LOGINหญิงสาวพยักหน้าให้ชายหนุ่มแล้วกลับมากินข้าวที่เหลืออยู่
“ช่วงนี้ฝนตกบ่อย ข้าคิดว่าจะเสริมหญ้าบนหลังคาเพิ่ม ขาเจ้าดีขึ้นแล้วหรือยัง หลิวหยุน”
“ดีขึ้นมากแล้ว จะเหลือก็เพียงอาการเจ็บภายใน อาจมีหนองคาในแผล”
“เช่นนั้นรึ กินข้าวเถอะ เสร็จแล้วข้าจะทำความสะอาดแผลและใส่ยาให้”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ…” หลิวหยุนมีท่าที่เอียงอาย “ขาของข้าเท้าของข้า ข้าดูแลมันได้ ไม่รบกวนท่านดีกว่า อีกอย่างบาดแผลของข้าก็ไม่น่าดู”
“ได้เช่นไร ท่านหมอสั่งข้าไว้ ให้ดูแลเจ้าให้ดี หลายวันนี้ข้ามัวแต่ยุ่งเสาะหาเสบียงอาหารเข้ามากักตุน เลยไม่ได้ดูแลเจ้า ให้ข้าช่วยเถอะ ขาของเจ้าเท้าของเจ้าข้าก็เห็นแล้ว หรือหากเจ้าถือสา จะมาเป็นภรรยาของข้า ข้าก็ยินดี”
“ไป่เยว่ ท่านพูดอะไรออกมา”
“หลิวหยุน รังเกียจข้าหรือ เจ้ารังเกียจแม่ทัพไร้แผ่นดิน ไร้เบี้ยหวัดไร้เกียรติยศวาสนา รังเกียจบ้านเก่าทรุดโทรมหลังนี้หรือ เจ้าจะสู้อดทนต่อความยากลำบากไปกับข้าหรือไม่”
“ไม่เลย ท่านไป่เยว่ ข้าหลิวหยุนจากวันนั้นจนถึงวันนี้ ในหัวใจของข้าก็มีเพียงท่านเท่านั้น หากในวันนั้นข้าไม่ได้ท่านช่วยชีวิตเอาไว้ คงจมน้ำเสียชีวิตไปนานแล้ว มาถึงวันนี้ก็เป็นท่านอีก ที่เข้ามาช่วยชีวิตองค์ชายกับข้าเอาไว้ แม้วันเวลาแปรเปลี่ยนเด็กชายที่ข้าเคยพบ ได้เลื่อนขั้นเป็นถึงแม่ทัพน้อยประจำด่านชายแดน ข้าหลิวหยุนก็ยังคงรอคอยท่านอยู่ที่เดิมไม่เคยเปลี่ยน”
ชายหนุ่มยิ้มกว้างด้วยความดีใจ “อ้อมค้อมไปไย ตกลงเจ้าจะเป็นเจ้าสาวของข้าใช่ไหม”
หลิวหยุนหน้าแดงระเรื่อ ยิ้มกริ่มก้มหน้าหลบสายตาแทะโลมของเขา “ตาบ้า ข้าจะแต่งกับคนบ้านพังได้เช่นไร เจ้าซ่อมมันให้ดีก่อนได้หรือไม่ ขาข้าก็ยังไม่หาย เจ้าแต่งกับหญิงพิการ ไม่อายชาวบ้านเขารึไง ดูแลรอบหมู่บ้านให้ปลอดภัยด้วย ข้าศึกเต็มไปหมด หากเจ้าจัดการได้ แล้วข้าจะแต่งกับเจ้า”
“รับปากข้าแล้วนะ หลิวหยุน ได้ทุกอย่างที่เจ้าต้องการ ข้าจะจัดการให้เรียบร้อย ไม่คิดเลยภายใต้ความเศร้าหมองของบ้านเมือง ข้ากลับได้เจ้ามาเคียงกาย”
“เบาเสียงเจ้าหน่อย องค์ชายอยู่ด้านในนะ”
“ไม่เป็นไร เขาเมาขนาดนั้น กว่าจะตื่นก็พรุ่งนี้ เจ้าอย่าสนใจเขาเลย สนใจข้าสิถึงจะถูก มา ๆ ข้าให้ผัดผักเจ้านะฮูหยิน”
“พอแล้ว ๆ ข้ากินแต่ผัก จนจะเป็นหมูอยู่แล้ว”
ชายหนุ่มเปิดจุกไม้ปิดขวดน้ำเต้าออก “เช่นนั้นเจ้าดื่มกับข้า เราสองคนควรฉลอง ให้แสงดาวทั่วท้องฟ้าเป็นพยาน หลิวหยุนรับปากเป็นเมียข้าแล้ว ต่อจากนี้ข้าไป่เยว่ จะมีนางเป็นภรรยาเพียงหนึ่งเดียว ร่วมทุกข์สุขจนวันตาย” ชายหนุ่มยิ้มให้สตรีตรงหน้า แล้วกระดกเหล้าเข้าปากพร้อมรอยยิ้ม
เสียงพูดคุยหยอกล้อหัวเราะต่อกระซิก ดังเข้ามาถึงภายในห้องนอนของจ้าวตงหยาง เด็กชายได้แต่นอนยิ้มหวาน เมื่อได้ยินเรื่องราวความรักของชายหนุ่มหญิงสาว
เฉิงวั่งซู นอนตะแคงข้าง มองดูสาวใช้คนงามปักผ้าพร้อมขับบทเพลงพื้นเมืองเสียงใสไพเราะ ด้ายสีแดงสดในมือนาง ถูกฝีเข็มดึงขึ้นลงผ่านผืนผ้า ภาพสตรีร่างบางในชุดสีแดงยังไม่แล้วเสร็จ แต่ดูออกว่านั่นคือเจ้าสาว
“พี่ลู่เสี่ยน ท่านอยากเป็นเจ้าสาวเช่นนั้นหรือ”
ลู่เสี่ยนหยุดมือลง เงยหน้ามองผู้เอ่ยถาม “มีสตรีคนใดบ้าง มิต้องการสามีที่ดีมาเคียงกาย ข้าน้อยแม้เป็นเพียงสาวใช้ ก็มีสิทธิใฝ่ฝันมิใช่รึ วันนึงข้างหน้า ท่านก็จะเป็นเจ้าบ่าว หรือท่านจะปฏิเสธ”
“ข้าไม่รู้ ยังไม่พบสตรีที่ถูกใจ”
ลู่เสี่ยนชะงักมือเล็กน้อย คำพูดของวั่งซูทำให้จิตใจของนางห่อเหี่ยว ที่ผ่านมานางคิดไปเองหรือเด็กชายไม่ประสาที่จะมีรัก
“เส้นไหมแดงนี่งามนัก ท่านไปได้มาจากที่ไหน”
“ข้าได้มาจากพ่อค้าชรา น่าจะมาจากต่างเมือง”
“สวยจริง ๆ เส้นไหมเงางาม เจ้าช่วยถักเชือกผู้ข้อมือให้ข้าสักเส้นได้ไหม ข้าจะรอ”
“คืนนี้เลยหรือ มันดึกมากแล้วนะคุณชาย”
“ข้าจะเอา พรุ่งนี้ข้าจะไปเรียนยุทธกับท่านอาจารย์เป่าจง มองเห็นเชือกจะได้เหมือนเห็นเจ้า”
“ข้าขอมอบตราประทับนี้ให้เจ้า จงรักษามันเท่าชีวิตของเจ้าเอง ห้ามให้กวงไฮแย่งชิงไปได้เป็นอันขาด รับปากข้า”“ข้าจ้าวตงหยาง น้อมรับพระบัญชา จะเก็บรักษาตราประทับแผ่นดินแคว้นจ้าว เท่าชีวิต”“ไป รีบไปได้เแล้ว”หลิวหยุนรีบเข้าไปคว้าแขนเด็กชาย หมุนตัวตั้งใจกลับตามทางเก่าที่เดินเข้ามา แต่เวลานี้ด้านนอกเหมือนมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งปิดล้อมทางออกอุโมงค์ลับเอาไว้“พวกเจ้าออกทางนั้น” ตงหยางและหลิวหยุนมองดูเส้นทางเล็ก ๆ จากโถงลับ ที่มืดหายไปตามช่องทางขนาดเล็กจนต้องคลานออกไปทีละคน ตงหยางเอาตราประทับยัดใส่ไว้ในปกเสื้อเพื่อป้องกันสูญหาย“ท่านพ่อรักษาตัวด้วย ข้าจะรอท่านตามออกไป”จ้าวตงหยางทำได้เพียงตะโกนพูดคุยกับผู้เป็นบิดา ด้วยเพราะตัวเขาเอง ก็กำลังถูกหลิวหยุนกึ่งลากกึ่งจูง นางบังคับผลักเขาให้มุดเข้าไปในอุโมงค์ แต่แท้จริง ทั้งคู่กลับใช้มุมมืดหยุดรั้งรอเพื่อดูเหตุการณ์สำคัญ ด้วยหวังเพียงว่า อ๋องแคว้นจ้าวจะปลอดภัยและออกไปจากที่นี่พร้อมพวกตนแต่ภาพที่เห็นทำเอาทั้งสองแทบสติหลุด ดีที่หลิวหยุนมีสติดีกว่า รีบปิดปากองค์ชายข้างกาย ก่อนที่เขาจะตะโกนเรียกบิดาที่โดนทำร้ายและถูกคุมตัวออกไป นางพี่เลี้ยงทำได้แค่กอดเขาเอาไ
จ้าวตงหยาง นั่งสงบต่อหน้าป้ายบรรพชนที่เรียงรายอยู่รอบตัว ภายในห้องมีเพียงแสงสว่างจากเปลวประทีปน้ำมัน ด้านนอกยังคงความโกลาหลปั่นป่วน ด้วยข้าศึกที่เริ่มบุกเข้ามาถึงด้านในเขตพระราชฐานชั้นนอกหลิวหยุนเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข เดินวนไปมาด้วยความร้อนใจ เมื่อเสียงที่วุ่นวายดูเหมือนกำลังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ไม่มีทีท่าว่าจะมีใครหน้าไหน ต้านทานข้าศึกที่ถาโถมเข้ามาได้“องค์ชาย ข้าคิดว่าที่นี่หาใช่สถานที่ที่ปลอดภัยไม่ เรารีบออกจากที่นี่กันเถอะเพคะ”“ไม่มีคำสั่งข้าจะไปได้เช่นไรพี่หลิวหยุน”“องค์ชาย เวลานี้ข้าศึกบุกเข้ามาถึงด้านในแล้ว ไม่มีขันที ไม่มีผู้นำสาส์น ใครกันจะรู้ได้ว่า คำกล่าวรายงานออกคำสั่ง จะมาถึงที่นี่หรือไม่ องค์ชาย…การเป็นผู้อยู่ในระเบียบวินัยเป็นสิ่งที่พึ่งกระทำ แต่กับเวลาเช่นนี้การรักษาชีวิตเอาไว้เพื่อวันข้างหน้า จะมิใช่ทางออกที่ดีกว่าหรือ ได้โปรดไตร่ตรองแล้วไปกับหม่อมฉันเถอะเพคะ”จ้าวตงหยางเงยหน้าขึ้นมองดูป้ายบรรพชน ที่ตั้งเรียงรายอยู่เบื้องหน้า “บรรพบุรุษทุกท่าน ข้าจ้าวตงหยางขอคำนับพวกท่าน หากมีชีวิตรอด สักวันข้าจะกลับมาทำพิธีบูชาพวกท่านที่นี่”ประตูตำหนักบูชาบรรพชนกำลังถูกเปิดออก แต่ผู้
หลิวหยุนเหล่ตามองดูเด็กชายที่ผ่านความตายร่วมกันมาด้วยความแปลกใจ “ข้าอยู่กับเจ้ามาตลอด ทำไมไม่รู้เลยว่าองค์ชายจ้าวตงหยางมีความสามารถมากมายเช่นนี้”“พี่หลิวหยุน ในวังหาใช่สถานที่ ที่ข้าควรแสดงออกถึงความรู้ความสามารถไม่ หากเป็นเช่นนั้นข้าคงไม่ต่างกับกระเรียนในฝูงไก่ ตามปรัชญาของท่านสวินจื่อ หากข้าเอาแต่เปิดเผยสิ่งที่รู้สิ่งที่เป็น เพื่อหวังให้ตนเป็นที่โปรดปราน เช่นนั้นพวกเสด็จพี่คงหมายตาข้าเป็นศัตรูมิใช่พี่น้อง ”หลิวหยุนย่อตัวนั่งลงข้างองค์ชายแห่งเมืองล่มสลาย มองดูเขาด้วยความชื่นชมและเวทนาไปพร้อมกัน “ท่านคิดถึงพวกเขาบ้างไหมตงหยาง”จ้าวตงหยางหยุดมือที่กำลังโกยผงยาลงอ่างไม้ เงยหน้าขึ้นมองดูหญิงสาวตรงหน้า ที่ก่อนนี้เคยเป็นนางกำนันดูแลตนเอง มาตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็กน้อย จนกลายมาเป็นพี่สาวร่วมสาบานในเวลานี้ “คิดถึง…แล้วเช่นไร ข้าหนีเอาชีวิตรอดมาได้ เพราะท่านนะพี่หลิวหยุน พวกเขาบางคน ลืมไปเสียด้วยซ้ำว่ายังเหลือพวกเราอยู่ในห้องนั้น”ภาพวันเกิดเหตุย้อนกลับมาอีกครั้ง บรรดาเชื้อพระวงศ์ถูกเรียกตัวให้ไปรวมกันยังท้องพระโรง เว้นแต่จ้าวตงหยางเพียงผู้เดียวที่ถูกจับแยกจากพระมารดา ให้ไปที่ตำหนักบูชาบรรพ
หลิวหยุนได้แต่ยิ้มแล้วพยักหน้าเข้าใจ นางยกถ้วยน้ำแกงกลิ่นหอมส่งให้ตงหยาง “นี่น้ำแกงสร่างเมา ข้าเตรียมไว้ให้เจ้าโดยเฉพาะ เช้านี้พี่ไป่เยว่เอาสมุนไพรไปตากแดดให้แล้ว แต่วันนี้ท้องฟ้ามืดครึ้ม คงไม่ค่อยมีแสงแดด”“ขอบคุณท่านพี่ทั้งสอง สมุนไพรนั่นเริ่มแห้งแล้ว อันที่จริงวันนี้ไม่ต้องตากแดดก็ได้ หากถูกฝนจะเป็นเชื้อราอันตรายต่อการนำไปปรุงยา ต้องทิ้งทั้งหมด”“เช่นนั้น ข้าจะออกไปเก็บเข้ามาไว้ที่เดิมน่าจะดีกว่า ตอนนี้ท่านไป๋เยว่น่าจะเอาควายไปทุ่งนาแล้ว ที่นี่เหลือแค่เราสองคน”พูดจบนางก็หมุนตัวทำท่าจะออกไปเก็บสมุนไพร ตงหยางมองดูท่าเดินของนางแล้วให้รู้สึกไม่สบายใจ“พี่หลิวหยุน…ไม่เป็นไร เอาไว้เช่นนั้นก่อน รอสักครู่ข้าไปเก็บเอง ขาของท่านยังไม่หายดี อย่าขยับมากจะดีกว่า”“ไม่เป็นไรองค์ชาย ให้ข้าได้ทำอะไรบ้างเถอะ อยู่เฉย ๆ ข้ารู้สึกไม่ดีเลย”จ้าวตงหยางวางถ้วยน้ำแกงลง แล้วเหมือนคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “ข้ารู้แล้วว่าท่านพอจะช่วยอะไรข้าได้”แท่นหินกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ถูกนำมาจัดวางยังลานกลางบ้าน หลิวหยุนยืนดูด้วยความสงสัย“นี่อะไรกัน”“อ๋อ…แม่นางหลิวหยุน ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน องค์ชาย เอ่อ…ไม่สิ เจ้าหนูตงหยาง
รายนามของผู้คน เทพเจ้า ปีศาจ มาร หรือแม้แต่สรรพสัตว์ทั่วพิภพ ต่างกึกก้องสะท้อนนามอยู่ในหัวของเขา จนไม่สามารถฟังออกได้ว่าชื่อใครเป็นชื่อใคร ตงหยางทรุดตัวลง ยกมือขึ้นกุมหัวด้วยความรู้สึกปวดร้าว แล้วเริ่มเปล่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ด้วยสิ่งที่เกิดขึ้น มันรุนแรงเกินกว่าร่างมนุษย์จะรับไหว ก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดนิ่งลง เหลือเพียงเสียงหัวใจที่หอบเหนื่อยของเขาเอง“ข้าจำได้…ข้าจำได้ ท่านเยว่เซียนเหล่าเหริน ข้าจำมันได้แล้ว…”“สมแล้วที่เป็นศิษย์เอกหนึ่งเดียวของแดนดาราห้วงเวหา นับได้ว่าซื่อเว่ยต้าตี้โชคดีนัก ที่มีศิษย์ผู้มีปฏิภาณความรู้เช่นเจ้า จดจำได้ก็ดี ตงฉางเวลาไม่เคยคอยท่า หน้าที่ของเจ้าใกล้มาถึงแล้ว ข้าเพียงได้แต่หวังว่า เจ้าจะทำมันได้เป็นอย่างดี”จ้าวตงหยางคุกเข่าลง คำนับต่อเสียงไร้ตัวตน “ข้าจะทำให้สำเร็จ เพียงแต่ข้าจะรู้ได้เช่นไร ว่าผู้ใดคือด้ายแดงสิบเส้นที่มีปัญหา”“ไม่ยากเลยเด็กน้อย ในจิตของเจ้ามันมีบันทึกของข้าที่เจ้าขโมยไป เพียงแต่เวลานี้ร่างมนุษย์ของเจ้า มันไม่มีพลังมากพอที่จะเปิดบันทึกออกมาอ่านได้ แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไป ต่อจากนี้เจ้าจงหมั่นฝึกฝนร่างกายและพลังปราณ”“พลังปราณ…เช่น
“เด็กน้อย ๆ เฉิงวั่งซู ข้าจะบอกเจ้าเอาบุญ เจ้าน่ะมีหน้าที่ ที่ไม่อาจหลีกหนีได้รออยู่ กับคำสาปสิบข้อจากข้า นับแต่นี้ยังมีเหตุการณ์อีกมากมายที่เจ้าต้องเผชิญ อารมณ์แห่งธาตุไฟในกาย รู้จักระงับควบคุมมันบ้าง บิดาของเจ้าไม่อาจดูแลบุตรชายเสเพลเช่นเจ้าไปได้ตลอดชีวิต จำคำข้าไว้ แล้วสำนึกตนให้ดี นับแต่นี้ไป จงเร่งแก้ปัญหาที่ตนทำไว้ ข้ามีเวลาจำกัดหาได้ใจดีเช่นที่เจ้าคิด”พูดจบเขาก็หัวเราะออกมา แล้วเสียงนั้นก็เหมือนค่อย ๆ ถอยห่างออกไป เหมือนดั่งชายผู้มีเพียงเสียง กำลังจะจากไป “ช้าก่อน นี่…เจ้า…กลับมานะ เจ้าทำข้าเจ็บเช่นนี้ แล้วก็จะจากไป กลับมานะ เจ้าคนไร้ชื่อแซ่ กลับมา…" เสียงที่ตอบกลับมามีแค่เพียงเสียงหัวเราะ ที่ไร้นามเฉิงวั่งซูสะดุ้งตื่นขึ้นอีกครั้ง เสียงไก่ขันดังแววมาตามสายลม ฟ้ายังไม่สว่าง แต่ในตอนนี้คงใกล้เช้าแล้ว เขาเปิดม่านมุ้งลุกออกมานั่งอยู่ริมหน้าต่าง ทอดสายตาออกไปภายนอกห้อง มือก็จับลูบแก้มที่ในความฝันเหมือนโดนตบจนรู้สึกได้ถึงความเจ็บและชา แต่เวลานี้กลับไม่มีความรู้สึกอะไรเหลืออยู่บนใบหน้า ตกลงแล้วนี่มันคืออะไรกันแน่ หน้าที่อะไรที่รออยู่ ผู้ชายในฝันคือใคร เหมือนคุ้นเคยแต่ทำไมกลับจำไม่ได







