ทางด้านคณะนักศึกษาแนะแนว
“อีเมีย! มึงยิ้มกรุ้มกริ่มอะไร?” เสียงของเจ้าคุณเอ่ยถามหญิงสาวตัวเล็กที่ยืนยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่คนเดียวหลังจากหายไปไหนาก็ไม่รู้ โฉมงามจึงหันมามองเขาด้วยสีหน้าที่เบื่อหน่าย “เรื่องของกูค่ะ เลิกเรียกกูว่าเมียด้วยเดี๋ยวเด็กกูจะเข้าใจผิด!” “อ๋อ! นี่คงไปหาไอ้หนุ่มหน้าหล่อมาใช่มั้ยล่ะ..กูจะเรียกจะทำไมเรียกให้มันได้ยินด้วย!” “ซีซ่ามึงมาเอามันไปเก็บให้กูหน่อย รำคาญแม่ง!” โดนปล่อยทิ้งไว้กลางทางละยังไม่จำ ยังจะตามมาปั่นประสาทเธอถึงนี่อีกไม่รู้จะสรรหาคำพูดอะไรมาด่ามันให้มันเจ็บคงได้แต่ต้องเงียบ..แต่ก็เงียบไม่ได้มันรำคาญอยู่ดีอ่ะ “เออ!! มึงก็ปั่นมันตั้งแต่นั่งรถมาแล้วนะเจ้าคุณ” “กูไม่ได้ปั่นกูกับมันดะ..” “หุบปากนะ!! ถ้ามึงไม่หุบปากไม่ต้องมาพูดกับกูอีกเลย” โฉมงามเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ขึงขังจริงจัง หากเจ้าคุณพูดถึงเรื่องเมื่อวานแล้วซีซ่ารู้มีหวังต้องได้อกหักจากดลธีจริงๆ แน่ “กูกับมันเป็นผัวเมียกันมานานแล้วมึงก็รู้นี่ มันแอบไปชอบคนอื่นผัวอย่างกูก็ต้องหวงเป็นธรรมดา” “ยังจะพูดอีก!!!” “มีเมียฮาร์ดคอร์แบบบอีโฉมมึงอย่ามีเลย” ซีซ่าเอ่ยอย่างแซว เธอรู้ว่าสองคนนี้เคยคบกันและก็เลิกกันด้วยดีเป็นเพื่อนต่อกัน แต่ดูเหมือนว่าเจ้าคุณคงยังมีความรักต่อเพื่อนสาวของเธออยู่บ้างและมักจะชอบเรียกโฉมงามว่าเมียบอกคนอื่นว่าเป็นผัวเมียกันจนทั้งมหาลัยรับรู้กันเป็นอย่างดี “กูชอบอ่ะดิฮาร์ดคอร์แบบนี้” “มันจะเอามึงมั้ยล่ะ เก่าแล้วนะ” “ซีพูดแบนี้ดินมาต่อยหน้ากูเลยดีกว่ามา” ถึงจะเป็นของเก่า..มันไม่ใช่ของเก่าสิ! มันเก่าแค่ฐานะแต่ระดับความใหม่เขาก็ไม่ต่างจากเจ้าหนุ่มหน้าอ่อนนักหรอก..จะว่าไปก็ไม่ได้เห็นหน้าชัดๆ สักทีจะหล่อเท่าเขาหรือเปล่าก็ไม่รู้! “โฉมงาม เดี๋ยวหนูไปเรียกหัวหน้าห้องมอหกทับสองมาหาอาจารย์หน่อยสิ” “คะ ได้ค่ะรอสักครู่นะคะ” คนตัวเล็กหันไปตอบรับอาจาร์ก่อนจะเดินออกไปปล่อยซีซ่ากับเจ้าคุณไว้อย่างไม่อยากชวนสองคนนั้น คิกคิก..หัวหน้าห้องมอหกทับสองจะเป็นใครกันไปได้นอกจากว่าที่สามีในอนาคตของเธอ อ้ะๆ อย่าถามว่ารู้มาจากไหนใบรายชื่อที่ทางโรงเรียนเอามาให้ดูจำนวนนักเรียนชั้นมอหกทั้งหมดไงมีเขียนบอกไว้ว่าใครเป็นหัวหน้าห้อง “อ้าว ไปไหนแล้วล่ะ?” เมื่อเดินกลับมาที่โรงอาหารก็พบว่าดลธีไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ก็แหงล่ะ..คนบ้าไรมันจะนั่งทานข้าวนานขนาดนี้ หญิงสาวจึงมองไปรอบโรงอาหารเมื่อไม่เจอจึงเดินไปหาแถวบริเวณลานโต๊ะไม้หินอ่อนที่คิดว่าชายหนุ่มน่าจะอยู่แต่ก็เห็นเพียงแค่ค๊อกเทลที่นั่งอยู่กับผู้หญิงอีกสองคน “นี่เทล เพื่อนนายไปไหนล่ะ!?” “อืม อยู่บนห้องมั้งครับ..จะไปหามันเหรออยู่ตึกนั้นน่ะชั้นสองห้องที่สองขวามือ” “อืม ขอบใจ” ขาเรียวก็ก้าวตรงไปตามที่ค๊อกเทลชี้และบอก เมื่อขึ้นมาบนห้องเธอก็ชะโงกแต่หน้าเข้าไปในประตูห้องก็เห็นว่ามีแผ่นหลังของชายหนุ่มที่เธอตามหานั่งก้มทำอะไรอยู่คนเดียวไม่รู้ “ทำอะไรหน่ะ!!” “แค่กๆ พะ พี่ผมตกใจ!!” น้ำบัวลอยที่เขาเพิ่งตักซดนั้นแทบจะสำลักออกมาเมื่อโฉมงามเล่นเข้ามาอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง คนตัวเล็กที่เห็นถุงบัวลอยถูกแกะวางพิงเก้าอี้อีกตัวไว้ก็อมยิ้มออกมาให้กับชายหนุ่มที่คงจะนั่งทานมันจนเลอะปาก..จะวาไปแล้วก็ดูใสๆ ดีนะ โฉมงามคิดในใจก่อนจะหยิบทิชชู่ในกระเป๋าสะพายมาเช็ดปากให้ดลธี “พี่คิดว่านายจะไม่กินซะอีก” “ก็พี่ซื้อมาให้กินก็ต้องกินสิ..มาหาผมเหรอมีอะไรหรือเปล่า?” เขาจับถุงบัวลอยที่เหลือแต่น้ำมามัดถุงแล้วโยนทิ้งในถังขยะพร้อมกับเอ่ยถามโฉมงามที่ตอนนี้หยิบเก้าอี้มานั่งลงข้างเขาแล้ว “อาจารย์พี่ให้มาเรียกเรา จะแจกแบบสอบถามมั้ง” “อ้อ งั้นไปกันครับ” “เดี๋ยวสิอาจารย์แจกตอนเรียกรวมได้ นั่งคุยกันก่อนสิ” มือเรียวจับข้อมือของดลธีไว้แล้วมองชายหนุ่มด้วยรอยยิ้มชวนขนหัวลุก อืม..จะว่าไปเขาจีบผู้ชายกันยังไงน้า โดยเฉพาะกับหนุ่มหล่อแบบนี้ “คิดอะไรอยู่ครับ!?” “คิดว่าปกติเขาจีบผู้ชายกันยังไง” “พี่ครับ ผมมีแฟ..” “พี่รู้ พี่รู้จักแฟนนายด้วยนะ..” “พี่รู้จักแต่ก็ยังมาจีบผมอีกเหรอ?” ใช่! ทั้งที่เธอรู้แต่ก็ยังมาจีบเขาอีกเนี่ยนะบางทีเขาก็เริ่มไม่เข้าใจแล้วสิว่าเธอต้องการจีบเขาจริงหรือต้องการอะไรจากเขากันแน่ “ทำไม? ทีนายมีแฟนแล้วยังมาเอากับพี่เลย” แน่นอนว่าคำพูดของโฉมงามนั้นทำเอาใบหน้าหล่อนั้นแดงระเรื่องขึ้นมาทันที ยิ่งมือเล็กเอื้อมมาแตะที่หน้าขาของเขาแล้วลูบมันไปมาเบาๆ “พี่พูดแบบนี้เดี๋ยวก็มีคนมาได้ยินหรอก” “ช่างสิ ไม่ได้สิ..พี่จะไม่พูดก็ได้เดี๋ยวคนอื่นมาได้ยินจะว่านายพี่ยอมไม่ได้” “พี่..ชอบผมจริงหรือว่าแค่มาแกล้งผมเหรอ?” คำถามที่แสนจะใสซื่อของดลธีเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เบาบางทำให้โฉมงามถึงกับอมยิ้มออกมา เพราะใครก็คงไม่คิดว่าผู้หญิงที่สวยรวยเพียบพร้อมอย่างเธอจะมาชอบผู้ชายรุ่นน้องแบบนี้ด้วยเช่นกัน “จริงสิ พี่ไม่เคยล้อเล่น..ว่าแต่มีตังค์กินขนมยังพี่ให้” บอกแล้วไงว่าไม่รู้ว่าปกติผู้หญิงเขาจีบผู้ชายยังไง มือเรียวก็หยิบกระเป๋าเงินออกมาควักเอาแบงค์พันกับแบงค์ห้าร้อยยื่นให้ดลธีอย่างละใบ “อะไรครับ!?” “ให้ไว้กินขนมไง” “บ้าเหรอครับ ผมไม่เอาพี่เก็บไว้เถอะเงินตั้งพันห้านะ!” “พี่ให้จริงๆ เอาไว้กินขนมไง” “ไม่เอาอ่ะ พี่เก็บไปเลย!” ชายหนุ่มว่าพลางดันมือของโฉมงามที่จักเอาเงินนั่นยัดใส่กระเป๋ากางเกงของเขา แต่มีหรือคนอย่างโฉมงามจะยอมเธอก็เปลี่ยนจากกระเป๋ากางเกงมาเป็นกระเป๋าเสื้อแทน “พี่ให้ พี่จะจีบนายไง” “แต่ผมมีแฟนแล้วพี่เลิกจีบผมเถอะยังไงก็จีบไม่ติ..” คำพูดของดลธีหลุดหายไปในทันทีเมื่อริมฝีปากนุ่มอุ่นขยับมาชนปากเขาจุ๊บมันเบาๆ จนชายหนุ่มก็ได้แต่นั่งนิ่งไม่คิดว่าเธอจะมาทำอะไรให้เขาใจเต้นแรงในโรงเรียนแบบนี้ “พี่ชอบ..ผัวคนอื่นอ่ะ” “ทำไมพี่ถึง..” “หน้าด้านไง นายเองก็อย่าว่าไปสิ..ถ้าไม่มีใจให้พี่ทำไมไม่ปฏิเสธพี่บ้างล่ะ” โฉมงามว่าพลางหลี่ตามองชายหนุ่มที่ใบหน้านั้นเริ่มแดงระเรื่อขึ้นมาเรื่อยๆ มันอิ่มอกอิ่มใจแบบนี้นี่เองเวลาเห็นผู้ชายเขินเพราะตัวเองแบบนี้ “เพราะพี่ไม่เว้นว่างให้ผมปฏิเสธต่างหาก” “งั้นเหรอ นายปฏิเสธสิ..ปฏิเสธพี่สิ” มือเรียวก็ลูบไล้ไปที่เป้ากางเกงของเขาทำให้ดลธีต้องรีบจับมันออก “พี่โฉม!! เดี๋ยวคนมาเห็น” “พูดแบบนี้แสดงว่าถ้าพี่ทำในที่ลับกว่านี้นายก็จะไม่ปฏิเสธใช่มั้ยล่ะ” น้ำเสียงที่แผ่วเบากระซิบถามข้างใบหูของดลธี แน่นอนว่าเขาก็รีบผลักใบหน้าของโฉมงามออก หญิงสาวจึงแค่นหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วจึงหยัดกายลุกขึ้นยืนบิดตัวจนกระโปรงทรงเอสุดจะสั้นนั้นเลิ่กขึ้นทำให้ดลธีต้องรีบจับมันดึงลงพร้อมส่งสายตาดุให้เธอ “มันจะเห็นแล้วนะ!!” “ว้า! ปากบอกมีแฟนแต่ก็ยังมาเป็นห่วงคนอื่น..นายนี่มันเด็ดดีจริงๆ” “ผมไม่คุยกับพี่แล้ว!!” “เห็นมั้ยสุดท้ายนายก็ไม่ปฏิเสธพี่อยู่ดี” มิวายที่จะตะโกนตามหลังของดลธีที่ลุกพรวดพลาดเดินออกไป โฉมงามจึงมองหาเศษกระดาษกับปากกามาเขียนข้อความบางอย่างแล้วยัดมันใส่ลงไปในกระเป๋านักเรียนของดลธีก่อนจะรีบวิ่งตามชายหนุ่มออกไปส่วนโฉมงามหลังจากออกมาจากมหาลัยเธอก็ขับรถตรงกลับไปยังบ้านของเธอที่เดี๋ยวนี้มาบ่อยกว่าปกติแล้ว เมื่อรถจอดและถูกดับขาเรียวก้าวลงจากรถทันที“คุณกงสุลดูสิ เดี๋ยวนี้ลูกคุณเข้าบ้านบ่อยกว่าปกตินะคะ” เสียงของคุณกิ่งฉัตรดังขึ้นเมื่อเห็นบุตรสาวในชุดนักศึกษาเดินเข้ามาในตัวบ้าน แต่ที่ทำให้เธอถึงกับต้องเปลี่ยนสีหน้าจากยิ้มแย้มเป็นตกใจก็คงเพราะแววตาที่เศร้าหมองกับแดงก่ำของบุตรสาวนี่แหละ“เป็นอะไรอีกล่ะ?”“เสียใจอ่ะ”“เสียใจเรื่องอะไร มานั่งนี่ดิ”“เจ้าคุณมันจะไปอยู่ต่างประเทศแล้วอ่ะ” โฉมงามบอกพลางเดินไปนั่งแทรกระหว่างพ่อกับแม่ของเธอ“อ้าว! ทำไมอ่ะ..” คุณกิ่งฉัตรถามด้วยด้วยความตกใจ โฉมงามจึงเล่าเรื่องของเธอที่เกี่ยวกับเจ้าคุณและดลธีให้พ่อและแม่ฟังจนระเอียดยิบ ระเอียดไปถึงแม้กระทังเรื่องแบบนั้น..“นี่แก! โอ้ยยย!..ฉันไม่รู้ด่าหรือสงสารแกดี!!” เสียงคุณกิ่งฉัตรดังขึ้นหลังจากฟังเรื่องความรักของโฉมงามจบ ทั้งสงสารและก็อยากจะด่าแต่ก็ทำได้แค่เงียบแล้วดึงโฉมงามเข้ามากอดปลอบใจ“หนูรักมันหนูไม่อยากให้มันไป แต่หนู..ก็ทิ้งดลไม่ได้”“แล้วทำไมไม่อยู่ด้วยกันล่ะ สมัยนี้โลกก็เปิดกว้างนะพ่อไม่ว่าหรอกถ้าจะอยู่ด้วยกันแล้
“รักกูก็ควรจะอยู่กับกูไม่ใช่เหรอ?”“ชีวิตคู่..คู่คือแค่สอง กูไม่อยากคุยเรื่องนี้แล้วเดี๋ยวจะกลายเป็นทะเลาะกัน” เจ้าคุณพูดแล้วก็เบือนหน้าหนีโฉมงามที่มองเข้าด้วยแววตาที่แดงก่ำแต่สักพักก็ร้องไห้ออกมาอย่างฝืนมันไว้ไม่ได้ มือบางจึงเอื้อมมาจับมือเขาไว้แล้วยกมันขึ้นมาให้เช็ดน้ำตาของตัวเธอเบาๆ“กู ฮรึก!..ยินดีเลิกยุ่งกับดลนะถ้ามึงบอกว่ามึงจะอยู่กับกู”“ไม่! กูไม่ได้ต้องการให้มึงทำแบบนั้นกูไม่อยากให้มึงทำร้ายความรู้สึกของน้องเพราะกูเองก็รักน้อง”“คุณกูไม่เข้าใจมึงว่าทำไมต้องให้มันเป็นเรื่องวุ่นวายอะไรแบบนี้ แค่มึงยอมรับคำนินทาได้พวกเราก็ได้อยู่ด้วยกันสามคนอย่างมีความสุขแล้วนะ”“เพราะกูยอมรับมันไม่ได้ไง..”“มึงไม่รักกูเหรอ?”“รักสิเพราะรักมากไงถึงต้องยอมขนาดนี้”“ถ้ารักมากมึงไม่ควรยอมให้กูคบกับคนอื่นทั้งที่มึงก็รักกูสิ คุณ..” โฉมงามบอกด้วยเสียงที่สะอื้น ทำไมไม่รู้ว่าเธอไม่อยากให้เขาจากเธอไปอยู่ที่อื่น ทำไมไม่รู้เธอรู้สึกว่าตัวเองคงไม่มีความสุขหากไม่มีเขา..“กูก็ไม่รู้ว่ากูคิดอะไร กูรู้แค่ว่ากูคิดมาดีแล้วว่า..กูอยากให้มึงมีความสุขกับเจ้าดลมากกว่า”“แต่กูต้องการมึงนะ!”“แต่มึงก็ต้องการเจ้าดล”“แม
หลายวันต่อมาหลังจากวันนั้นที่ดลธีเข้าไปดูแลโฉมงามที่บ้าน คุณกิ่งฉัตรก็ไม่ได้พูดจาแรงใส่เขาอีก แต่ก็ใช่ว่าจะพูดดีนะ..ก็แบบฉบับคุณกิ่งฉัตรเขาแหละ ส่วนตอนนี้โฉมงามนั่งอยู่ในมหาลัยที่บริเวณโต๊ะม้าหินอ่อนกับเพื่อนร่วมห้องของเธออีกหลายคน“หน้าบึ้งตึงแบบนี้มีอะไรพูดกับพวกกูได้นะ ถึงจะไม่สนิทเหมือนกับซีแต่ก็ไม่ปากโทรโข่งหรอก” หญิงสาวคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าของโฉมงามดูเคร่งเครียดเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจอะไรสักอย่าง“ช่วงนี้เห็นเจ้าคุณบ้างมั้ย?” โฉมงามจึงเอ่ยถามหาชายหนุ่มที่เธอไม่ได้เจอมาหลายวันแล้ว ใช่! ตั้งแต่เธอไม่สบายวันนั้นเธอก็ไม่ได้เจอเจ้าคุณอีกเลยแถมทักไปโทรไปเจ้าตัวก็ไม่ตอบ นี่ขนาดไม่ได้รักเท่าเจ้าดลนะยังรู้สึกหวิวๆ รู้สึกคิดถึงยังไงไม่รู้..“ไม่ยักจะรู้ว่าเมียกูจะคิดถึงกูขนาดนี้นะเนี่ย!” และยังไม่ทันที่เพื่อนร่วมห้องของโฉมงามจะเอ่ยอะไรร่างสูงในชุดนักศึกษาก็เดินมานั่งข้างโฉมงาม จุ๊บ! แถมยังจุ๊บเข้าที่แก้มเนียนขาวของคนตัวเล็กอีกด้วย“วู้วว! มาถึงก็หวานเลยนะ..ว่าแต่คบกันตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอไม่เห็นรู้ข่าวเลย”“คบกันนานแล้ว ขอยืมตัวหน่อยนะ” เจ้าคุณตอบแล้วก็ดึงมือของโฉมงามให้ลุกกออกมา
บ้านคุณโฉมใช้เวลาไปชั่วโมงกว่าดลธีมาถึงบ้านโฉมงามและรีบถามแม่บ้านเพื่อหาห้องของโฉมงามจนได้ขึ้นมาหาหญิงสาวที่ตอนี้ยังคงนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงนอน ที่มาช้าเพราะไม่รู้จักไง..รู้แค่ว่าอยู่แถวไหนแต่ไม่รู้ว่าหลังไหนจึงถามคนแถวนั้นไปเรื่อยๆ กว่าจะมาถึงก็เลยใช้เวลานานไปหน่อยชายหนุ่มก็นั่งมองหญิงสาวตัวเล็กที่ยังคงมีใบหน้าที่แดงกับเหงื่อที่ยังคงผุดขึ้นมาอยู่นั้นด้วยความสงสาร มือหนาเอื้อมหยิบผ้าเช็ดตัวผืนเล็กที่แม่บ้านเพิ่งยกมาให้นั้นขึ้นมาเช็ดหน้าให้คนตัวเล็กอย่างเบามือเพราะกลัวเจ้าตัวจะตื่น“อืมมม..”แต่เมื่อผ้าที่ชุบน้ำจนเย็นนั้นมาโดนแก้ม ร่างเล็กก็ลืมตาตื่นทันที“พี่ครับ ปวดหัวมั้ย..ตัวร้อนมากเลย” ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วงเมื่อคนตัวเล็กลืมตาขึ้นมาแล้ว เธอจึงส่ายหน้าให้เบาๆ แล้วก็พยายามจะหยัดกายลุกขึ้นนั่งแต่ดลธีกลับผลักให้นอนลงตามเดิม“อย่าเพิ่งลุกสิตัวยังร้อนอยู่เลยนะ”“คิดถึง..อยากกอดแต่กลัวนายติดไข้”“กอดได้ครับ” ดลธีว่าพลางโน้มตัวไปกอดเธอที่ยังคงนอนอยู่โฉมงามจึงกอดตอบไม่ถึงห้านาทีก็ผล่ะออกเพราะกลัวเจ้าดลน้อยจะมาติดไข้พลอยให้ไม่สบายไปด้วย“มาได้ไง?”“ก็แม่พี่ไปบอกผมไง”“หื
กลับมาที่มหาลัยหลังจากเรียนคาบแรกเสร็จก็มีเวลาพักอีกหนึ่งชั่วโมงพื่อรอเข้าเรียนในคาบสุดท้าย ดลธีก็แยกมานั่งพักบนโต๊ะมาหินอ่านใต้ต้นไม้หน้าตึกเรียนในรายวิชาต่อไป“ดล…”“พี่หว้า? ..” ชายหนุ่มเอ่ยเรียกหญิงสาวตรงหน้าด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา ขาเรียวก็ก้าวมานั่งลงตรงหน้าของดลธีทันทีที่เห็นว่าชายหนุ่มตรงหน้าเรียกชื่อตนเอง“ไม่ได้เจอกันนานพี่คิดว่าจะลืมชื่อพี่ไปแล้วซะอีก”“ผมไม่ลืมหรอกครับ..”“ทำไมพี่ถึงรู้สึกดีใจกับประโยคนี้ของนายนะ” ลูกหว้าพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูดีใจกับปีะโยคของ ดลธีปรายตามองเธออยู่ครู่เดียวก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่น“พี่มีอะไรกับผมหรือเปล่า?”“นายยังไม่ลืมพี่จริงๆ เหรอ?”“ใช่ครับ”“แล้วเรา..”“ผมสมองไม่ได้เสื่อมที่จะจำไม่ได้ว่าคนตรงหน้าผมคือลูกหว้า ไม่ใช่แค่พี่ที่ผมจำได้เพื่อนพี่หรือคนอื่นๆ ที่ผมรู้จักผมก็จำได้” น้ำเสียงที่เรียบนิ่งเอ่ยบอกอย่างหน้าตาย สายตาคมกริบยังคองจ้องมองลูกหว้าอย่างสายตาจนเธอต้องเป็นฝ่ายหลบ เพราะมันไม่ใช่สายตาที่รักใคร่เหมือนเมื่อก่อนแต่มันเป็นสายตาที่ดูดุดันน่ากลัว“อ้อ นะ..นั่นสินะ”“แมทธิว ผู้ชายคนนั้นสินะที่เป็นพ่อของเด็กในท้อง..แต่จะว่าไปถ้าผมเป็นเขาผมก
หลายอาทิตย์ต่อมาวันแห่งการเริ่นต้นเรียนในรั้วมหาลัยอาทิตย์ที่สองนั้นช่างสดใสสำหรับหนุ่มมหาลัยปีหนึ่งอย่างเจ้าดลซะจริงๆ หลังจากแต่งตัวเสร็จชายหนุ่มก็วิ่งลงมาจากบนห้องนอนตรงไปยังในครัวที่มียายกระเช้ากำลังวุ่นอยู่กับการทำข้าวกล่องให้เขา“เอ็งนี่นะ! แม่เอ็งก็บอกแล้วว่าเดี๋ยวให้ค่าข้าวเอ็งจะห่อไปทำไมไม่อายเขาหรือไง?” เสียงยายกระเช้าบ่นขณะที่กำลังปิดฝากล่องข้าวหลังจากห่อเสร็จให้หลานชาย ที่บ่นไม่ใช่ว่าขี้เกียจทำแต่เธอกลัวว่าหลานชายจะอายเขาที่อยู่ถึงมหาลัยแล้วแต่ยังห่อข้าวไปกินนี่สิ“ถ้าผมอายผมจะให้ยายห่อให้เหรอครับ”“ยอกย้อนอีก เอ้าเสร็จแล้ว..แล้วก็มานั่งกินข้าวซะ”“ยายนี่เกรี้ยวกราดจริงๆ”“เอ็งแล้วก็หัดทำตัวให้มันดูโตให้มันดูเอาตัวรอดให้ยายได้เห็นบ้าง ยายจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง” ยังมิวายที่จะบ่นหลานชายที่เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้แล้ว ดลธีก็ได้แต่ส่ายหน้าให้ความขี้บ่นของยายกระเช้า แล้วก็จัดการกับอาหารตรงหน้าไปเรื่อยๆ เพราะยังเหลือเวลาเข้าเรียนอีกเยอะ“ยายครับรู้แล้วใช่มั้ยที่ผมคบกับพี่โฉม”“รู้สิก็เอ็งบอกยาย”“อ่อครับ เธอน่ารักนะผมชอบเธอจริงๆ”“เฮ้อ!อ เรื่องความรักยายก็ไม่อยากจะไปยุ่งแต่เอ็งรักใคร