หยางถิงถิงชิงตอบก่อนว่า “หนึ่งหมื่นล้านบาท ห้ามขาดแม้แต่นิดเดียว”อลิสโกรธจัด “เธอบ้าไปแล้วเหรอ เสื้อผ้าหนึ่งชิ้นราคาหนึ่งหมื่นล้าน ถึงจะทำมาจากทองคำล้วนและประดับด้วยเพชรร้อยเม็ด มันก็ไม่แพงขนาดนั้นหรอก”หยางถิงถิงแค่นเสียงเย็นพลางเหล่ตามองเธอ “ราคาถูกตั้งไว้แบบนี้มาตั้งแต่แรก ฉันไม่ได้ตั้งราคาสูงเกินจริงสักหน่อย ถ้าจ่ายไม่ไหวก็ถอดชุดออกซะ ยาจกเอ๊ย”เย่ซิวรู้สึกหงุดหงิดกับการยั่วยุซ้ำแล้วซ้ำเล่าของหยางถิงถิง และพร้อมที่จะสอนบทเรียนให้กับเธอ “แล้วถ้าผมมีเงินซื้อชุดนี้ล่ะจะว่ายังไง?”หยางถิงถิงกอดอก ทุกส่วนของร่างกายเธอแสดงถึงความดูถูกเหยียดหยามเย่ซิว “ดูจากสภาพนายแล้วทั้งตัวคงจะมีเงินไม่ถึงหนึ่งหมื่นบาทด้วยซ้ำ…คนธรรมดาอย่างนายจะมีเงินหนึ่งหมื่นล้านได้ยังไง”เดิมทีเธออยากจะพูดว่า ‘ไอ้ยาจก’ แต่เมื่อนึกถึงคุณปู่ที่ยังอยู่ข้าง ๆ เธอก็จำต้องเปลี่ยนคำพูดเย่ซิวยิ้มออกมา เดี๋ยวนี้ยังมีคนตัดสินว่าใครรวยหรือจนจากมูลค่าของเสื้อผ้าที่สวมใส่กันอยู่อีกหรือ “แล้วถ้าผมหาเงินมาได้ล่ะ?”“ถ้านายหาเงินหนึ่งหมื่นล้านมาได้ ฉันจะคำนับนายแล้วเรียกนายว่านายท่านสามครั้งไปเลยแต่บอกไว้ก่อนนะว่าเงินนั่นต้
หยางถิงถิงเดินไปที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์ทีละก้าว พลางหยิบแบล็กการ์ดขึ้นมาสีหน้าเคร่งขรึมแล้วรูดไปที่เครื่องคิดเงินพีโอเอสจำนวนเงินที่แสดงคือ สองพันหกร้อยล้านบาทจากนั้นก็รูดโกลด์การ์ด สามพันเก้าร้อยล้านบาทบัตรถูกรูดทีละใบทุกครั้งที่รูดบัตร หัวใจของหยางถิงถิงก็สั่นไหวไม่รู้ว่าหยางเฟิงปรากฏตัวอยู่ข้างหลังเธอตั้งแต่เมื่อไร และเขาก็เงียบไปเมื่อเห็นยอดเงินในบัตรแต่ละใบตัวเลขที่แสดงบนบัตรใบสุดท้ายคือหนึ่งหมื่นแปดพันล้านบาทมือของหยางถิงถิงสั่น ทำเอาบัตรใบนั้นเกือบจะหล่นลงบนโต๊ะมูลค่ารวมของบัตรเจ็ดแปดใบนี้ปาไปเกือบสี่หมื่นล้านบาทแล้วเงินจำนวนมหาศาลนี้เป็นเรื่องยากมากสำหรับครอบครัวของพวกเขาที่จะหามาได้ภายในระยะเวลาสั้น ๆ อีกทั้งพวกเขายังต้องขายทรัพย์สินจำนวนมากไปถึงจะพอเย่ซิวมองหยางถิงถิงที่มีสีหน้าไม่สู้ดี “ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องทำตามสัญญาของคุณแล้ว”หยางเฟิงไม่ได้เข้ามาห้ามถึงเวลาที่หลานสาวของเขาต้องได้รับบทเรียนแล้ว เธอจะได้เข็ดหลาบเสียทีหยางถิงถิงกำมือน้อย ๆ ทั้งสองข้างไว้แน่นด้วยนิสัยหยิ่งทระนงที่เธอเป็นมาตั้งแต่เด็ก การเรียกชายแปลกหน้าว่า ‘นายท่าน’ ต่อหน้าคนอื่น ๆ เป
สวิตช์อีกอันใช้ปรับเบาะเอนช้า ๆเธอปลดเข็มขัดนิรภัยออก พร้อมพูดทั้งใบหน้าเปื้อนน้ำตา “วันนี้ฉันจะทำให้นายหมดแรงไปเลย อย่าได้คิดที่จะทิ้งฉันไปเชียว”พูดจบเธอก็เข้าจู่โจมเย่ซิวอย่างรุนแรงคำพูดอาจหาญใคร ๆ ก็พูดได้ แต่เมื่อต้องลงสนามจริง ๆ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งไม่กี่ชั่วโมงต่อมา สิ่งเดียวที่อลิสทำได้คือขอความเมตตา และขอร้องให้เย่ซิวปล่อยเธอเย่ซิวดูเวลาและเห็นว่าใกล้ถึงเวลาเริ่มงานแล้ว เขาจึงยอมปล่อยอลิสไปดูจากสภาพของเธอ เธอคงขับรถไม่ไหว เย่ซิวจึงต้องขับเองเวลาหนึ่งทุ่มห้าสิบนาที เย่ซิวมาถึงสถานที่ที่สมาคมผู้มีพลังวิเศษจัดงานปาร์ตี้มีรถหรูและรถสปอร์ตจอดเรียงรายกันอยู่ที่หน้าประตูทางเข้านอกจากนี้ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแต่ละคนยังดูแข็งแรงและดุดันน่ากลัว จนคนทั่วไปไม่กล้ามองพวกเขาตรง ๆ ด้วยซ้ำเย่ซิวลงจากรถ ตามมาด้วยอลิสร่างกายอีกครึ่งของเธอเอนซบเย่ซิว เธอมองเขาอย่างตำหนิ “นายนี่น่ารำคาญจริง ๆ ไม่รู้จักสงสารคนอื่นบ้างเลย”เย่ซิวรู้สึกขบขันเป็นอย่างมาก “คุณเป็นฝ่ายเริ่มจู่โจมผมก่อนแท้ ๆ แต่ตอนนี้กลับมาโทษผมเนี่ยนะ”อลิสพูดไม่ออก เธอจึงหยิกแขนเขาอย่างแรงเย่ซิว “…”“อล
ขณะนั้นได้มีกลิ่นน้ำหอมแรง ๆ ลอยเข้ามากระทบหน้าจากนั้นก็มีเสียงอันนุ่มนวลดังขึ้นที่ข้างหู “พี่ชายท่านนี้ดูมีสไตล์จังเลยนะคะ”เดลจ้องมองเย่ซิว แววตาของเธอมีประกายแปลก ๆแม้เย่ซิวจะซ่อนแสงจ้าบางส่วนจากเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่อยู่ แต่มันก็ยากที่จะมองข้ามเมื่อเห็นในระยะใกล้อลิสยืนอยู่ตรงหน้าเย่ซิวและมองไปยังหญิงที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนคนนี้ “เธอเป็นใคร คิดจะทำอะไร?”เธอเหยียดนิ้วไปทางเย่ซิวแล้วกระดิกนิ้วเรียก “ฉันสนใจผู้ชายของเธอ คุณอยากพูดคุยกับฉันอย่างลึกซึ้งสักหน่อยไหมคะ”อลิสโกรธมาก ทำไมถึงได้มีผู้หญิงที่ทำตัวไร้ยางอายเช่นนี้ เธออดไม่ได้ที่จะตวาดไปว่า “รีบไสหัวไปซะ อย่ามาเกะกะที่นี่”เดลไม่ได้โมโหแม้แต่น้อย ทว่ากลับส่งสายตาเจ้าชู้ไปให้เย่ซิว ขณะเดียวกันเธอก็แอบใช้พลังจิตของตัวเองไปด้วยเธอยิ้มมุมปากเบา ๆ พลางคิดว่าข้อตกลงแลกเปลี่ยนนี้ทำสำเร็จง่ายเหลือเกินแค่ไปอ่อยผู้ชายเธอก็ได้เงินห้าร้อยล้านมาครองแล้ว เท่านี้ก็เพียงพอให้เธอซื้อเซรุ่มปรับแต่งยีนสำหรับการบำเพ็ญตนได้เป็นจำนวนมากแล้วพลังจิตเข้าสู่ตัวเย่ซิวได้อย่างราบรื่นขณะที่เธอเกือบจะจับตัวผู้ชายหน้าตาธรรมดาคนนี้ได้แล้ว
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ นี่พวกนายกำลังทำอะไรกัน!”เมื่อเสียงอันทรงอำนาจดังขึ้น ทุกคนก็หันไปโค้งคำนับบุคคลดังกล่าว“ยินดีที่ได้พบท่านประธานและท่านรองประธาน”“ทั้งสองท่านดูเด็กลงไปทุกวันเลย”“สวัสดีท่านประธานทั้งสอง”…… ประธานและรองประธานสมาคมผู้มีพลังวิเศษเป็นคนสูงอายุสองคน ชายหนึ่ง หญิงหนึ่งพอทั้งสองเดินเข้ามา เย่ซิวก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “คุณท่านคือประธานของที่นี่หรือครับ?”ชายชราผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหยางเฟิงหยางเฟิงยิ้มและกล่าวว่า “ผมเป็นแค่รองประธาน ประธานน่ะคือคนนี้ต่างหาก”ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างหยางเฟิงดูเหมือนว่าจะมีอายุประมาณหกสิบถึงเจ็ดสิบปีดูจากผมสีทองของเธอก็รู้ว่าเป็นคนประเทศจ้านอิงตี้โดยกำเนิดสมาคมผู้มีพลังวิเศษเป็นองค์กรที่สำคัญมากถึงขนาดนี้ แต่รองประธานกลับเป็นชาวต่างชาติ นี่แสดงให้เห็นว่าหยางเฟิงเป็นผู้มีอำนาจมากเพียงใดนอกจากนี้ เย่ซิวก็ใช้เวลาทั้งบ่ายกับอีกฝ่าย แต่เขากลับไม่ได้สังเกตเห็นถึงคลื่นพลังวิเศษอันแกร่งกล้าที่แผ่ออกมาจากตัวของอีกฝ่ายเลยเขาอาจจะมีพลังแข็งแกร่งกว่าเย่ซิวหรืออาจจะมีสมบัติพิเศษบางอย่างที่สามารถซ่อนลมปราณของเขาไว้ได้เย่ซิวคิดว่
หยางถิงถิงเข้าร่วมงานวันนี้ในชุดเดรสสวยหรูหรา ดูงดงามจนยากที่จะลืมผมสีม่วงเป็นประกายของเธอถูกม้วนเป็นลอนเล็ก ๆ และเมื่อรวมกับใบหน้ารูปไข่ที่เย็นชาของเธอ ทำให้เธอดูเหมือนเซรามิกรัศมีแห่งความสง่างามของเธอเปล่งออกมาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าผิวที่เผยออกมานอกชุดที่ใส่ผ่องใสเหมือนคริสตัลและมีความขาวกระจ่างอมชมพูอีกทั้งรูปร่างของเธอยังดีมากอีกด้วยเธอมีเอวคอดกิ่วและหน้าอกที่น่ามองข้อเสียอย่างเดียวคือขาสั้นไปนิด แต่การใส่รองเท้าส้นสูงก็พอจะปกปิดจุดนี้ได้รูปลักษณ์นี้ทำให้ผู้ชายหลายพากันจ้องตาเป็นมัน อดไม่ได้ที่จะมีความรู้สึกอยากทำให้หญิงสาวผู้นี้ยอมศิโรราบแก่พวกเขาหากให้พูดตรง ๆ หากหยางถิงถิงไม่อ้าปากพูด เธอก็คงจะยอดเยี่ยมมากเลยทีเดียวคืนนี้หยางถิงถิงพยายามยับยั้งพฤติกรรมคุณหนูผู้เอาแต่ใจของตัวเองเพราะเธอรู้ว่าคืนนี้สำคัญกับเธอมาก เธอจึงประพฤติตัวดีและขอบคุณทุกคนที่มาร่วมงานอย่างสุภาพหากเย่ซิวไม่ได้ใช้เวลาทั้งบ่ายกับผู้หญิงคนนี้ เขาก็คงโดนเธอหลอกเข้าได้เหมือนกันเมื่อหยางถิงถิงเดินมาอยู่ตรงหน้าเย่ซิว สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่เธอยังคงแสร้งทำเป็นไม่รู้จักเย่ซิว พลางพ
กลุ่มแรกที่ทำการถ่ายโอนพลังวิเศษสำเร็จแล้ว ต่างก็ทยอยถอยกลับไป แต่ละคนมีสภาพอ่อนล้าจนแทบยืนไม่อยู่หยางเฟิงกล่าวขอบคุณด้วยความจริงใจ จากนั้นก็มีคนนำบัตรธนาคารและเซรุ่มยีนไปมอบให้ถึงมือพวกเขาของตอบแทนที่ได้รับจะแตกต่างกันไปตามระดับพลังของแต่ละคนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าก้าวขึ้นไปรอบตัวของหยางถิงถิงก็เริ่มแผ่คลื่นพลังอันแข็งแกร่งออกมา บนหน้าผากของเธอปรากฏตราประทับรูปกลีบดอกไม้ที่มีทั้งหมดสี่กลีบในตอนนี้กลีบแรกเริ่มเปล่งประกายสีแดงเพลิง หยางเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคงว่า “นี่คือพลังวิเศษธาตุไฟ” เย่ซิวมองตราประทับบนหน้าผากของหยางถิงถิง พลางรู้สึกหวั่นไหวในใจ และมีคำหนึ่งแวบขึ้นมาในความคิดแต่เขายังไม่มั่นใจนักหลังจากที่ผู้ใช้พลังวิเศษกว่าห้าร้อยคนถ่ายโอนพลังให้เธอแล้ว กลีบที่สองบนหน้าผากของหยางถิงถิงก็สว่างขึ้น มันเป็นสีเขียว ซึ่งแสดงถึงการตื่นขึ้นของพลังวิเศษธาตุไม้ เมื่อผู้ใช้พลังวิเศษกว่าแปดร้อยคนถ่ายโอนพลังวิเศษให้ กลีบที่สามก็สว่างขึ้น มันเป็นสีเหลือง แสดงถึงการตื่นขึ้นของพลังวิเศษธาตุดิน หยางเฟิงเริ่มรู้สึกประหม่าอย่างมาก เพราะยิ่งถึงช่วงหลังความยากก็ยิ่งเพิ
“หรือว่ามันจะล้มเหลวไปทั้งเช่นนี้จริง ๆ? ฉันไม่มีทางยอมแน่!” หยางเฟิงกำหมัดแน่น เส้นเลือดบนหน้าผากของเขาปูดโปนเขาลงทุนไปหลายร้อยล้านในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเพียงเพื่อช่วยหยางถิงถิงปลดพันธนาการของห่วงโซ่พันธุกรรมที่กักขังเธอไว้และวันนี้ เขาก็ทุ่มเงินไปกว่าหนึ่งล้านล้านบาทเพื่อจ้างผู้มีพลังวิเศษเหล่านี้ ซึ่งได้กินเงินไปเกือบหนึ่งในสามของทรัพย์สินทั้งหมดที่เขามีหากล้มเหลว ไม่เพียงแต่จะสูญเสียเงินทอง หยางถิงถิงเองก็จะต้องตายเพราะผลกระทบของพลังย้อนกลับด้วยหยางเฟิงก้มหัวให้เหล่าผู้มีพลังวิเศษพร้อมเอ่ยเสียงหนักแน่น “ขอร้องทุกท่าน หากใครยังมีพลังเหลือได้โปรดช่วยฉันอีกครั้ง ฉันจะจดจำบุญคุณนี้ไว้ตลอดชีวิต” ด้วยสถานะของหยางเฟิง การแสดงท่าทีเช่นนี้ก็เท่ากับการลดเกียรติของตัวเองลงจนแทบไม่มีเหลือทำให้มีผู้มีพลังวิเศษอีกนับร้อยคนก้าวออกมาข้างหน้า แต่พวกเขาเหล่านั้นก็เพิ่งฟื้นฟูพลังวิเศษกลับมาได้เล็กน้อย การช่วยเหลือจึงไม่มีนัยสำคัญ หยางเฟิงกัดฟัน หยิบเซรุ่มยีนสีแดงสดหลอดหนึ่งออกมาแล้วดื่มลงไปในรวดเดียวพลังที่เหือดแห้งในร่างกายของเขา ได้ฟื้นฟูกลับสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ถ่าย
เจ้าสำนักจ้องมองห้าพี่น้องตรงหน้า พยายามทำให้ท่าทางของตัวเองดูเป็นมิตรมากที่สุด “ไม่ต้องกลัวไปนะ พวกเราไม่ได้มาร้าย เคยได้ยินชื่อสำนักอวิ้นหลิงกันบ้างไหม…”ทั้งห้าคนพยักหน้าเบา ๆผ่านไปครึ่งชั่วโมง เหล่าผู้อาวุโสที่ออกไปตรวจสอบหมู่บ้านก็กลับมาจากที่ตรวจสอบข้อมูลแล้ว ไม่พบอะไรผิดปกติ ห้าพี่น้องก็อยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้มาตลอดแต่พวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่า คนทั้งหมู่บ้านถูกฝังความทรงจำบางอย่างเพิ่มเติมเข้าไปและเรื่องนี้ แน่นอนว่าเป็นฝีมือของจอมมารโลหิตนั่นเอง ซึ่งเชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะส่วนระดับพลังของห้าร่างแยกในตอนนี้ ก็ถูกถ่ายโอนมาไว้ที่ร่างหลักของเย่ซิวชั่วคราวทั้งหมดดังนั้น พวกเขาจึงดูเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่มีใครจับพิรุธได้แม้แต่น้อยแนวคิดนี้ เย่ซิวเคยคิดไว้ตั้งแต่ตอนสอบเข้าเป็นศิษย์ใหม่แล้วสายเซียนกระบี่ในลัทธิ เป็นสายที่มีอิทธิพลและมีพลังมากการเผชิญหน้าตรง ๆ ไม่มีทางชนะแน่นอนเย่ซิวจึงวางแผนจะส่งร่างแยกไปแฝงตัวอยู่ฝั่งนั้นเพราะหากเจออัจฉริยะระดับนี้ แน่นอนว่าทางสำนักต้องทุ่มสุดตัวในการฝึกฝนแน่ซึ่งก็หมายความว่าเหล่าศิษย์รุ่นใหม่คนอื่น ๆ จะได้รับทรัพยากรน้อยลงอย่างมาก
เจ้าสำนักนำเหล่ายอดฝีมือมาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในหุบเขาหนึ่งในผู้อาวุโสเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าสำนัก พวกเรามาที่นี่ทำอะไรกันแน่? ตลอดทางที่มาคุณก็ไม่พูดอะไรสักคำ”เจ้าสำนักส่ายหน้า “ก่อนอื่น ไปปิดล้อมหมู่บ้านนี้ไว้ก่อน แล้วลองหาดูว่ามีเด็กชายที่มีหน้าตาเหมือนกันห้าคนไหม”แม้ทุกคนจะไม่เข้าใจนัก แต่ก็เริ่มลงมือทันทีเจ้าสำนักระงับพลังของตัวเองไว้ แล้วเดินเข้าไปในหมู่บ้านอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับปล่อยพลังจิตออกไปตรวจสอบทั่วพื้นที่ที่นี่เป็นเพียงหมู่บ้านธรรมดา ผู้คนภายในก็ล้วนแต่เป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่มีอะไรผิดปกติแต่เมื่อเขาเดินมาถึงกลางหมู่บ้าน กลับพบเด็กหนุ่มที่หน้าตาธรรมดาห้าคน แต่เปล่งพลังวิญญาณออกมาอย่างชัดเจน แต่ละคนกำลังช่วยกันแบกฟืนและตักน้ำอย่างขยันขันแข็งบรรยากาศอบอุ่นและมีความสุขอย่างน่าประหลาดหัวใจของเจ้าสำนักสั่นสะเทือนเบา ๆ ก่อนที่เขาจะไปเคาะประตูบ้านหลังหนึ่งไม่นานก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินมาเปิดประตู “สวัสดีครับ มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”เจ้าสำนักยิ้มอย่างเป็นมิตร “พอดีผ่านมาแถวนี้ รู้สึกคอแห้งนิดหน่อย เลยอยากขอน้ำดื่มสักแก้วน่ะ”เด็กหนุ่มเกาหัวแล้วยิ้มอย่างซื่อ
“แกจะส่งมาดี ๆ หรือจะให้ฉันลงมือเอามาเอง”เย่ซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผมไม่เข้าใจว่าคุณพูดเรื่องอะไร”“แกน่าจะรวยมากเลยสินะ บอกไว้เลยนะ ฉันนี่แหละที่เป็นคนขายปีศาจแมวให้แก”เย่ซิวจึงเข้าใจทันที “ก็แสดงว่านายแอบทำอะไรไว้ในตัวเสี่ยวโหรว เพื่อใช้ติดตามฉัน… ดูท่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่นายทำแบบนี้สินะ”ดูจากท่าทางก็รู้ว่าเป็นมืออาชีพใช้วิธีเอาเสี่ยวโหรวไปขายในตลาดมืด พอมีคนซื้อก็ค่อยตามไปแล้วหาจังหวะชิงตัวกลับมาจากนั้นก็เอาไปขายใหม่ วนลูปแบบนี้ไปเรื่อย ๆถือเป็นวิธีหาเงินที่รวดเร็วจริง ๆแต่น่าเสียดายที่คราวนี้ดันมาเจอของแข็งเข้าแล้ว“ใช่เลย แกน่ะเป็นคนที่อ่อนที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลยนะ อยู่แค่ระดับสร้างรากฐานปราณแท้ ๆ แต่กลับพกศิลาวิญญาณมามากขนาดนั้น อย่างนี้ต้องรวยมากแน่…”พูดยังไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็ลอบโจมตีทันทีทั้งที่มีพลังระดับวิญญาณก่อกำเนิด แต่ยังเล่นสกปรกด้วยการลอบจู่โจม เรียกได้ว่าทั้งเลวทั้งเจ้าเล่ห์สุด ๆเปรี้ยง!ทันใดนั้นก็มีสายฟ้าสีม่วงเส้นหนึ่งก็ผ่าลงมากลางหัวอย่างจังชายคนนั้นถูกฟาดจนร่างแหลกละเอียดกลายเป็นเศษธุลีแทบไม่เหลือชิ้นดีเสี่ยวโหรวที่ยืนข้าง ๆ ถึงกับหน้าซีด
“สินค้าชิ้นที่สองของงานประมูล เป็นจิตวิญญาณนักรบระดับถอดจิตขั้นต้นเนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้สภาพจิตวิญญาณจึงยังไม่คงที่เราต้องใช้วิชาเฉพาะตัวเพื่อรักษาสภาพเอาไว้ชั่วคราว ต้องพาไปที่ที่มีพลังหยินหนาแน่น หรือไม่ก็ต้องมีจิตวิญญาณนักรบที่แข็งแกร่งช่วยรักษาให้ ราคาเริ่มต้นที่หนึ่งแสนศิลาวิญญาณ”พูดจบ เธอก็หยิบลูกแก้วคริสตัลออกมา ภายในมีวิญญาณของปีศาจหมาป่าตนหนึ่งถูกผนึกไว้บนร่างมันมีรูโหว่อยู่หลายแห่งมีหลายคนให้ความสนใจ ต่างเริ่มเสนอราคากันเย่ซิวเองก็ถูกจิตวิญญาณนักรบตนนั้นดึงดูดสายตาเข้าแล้วเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าหลังจากให้กระบี่แม่ลูกกับเสี่ยวโหรวไป เธอก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยไม่นานราคาก็ถูกดันขึ้นไปถึงสองล้านกว่าศิลาวิญญาณถ้ามันไม่บาดเจ็บล่ะก็ ต่อให้มีหลายสิบล้านก็อาจจะยังซื้อไม่ได้ด้วยซ้ำจำนวนคนที่ร่วมประมูลค่อย ๆ ลดลงเย่ซิวจึงเสนอราคาไปที่สามล้านศิลาวิญญาณในครั้งเดียว และชนะการประมูลไปอย่างราบรื่นของก็ถูกส่งมาถึงมือเย่ซิวอย่างรวดเร็วเขานำมันเก็บเข้าไปในธงหมื่นวิญญาณแล้วให้จิตวิญญาณนักรบทั้งสามที่อยู่ภายในช่วยรักษาบาดแผลให้แน่นอนว่าจอมมารโลหิตดู
แน่นอนว่าการค้างคืนด้วยกันนั้นไม่ได้ทำให้เย่ซิวเสียสมาธิอะไรหากพูดถึงความเย้ายวน ก็ไม่มีใครจะสู้เสวี่ยเหมยได้อยู่แล้วในตลาดมืดแห่งนี้มีขายเสื้อคลุมแบบเดียวกับที่เย่ซิวสวมอยู่เขาซื้อมาเพิ่มอีกสองชุดเก็บไว้หนึ่งชุด อีกชุดให้เสี่ยวโหรวสวมไม่งั้นสายตาโลมเลียจากรอบข้างจะมากเกินไปหน่อยจากนั้นเขาก็พาเสี่ยวโหรวเดินเล่นในตลาดมืดต่อจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาซื้อของอะไรเดินวนไปหนึ่งรอบก็ไม่เจอของอะไรที่ดูมีค่าเป็นพิเศษแบบที่ในนิยายบางเรื่องชอบเขียนว่าพระเอกเดินผ่านตลาดแป๊บเดียวก็เจอสมบัติล้ำค่าอะไรแบบนั้น เรื่องแบบนั้นไม่มีเกิดขึ้นที่นี่หรอกสุดท้ายเขาก็มาถึงอาคารจัดประมูลของตลาดมืดถึงจะเรียกว่าอาคาร แต่จริง ๆ ก็แค่โรงเรือนที่มีขนาดใหญ่กว่าร้านทั่วไปนิดหน่อยเท่านั้นเองการเข้าไปข้างในต้องจ่ายค่าผ่านประตูคนละหนึ่งร้อยศิลาวิญญาณเย่ซิวจ่ายไปสองร้อยแล้วก็จับมือเสี่ยวโหรวเดินเข้าไปมือของเธอนุ่มมาก แถมยังเย็นนิด ๆ ชวนให้รู้สึกอยากจับไม่ปล่อยตอนเข้าไป ที่นั่งก็เหลือว่างอยู่ไม่มากแล้วคนอื่น ๆ แค่เหลือบมองเย่ซิวแล้วก็หันหน้ากลับไปทันทีเพราะที่นี่ ถ้าจ้องใครนานเกินไปจะถูก
“วันนี้บังเอิญมีงานประมูลจัดขึ้นพอดี หนึ่งในของประมูลสำคัญคือหุ่นเชิดโบราณตัวหนึ่งมีพลังระดับถอดจิต ถ้าคุณมีฝีมือก็ลองประมูลดูได้”เย่ซิวสะดุดใจขึ้นมาทันที พลังต่อสู้ของหุ่นเชิดระดับถอดจิตนั้นสูงมากถ้าได้มาจะช่วยยกระดับพลังโดยรวมของเขาได้มากทีเดียวเขาพยักหน้าแล้วก็ตรงเข้าสู่เขตตลาดมืดทันทีบรรยากาศภายในตลาดมืดดูไม่ต่างจากตลาดนัดทั่วไปผู้บำเพ็ญตนนั่งเรียงกันสองฝั่งข้างทาง หน้าแต่ละคนมีแผงเล็ก ๆ วางของขายหลากหลาย“แวะมาดูได้เลย ของดีราคาถูก รับประกันไม่มีโกง”“คัมภีร์ประจำตระกูลของแท้ ขอแลกกับหินธาตุไฟ”“หญิงแท้ ขอแลกแต่งงานกับร้อยศิลาวิญญาณ”……ของหลากหลายจนมองตามแทบไม่ทันเย่ซิวเดินผ่านแผงขายของทีละอันของบางอย่างเขาก็สนใจ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีประโยชน์กับเขามากนัก เลยไม่ได้ซื้ออะไรจู่ ๆ เขาก็หยุดที่แผงหนึ่งแผงนี้ไม่ได้มีของวางขายเหมือนแผงอื่น ๆ แต่มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่แทนเธอสวมเสื้อผ้าบางเบา ร่างเล็กบอบบางแต่รูปร่างกลับพอดีสัดส่วน หน้าตาจัดว่าระดับแปดเต็มสิบที่เด่นที่สุดคือดวงตาสีฟ้าราวกับไพลินแค่เห็นแวบเดียวก็ยากจะละสายตามีคนจำนวนไม่น้อยหยุดมองที่แผงนี้
เย่ซิวเก็บร่างแยกทั้งห้าไว้ในจุดตันเถียนจากนั้นเขาก็ขังตัวเองบำเพ็ญตนในถ้ำอยู่อีกหลายวันเมื่อออกมาอีกครั้ง เขาก็ทยอยส่งมอบโอสถให้กับแต่ละคนตามที่สั่งไว้ แลกกับวัตถุดิบล้ำค่าหลายชิ้นหลังจากนั้นเย่ซิวก็ตรงไปหาจางเสี่ยวอวี๋ “ฉันอยากไปตลาดมืด เธอพอมีช่องทางไหม”ตลาดมืดนี่ เย่ซิวเคยได้ยินมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ในสำนักอวิ้นหลิงแล้วเขาว่ากันว่าสถานที่ตั้งลึกลับสุด ๆนอกจากคนในสำนัก ก็ยังมีผู้บำเพ็ญจากสำนักอื่น ๆ แอบเข้ามาทำการค้าด้วยเบื้องหลังตลาดมืดเหมือนจะมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลังอยู่หลายรายการซื้อขายข้างในถือว่าปลอดภัยมากมีของดี ๆ หลายอย่างที่โลกภายนอกหาไม่ได้แน่นอนว่าถ้ามีสมบัติติดตัวมากเกินไปแล้วโดนรู้เข้าตอนออกจากตลาดมืดอาจถูกตามฆ่าปิดปากหรือโดนปล้นก็ได้“ฉันรู้สิ สถานที่แบบนั้นต้องใช้ชุดพิเศษในการเข้าไปด้วย”จางเสี่ยวอวี๋พูดจบก็ดึงชุดคลุมสีดำออกมาจากแหวนผนึกของ“ในนั้นทุกคนต้องใส่ชุดนี้ ห้ามเปิดเผยตัวตน และต้องจ่ายค่าผ่านประตูสิบศิลาวิญญาณด้วยนะ”เย่ซิวรับเสื้อคลุมมาถือไว้แล้วจางเสี่ยวอวี๋ก็อธิบายเส้นทางไปตลาดมืดให้ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากสำนัก เป็นเมืองเล็ก ๆ แ
“อะไรนะ? แค่วันเดียวนายก็กลั่นสำเร็จจริงเหรอ?”ทันทีที่เห็นเย่ซิว เจ้าสำนักก็รีบถามขึ้นด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวังเขาเองก็ไม่ได้เพิ่มพลังตัวเองมานานแล้วเหตุผลหลักก็เพราะไม่มีโอสถที่เหมาะสมพอให้ใช้โอสถระดับปฐมญาณนั้นหาได้ยากมากในตลาดต่อให้มีก็จะปรากฏแค่ในงานประมูลเท่านั้น และราคาก็มักจะพุ่งขึ้นสูงเทียมฟ้าเสมอแม้รั่วอวิ๋นจะสามารถกลั่นยาได้แต่เธอต้องลองห้าหกครั้งถึงจะสำเร็จสักครั้ง แถมแต่ละครั้งต้องใช้ต้นทุนมหาศาล“ผมไม่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวังครับ” เย่ซิวยื่นโอสถเก้าเม็ดที่ถูกเจือจางแล้วให้ ก่อนถอนหายใจหนึ่งที “ไม่คิดเลยว่าฝีมือกลั่นโอสถของผมจะแย่ขนาดนี้ ทั้งหมดออกมาเป็นแค่ระดับต่ำ”เจ้าสำนักมองโอสถระดับปฐมญาณในมือแล้วถึงกับตกใจ แม้เขาจะเป็นคนสุขุมมาก แต่ก็ยังเผยสีหน้าเหลือเชื่อออกมาแล้วก็หัวเราะลั่นด้วยความยินดี “ดี ดีมาก ๆ ฝีมือกลั่นโอสถของนายอาจจะแซงหน้าอาจารย์ของตัวเองไปแล้วก็ได้นะ”เย่ซิวยิ้มเก้อ ๆ “ไม่น่าเป็นไปได้หรอกครับ ผมยังพัฒนาอีกมาก เอ่อ…”จู่ ๆ สีหน้าเขาก็ซีดเผือด ร่างกายโงนเงนเหมือนจะล้มเจ้าสำนักหรี่ตา “นายเป็นอะไรไป?”“ไม่เป็นไรครับ แค่เสียพลังมากเก
เย่ซิวเอ่ยรายชื่อวัตถุดิบออกมาติดต่อกันเป็นสิบ ๆ อย่างหนึ่งในนั้นก็คือวัตถุดิบชิ้นสุดท้ายสำหรับการหลอมร่างแยกธาตุดินเขามีแผนการบางอย่างในใจ และจำเป็นต้องสร้างร่างแยกธาตุทั้งห้าสำเร็จเสียก่อนถึงจะลงมือได้ดวงตาของเจ้าสำนักเปล่งประกายวาบ “ฉันมีหินดินธาตุดั้งเดิมอยู่ก็จริง แต่ของสิ่งนี้ล้ำค่ามาก เว้นเสียแต่นายจะสามารถกลั่นโอสถระดับปฐมญาณออกมาได้”เย่ซิวพยักหน้า เขารู้จักโอสถประเภทนี้ดี มันสามารถเพิ่มพลังระดับปฐมญาณได้แต่กระบวนการกลั่นซับซ้อนมาก แถมวัตถุดิบยังหาได้ยากสุด ๆแค่ต้นทุนวัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นก็เกินสิบล้านศิลาวิญญาณแล้วผู้บำเพ็ญสายอิสระทั่วไปไม่มีทางสู้ราคาไหวแน่“แล้วเจ้าสำนักอยากได้กี่เม็ด ถึงจะยอมแลกล่ะครับ”“นายกลั่นได้จริงเหรอ?” เจ้าสำนักมองเย่ซิวด้วยสีหน้าตกตะลึง ดวงตาฉายแววไม่เชื่อโอสถชนิดนี้ไม่เหมือนกับโอสถวิญญาณหยก ระดับความยากสูงกว่ากันหลายเท่าเย่ซิวไม่ได้รีบตอบในทันที แต่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ผมขอลองก่อน ยังไม่กล้ารับประกันว่าจะสำเร็จเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เจ้าสำนักให้วัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นกับผมก่อนถ้ากลั่นไม่ได้ ผมยินดีจ่ายค่าต้นทุน