ลืมไปเสียด้วยซ้ำว่ายังเหลือพวกเราอยู่ในห้องนั้น”ภาพวันเกิดเหตุย้อนกลับมาอีกครั้ง บรรดาเชื้อพระวงศ์ถูกเรียกตัวให้ไปรวมกันยังท้องพระโรง เว้นแต่จ้าวตงหยางเพียงผู้เดียวที่ถูกจับแยกจากพระมารดา ให้ไปที่ตำหนักบูชาบรรพ
หลิวหยุนได้แต่ยิ้มแล้วพยักหน้าเข้าใจ นางยกถ้วยน้ำแกงกลิ่นหอมส่งให้ตงหยาง “นี่น้ำแกงสร่างเมา ข้าเตรียมไว้ให้เจ้าโดยเฉพาะ เช้านี้พี่ไป่เยว่เอาสมุนไพรไปตากแดดให้แล้ว แต่วันนี้ท้องฟ้ามืดครึ้ม คงไม่ค่อยมีแสงแดด”“ขอบคุณท่านพี่ทั้งสอง สมุนไพรนั่นเริ่มแห้งแล้ว อันที่จริงวันนี้ไม่ต้องตากแดดก็ได้ หากถูกฝนจะเป็นเชื้อราอันตรายต่อการนำไปปรุงยา ต้องทิ้งทั้งหมด”“เช่นนั้น ข้าจะออกไปเก็บเข้ามาไว้ที่เดิมน่าจะดีกว่า ตอนนี้ท่านไป๋เยว่น่าจะเอาควายไปทุ่งนาแล้ว ที่นี่เหลือแค่เราสองคน”พูดจบนางก็หมุนตัวทำท่าจะออกไปเก็บสมุนไพร ตงหยางมองดูท่าเดินของนางแล้วให้รู้สึกไม่สบายใจ“พี่หลิวหยุน…ไม่เป็นไร เอาไว้เช่นนั้นก่อน รอสักครู่ข้าไปเก็บเอง ขาของท่านยังไม่หายดี อย่าขยับมากจะดีกว่า”“ไม่เป็นไรองค์ชาย ให้ข้าได้ทำอะไรบ้างเถอะ อยู่เฉย ๆ ข้ารู้สึกไม่ดีเลย”จ้าวตงหยางวางถ้วยน้ำแกงลง แล้วเหมือนคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “ข้ารู้แล้วว่าท่านพอจะช่วยอะไรข้าได้”แท่นหินกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ถูกนำมาจัดวางยังลานกลางบ้าน หลิวหยุนยืนดูด้วยความสงสัย“นี่อะไรกัน”“อ๋อ…แม่นางหลิวหยุน ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน องค์ชาย เอ่อ…ไม่สิ เจ้าหนูตงหยาง
รายนามของผู้คน เทพเจ้า ปีศาจ มาร หรือแม้แต่สรรพสัตว์ทั่วพิภพ ต่างกึกก้องสะท้อนนามอยู่ในหัวของเขา จนไม่สามารถฟังออกได้ว่าชื่อใครเป็นชื่อใคร ตงหยางทรุดตัวลง ยกมือขึ้นกุมหัวด้วยความรู้สึกปวดร้าว แล้วเริ่มเปล่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ด้วยสิ่งที่เกิดขึ้น มันรุนแรงเกินกว่าร่างมนุษย์จะรับไหว ก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดนิ่งลง เหลือเพียงเสียงหัวใจที่หอบเหนื่อยของเขาเอง“ข้าจำได้…ข้าจำได้ ท่านเยว่เซียนเหล่าเหริน ข้าจำมันได้แล้ว…”“สมแล้วที่เป็นศิษย์เอกหนึ่งเดียวของแดนดาราห้วงเวหา นับได้ว่าซื่อเว่ยต้าตี้โชคดีนัก ที่มีศิษย์ผู้มีปฏิภาณความรู้เช่นเจ้า จดจำได้ก็ดี ตงฉางเวลาไม่เคยคอยท่า หน้าที่ของเจ้าใกล้มาถึงแล้ว ข้าเพียงได้แต่หวังว่า เจ้าจะทำมันได้เป็นอย่างดี”จ้าวตงหยางคุกเข่าลง คำนับต่อเสียงไร้ตัวตน “ข้าจะทำให้สำเร็จ เพียงแต่ข้าจะรู้ได้เช่นไร ว่าผู้ใดคือด้ายแดงสิบเส้นที่มีปัญหา”“ไม่ยากเลยเด็กน้อย ในจิตของเจ้ามันมีบันทึกของข้าที่เจ้าขโมยไป เพียงแต่เวลานี้ร่างมนุษย์ของเจ้า มันไม่มีพลังมากพอที่จะเปิดบันทึกออกมาอ่านได้ แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไป ต่อจากนี้เจ้าจงหมั่นฝึกฝนร่างกายและพลังปราณ”“พลังปราณ…เช่น
“เด็กน้อย ๆ เฉิงวั่งซู ข้าจะบอกเจ้าเอาบุญ เจ้าน่ะมีหน้าที่ ที่ไม่อาจหลีกหนีได้รออยู่ กับคำสาปสิบข้อจากข้า นับแต่นี้ยังมีเหตุการณ์อีกมากมายที่เจ้าต้องเผชิญ อารมณ์แห่งธาตุไฟในกาย รู้จักระงับควบคุมมันบ้าง บิดาของเจ้าไม่อาจดูแลบุตรชายเสเพลเช่นเจ้าไปได้ตลอดชีวิต จำคำข้าไว้ แล้วสำนึกตนให้ดี นับแต่นี้ไป จงเร่งแก้ปัญหาที่ตนทำไว้ ข้ามีเวลาจำกัดหาได้ใจดีเช่นที่เจ้าคิด”พูดจบเขาก็หัวเราะออกมา แล้วเสียงนั้นก็เหมือนค่อย ๆ ถอยห่างออกไป เหมือนดั่งชายผู้มีเพียงเสียง กำลังจะจากไป “ช้าก่อน นี่…เจ้า…กลับมานะ เจ้าทำข้าเจ็บเช่นนี้ แล้วก็จะจากไป กลับมานะ เจ้าคนไร้ชื่อแซ่ กลับมา…" เสียงที่ตอบกลับมามีแค่เพียงเสียงหัวเราะ ที่ไร้นามเฉิงวั่งซูสะดุ้งตื่นขึ้นอีกครั้ง เสียงไก่ขันดังแววมาตามสายลม ฟ้ายังไม่สว่าง แต่ในตอนนี้คงใกล้เช้าแล้ว เขาเปิดม่านมุ้งลุกออกมานั่งอยู่ริมหน้าต่าง ทอดสายตาออกไปภายนอกห้อง มือก็จับลูบแก้มที่ในความฝันเหมือนโดนตบจนรู้สึกได้ถึงความเจ็บและชา แต่เวลานี้กลับไม่มีความรู้สึกอะไรเหลืออยู่บนใบหน้า ตกลงแล้วนี่มันคืออะไรกันแน่ หน้าที่อะไรที่รออยู่ ผู้ชายในฝันคือใคร เหมือนคุ้นเคยแต่ทำไมกลับจำไม่ได







