LOGIN“ข้าขอมอบตราประทับนี้ให้เจ้า จงรักษามันเท่าชีวิตของเจ้าเอง ห้ามให้กวงไฮแย่งชิงไปได้เป็นอันขาด รับปากข้า”
“ข้าจ้าวตงหยาง น้อมรับพระบัญชา จะเก็บรักษาตราประทับแผ่นดินแคว้นจ้าว เท่าชีวิต”
“ไป รีบไปได้เแล้ว”
หลิวหยุนรีบเข้าไปคว้าแขนเด็กชาย หมุนตัวตั้งใจกลับตามทางเก่าที่เดินเข้ามา แต่เวลานี้ด้านนอกเหมือนมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งปิดล้อมทางออกอุโมงค์ลับเอาไว้
“พวกเจ้าออกทางนั้น” ตงหยางและหลิวหยุนมองดูเส้นทางเล็ก ๆ จากโถงลับ ที่มืดหายไปตามช่องทางขนาดเล็กจนต้องคลานออกไปทีละคน ตงหยางเอาตราประทับยัดใส่ไว้ในปกเสื้อเพื่อป้องกันสูญหาย
“ท่านพ่อรักษาตัวด้วย ข้าจะรอท่านตามออกไป”
จ้าวตงหยางทำได้เพียงตะโกนพูดคุยกับผู้เป็นบิดา ด้วยเพราะตัวเขาเอง ก็กำลังถูกหลิวหยุนกึ่งลากกึ่งจูง นางบังคับผลักเขาให้มุดเข้าไปในอุโมงค์ แต่แท้จริง ทั้งคู่กลับใช้มุมมืดหยุดรั้งรอเพื่อดูเหตุการณ์สำคัญ ด้วยหวังเพียงว่า อ๋องแคว้นจ้าวจะปลอดภัยและออกไปจากที่นี่พร้อมพวกตน
แต่ภาพที่เห็นทำเอาทั้งสองแทบสติหลุด ดีที่หลิวหยุนมีสติดีกว่า รีบปิดปากองค์ชายข้างกาย ก่อนที่เขาจะตะโกนเรียกบิดาที่โดนทำร้ายและถูกคุมตัวออกไป นางพี่เลี้ยงทำได้แค่กอดเขาเอาไว้ ทำทุกทางเพื่อปกป้องไม่ให้เขาต้องเสียขวัญ ต่อภาพที่เห็น
“พี่หลิวหยุน วันนั้นหากไม่ใช่ท่าน ที่ลากข้าออกมา เราสองคงเป็นศพเฝ้าห้องบูชาบรรพชน เสียดายก็เพียงแต่ข้าอ่อนแอเกินกว่าจะออกไปช่วยพระบิดาได้ จนตอนนี้ก็หารู้ไม่ ว่าท่านทั้งสองตลอดจนพี่น้องทุกคน ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่”
“องค์ชาย…ท่านอย่าโทษตนเอง ท่านไม่ได้อ่อนแอ สถานการณ์เช่นนั้นการรักษาตัวรอดเป็นเรื่องดีที่สุด ฝ่าบาทเพื่อต้องการรักษาชีวิตของท่าน ถึงต้องยอมต่อสู้กับพวกมัน ทั้งที่ก็รู้ว่าไม่มีทางรอด เรื่องนี้หากจะโทษเราคงต้องโทษไอ้สารเลวกวงไฮ ไอ้คนทรยศไอ้ขี้ข้าแคว้นฉิน องค์ชายท่านไม่ต้องเสียใจ ตราบใดที่เรายังมีโอกาส สักวันข้าจะเอาหัวไอ้คนทรยศมามอบให้ท่าน” ลี่ฉุนกล่าวปลอบใจ ด้วยสีหน้าแววตาที่มุ่งมั่น
“นั่นสิ องค์ชายท่านแค่สิบขวบเองนะ คนพวกนั้นมาเป็นสิบเป็นร้อย อย่างไรแล้วเราก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี”
“ท่านพี่ลี่ฉุนหลายวันมานี้พวกท่านยังคงจัดเวรยามออกลาดตระเวณอยู่หรือไม่”
“มีอยู่ขอรับ ท่านแม่ทัพยังไม่วางใจ กับพวกข้าศึกที่จะผ่านมาทางนี้ เลยยังไม่ได้ถอดงานส่วนนี้ออก”
“ดีมาก แล้วมีใครพบพี่น้องข้าที่รอดชีวิตบ้างหรือไม่”
ลี่ฉุนส่ายหน้าช้า ๆ แล้วหลบสายตาลงต่ำ “เท่าที่ข้ารู้มา บรรดาองค์ชายบ้างถูกจับตัวบ้างถูกสังหาร ผู้ใดที่หนีรอดออกไปได้ ก็ไม่รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่เราอาจตามหาข่าวของฮองเฮาจีได้ เพราะข้าได้ยินมาว่าพระนางอาจถูกกุมตัวกลับแคว้นหานหรืออาจเป็นแคว้นฉิน”
“แคว้นหาน แคว้นฉิน ไกลจากที่นี่มากไหม ข้าไปได้หรือไม่”
“ไกลมากองค์ชาย ท่านไปได้ ก็ต่อเมื่อตัวโตกว่านี้ ขี่ม้าเป็น ใช้อาวุธคล่องและมีวรยุทธ”
เจ้าตงหยางยิ้มมุมปากแล้วหัวเราะรอดไรฟัน “พี่ลี่ฉุน ท่านคิดจะประลองกับข้าไหมเล่า”
เฉิงวั่งซู รีบแยกไปนั่งข้างตงหยางและจูจิงหาน ดูเหมือนเด็กหนุ่มผู้นี้ จะตามติดสหายของเขาราวกับมองเห็นว่าเขาคือของมีค่าในตอนนี้“บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่”“ไม่ ข้าปลอดภัยดี สรุปคนพวกนั้นเป็นใคร”“พี่ไป่เยว่ของเจ้า บอกว่ามันผู้นั้นเป็นคนของกบฏ”“คนของกบฏ ทำไมต้องทำร้ายข้า เราเพิ่งมาถึงที่นี่ ไม่น่าต้องมาตกเป็นเป้าหมาย”“พี่ชาย ใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับท่านอา พวกมันย่อมนับท่านเป็นศัตรู หลายวันก่อน มีคนของเราถูกลอบทำร้ายไปสามคน ดีที่ไม่ถึงกับเสียชีวิต”“เจ้ารู้ แล้วเหตุใด ถึงยังฉุนเฉียววิ่งออกไปเช่นนั้น”“ก็เวลานนั้น ข้ากำลังน้อยใจนี่นา ท่านอาไม่เคยเล่าเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับข้าให้ข้าฟังเลย แบบนี้มันน่าน้อยใจหรือไม่”“เด็กหนอเด็ก หากไม่มีข้า เจ้ามิตายไปแล้วรึ” เฉิงวั่งซูลูบหัวของเขาพร้อมส่ายหน้า“นั่นสิ จิงหาน สำหรับเจ้าแล้ว ท่านไป่เยว่นับได้ว่าเป็นบิดาก็ไม่ปาน เจ้าทำเช่นนี้ไม่สมควรเลย ต่อไปอย่าทำเช่นนี้อีก ท่านพี่ไป่เยว่ มีเจ้าเพียงผู้เดียว หากเจ้าเป็นอะไรไป เขาต้องเสียใจมาก”จูจิงหานมองไปที่ชายผู้เหลือดวงตาเพียงข้างเดียว ที่กำลังพูดคุยสนทนากับสหายใหม่ อยู่อีกด้านหนึ่ง“ใช่ พี่ชายทั้งสองพูดถูก
จูจิงหาน ตั้งใจฟังเรื่องราวเมื่อครั้งอดีต ด้วยความตั้งใจ และนี่ก็เป็นครั้งแรกของเฉิงวั่งซู ที่ได้รู้ความจริงโดยละเอียดของสหายรัก แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะรู้มาบ้าง แต่ก็ไม่ละเอียดเท่าในครั้งนี้“สรุป ครอบครัวของข้าก็ไม่เหลือใครเลยเช่นนั้นรึ”“เรื่องนี้ข้าสรุปไม่ได้ ข้าเห็นเพียงบิดาของเจ้าเท่านั้น ส่วนมารดาของเจ้า และคนอื่น ๆ ข้าไม่สามารถสรุปได้ว่าพวกเขายังอยู่หรือตายจากพวกเราไปแล้ว ดูอย่างท่านแม่ทัพไป่เยว่สิ ข้าและลี่ฉุน ต่างเข้าใจมาโดยตลอดว่าเขาตายจากเราไปแล้ว แต่แล้วในวันนี้ก็ยังได้กลับมาพบกัน เหลียงเทียนหยูก็อีกคน”เด็กหนุ่มยิ้มให้เขา ทั้งที่เพิ่งฟังเรื่องราวของตนจบ“ใช่ พี่ชายท่านพูดถูก ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ สักวันข้าอาจได้พบพวกเขา หากพวกเขายังอยู่บนโลกนี้”จ้าวตงหยางและเฉิงวั่งซูยิ้มให้กับความคิดของเด็กหนุ่ม “เจ้ามีหลายส่วนที่เหมือนท่านไป่เยว่ สมแล้วที่เติบโตมากับเขา กลับกันเถิดดึกมากแล้ว ป่านนี้เขาคงเป็นห่วงเจ้ามาก”เสียงผิดปกติดังมาจากพงหญ้าข้างทาง เฉิงวั่งซูรีบลุกขึ้นคว้าลูกศรดอกธนู ที่แล่นแหวกอากาศเข้าหาจ้าวตงหยาง“ตงหยางเจ้าพาจูจิงหานหลบไปก่อน ทางนี้ข้าจัดการเอง” เฉิงวั่งซู
“เขาคือคุณชายเฉิงวั่งซู บุตรชายคนเล็กของท่านแม่ทัพเฉิงแคว้นฉิน เขาทั้งสองเป็นสหายที่รักใคร่และสนิทกันมาก”“บุตรชายศัตรู”“ท่านไป่เยว่ ครอบครัวเฉิงแม้จะเป็นทหารของแคว้นฉิน แต่ก็นับว่าเป็นคนดีมีน้ำใจ หากท่านปล่อยวางเรื่องนี้ไม่ได้ ใจท่านเองที่เป็นทุกข์”ไป่เยว่หัวเราะออกมาเสียงดัง “วันเวลาแปรผัน ใจคนย่อมผันแปร ไม่คิดเลยว่า เจ้าจะลืมภาพวันคืนอันเลวร้ายนั้นได้ลงเช่นนี้” ชายหนุ่มยกถ้วยสุราขึ้นจ่อปาก ด้วยสายตาเจ็บปวด“ลืมรึ ไม่มีวันใดที่ข้าจะลืมมันได้”“เอ่อ…ท่านไป่เยว่ ที่ท่านกล่าวมาเห็นจะไม่ถูกต้อง”ไป่เยว่หันไปมองหน้าสาวงามที่นั่งอยู่ข้างกายลี่ฉุน “ไม่ถูกต้อง แม่นางเจ้ากำลังจะบอกว่าข้าเข้าใจเขาผิดเช่นนั้นรึ”“ถูกต้องแล้ว ท่านคิดว่าบุรุษผู้นี้เป็นอย่างไร สุขสบาย มีชีวิตที่ดี มีลมหายใจที่เต็มไปด้วยความสุขสมหวังอยู่เช่นนั้นหรือ ไม่เลย…ท่านลี่ฉุนยามนอนมักฝันร้าย เขามักสะดุ้งตื่นยามวิกาล หรือบางครั้งก็ละเมอถึงเรื่องราวที่สุดแสนน่าหวาดกลัว หลายครั้งที่เขาเหม่อลอยด้วยหวนคิดถึงอดีต”“พอเถิดถิงถิง เจ้าจะรู้มากเกินไปแล้วนะ” ลี่ฉุนรีบปรามนางปีศาจ เมื่อรู้สึกว่านางกำลังพูดมากเกินไป“แม่นาง ไยเจ้ารู้
เฉิงวั่งซูจ้องมองคนทั้งสอง ที่เอาแต่มองหน้าสบสายตาต่อกัน ด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย จนตนเองรู้สึกทนไม่ไหว ก้าวเท้าเดินขึ้นไปยืนขวางหน้าจ้าวตงหยางเอาไว้ พร้อมกับจ้องมองใบหน้าของไป่เยว่ด้วยความไม่พอใจจ้าวตงหยางยกมือขึ้นผลักร่างของเฉิงวั่งซูออก พร้อมกับก้าวเดินเข้าหาชายผู้มีดวงตาข้างเดียว“ตงหยาง นี่เจ้า…”“วั่งซู คนผู้นี้ข้ารู้จักเขาดี เขาคือพี่เขยข้า และคือผู้มีบุญคุณ”“อะไรกัน พี่เขยอะไรกัน บุญคุณอะไรด้วย” เฉิงวั่งซูเอ่ยออกมาด้วยความสับสนไป่เยว่ยิ้มกว้างเมื่อเห็นชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้ากำลังเดินเข้ามาหาตนจูจิงหาน รีบก้าวเท้าเข้ามาขวางหน้าไป่เยว่เอาไว้“คุณชาย ท่านห้ามเข้าใกล้เขานะ ท่านต้องการใช้หนี้แทนท่านลุงผู้นี้ ก็ใช้ไป ข้าจะได้รับเงิน แล้วนำไปคืนให้แก่เจ้าของ”“หุบปากเจ้าได้แล้ว” ไป่เยว่ผลักร่างของเด็กหนุ่มออกไม่ให้ยืนขวางหน้าจ้าวตงหยาง“อะไรกันท่านอา นี่ท่านเห็นเขาดีกว่าข้าได้อย่างไรกัน ข้าหลานท่านนะ”จ้าวตงหยางมองดูอาการเง้างอนของจูจิงหานแล้วให้รู้สึกขบขัน"“หลานชายเช่นนั้นรึ จากกันนาน ไม่รู้มาก่อนว่าท่านพี่ไป่เยว่มีเครือญาติ”“องค์…เออ…คุณชาย เด็กผู้นี้ เป็นบุตรชายของท่าน
"ตงหยางเจ้าดูนั่น ชอบหรือไม่ ข้าว่ามันเหมาะกับเจ้านะ" เฉิงวั่งซูหยุดดูกำไลหยกข้างทาง พร้อมกับร้องเรียกสหายของตนให้หยุดดูในสิ่งที่ตนสนใจ“จะบ้ารึ เจ้าชวนบุรุษดูเครื่องประดับ ข้าหาใช่สาวน้อยของเจ้าไม่ ถึงจะชอบเครื่องประดับเช่นนี้”เฉิงวั่งซู มองดูสหายของเขาด้วยความขบขัน “ข้ารู้ว่าเจ้ามิใช่สตรี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า บุรุษรูปงามจะไม่คู่ควรมิใช่รึ” ชายหนุ่มหันไปยิ้มให้เถ้าแก่ร้านหยก “ข้าเอาวงนี้”“ได้ขอรับ คุณชาย กำไลหยกวงนี้เป็นกำไรหยกคู่นะขอรับ ท่านดูสิ มันมีสองวง แบบนี้ท่านก็ควรรับมันไปทั้งคู่เลยดีหรือไม่ วงที่ท่านถือคือหยกขาว ส่วนวงที่คู่กัน คือหยกดำ จะว่าไปท่านเหมาะกับสีดำ ส่วนสหายท่าน รูปงามหน้าหวาน เหมาะกับสีขาว”“อืม…ยังเอาไว้ก่อน ข้าเอาแค่สีขาววงเดียวก็พอ ข้าไม่ค่อยระวังเหมือนเขา ใส่ของเช่นนี้มีแต่จะทำให้มันแตกหักเสียหายมากกว่า” เฉิงวั่งซู วางเงินจำนวนหนึ่งให้แก่พ่อค้าหยกในตลาดกลางเมืองฮูโต๋ แล้วรีบวิ่งตามจ้าวตงหยาง ที่รู้สึกอายจนต้องรีบเดินเลี่ยงหลบจากไป“ตงหยาง ๆ รอข้าหน่อย” เฉิงวั่งซูรีบวิ่งตามมาจนทันจ้าวตงหยาง ที่ชะลอฝีเท้าลงด้วยเห็นเหตุการณ์เบื้องหน้าน่าสนใจ“นั่นอะไร” เฉิงว
จากเดิมที่คิดจะปิดบังทุกอย่างกลับต้องเปิดเผย แม่ทัพเฉิงเหรินเดินทางไปเยี่ยมอาการของแม่ทัพหวังหยงด้วยตนเอง ภาพที่เห็นกลับสร้างความหดหู่ใจจนบอกไม่ถูก เพราะอย่างไรแล้ว หวังหยงก็นับว่าเป็นศิษย์รักผู้หนึ่ง ที่ท่านตาของเขาแห่งสำนักวายุเตโชห่วงใยเป็นที่สุด“นี่ท่าน…” ฟู่ซิงอีที่ถูกตามให้ออกมาต้อนรับแขกคนสำคัญ พอเห็นผู้มาเยือน กลับต้องรู้สึกแปลกใจ จนถึงกับร้องอุทานออกมาเฉิงเหรินโค้งตัวเล็กน้อย อย่างน้อยก็เป็นการให้เกียรติเจ้าบ้าน แม้ในเวลานี้ตำแหน่งของเขาจะมากกว่าแม่ทัพอ๋องหวังหยงก็ตาม“ขออภัย ที่ข้าไม่ได้แจ้งข่าวส่งมาก่อน ด้วยเป็นราชการลับจากราชสำนัก แต่พอข้ามาถึงที่นี่และทราบข่าวตามนี้ การปิดบังฐานะ ดูเป็นเรื่องที่ไม่สมควร หากไม่นับตำแหน่งทางราชการ ข้ากับหวังหยงก็นับได้ว่าเป็นพี่น้องกัน ฮูหยินคงเข้าใจเรื่องนี้ดี”“ข้าเข้าใจดี แม้เรื่องในวัยเยาว์ของท่านพี่ ข้าดูเหมือนจะรู้จักเขาน้อยมาก แต่ก็ทันที่จะรู้ว่า ครั้งหนึ่งเขาเคยได้รับการเลี้ยงดูและฝึกฝนวิชาการจากท่านตาของท่าน เจ้าสำนักวายุเตโชมาก่อน”เฉิงเหรินเดินเข้าไปดูหวังหยงที่นอนนิ่ง มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่จ้องมองเขา รับรู้ได้แต่ตอบไม่ได้“ข้







