แอบรักเธออีกสักที
ตอนที่ 4
สิบนาทีต่อมา
จักรยานชะลอช้าก่อนจะหยุดลงที่หน้าบ้านไม้สองชั้นขนาดกลาง ไม่เล็ก แต่ก็ไม่ใหญ่เกินไปนัก ฉันหย่อนเท้าลงกับพื้น ทว่ายังคงนั่งนิ่งอยู่บนจักรยานอีกครู่หนึ่ง สายตาสอดส่องมองหาเจ้าของบ้านที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน
เห็นก็แต่มอเตอร์ไซค์คันที่พี่เหนือขี่นำมาก่อนล่วงหน้าแต่ไม่ยักเห็นเจ้าของ โรงรถมีกระบะที่สภาพราวกับไม่มีใครใช้งานจอดอยู่ ผ้าใบคลุมหลังคารถเต็มไปด้วยเศษใบไม้แห้ง
ก่อนที่สายตาจะเบนมองไปยังตู้จดหมายสีเหลืองสดมีกังหันอันเล็ก ๆ ตกแต่งอยู่ด้านบน มันยังดูเหมือนเดิมแต่ก็เก่าลงตามกาลเวลา
ลมเย็นพัดโชยมาทำให้คลายร้อนลงได้เล็กน้อย มีแก้วเจ้าจอมต้นใหญ่ให้ร่มเงาบริเวณหน้าบ้านทั้งยังออกช่อดอกบานสะพรั่งสวยจนต้องแหงนหน้าขึ้นมอง
ฉันทิ้งจักรยานพิงรั้วบ้านเอาไว้ก่อนจะเดินเข้าไป ได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งดังแว่วมา แต่ยังไม่ทันได้เข้าไปทักทายคนที่จะต้องทำความรู้จัก เพราะคิดถึงความหลังทำให้เบี่ยงเดินไปด้านหลังตัวบ้านแทน
เดินมาจนสุดทางด้านหลังตัวบ้าน ห่างจากชานเรือนมีคลองธรรมชาติเส้นเล็กตัดผ่าน สายน้ำไหลเอื่อย ๆ ผิวน้ำเป็นประกายล้อกับแสงจากดวงอาทิตย์ ประกอบกับเสียงนกร้องดังอยู่ทั่วไป ต้นจากขึ้นเรียงติดกันอยู่อีกฟากหนึ่งของลำคลอง มองดูเขียวสดทำให้รู้สึกสดชื่นตามไปด้วย
ฉันได้แต่ยืนนิ่ง ยิ้มกับตัวเองในความสงบเงียบที่ไม่ได้สัมผัสมานาน รู้สึกคิดถึงความหลังขึ้นมา เมื่อก่อนบางครั้งฉันกับพี่ปราณก็แวะเอาทุเรียนที่สวนมาส่งให้บ้านพี่เหนือบ่อย ๆ และระหว่างที่รอพี่ปราณคุยกับเพื่อน ตัวฉันก็ชอบมานั่งทอดอารมณ์ทำตัวเป็นนางเอกมิวสิกวิดีโออยู่ตรงนี้
อันที่จริงฉันกับพี่เหนือสนิทสนมกันพอสมควร อภิสิทธิ์หนึ่งเนื่องด้วยฉันเป็นน้องสาวของพี่ปราณ แต่แม้จะใกล้กันแค่นี้ ฉันก็ได้แค่แอบมองเจ้าตัวอยู่ในมุมเล็ก ๆ โดยมีฉากบังหน้าคือสถานะน้องสาวเพื่อนสนิทเขาแค่นั้นเอง
“หลังจากนี้ก็ได้มายืนมองทุกวันแล้ว”
น้ำเสียงกลั้วหัวเราะดังขึ้นจากทางด้านหลัง รู้ได้ในทันทีว่าเป็นเจ้าของบ้าน พี่เหนือกำลังยืนกระดกน้ำดื่มอยู่ตรงชานเรือนทอดสายตามองไปยังธรรมชาติเขียวชอุ่มตรงหน้า
“ที่ถนนใหญ่มีเปลมาขาย เราอยากได้มานอนเล่นแถวนี้ไหม เดี๋ยวพี่จัดการให้” ว่าแล้วก็หันรีซ้ายขวามองดูลู่ทางตามปากว่า
“ไม่ต้องหรอก ปายก็มาแค่ตอนเย็นเอง”
“เข้ามาก่อน ร้อนจะตายชัก”
“อืม”
ฉันเดินเข้าตัวบ้านผ่านชานเรือนที่ว่าโดยมีพี่เหนือนำเข้าไป ในบ้านโปร่งโล่งสบายเพราะนอกจากโครงบ้านที่เป็นไม้แล้ว รอบด้านของตัวบ้านก็เป็นกระจกใสมองเห็นความเขียวสดของสวนโดยรอบได้เต็มตา หน้าต่างหลายบานเปิดอ้ารับลมธรรมชาติโดยไม่จำเป็นต้องเปิดพัดลม หรือเครื่องปรับอากาศให้เปลืองไฟ
บ้านหลังนี้แปลกตาไปเล็กน้อย ข้าวของเครื่องใช้ดูน้อยลงกว่าแต่ก่อน มีความเป็นระเบียบมากขึ้น ที่พี่ปราณบอกว่าตอนนี้พ่อกับแม่ของพี่เหนือไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วเห็นจะเป็นเรื่องจริง เป็นบ้านที่เหมือนจะอยู่อาศัยแค่คนเดียว
ก็ถ้าไม่นับร่างเล็กกระจ้อยของใครคนหนึ่งซึ่งกำลังนอนเอกเขนกอยู่บนโซฟา เด็กชายอายุราว ๆ เจ็ดแปดขวบตัดผมทรงกะลาครอบ เรือนร่างเล็กทว่าอุดมไปด้วยเนื้อแน่นอ้วนป้อม หน้าตาน่ารักน่าชัง ไม่แม้แต่จะชายหางตามองคนมาเยือน
เสียงเล็กร้องออกมาในหลายจังหวะ สายตาจดจ้องอยู่กับไอแพดในมือ และนี่ต้องเป็นหลานคนที่ว่าของพี่เหนืออย่างแน่นอน
เจ้าของบ้านยืนเท้าสะเอวส่ายหัวไปมา มองคนที่กำลังหัวร้อนกับเกมอยู่ครู่ก็หันมาหรี่ตามองฉัน สีหน้าเกรงใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น
“นี่จ๋อมหลานพี่เอง”
“อือ”
“จ๋อม”
“ว่าไงอาเหนือ?”
“เดี๋ยวเหอะ”
ร่างสูงของพี่เหนือเดินเข้าไปดึงไอแพดออกจากมือของจ๋อมทันทีที่เห็นว่าคนเป็นหลานไม่คิดจะขยับตัวลุกขึ้น ทำเพียงแค่เลิกคิ้วถามเท่านั้น แต่พอโดนแย่งไอแพดไปก็รีบขยับตัวลุกขึ้นนั่งทันที
นัยน์ตาใสแป๋วจ้องมองคนเป็นอาด้วยสีหน้าสำนึกผิดขึ้นมาเสียอย่างนั้น พี่เหนือเอาของที่ยึดมาวางไว้บนชั้นวางของ ยืนเท้าสะเอวมองเด็กตัวเล็ก ๆ ด้วยทีท่าดุขึ้นเล็กน้อย
“อาสอนว่ายังไง?”
“อาเหนือสอนว่าต้องพูดครับ”
“แล้วไงอีก?”
“เวลาผู้ใหญ่คุยด้วยต้องตั้งใจฟัง”
“?”
“ครับ”
“ดีมาก”
ฉันได้แต่เม้มปากกลั้นยิ้มเมื่อเห็นโมเมนต์อาหลานที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อนแบบนี้ พี่เหนือที่ปกติแล้วเป็นคนเอะอะโผงผางกวนประสาทยิ้มเก่งหัวเราะง่าย ตอนนี้กลับกำลังวางท่าเข้มแบบที่ไม่เคยได้เห็น
“ไม่เห็นจะต้องดุหลานเลย” ฉันเดินเข้าไปจนใกล้ ส่งยิ้มใจดีให้จ๋อมที่คงจะเพิ่งหันมาเห็นกัน
“แฟนอาเหนือเหรอครับ?”
“แฟนบ้าไรจ๋อม?”
พี่เหนือหลุดหัวเราะออกมาแล้วทิ้งตัวนั่งลงข้างกันกับคนเป็นหลาน ในขณะที่ฉันพยายามจะไม่สนใจคำปฏิเสธโดยเร็วพลันของเขาเมื่อครู่ที่ว่าฉันไม่ใช่แฟน พี่เหนือคงจะไม่ได้คิดอะไรรีบเอ่ยปากแนะนำฉันให้จ๋อมรู้จัก
“นี่คนที่จะมาช่วยดูแลจ๋อมเวลาที่อาไม่อยู่บ้านไง สวัสดีอาปายเขาสิ”
“สวัสดีครับอาปาย” ดวงหน้าเล็กยกยิ้มกว้างจนเห็นเหงือกสีชมพู ฟันหน้าซี่เล็กหลอเกือบทั้งแถบ
“สวัสดีจ๋อม”
ฉันพยายามทำตัวเป็นกันเองด้วยการเดินไปนั่งลงข้างกัน จ๋อมหันมาเอียงคอมองเล็กน้อยก่อนจะหันไปหาอาแท้ ๆ อีกครั้ง
“ไม่ใช่อาต่ายแล้วเหรอครับ?”
“…”
จังหวะนี้เองคนหล่อที่ถูกหลานตั้งคำถามถึงกับยิ้มค้าง พี่เหนือชำเลืองตามองกันเล็กน้อยแล้วทำทีหัวเราะเสียงดัง
“อาต่ายเขาไม่ว่างแล้ว ตอนนี้เป็นอาปายแทน”
“แต่เมื่อวาน…”
“เหอะน่า”
คนทำตัวมีพิรุธส่งสัญญาณให้เด็กตัวเล็กเลิกถามด้วยการตีหน้าดุ ถึงจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรแต่ก็พอจะเดาสถานการณ์ได้นิดหน่อย ฉันคงไม่ใช่คนแรกที่ได้งานนี้แน่นอน
“คนชื่อต่ายเคยมาเลี้ยงจ๋อมก่อนหน้านี้เหรอ?”
“แค่มาดูงาน พี่ยังไม่ได้ตอบรับจะจ้างใคร” พี่เหนือยักไหล่เหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ฉันก็แอบเกรงใจคนที่ว่าเลยรีบเอ่ยปากถามต่อ
“ปายมาแย่งงานคนอื่นเขารึเปล่า?”
“ต่ายบ้านอยู่ไกลมาก ถ้ารับงานจริงแล้วตอนมืดค่ำจะกลับยังไง?”
และเพราะเหตุผลข้อนี้เองทำให้ฉันไม่จำเป็นต้องสงสัยอะไรอีก เพราะถ้าเทียบกัน บ้านฉันอยู่แค่หลังสถานีรถไฟเท่านั้น ปั่นจักรยานสิบนาทีก็ถึงกัน ต่อให้เลิกมืดค่ำก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรมากนัก
“แล้วเรื่องค่าจ้างเดี๋ยวพี่เขียนสัญญาให้” พี่เหนือหยัดตัวลุกขึ้นยืนเดินไปหาอะไรสักอย่าง แต่ฉันก็รีบเอ่ยท้วงขึ้น
“ปายบอกว่าไม่ต้องจ่าย…”
“ไม่ต้องได้ไง? ไอ้ปราณรู้คงกินหัวพี่พอดี”
“พี่ก็ไม่ต้องบอกพี่ปราณสิ”
“ไม่บอกได้ไง ก็มันเป็นคนบอกว่าเราจะมาทำงาน”
“…”
พี่เหนือไม่ได้สนใจกันแล้ว แต่กำลังค้นหาของที่คาดว่าน่าจะเป็นปากกากับกระดาษ ขณะเดียวกันฉันก็มองไปรอบ ๆ ตัว ชั้นวางของขนาดใหญ่เต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้แบบผู้ชายไม่ต่างอะไรกับของใช้ของพี่ปราณ
แต่ที่มันสะดุดตาเหลือเกินก็คือซองอะไรสักอย่างที่กองซ้อนกันเป็นตั้งอยู่ที่ชั้นบนสุด สีสันของมันสะดุดตาโดดออกมาจากของชิ้นอื่น ๆ
แค่เห็นลวดลายลายการ์ตูนคุ้นตาฉันก็ต้องเบิกตาโตรู้สึกตกอกตกใจขึ้นมา เพราะเพิ่งจะเห็นลวดลายแบบเดียวกันเมื่อเช้านี้ที่โต๊ะเขียนหนังสือของฉันเอง
ก็ซองจดหมายพวกนั้นไง…
จดหมายที่ฉันเคยส่งให้เขาแบบไม่เคยลงชื่อเลยสักฉบับ…
ถึงจะไม่กล้าฟันธงลงไปว่าซองจดหมายที่กำลังเห็นอยู่ในขณะนี้เป็นของฉันเอง แต่ก็อดคิดขึ้นมาไม่ได้เหมือนกันว่ามันอาจจะใช่
และถ้ามันเป็นของฉันจริง… ก็แสดงว่าเขาไม่ได้ทิ้งมันไป…
“มีคนส่งให้สมัยเรียน”
อาจเพราะกำลังช็อกอยู่ทำให้ไม่ทันได้สังเกตว่าตอนนี้พี่เหนือเดินกลับมาแล้วพร้อมกระดาษกับปากกาในมือ สายตามองตามทิศทางการมองของฉันก่อนจะละสายตากลับมาพร้อมทั้งพึมพำบอกด้วยสีหน้าแย้มยิ้มอย่างคนอารมณ์ดี
“จดหมายรัก”
“เหรอ?” ฉันตอบรับออกไปได้แค่นั้น พยายามจับสังเกตอาการคนตรงหน้าแต่ก็ไม่ได้มีอะไรที่ดูแปลกไปแม้แต่น้อย
พี่เหนือดูเหมือนจะไม่รู้ว่าจดหมายรักที่ว่า… คนส่งให้เขาคือฉันเอง…
ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งที่เดิมจรดปลายปากกาเขียนอะไรสักอย่างลงแผ่นกระดาษไม่ได้สนใจจะพูดถึงหัวข้อเดิมต่อ
มันไม่แปลกที่เขาจะมีคนส่งอะไรประเภทนี้ให้ เพราะเจ้าตัวก็รู้ดีอยู่แล้วว่าตัวเองเป็นที่หมายปองของบรรดาสาวค่อนโรงเรียน เลยไม่ได้เห็นทีท่าเขินอายหรืออะไรประเภทนั้น
ฉันชำเลืองมองไปยังซองจดหมายพวกนั้นอีกครั้งด้วยความรู้สึกประหม่าหนัก กลัวขึ้นมาว่าเจ้าของมันจะรู้ต้นทางคนส่ง ทั้งที่ก็ไม่มีทางรู้ได้เลยเพราะฉันเองไม่เคยลงชื่ออย่างที่บอก
ถึงรู้ว่าไม่ควรทำตัวมีพิรุธเพราะเรื่องพวกนั้นมันผ่านมาตั้งแต่ปีมะโว้ แต่สุดท้ายก็ห้ามปากเอาไว้ไม่ทัน
“พี่…”
“หืม?”
คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามไม่ได้เงยขึ้นมอง ยังคงตั้งหน้าตั้งตาจดอะไรใส่แผ่นกระดาษ และฉันก็รู้สึกอยากจะตีก้นตัวเองแรง ๆ สักทีที่คันปากหนักจนสุดท้ายห้ามใจไม่ไหวต้องเอ่ยปากถามออกไป
“พี่เก็บอะไรแบบนั้นด้วยเหรอ?”
“หมายถึงจดหมาย?”
“อืม”
คราวนี้เขาเงยหน้าขึ้นมาพร้อมทั้งวางปากกาลง ริมฝีปากผุดยิ้มเล็กน้อย ชำเลืองมองกลับไปตรงนั้นอีกครั้งก่อนจะหันกลับมายักคิ้วด้วยสีหน้ากวน
“เก็บดิ จะได้ย้ำเตือนว่าคนมันหล่อ”
“โห หลงตัวเองโคตร”
ปากฉันก็พูดสวนออกไปแบบนั้น แต่จริงแล้วถึงขั้นถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก็ถ้าเหตุผลหลงตัวเองแบบนี้ไม่มีอะไรน่าสงสัยเท่าไรนัก อาจจะไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าใครคือเจ้าของตัวจริง
“ไม่ได้หลงตัวเอง อันที่จริงมีเป็นกระบุง”
คนหล่อยักไหล่ทำหน้าภาคอกภูมิใจ รอยยิ้มคลี่กว้างกว่าเดิม ฉันได้แต่หัวเราะออกมาเพราะนิสัยเจ้าตัวไม่ได้เปลี่ยนไปเลยจากเมื่อก่อน ทั้งน้ำเสียงกวน ๆ ทั้งรอยยิ้มแบบนั้น แต่ก็โล่งใจได้ไม่ถึงนาทีเพราะประโยคถัดมา
“แต่ก็ไม่ได้เก็บหมดหรอก”
“หืม?”
“ก็เก็บไว้แค่ของคน ๆ นึง” น้ำเสียงเรื่อย ๆ เอ่ยต่อ รอยยิ้มกว้างยังคงประดับบนใบหน้า นัยน์ตาสุกใสเป็นประกาย ในขณะที่ใจฉันกระตุกวูบอีกครั้ง
“คนเดียว?”
“อืม แค่คนเดียว”
“…”
“ซ้ำคนส่งยังไม่เคยลงชื่อเลยสักฉบับเดียว”
เหนือรักปายตอนพิเศษ 4 ปัจจุบัน เสียงหัวเราะของคนหลายคนดังแว่วมาให้ได้ยิน ตอนที่ผมกำลังเดินไปยังเวิร์กช็อปเล็ก ๆ ข้างกันกับตัวบ้านของผมเองที่ ๆ ปายตั้งใจจะเปิดสอนศิลปะให้กับคนที่สนใจ และก็ได้รับการตอบรับดีพอสมควร เพราะในตัวอำเภอไม่มีที่ไหนเปิดสอนศิลปะเป็นจริงเป็นจัง หากจะเรียนก็ต้องเข้าเมืองไปไกลกว่าสองชั่วโมง ลูกค้าส่วนมากก็เป็นเด็กนักเรียนที่พ่อแม่สนใจจะสนับสนุนลูก ๆ ให้เอาดีทางด้านนี้ แต่ก็มีผู้ใหญ่หลายคนอยู่เหมือนกันที่ให้ความสนใจมาลงเรียน บางกลุ่มก็มาเรียนบ้างเป็นพัก ๆ บางคนก็ตั้งใจจะเรียนระยะยาวแม้งานที่ว่านี้จะไม่ได้ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ แต่คนที่ตั้งใจทำก็ดูจะพอใจที่ทุกอย่างไปได้สวยอย่างที่คิด วันนี้เป็นเย็นวันธรรมดาคนเลยไม่เยอะเท่าไรนัก สังเกตได้จากรองเท้าที่ถอดเรียงเอาไว้บนชั้นวางรองเท้าด้านนอก หากเป็นวันเสาร์อาทิตย์คนก็จะเยอะกว่านี้ เสียงกริ่งประตูดังขึ้นตอนที่ผมผลักบานประตูเดินเข้าไป คนหลายคนด้านในหันมองมา เด็กนักเรียนผู้หญิงหลายคนกำลังนั่งจับกลุ่มวาดภาพสีน้ำ ตรงหน้าของแต่ละคนมีกระดานวาดภาพวางบนขาตั้งไม้ทรงสูง ผมได้แต่
เหนือรักปายตอนพิเศษ 3@ โรงเรียน “กูอยากถือป้าย” “ก็ถ้าไม่ใช่มึงเป็นดรัมฯ แล้วจะให้ใครเป็น?” “กูขี้เกียจซ้อม ขอถือป้ายแทนได้ปะ?” “ไอ้ฝ้ายก็จะนั่งเสลี่ยง มึงก็อยากจะถือป้าย ไม่มีใครอยากเป็นดรัมฯ บ้างเลยหรือยังไง?” “…” ผมได้แต่นั่งมองเพื่อนผู้หญิงโต้กันไปโต้กันมาเรื่องการเตรียมงานกีฬาสีของโรงเรียนที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ ขนาดว่านั่งเฉย ๆ ไม่ออกความเห็นอะไร สายตาคนอื่นก็พากันหันมากดดัน ราวกับจะให้ผมเป็นคนออกความเห็นว่าใครควรจะเป็นดรัมเมเยอร์เสียอย่างนั้น “อะไร? กูจะรู้ไหมเนี่ย? กูผู้ชาย” “มึงเป็นประธานไงเหนือ และนี่ไม่มีใครอยากเป็นเลยสักคน ดรัมฯ ไม้แรกเลยนะเว้ย กูละงงจริง ๆ”ไอ้จ๋าเกาหัวแกรก ๆ สีหน้าคิดไม่ตก สายตากดดันเลื่อนมองกลับไปยังคิมซึ่งนั่งกอดอกอยู่บนโต๊ะเรียนอีกครั้ง คนถูกมองพ่นลมหายใจเสียงดังพลางก็บ่นกระปอดกระแปด “ก็กูอยากถือป้าย มึงก็เป็นดรัมฯ เองสิ” “ลดน้ำหนักให้ได้สักสิบห้ากิโลฯ กูจะเป็นให้” คนที่เพื่อนปัดภาระให้เ
เหนือรักปายตอนพิเศษ 2@ โรงเรียน วันนี้เป็นอีกครั้งที่ใต้โต๊ะเรียนของผมมีคนเอาจดหมายมาสอดไว้เหมือนกับหลายวันที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนเอาของมาส่งให้ หากแต่ไม่มีใครใช้วิธีส่งจดหมายแบบนี้ ส่วนมากเป็นขนมกับของขวัญเสียมากกว่าก็มีอยู่แค่คนเดียวที่ใช้วิธีส่งจดหมายมา และแค่เห็นซองจดหมายก็รู้ได้ในทันทีว่าเป็นของคน ๆ เดียวกัน คนอื่นรอบตัวผมในขณะนี้ยังคงตั้งหน้าตั้งตาลอกการบ้านกันเหมือนอย่างเคยตอนที่ผมดึงเอากระดาษโน้ตลายกระต่ายสีชมพูออกจากซอง ไล่สายตาอ่านสิ่งที่เขียนอยู่บนแผ่นกระดาษอันที่จริงก็ไม่ได้ต่างไปจากทุกฉบับที่ผ่านมา คนส่งยังคงเขียนทำนองว่า วันนี้แอบมองผมตอนทำนู่นทำนี่ พรรณนาว่าตัวผมหล่อแค่ไหน ไม่ก็ประเภทที่ว่าเมื่อคืนฝันถึงผมอะไรประมาณนั้นทุก ๆ ย่อหน้าจะมีสติกเกอร์รูปหัวใจแปะอยู่ ท้ายแผ่นจะมีรูปการ์ตูนที่วาดไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน อย่างวันนี้ก็เป็นผู้หญิงกำลังยืนเกาะแขนผู้ชายที่ก็คิดว่าคงแทนตัวผมเอง ผมได้แต่ระบายรอยยิ้มออกมา เพราะต้นทางคนส่งดูท่าจะตั้งใจมาก ไม่ว่าผมจะมาโรงเรียนเช้าแค่ไหน ก็จะเห็นว่ามีจดหมายสอดที่ใต้โต
เหนือรักปายตอนพิเศษ 1 สิบปีก่อน@ เหนือ “กูถึงแล้ว” ‘จอดรออยู่หลังสถานี’ “เค” ปลายสายวางไปแล้ว กระเป๋าเป้ใบใหญ่ถูกแบกขึ้นบ่าอีกรอบหลังจากถูกวางทิ้งไว้เมื่อนาทีก่อนเพราะผมเดินไปซื้อน้ำที่ร้านค้าหน้าสถานีรถไฟ อากาศประเทศไทยตอนกลางวันร้อนตับแตกแบบนี้ อะไรก็ไม่ดีเท่าได้กินน้ำแดงเย็น ๆ สักถุง หลังจากไปอยู่บ้านป้ามาตลอดปิดเทอมฤดูร้อนตอนนี้ก็ได้ฤกษ์กลับบ้านตัวเองเสียที เนื่องจากโรงเรียนใกล้เปิดเทอมแล้ว อีกไม่กี่วันก็คงต้องกลับไปเรียนเหมือนอย่างเคย และคงเป็นปีสุดท้ายที่จะได้ใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียน เพราะปีนี้ผมกำลังจะขึ้นชั้นม.หก “ไปบ้านกูก่อนแล้วกัน” แค่เจอหน้ากันไอ้ปราณเพื่อนสนิทที่เอามอเตอร์ไซค์มาจอดรอรับก็เอ่ยบอก พลางเอาขาตั้งรถขึ้น ผมไม่ทันได้พูดอะไรมันก็เตรียมจะออกรถ สุดท้ายเลยต้องรีบคร่อมขาซ้อนท้ายมัน ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากถามเพื่อนว่าทำไมต้องไปบ้านมันก่อน เพราะถึงยังไงบ้านที่ว่าก็เป็นทางผ่านที่จะไปบ้านผมอยู่แล้ว สายลมพัดปะทะเข้าหาใบหน้าไม่ได้ช่วยให้คลายร้อนลงเท่า
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 49 หลายวันต่อมา หลังจากงานแต่งผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เราทุกคนก็กลับมาใช้ชีวิตกันอย่างปกติสุข ฉันยังคงไปเลี้ยงจ๋อมเหมือนทุกวัน พี่เหนือก็ออกไปดูแลร้านของเขาเหมือนทุกที พี่ปราณก็ยังคงช่วยดูแลกิจการของที่บ้าน ส่วนจ๋อมก็กำลังเตรียมสอบปลายภาคของระดับชั้นประถมศึกษา เพราะงานวันแต่งเราเชิญคนรู้จักมาเยอะมาก และแขกหลายคนก็เป็นอาจารย์ที่โรงเรียนเก่าของเราทั้งคู่รวมถึงรุ่นพี่รุ่นน้องชั้นปีอื่น ๆ ช่วงท้ายของงานทางอาจารย์เลยมีการขอแรงจากศิษย์เก่าเข้าไปช่วยจัดการเรื่องการย้ายโต๊ะนักเรียนแบบเก่าไปเก็บไว้ที่โกดังหลังโรงเรียนเพื่อที่จะรับโต๊ะเขียนแบบเลกเชอร์เข้ามาแทน แน่นอนว่าฉันกับพี่เหนือเองก็อาสาจะไปช่วย พวกเพื่อน ๆ ของเขา และเพื่อนสมัยเรียนของฉันก็พากันมาร่วมแรงร่วมใจกันในวันนี้ด้วยเหมือนกัน “ดีไหม?” “อะไร…” “ก็แกกับพี่เหนือไง ใกล้ได้ลูกรึยัง?” “บ้า…” “อย่ามาเขินหน่อยเลย เห็นว่าลุงหมานอยากมีหลานให้อุ้มไว ๆ” “ก็กำลังช่วยกันทำอยู่” “โอ๊ย! ไม่น่าถามเลยจริง
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 48 สองชั่วโมงต่อมา หลังจากที่เดินไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่โต๊ะนู้นโต๊ะนี้จนเสร็จ ทุกคนก็ทานอาหารกันจนอิ่มหนำ ตอนนี้ก็เข้าสู่ช่วงเปิด VTR ของคู่บ่าวสาวที่พี่ปราณเป็นคนเสนอตัวจัดเตรียมให้เอง ฉันกับพี่เหนือได้แต่ยืนกลั้นขำกันอยู่บนเวทีเมื่อแต่ละรูปที่คนเป็นพี่เลือกมามันช่างน่าขำ ตั้งแต่รูปของเราสมัยยังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ข้ามมาสมัยผมของฉันยังสั้นเท่าติ่งหู และตัดมาที่ภาพสมัยมัธยมปลายที่เริ่มจะดูดีขึ้นมาหน่อย ช่างต่างจากคนเป็นเจ้าบ่าวที่หน้าตาดีมาตั้งแต่เด็กแบบที่คงไม่เคยพบเจอยุคมืดของตัวเองมาก่อน วิดีโอเล่นผ่านไปเรื่อย ๆ จนเข้าสู่รูปพรีเวดดิ้งของเราทั้งคู่ ที่ออกจะหวานเกินไปเสียหน่อย ทุกรูปพี่เหนือจะมองกันด้วยสายตาแบบที่ทำเอาหัวใจละลาย บรรดาสาว ๆ ในงานพากันกรี๊ดกร๊าดวี้ดว้ายกันไม่หยุดกับสายตาประเภทนั้นแม้จะเป็นเพียงภาพถ่ายก็ตาม และตอนนี้เองที่พี่เหนือเลื่อนมือมากุมประสานเข้ากันกับมือของฉัน สายตาที่มองมาอย่างสื่อความหมายทำเอาใจเต้นแรง แม้ว่าเราจะอยู่ท่ามกลางคนหลายร้อยคนฉันก็ไม่อาจห้ามจังหวะหัวใจให้เต้นช้าลงได้เลย