แอบรักเธออีกสักที
ตอนที่ 5
หัวใจฉันหล่นวูบครั้งแล้วครั้งเล่ากับคำบอกเล่าที่เหมือนไม่ได้คิดอะไรของอีกคน พี่เหนือไม่ได้ขยายความต่อ แต่ยื่นกระดาษแผ่นที่ตัวเองเพิ่งเขียนอะไรเสร็จส่งต่อมาให้
“พี่จดเวลาเลิกเรียนของจ๋อมไว้ให้หมดแล้ว และก็เวลากลับบ้านของพี่ เบอร์โทรคนที่ร้านเผื่อว่าพี่ไม่รับสาย เราจะมาตอนไหนก็มาเดี๋ยวพี่จะเอากุญแจสำรองมาให้”
เมื่อเห็นว่าเขาไม่คิดจะพูดถึงเรื่องจดหมายนั่นอีก ฉันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องหาเหาใส่หัว เปลี่ยนเรื่องคุยก็ดีเหมือนกัน
“พี่จะให้ปายมาเริ่มงานวันไหน?”
“พรุ่งนี้เลยก็ได้ถ้าสะดวก”
“โอเค”
“แล้วเรื่องกลับบ้านตอนกลางคืนเดี๋ยวพี่ไปส่ง”
“ไม่ต้องหรอกบ้านปายอยู่แค่นี้เองปั่นจักรยานเอาก็ได้”
“เอางั้น?”
“สบายมาก ว่าแต่พี่จะให้ค่าจ้างจริงไหม?” ฉันเลิกคิ้วถามถึงเรื่องที่เจ้าบ้านว่าอีกครั้ง พี่เหนือหลุดขำออกมาทำหน้ารู้ทัน
“จ้างดิ เห็นพี่เป็นคนยังไง?”
“ก็นึกว่าเลือกปายเพราะปายไม่เอาค่าจ้างเสียอีก”
“มีจรรยาบรรณเว้ย” น้ำเสียงติดจะขบขันเอ่ยสวนในทันที
“ก็แล้วทำไมเลือกปาย?”
“ไม่เลือกน้องสาวเพื่อนสนิทแล้วจะให้เลือกใคร?”
เจ้าตัวไม่ตอบแต่เลิกคิ้วถามกลับแทน บทสนทนาของเราเป็นอันยุติลงแค่นั้นเพราะพี่เหนือหันไปเห็นว่าจ๋อมกำลังปีนโซฟาเพื่อที่จะเอาไอแพดบนชั้นวางของลงมา
ฉันระบายรอยยิ้มค้างอยู่อย่างนั้น ทอดสายตามองคนซึ่งปกติแล้วเป็นคนอารมณ์ดีกำลังเก๊กท่าดุอีกครั้งใส่เด็กตัวกระเปี๊ยก ในใจก็ได้แต่คิดขึ้นมาว่าถ้าไม่ใช่น้องพี่ปราณ ฉันคงไม่มีวันได้เข้าใกล้เขาแบบนี้ ไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบัน
แต่ได้แค่อภิสิทธิ์น้องสาวเพื่อนสนิทก็ดีถมไป…
กลับมาอยู่บ้านทั้งที มีอะไรให้กระชุ่มกระชวยหัวใจขึ้นมานิดหน่อยก็คงดี…
วันต่อมา
เมื่อคืนพี่ปราณไม่ได้กลับบ้านฉันเลยต้องอยู่บ้านคนเดียว มีเวลาจัดข้าวจัดของให้เรียบร้อย และสำรวจตรวจตราบ้านช่องโดยไม่มีใครมากวน
ที่ไม่ได้กลับบ้านมาตลอดเจ็ดปีจะบอกว่าเป็นความตั้งใจก็ไม่ใช่เสียทีเดียว
ฉันแค่เป็นคนประเภทใช้ชีวิตแบบที่เรียกได้ว่าหาเรื่องยุ่งวุ่นวายให้ตัวเองอยู่ตลอด เรียนมหา’ลัยจบก็หาเรื่องไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่เมืองนอก เลยได้รู้จักกับพรีมจนกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกัน พอกลับมาไทยก็ชวนกันลงขันทำธุรกิจอย่างที่บอกไปในตอนต้น
ในไทยไม่ค่อยมีเวิร์กช็อปแบบที่ใช้ศิลปะเข้าช่วยบำบัด เลยทำให้งานของเรายุ่งมากแทบไม่มีวันไหนที่ไม่มีคิวนัด อาจเป็นเพราะรับลูกค้าแบบเป็นส่วนตัวเลยทำให้ตารางงานยาวข้ามเดือนข้ามปี พอวันหยุดมาถึงก็หมดแรง นอนหลับข้ามวันข้ามคืนก็เคยมาแล้ว
นั่นคือเหตุผลที่ฉันไม่ได้กลับบ้านมาเลยจนกระทั่งตอนนี้…
ก็ใช่ว่าไม่คิดจะเจอหน้าครอบครัว พ่อแม่รวมถึงพี่ปราณมักจะบินไปหาฉันที่กรุงเทพฯ แทนที่จะรอ เพราะก็รู้ดีว่าฉันบ้างาน และงานก็ยุ่งเกินกว่าที่จะหาเวลาว่างได้ อันที่จริงทุกคนก็ไปหาแทบจะทุกเทศกาลมีก็แค่ระยะหลังมานี้ที่งานที่สวนคงจะยุ่งมากเลยไม่ค่อยได้เจอกัน ถึงอย่างนั้นความสัมพันธ์ของเราทุกคนก็ยังสนิทแนบแน่นเหมือนเคย
พักผ่อนอยู่ได้หนึ่งคืนเต็ม เช้าวันต่อมาก็มีสายเรียกเข้าแต่ไก่โห่ พี่ปราณเป็นคนโทรมาบอกให้ไปรับอาหารที่ร้านพี่เหนือ เพื่อเอาเข้าไปส่งที่สวนเพื่อเลี้ยงคนงานรวมถึงเอ่ยปากชวนให้ไปเจอหน้าพ่อกับแม่ด้วย
เพราะอยากจะรีบเจอหน้าพวกท่านเป็นทุนเดิม ทำให้ฉันตื่นตั้งแต่เช้ารีบแต่งเนื้อแต่งตัวก่อนออกจากบ้านตั้งแต่ช่วงแปดโมง
ที่โรงรถหน้าบ้านมีกระบะจอดคลุมผ้าใบอยู่สองคันบ่งชัดว่าไม่ค่อยได้ใช้งาน ฉันเลือกเอาไอ้แดงคันเก่าที่เมื่อก่อนเราใช้บรรทุกทุเรียนไปขายออกมาขับ และพบว่ามันยังสตาร์ตติดได้อย่างน่าอัศจรรย์ แม้ว่าสภาพดูเหมือนจะไม่ได้ใช้งานมานานแล้วก็ตาม
รถแล่นลิ่วไปตามถนนเส้นเล็ก ๆ ผ่านทุ่งนา ผ่านแม่น้ำสายหลัก ธรรมชาติรอบตัวสวยงามแบบที่ทำให้ยิ้มออกมาได้ไม่ยาก เพราะไม่เห็นภาพแบบนี้มานานมากแล้วทำให้จิตใจว่างเปล่าเหี่ยวเฉาเมื่อไม่กี่วันก่อนราวกับจะมีพลังมาช่วยเติมเต็ม ไอ้ที่เขาว่าธรรมชาติบำบัดก็คงจะประมาณนี้นี่เอง
เวลาไม่ถึงสิบนาทีรถก็จอดสนิทลงที่หน้าร้านข้าวมันไก่เจ้าเดิม วันนี้ที่ร้านพี่เหนือดูยุ่งมาก เพราะลูกจ้างกำลังพากันขนข้าวกล่องขึ้นรถกระบะหลายคัน ก็คงจะไปส่งจัดเลี้ยงในตัวอำเภอ ไม่ก็ต่างอำเภอเหมือนอย่างเคย
เจ้าของร้านเองก็นั่งกดเครื่องคิดเลขเหมือนเดิม แต่วันนี้ไม่มีสาว ๆ มาเฝ้า ห่างออกไปที่ร้านขายน้ำเต้าหู้ของเฮียเล็ก กระถินกำลังหัวเราะคิกคักกับลูกค้าผู้ชายที่มาต่อคิวซื้อน้ำเต้าหู้อยู่
ฉันไม่แปลกใจอะไรนักกับภาพที่ได้เห็น ถึงกระถินกับมดจะชอบพี่เหนือแต่ก็แค่หมาหยอกไก่เท่านั้น สองคนนั้นแค่เป็นคนอารมณ์ดี และจีบคนหล่อไปทั่ว
ก็ถ้าถามว่าใครชอบเขาจริงจังที่สุดก็คงไม่พ้นตัวฉันเองในอดีต ที่โคตรจะหลงใหลแทบไม่เป็นอันกินอันนอน แม้ตอนนั้นจะเป็นแค่นักเรียนม.ปลายก็ตาม
ฉันเดินมาหยุดลงตรงหน้าเถ้าแก่ร้าน ก่อนจะเป็นฝ่ายเอ่ยทักก่อน
“ปายมาเอาของที่พี่ปราณสั่งไว้”
พี่เหนือพยักหน้าเล็กน้อยแต่ก็ยังไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง สีหน้าเป็นจริงเป็นจังกำลังจดอะไรใส่กระดาษยาวเป็นหางว่าว ก่อนอีกอึดใจใหญ่จะตะโกนเรียกใครสักคน
“สาธิต! วีระ!”
“ครับลูกพี่!”
วีระที่ฉันได้เห็นเมื่อวานเป็นคนวิ่งเข้ามาถึงก่อน ก่อนที่สาธิตจะวิ่งตามมา แม้ว่าทั้งคู่จะแก่กว่าพี่เหนือแต่ก็พากันเรียกเจ้าของร้านว่าลูกพี่เหมือนกันไม่มีผิด
ทั้งคู่หันมายิ้มกว้างให้ฉันแล้วพากันหันไปมองหน้ากันเองราวกับส่งสัญญาณอะไรบางอย่าง ฉันยิ้มตอบพอเป็นพิธี และจังหวะนั้นเองพี่เหนือก็ลุกขึ้นสั่งงาน
“สวนเฮียฮ้อยเอาปุ๋ยตามนี้ตอนเที่ยงให้คนเอาไปส่งด้วย บ้านเจ๊เล็กท้ายตลาดสั่งดินก้ามปูสองกระสอบว่างเมื่อไรก็ขนไปให้เจ๊แกด้วย ประมาณสิบโมงจะมีคนมารับของที่เตรียมไว้เมื่อวาน ยังไม่ได้เก็บตังจัดการให้เรียบร้อย…”
ว่าแล้วก็ยื่นกระดาษใบแรกให้สาธิตที่พยักหน้ารับพร้อมทั้งเดินเบี่ยงไปยังอาคารชั้นเดียวโดดเด่นห่างออกไปทางด้านขวาของตัวร้าน มีป้ายตัวเบ้อเร่อกำกับว่า ‘เกษตรภัณฑ์ อุปกรณ์การเกษตรครบวงจร’
“วันนี้มีออเดอร์ในอำเภอเมืองไหม?” พี่เหนือหันมาหาวีระต่อ
“ไม่มีนะลูกพี่ แต่ไปใกล้ ๆ อยู่เจ้านึง”
“มีออเดอร์ด่วนเข้ามาร้อยกล่องงานช่วงเย็น จัดการด้วย”
“รับทราบครับ”
สาธิตผละเดินไปแล้วส่งเสียงร้องบอกใครสักคนว่าให้เตรียมข้าวเพิ่ม พี่เหนือหย่อนเครื่องคิดเลขไว้ที่ชั้นติดผนังก่อนจะได้ฤกษ์หันมามองหน้ากัน สายตาเลื่อนสำรวจการแต่งกายฉันแว้บหนึ่งพร้อมทั้งกระตุกยิ้มมุมปาก
“โตเป็นสาวแล้ว”
“แหงดิ” แม้ว่าจะเขินอายกับสายตาเขาที่เลื่อนต่ำลงมองเรียวขาในชุดกระโปรงแต่ฉันก็ทำเป็นไม่สนใจ รีบเอ่ยถึงธุระอีกรอบ “พี่ปราณบอกว่าสั่งก๋วยเตี๋ยวหมูไว้ยี่สิบชุด”
“เตรียมไว้แล้ว” เจ้าตัวบอกพร้อมพยักพเยิดไปยังถุงใบใหญ่สองถุงที่ก็วางอยู่ก่อนแล้วบนโต๊ะตัวเดียวกับที่เขานั่งทำงานเมื่อครู่
ถึงจะเป็นร้านขายข้าวมันไก่ แต่ก็อย่างที่บอกว่าเขารับจัดเลี้ยงด้วยเลยมีอาหารให้เลือกมากกว่าแค่ข้าวมันไก่ วันนี้เลยได้เห็นเส้นเล็กเส้นใหญ่ น้ำซุปใส กับซุปต้มยำแทนที่จะเป็นข้าวกล่องเหมือนเมื่อวาน
“เท่าไร?”
“ค่อยไปเอาที่ไอ้ปราณ”
“อือฮึ งั้นปายไปละ”
ฉันคว้าเอาถุงมาถือไว้ และพบว่ามันค่อนข้างหนัก พี่เหนือยกยิ้มขำแล้วเป็นฝ่ายเดินมาบริการ ร่างสูงเดินนำไปก่อนพร้อมทั้งเอ่ยปากถามว่าเอารถคันไหนมา
“ไอ้แดงอะ”
“ไอ้คันนี้มันจะพังไม่ใช่เหรอ?”
“ฮะ?”
เราสองคนมาหยุดยืนลงตรงฟุตพาตหน้าร้าน ร่างสูงยืนทิ้งขาข้างหนึ่งสีหน้าไม่ศรัทธากับไอ้แดงที่ฉันขับออกมา ก่อนจะหันมาเอ่ยปาก
“เดี๋ยวพี่เอาไปส่งให้เองก็ได้”
“ไม่ต้องหรอก ปายว่าจะเข้าไปหาพ่อกับแม่ที่สวน”
“ไปด้วยไอ้แดงเนี่ยเหรอ? มีหวังน็อกกลางทางอะดิ”
“งั้นเดี๋ยวปายไปเปลี่ยนรถที่บ้าน”
“ไปรถพี่ก็ได้”
เจ้าตัวไม่พูดเปล่าแต่หมุนตัวเดินไปอีกทาง และอึดใจก็หยุดลงข้างมอเตอร์ไซค์คันเดียวกันกับเมื่อวาน ด้านหลังมีกระบะใส่ของสีเขียวแลดูเหมือนรถขนผัก พี่เหนือเอาถุงก๋วยเตี๋ยวใส่ในกระบะนั้นแล้วหันมาพยักหน้าเรียก
“มาดิ”
“สภาพมันไม่น่าไปรอดยิ่งกว่าไอ้แดงอีก” ฉันเองก็ทำหน้าไม่ศรัทธาพอกันจนเจ้าของมอเตอร์ไซค์หัวเราะ
“ดูถูก พนันได้เลยว่าไปถึงที่หมายปลอดภัยกว่าไอ้แดงของเราแน่”
“…”
ฉันได้แต่กลอกตามองบน ชำเลืองมองกลับไปยังรถกระบะสีแดงที่ก็ดูบุโรทั่งไม่น่าไว้วางใจอย่างเขาว่า รู้สึกคิดไม่ตกขึ้นมา ในขณะที่อีกคนก็สตาร์ตมอเตอร์ไซค์รอแล้ว
“มาดิ”
“ปายกลับบ้านไปเปลี่ยนรถดีกว่า”
“เสียเวลา แล้วไอ้รถอีกคันก็ไม่รู้ว่าจะใช้ได้รึเปล่าด้วยซ้ำ พี่ไม่เห็นไอ้ปราณมันจะเอาคันอื่นออกมาขับเลย”
“เหรอ?”
“เชื่อเหอะน่า”
“ก็แล้วปายจะนั่งไปยังไง พี่ก็เห็นว่าวันนี้ปายใส่กระโปรง”
ฉันบอกตามจริง เจ้าตัวชำเลืองมองอีกครั้งแล้วทำสีหน้ารำคาญใจก่อนจะถดตัวถอยหลังเพื่อให้เหลือที่นั่งตรงด้านหน้าตัวเอง และนั่นก็ทำให้ฉันเบิกตาโต
“พี่จะให้ปาย…”
“ตัวเล็กแค่นี้นั่งหน้าได้”
“แต่…”
“จะไปไหม? หาพ่อกับแม่อะ?”
“น่าอายออก ปายโตแล้วนะ”
“อายก็ไม่ต้องไป เดี๋ยวพี่เอาไปส่งให้เอง”
“เดี๋ยวสิ”
ฉันถึงกับรีบเดินไปประชิดตัวเมื่อเห็นว่าเขาตั้งท่าจะบิดมอเตอร์ไซค์ออกไปจริง ๆ พี่เหนือยกยิ้มขบขัน หรี่ตามองกันเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย
“ทำไม? เขินหรือไง?”
“ใครว่าเขิน?” แหงสิ… ไม่เขินยังไงไหว…
“ไม่เขินก็ขึ้นมา”
ว่าแล้วก็พยักหน้าเรียกอีกรอบ แขนข้างหนึ่งทิ้งลงข้างลำตัวเพื่อเปิดช่องให้ฉันขึ้นไปนั่ง ก่อนจะขยับก้นไปด้านหลังอีกครั้ง ฉันเม้มริมฝีปากมองดูอย่างประหม่า
เราเอาแต่มองกันไปมองกันมาเกือบนาทีพี่เหนือก็เหมือนจะแกล้งกันด้วยการตั้งท่าจะออกรถอีกครั้ง คราวนี้ฉันเลยหลับหูหลับตาเบียดตัวเองขึ้นไปนั่งระหว่างข้อแขนของเขา
สัมผัสจากข้างขาแนบแน่นแบบที่ทำเอาหน้าร้อนผ่าว คนด้านหลังหัวเราะเบา ๆ น้ำเสียงกวนประสาทบ่นพึมพำ
“ก็แค่เนี้ย”
แค่นี้บ้าบออะไร…
มอเตอร์ไซค์เคลื่อนตัวออกอย่างช้า ๆ และเราทั้งคู่ก็ทันได้ยินเสียงวี้ดว้ายของกระถินที่คงจะหันมาเห็นภาพนี้เข้าพอดี
พี่เหนือหัวเราะเสียงดังยิ่งกว่าเดิมแต่ก็ไม่คิดจะหยุดรถลงแม้เราจะเห็นว่ากระถินถึงกับถือกระบวยตักน้ำเต้าหู้วิ่งออกมาจนถึงฟุตพาตส่งเสียงร้อง ‘พี่เหนือ!’ ‘พี่เหนือ!’ ไม่หยุดก็ตาม
เหนือรักปายตอนพิเศษ 4 ปัจจุบัน เสียงหัวเราะของคนหลายคนดังแว่วมาให้ได้ยิน ตอนที่ผมกำลังเดินไปยังเวิร์กช็อปเล็ก ๆ ข้างกันกับตัวบ้านของผมเองที่ ๆ ปายตั้งใจจะเปิดสอนศิลปะให้กับคนที่สนใจ และก็ได้รับการตอบรับดีพอสมควร เพราะในตัวอำเภอไม่มีที่ไหนเปิดสอนศิลปะเป็นจริงเป็นจัง หากจะเรียนก็ต้องเข้าเมืองไปไกลกว่าสองชั่วโมง ลูกค้าส่วนมากก็เป็นเด็กนักเรียนที่พ่อแม่สนใจจะสนับสนุนลูก ๆ ให้เอาดีทางด้านนี้ แต่ก็มีผู้ใหญ่หลายคนอยู่เหมือนกันที่ให้ความสนใจมาลงเรียน บางกลุ่มก็มาเรียนบ้างเป็นพัก ๆ บางคนก็ตั้งใจจะเรียนระยะยาวแม้งานที่ว่านี้จะไม่ได้ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ แต่คนที่ตั้งใจทำก็ดูจะพอใจที่ทุกอย่างไปได้สวยอย่างที่คิด วันนี้เป็นเย็นวันธรรมดาคนเลยไม่เยอะเท่าไรนัก สังเกตได้จากรองเท้าที่ถอดเรียงเอาไว้บนชั้นวางรองเท้าด้านนอก หากเป็นวันเสาร์อาทิตย์คนก็จะเยอะกว่านี้ เสียงกริ่งประตูดังขึ้นตอนที่ผมผลักบานประตูเดินเข้าไป คนหลายคนด้านในหันมองมา เด็กนักเรียนผู้หญิงหลายคนกำลังนั่งจับกลุ่มวาดภาพสีน้ำ ตรงหน้าของแต่ละคนมีกระดานวาดภาพวางบนขาตั้งไม้ทรงสูง ผมได้แต่
เหนือรักปายตอนพิเศษ 3@ โรงเรียน “กูอยากถือป้าย” “ก็ถ้าไม่ใช่มึงเป็นดรัมฯ แล้วจะให้ใครเป็น?” “กูขี้เกียจซ้อม ขอถือป้ายแทนได้ปะ?” “ไอ้ฝ้ายก็จะนั่งเสลี่ยง มึงก็อยากจะถือป้าย ไม่มีใครอยากเป็นดรัมฯ บ้างเลยหรือยังไง?” “…” ผมได้แต่นั่งมองเพื่อนผู้หญิงโต้กันไปโต้กันมาเรื่องการเตรียมงานกีฬาสีของโรงเรียนที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ ขนาดว่านั่งเฉย ๆ ไม่ออกความเห็นอะไร สายตาคนอื่นก็พากันหันมากดดัน ราวกับจะให้ผมเป็นคนออกความเห็นว่าใครควรจะเป็นดรัมเมเยอร์เสียอย่างนั้น “อะไร? กูจะรู้ไหมเนี่ย? กูผู้ชาย” “มึงเป็นประธานไงเหนือ และนี่ไม่มีใครอยากเป็นเลยสักคน ดรัมฯ ไม้แรกเลยนะเว้ย กูละงงจริง ๆ”ไอ้จ๋าเกาหัวแกรก ๆ สีหน้าคิดไม่ตก สายตากดดันเลื่อนมองกลับไปยังคิมซึ่งนั่งกอดอกอยู่บนโต๊ะเรียนอีกครั้ง คนถูกมองพ่นลมหายใจเสียงดังพลางก็บ่นกระปอดกระแปด “ก็กูอยากถือป้าย มึงก็เป็นดรัมฯ เองสิ” “ลดน้ำหนักให้ได้สักสิบห้ากิโลฯ กูจะเป็นให้” คนที่เพื่อนปัดภาระให้เ
เหนือรักปายตอนพิเศษ 2@ โรงเรียน วันนี้เป็นอีกครั้งที่ใต้โต๊ะเรียนของผมมีคนเอาจดหมายมาสอดไว้เหมือนกับหลายวันที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนเอาของมาส่งให้ หากแต่ไม่มีใครใช้วิธีส่งจดหมายแบบนี้ ส่วนมากเป็นขนมกับของขวัญเสียมากกว่าก็มีอยู่แค่คนเดียวที่ใช้วิธีส่งจดหมายมา และแค่เห็นซองจดหมายก็รู้ได้ในทันทีว่าเป็นของคน ๆ เดียวกัน คนอื่นรอบตัวผมในขณะนี้ยังคงตั้งหน้าตั้งตาลอกการบ้านกันเหมือนอย่างเคยตอนที่ผมดึงเอากระดาษโน้ตลายกระต่ายสีชมพูออกจากซอง ไล่สายตาอ่านสิ่งที่เขียนอยู่บนแผ่นกระดาษอันที่จริงก็ไม่ได้ต่างไปจากทุกฉบับที่ผ่านมา คนส่งยังคงเขียนทำนองว่า วันนี้แอบมองผมตอนทำนู่นทำนี่ พรรณนาว่าตัวผมหล่อแค่ไหน ไม่ก็ประเภทที่ว่าเมื่อคืนฝันถึงผมอะไรประมาณนั้นทุก ๆ ย่อหน้าจะมีสติกเกอร์รูปหัวใจแปะอยู่ ท้ายแผ่นจะมีรูปการ์ตูนที่วาดไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน อย่างวันนี้ก็เป็นผู้หญิงกำลังยืนเกาะแขนผู้ชายที่ก็คิดว่าคงแทนตัวผมเอง ผมได้แต่ระบายรอยยิ้มออกมา เพราะต้นทางคนส่งดูท่าจะตั้งใจมาก ไม่ว่าผมจะมาโรงเรียนเช้าแค่ไหน ก็จะเห็นว่ามีจดหมายสอดที่ใต้โต
เหนือรักปายตอนพิเศษ 1 สิบปีก่อน@ เหนือ “กูถึงแล้ว” ‘จอดรออยู่หลังสถานี’ “เค” ปลายสายวางไปแล้ว กระเป๋าเป้ใบใหญ่ถูกแบกขึ้นบ่าอีกรอบหลังจากถูกวางทิ้งไว้เมื่อนาทีก่อนเพราะผมเดินไปซื้อน้ำที่ร้านค้าหน้าสถานีรถไฟ อากาศประเทศไทยตอนกลางวันร้อนตับแตกแบบนี้ อะไรก็ไม่ดีเท่าได้กินน้ำแดงเย็น ๆ สักถุง หลังจากไปอยู่บ้านป้ามาตลอดปิดเทอมฤดูร้อนตอนนี้ก็ได้ฤกษ์กลับบ้านตัวเองเสียที เนื่องจากโรงเรียนใกล้เปิดเทอมแล้ว อีกไม่กี่วันก็คงต้องกลับไปเรียนเหมือนอย่างเคย และคงเป็นปีสุดท้ายที่จะได้ใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียน เพราะปีนี้ผมกำลังจะขึ้นชั้นม.หก “ไปบ้านกูก่อนแล้วกัน” แค่เจอหน้ากันไอ้ปราณเพื่อนสนิทที่เอามอเตอร์ไซค์มาจอดรอรับก็เอ่ยบอก พลางเอาขาตั้งรถขึ้น ผมไม่ทันได้พูดอะไรมันก็เตรียมจะออกรถ สุดท้ายเลยต้องรีบคร่อมขาซ้อนท้ายมัน ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากถามเพื่อนว่าทำไมต้องไปบ้านมันก่อน เพราะถึงยังไงบ้านที่ว่าก็เป็นทางผ่านที่จะไปบ้านผมอยู่แล้ว สายลมพัดปะทะเข้าหาใบหน้าไม่ได้ช่วยให้คลายร้อนลงเท่า
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 49 หลายวันต่อมา หลังจากงานแต่งผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เราทุกคนก็กลับมาใช้ชีวิตกันอย่างปกติสุข ฉันยังคงไปเลี้ยงจ๋อมเหมือนทุกวัน พี่เหนือก็ออกไปดูแลร้านของเขาเหมือนทุกที พี่ปราณก็ยังคงช่วยดูแลกิจการของที่บ้าน ส่วนจ๋อมก็กำลังเตรียมสอบปลายภาคของระดับชั้นประถมศึกษา เพราะงานวันแต่งเราเชิญคนรู้จักมาเยอะมาก และแขกหลายคนก็เป็นอาจารย์ที่โรงเรียนเก่าของเราทั้งคู่รวมถึงรุ่นพี่รุ่นน้องชั้นปีอื่น ๆ ช่วงท้ายของงานทางอาจารย์เลยมีการขอแรงจากศิษย์เก่าเข้าไปช่วยจัดการเรื่องการย้ายโต๊ะนักเรียนแบบเก่าไปเก็บไว้ที่โกดังหลังโรงเรียนเพื่อที่จะรับโต๊ะเขียนแบบเลกเชอร์เข้ามาแทน แน่นอนว่าฉันกับพี่เหนือเองก็อาสาจะไปช่วย พวกเพื่อน ๆ ของเขา และเพื่อนสมัยเรียนของฉันก็พากันมาร่วมแรงร่วมใจกันในวันนี้ด้วยเหมือนกัน “ดีไหม?” “อะไร…” “ก็แกกับพี่เหนือไง ใกล้ได้ลูกรึยัง?” “บ้า…” “อย่ามาเขินหน่อยเลย เห็นว่าลุงหมานอยากมีหลานให้อุ้มไว ๆ” “ก็กำลังช่วยกันทำอยู่” “โอ๊ย! ไม่น่าถามเลยจริง
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 48 สองชั่วโมงต่อมา หลังจากที่เดินไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่โต๊ะนู้นโต๊ะนี้จนเสร็จ ทุกคนก็ทานอาหารกันจนอิ่มหนำ ตอนนี้ก็เข้าสู่ช่วงเปิด VTR ของคู่บ่าวสาวที่พี่ปราณเป็นคนเสนอตัวจัดเตรียมให้เอง ฉันกับพี่เหนือได้แต่ยืนกลั้นขำกันอยู่บนเวทีเมื่อแต่ละรูปที่คนเป็นพี่เลือกมามันช่างน่าขำ ตั้งแต่รูปของเราสมัยยังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ข้ามมาสมัยผมของฉันยังสั้นเท่าติ่งหู และตัดมาที่ภาพสมัยมัธยมปลายที่เริ่มจะดูดีขึ้นมาหน่อย ช่างต่างจากคนเป็นเจ้าบ่าวที่หน้าตาดีมาตั้งแต่เด็กแบบที่คงไม่เคยพบเจอยุคมืดของตัวเองมาก่อน วิดีโอเล่นผ่านไปเรื่อย ๆ จนเข้าสู่รูปพรีเวดดิ้งของเราทั้งคู่ ที่ออกจะหวานเกินไปเสียหน่อย ทุกรูปพี่เหนือจะมองกันด้วยสายตาแบบที่ทำเอาหัวใจละลาย บรรดาสาว ๆ ในงานพากันกรี๊ดกร๊าดวี้ดว้ายกันไม่หยุดกับสายตาประเภทนั้นแม้จะเป็นเพียงภาพถ่ายก็ตาม และตอนนี้เองที่พี่เหนือเลื่อนมือมากุมประสานเข้ากันกับมือของฉัน สายตาที่มองมาอย่างสื่อความหมายทำเอาใจเต้นแรง แม้ว่าเราจะอยู่ท่ามกลางคนหลายร้อยคนฉันก็ไม่อาจห้ามจังหวะหัวใจให้เต้นช้าลงได้เลย