หนึ่งสัปดาห์ต่อมา
หลังจากไปเต๊าะเด็กที่หน้าโรงเรียนมัธยมวันนี้โฉมงามเธอก็ไม่ได้ไปที่นั่นอีกจนนี่จะเข้าอาทิตย์ที่สองแล้ว เพราะอะไรน่ะเหรอก็พราะยัยเพื่อนซีซ่าสุดแสบมันไม่สบายพ่อเลี้ยงกับแม่มันก็ไม่อยู่กะทันหันหน้าที่ดูแลคนป่วยมันเลยต้องเป็นหน้าที่ของเธอไง “ซีซ่ากูถามจริงมึงป่วยเรื้อรังปะ” โฉมงามเอ่ยถามเพื่อนสาวที่นอนอยู่บนที่นอนในห้องนอนของบ้านตัวเอง คือคนทั่วไปเขาป่วยแบบไม่สบายปวดหัวตัวร้อนกินยาเช็ดตัวหรือหนักสุดไปหามหอก็หาย แต่อันนี้ไปหาหมอ กินยาเช็ดตัวแล้วก็ไม่หาย ไม่หายนี่ไม่ใช่ว่าไข้ไม่ลด ตัวไม่หายร้อนนะ ทุกอย่างคือหายแล้วแต่อีเจ้าตัวนี่ไม่ยอมหายเองไงงงมากแม่ แล้วประเด็นคือยัยเพื่อนแกล้งป่วยแล้วตัวเธอก็คือเชื่อและมาเฝ้าจ้า..เออเอาจริงก็ไม่ผิดที่ซีซ่าคนเดียวหรอก “เดี่ยวก็หายอีกนิดเดียว” “มีงี้ด้วยเหรอวะ..อ้าว! น้องค็อกเทลของมึงเปิดร้านนี่วันนี้อ่ะ” “ถามจริง! เอามาดู!!” แล้วซีซ่าก็ดึงโทรศัพท์จากมือของโฉมงามไปดูโพสต์ของค็อกเทลหนุ่มน้อยวัยมัธยมปลายปีสุดท้ายที่ครองหัวใจตัวเองไว้ได้โพสต์เปิดร้านในวันนี้ที่เป็นวันอาทิตย์ “ไข้หายเลยสิ!?” “เออ กูไปอาบน้ำแปป” “อาบน้ำไปไหน?” “เอ้า!! ไปอุดหนุนเครปผัวสิ” “โห! แล้วทีกูชวนไปหาเด็กกูแหล่ะบอกไม่สบายไปไม่ไหว” น้ำเสียงที่น้อยอกน้อยใจของโฉมงามเอ่ยบอกพลางดึงโทรศัพท์ของตัวเองกลับคืนมา อาทิตย์กว่าแล้วนะที่เธอไม่ได้เจอว่าที่สามีของเธอไม่รู้ป่านนี้โดนชะนีหน้าไหนมาคว้าไปหรือเปล่า “เออ ก็เดี๋ยวไปพร้อมกันนี่ไง” “เชอะ ไปเถอะรีบไปทำอะไรก็ไปทำเดี๋ยวกูนั่งเล่นข้างล่างรอ” พูดจบโฉมงามจึงเดินลงไปชั้นล่างของบ้านก็เห็นว่ามารดาของซีซ่ากำลังเดินเข้ามาในบ้านพอดดี “อ้าว สวัสดีคุณป้าค่ะ..เพิ่งกลับมาเหรอคะ?” “ใช่จ้ะ แดดร้อนมากเลย..แล้วนี่ซีซ่ามันหายยัง ป้าบอกแล้วว่าโฉมไม่ต้องมาดูแลมันหรอกมันหาเรื่องไม่อยากไปเรียนมากกว่า” สิรินเอ่ยบอกอย่างรู้ถึงนิสัยป่วยการเมืองของบุตรสาวทั้งที่จริงกินยาแค่คืนเดียวนั้นเจ้าซีซ่าก็หายแล้วแต่มักจะบอกว่าอาการยังไม่ดีขึ้นเพื่อเอาเป็นข้ออ้างไม่ไปเรียนซะมากกว่า.. “หายแล้วค่ะ นี่ว่าจะไปหาอะไรกินกัน” “อ่อ นี่คงไม่ใช่ว่าที่มาดูแลมันนี่เพราะเราเองก็ไม่อยากไปเรียนด้วยเหมือนกันใช่มั้ย?” “แฮะๆ คุณป้านี่รู้ทันจังนะคะ” “เดี๋ยวคุณกิ่งฉัตรรู้ก็เป็นเรื่องเป็นราวอีกหรอก” “แม่เขาก็แค่บ่นไปแบบนั้นแหละค่ะ” ก็แค่บ่นไปแค่นั้น..ไม่ มันไม่ใช่แค่นั้นต่างหากก็แค่พูดให้มารดาตัวเองไม่ดูใจร้ายไปก็เท่านั้น คุณกิ่งฉัตรนี่นะหวังว่าจะให้เธอเรียนได้เกียรตินิยมสูงๆ มีสามีรวยฐานะเทียบเท่ากันกับตัวเธอ แต่ไม่ดูสภาพลูกตัวเองเลยไม่ได้เรื่องอะไรสักอย่าง ฮ่าๆ โฉมงามนักศึกษาสาวปีสี่คณะบริหารธุรกิจสาขาการจัดการที่เรียนไม่เคยรู้เรื่องอะไร ไม่มีดีอะไรหากเทียบกับสิ่งที่ครอบครัวหวังอยากให้มี นอกจากจะมีหน้าตาสวยๆ ก็ความรวยนี่แหละที่ใครต่างก็อิจฉา เฮ้ออ..เกิดมาเป็นอีโฉมนี่ก็ดีเหมือนกันนะ! “เมื่อวันก่อนก็มาบ่นกับป้าว่าจะหาแฟนให้อยู่นะ” “โอ๊ย เขาพูดกับหนูจนหนูนี่ขี้เกียจฟังแล้วค่ะ..อะไรไม่รู้จะหาผัวให้ลูก” “คงหวังดีแหละมั้ง ว่าแต่แล้วเรามีแฟนยังล่ะ?” “ถามแบบนี้นี่แม่หนูมาหลอกถามชัวร์..ไงหนูก็ฝากคุณป้าไปบอกเขาด้วยนะคะว่ามีแล้วอายุน้อยกว่าด้วย กำลังจะได้กันเร็วๆ นี้” เดี๋ยวก็หาผู้ชายคนนู้นทีคนนี้ทีมาให้ดูตัวกับลุกสาวตัวเอง แม่บ้านไหนไม่ทำแต่แม่บ้านเธอทำนะจ๊ะบอกเลย ถ้านับแฟนกับนับการดูตัวเธอดูตัวกับผู้ชายเยอะการการมีแฟนอ่ะ “ฮ่าๆ หนูก็พูดซะ..” “ถ้าเลือกได้หนูล่ะอยากเกิดเป็นลูกคุณป้า ไม่บังคับแถมยังสนับสนุนซัพพอร์ตเต็มที่” อาจจะเป็นเพราะสิรินเป็นเด็กกำพร้า แถมพอมีสามีได้ให้กำเนิดซีซ่าไม่ถึงปีสามีก็ด่วนจากไปทำให้เธอต้องเลี้ยงลูกคนเดียวเธอเลยคงไม่อยากกดดันหรือบังคับลูกเพราะคงกลัวลูกจะเครียดหรือกดดันตัวเองเหมือนเธอในวัยเด็ก “ไปแรดกันค่ะเพื่อน อ้าว..คุณแม่สวัสดีค่ะกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมไม่โทรมาบอกน้องก่อนน้องจะได้ไปรับ?” เสียงของซีซ่าดังมาจากชั้นบนพร้อมกับร่างเพรียวในชุดเดรสสายเดี่ยวสีขาวสวมทับด้วยเสื้อแขนยาวสีชมพูอ่อนวิ่งลงมากอดผู้เป็นแม่ “ก็เด็กแถวนี้ไม่สบายนี่นา แล้วนี่จะไปอ่อยเด็กขายเครปอีกใช่มั้ย?” “ใช่ค่ะ อย่าเรียกว่าเด็กขายเครป..ต้องเรียกว่าลูกเขยค่ะ ฮ่าๆ” “ฮ่าๆ เอาล่ะจะไปก็ไปกัน ขับรถดีๆ ล่ะ” “โอเคค่ะ เดี๋ยวกลับมาทานข้าด้วยนะคะ” แล้วซีซ่าก็เดินไปกอดคอของโฉมงามพากันไปขึ้นรถโดยที่ตัวเธอเป็นคนขับก่อนจะขับออกไปยังจุดหมายนั่นก็คือหน้าโรงเรียนมัธยม “กูแอดเฟสน้องไปน้องมันรับกูด้วย” “กูเป็นเพื่อนตั้งนานแล้วย่ะ” ซีซ่าพูดพร้อมกับยกยิ้มขึ้นมาอย่างเหนือกว่าโฉมงามที่ก็ได้แต่อ้าปากหวอ..ไม่นะ!! สุดหล่อนั่นจะต้องไม่เสร็จเพื่อนเธอนะ บอกแล้วนะว่าเธอจะเอาคนนี้นะส่วนโฉมงามหลังจากออกมาจากมหาลัยเธอก็ขับรถตรงกลับไปยังบ้านของเธอที่เดี๋ยวนี้มาบ่อยกว่าปกติแล้ว เมื่อรถจอดและถูกดับขาเรียวก้าวลงจากรถทันที“คุณกงสุลดูสิ เดี๋ยวนี้ลูกคุณเข้าบ้านบ่อยกว่าปกตินะคะ” เสียงของคุณกิ่งฉัตรดังขึ้นเมื่อเห็นบุตรสาวในชุดนักศึกษาเดินเข้ามาในตัวบ้าน แต่ที่ทำให้เธอถึงกับต้องเปลี่ยนสีหน้าจากยิ้มแย้มเป็นตกใจก็คงเพราะแววตาที่เศร้าหมองกับแดงก่ำของบุตรสาวนี่แหละ“เป็นอะไรอีกล่ะ?”“เสียใจอ่ะ”“เสียใจเรื่องอะไร มานั่งนี่ดิ”“เจ้าคุณมันจะไปอยู่ต่างประเทศแล้วอ่ะ” โฉมงามบอกพลางเดินไปนั่งแทรกระหว่างพ่อกับแม่ของเธอ“อ้าว! ทำไมอ่ะ..” คุณกิ่งฉัตรถามด้วยด้วยความตกใจ โฉมงามจึงเล่าเรื่องของเธอที่เกี่ยวกับเจ้าคุณและดลธีให้พ่อและแม่ฟังจนระเอียดยิบ ระเอียดไปถึงแม้กระทังเรื่องแบบนั้น..“นี่แก! โอ้ยยย!..ฉันไม่รู้ด่าหรือสงสารแกดี!!” เสียงคุณกิ่งฉัตรดังขึ้นหลังจากฟังเรื่องความรักของโฉมงามจบ ทั้งสงสารและก็อยากจะด่าแต่ก็ทำได้แค่เงียบแล้วดึงโฉมงามเข้ามากอดปลอบใจ“หนูรักมันหนูไม่อยากให้มันไป แต่หนู..ก็ทิ้งดลไม่ได้”“แล้วทำไมไม่อยู่ด้วยกันล่ะ สมัยนี้โลกก็เปิดกว้างนะพ่อไม่ว่าหรอกถ้าจะอยู่ด้วยกันแล้
“รักกูก็ควรจะอยู่กับกูไม่ใช่เหรอ?”“ชีวิตคู่..คู่คือแค่สอง กูไม่อยากคุยเรื่องนี้แล้วเดี๋ยวจะกลายเป็นทะเลาะกัน” เจ้าคุณพูดแล้วก็เบือนหน้าหนีโฉมงามที่มองเข้าด้วยแววตาที่แดงก่ำแต่สักพักก็ร้องไห้ออกมาอย่างฝืนมันไว้ไม่ได้ มือบางจึงเอื้อมมาจับมือเขาไว้แล้วยกมันขึ้นมาให้เช็ดน้ำตาของตัวเธอเบาๆ“กู ฮรึก!..ยินดีเลิกยุ่งกับดลนะถ้ามึงบอกว่ามึงจะอยู่กับกู”“ไม่! กูไม่ได้ต้องการให้มึงทำแบบนั้นกูไม่อยากให้มึงทำร้ายความรู้สึกของน้องเพราะกูเองก็รักน้อง”“คุณกูไม่เข้าใจมึงว่าทำไมต้องให้มันเป็นเรื่องวุ่นวายอะไรแบบนี้ แค่มึงยอมรับคำนินทาได้พวกเราก็ได้อยู่ด้วยกันสามคนอย่างมีความสุขแล้วนะ”“เพราะกูยอมรับมันไม่ได้ไง..”“มึงไม่รักกูเหรอ?”“รักสิเพราะรักมากไงถึงต้องยอมขนาดนี้”“ถ้ารักมากมึงไม่ควรยอมให้กูคบกับคนอื่นทั้งที่มึงก็รักกูสิ คุณ..” โฉมงามบอกด้วยเสียงที่สะอื้น ทำไมไม่รู้ว่าเธอไม่อยากให้เขาจากเธอไปอยู่ที่อื่น ทำไมไม่รู้เธอรู้สึกว่าตัวเองคงไม่มีความสุขหากไม่มีเขา..“กูก็ไม่รู้ว่ากูคิดอะไร กูรู้แค่ว่ากูคิดมาดีแล้วว่า..กูอยากให้มึงมีความสุขกับเจ้าดลมากกว่า”“แต่กูต้องการมึงนะ!”“แต่มึงก็ต้องการเจ้าดล”“แม
หลายวันต่อมาหลังจากวันนั้นที่ดลธีเข้าไปดูแลโฉมงามที่บ้าน คุณกิ่งฉัตรก็ไม่ได้พูดจาแรงใส่เขาอีก แต่ก็ใช่ว่าจะพูดดีนะ..ก็แบบฉบับคุณกิ่งฉัตรเขาแหละ ส่วนตอนนี้โฉมงามนั่งอยู่ในมหาลัยที่บริเวณโต๊ะม้าหินอ่อนกับเพื่อนร่วมห้องของเธออีกหลายคน“หน้าบึ้งตึงแบบนี้มีอะไรพูดกับพวกกูได้นะ ถึงจะไม่สนิทเหมือนกับซีแต่ก็ไม่ปากโทรโข่งหรอก” หญิงสาวคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าของโฉมงามดูเคร่งเครียดเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจอะไรสักอย่าง“ช่วงนี้เห็นเจ้าคุณบ้างมั้ย?” โฉมงามจึงเอ่ยถามหาชายหนุ่มที่เธอไม่ได้เจอมาหลายวันแล้ว ใช่! ตั้งแต่เธอไม่สบายวันนั้นเธอก็ไม่ได้เจอเจ้าคุณอีกเลยแถมทักไปโทรไปเจ้าตัวก็ไม่ตอบ นี่ขนาดไม่ได้รักเท่าเจ้าดลนะยังรู้สึกหวิวๆ รู้สึกคิดถึงยังไงไม่รู้..“ไม่ยักจะรู้ว่าเมียกูจะคิดถึงกูขนาดนี้นะเนี่ย!” และยังไม่ทันที่เพื่อนร่วมห้องของโฉมงามจะเอ่ยอะไรร่างสูงในชุดนักศึกษาก็เดินมานั่งข้างโฉมงาม จุ๊บ! แถมยังจุ๊บเข้าที่แก้มเนียนขาวของคนตัวเล็กอีกด้วย“วู้วว! มาถึงก็หวานเลยนะ..ว่าแต่คบกันตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอไม่เห็นรู้ข่าวเลย”“คบกันนานแล้ว ขอยืมตัวหน่อยนะ” เจ้าคุณตอบแล้วก็ดึงมือของโฉมงามให้ลุกกออกมา
บ้านคุณโฉมใช้เวลาไปชั่วโมงกว่าดลธีมาถึงบ้านโฉมงามและรีบถามแม่บ้านเพื่อหาห้องของโฉมงามจนได้ขึ้นมาหาหญิงสาวที่ตอนี้ยังคงนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงนอน ที่มาช้าเพราะไม่รู้จักไง..รู้แค่ว่าอยู่แถวไหนแต่ไม่รู้ว่าหลังไหนจึงถามคนแถวนั้นไปเรื่อยๆ กว่าจะมาถึงก็เลยใช้เวลานานไปหน่อยชายหนุ่มก็นั่งมองหญิงสาวตัวเล็กที่ยังคงมีใบหน้าที่แดงกับเหงื่อที่ยังคงผุดขึ้นมาอยู่นั้นด้วยความสงสาร มือหนาเอื้อมหยิบผ้าเช็ดตัวผืนเล็กที่แม่บ้านเพิ่งยกมาให้นั้นขึ้นมาเช็ดหน้าให้คนตัวเล็กอย่างเบามือเพราะกลัวเจ้าตัวจะตื่น“อืมมม..”แต่เมื่อผ้าที่ชุบน้ำจนเย็นนั้นมาโดนแก้ม ร่างเล็กก็ลืมตาตื่นทันที“พี่ครับ ปวดหัวมั้ย..ตัวร้อนมากเลย” ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วงเมื่อคนตัวเล็กลืมตาขึ้นมาแล้ว เธอจึงส่ายหน้าให้เบาๆ แล้วก็พยายามจะหยัดกายลุกขึ้นนั่งแต่ดลธีกลับผลักให้นอนลงตามเดิม“อย่าเพิ่งลุกสิตัวยังร้อนอยู่เลยนะ”“คิดถึง..อยากกอดแต่กลัวนายติดไข้”“กอดได้ครับ” ดลธีว่าพลางโน้มตัวไปกอดเธอที่ยังคงนอนอยู่โฉมงามจึงกอดตอบไม่ถึงห้านาทีก็ผล่ะออกเพราะกลัวเจ้าดลน้อยจะมาติดไข้พลอยให้ไม่สบายไปด้วย“มาได้ไง?”“ก็แม่พี่ไปบอกผมไง”“หื
กลับมาที่มหาลัยหลังจากเรียนคาบแรกเสร็จก็มีเวลาพักอีกหนึ่งชั่วโมงพื่อรอเข้าเรียนในคาบสุดท้าย ดลธีก็แยกมานั่งพักบนโต๊ะมาหินอ่านใต้ต้นไม้หน้าตึกเรียนในรายวิชาต่อไป“ดล…”“พี่หว้า? ..” ชายหนุ่มเอ่ยเรียกหญิงสาวตรงหน้าด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา ขาเรียวก็ก้าวมานั่งลงตรงหน้าของดลธีทันทีที่เห็นว่าชายหนุ่มตรงหน้าเรียกชื่อตนเอง“ไม่ได้เจอกันนานพี่คิดว่าจะลืมชื่อพี่ไปแล้วซะอีก”“ผมไม่ลืมหรอกครับ..”“ทำไมพี่ถึงรู้สึกดีใจกับประโยคนี้ของนายนะ” ลูกหว้าพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูดีใจกับปีะโยคของ ดลธีปรายตามองเธออยู่ครู่เดียวก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่น“พี่มีอะไรกับผมหรือเปล่า?”“นายยังไม่ลืมพี่จริงๆ เหรอ?”“ใช่ครับ”“แล้วเรา..”“ผมสมองไม่ได้เสื่อมที่จะจำไม่ได้ว่าคนตรงหน้าผมคือลูกหว้า ไม่ใช่แค่พี่ที่ผมจำได้เพื่อนพี่หรือคนอื่นๆ ที่ผมรู้จักผมก็จำได้” น้ำเสียงที่เรียบนิ่งเอ่ยบอกอย่างหน้าตาย สายตาคมกริบยังคองจ้องมองลูกหว้าอย่างสายตาจนเธอต้องเป็นฝ่ายหลบ เพราะมันไม่ใช่สายตาที่รักใคร่เหมือนเมื่อก่อนแต่มันเป็นสายตาที่ดูดุดันน่ากลัว“อ้อ นะ..นั่นสินะ”“แมทธิว ผู้ชายคนนั้นสินะที่เป็นพ่อของเด็กในท้อง..แต่จะว่าไปถ้าผมเป็นเขาผมก
หลายอาทิตย์ต่อมาวันแห่งการเริ่นต้นเรียนในรั้วมหาลัยอาทิตย์ที่สองนั้นช่างสดใสสำหรับหนุ่มมหาลัยปีหนึ่งอย่างเจ้าดลซะจริงๆ หลังจากแต่งตัวเสร็จชายหนุ่มก็วิ่งลงมาจากบนห้องนอนตรงไปยังในครัวที่มียายกระเช้ากำลังวุ่นอยู่กับการทำข้าวกล่องให้เขา“เอ็งนี่นะ! แม่เอ็งก็บอกแล้วว่าเดี๋ยวให้ค่าข้าวเอ็งจะห่อไปทำไมไม่อายเขาหรือไง?” เสียงยายกระเช้าบ่นขณะที่กำลังปิดฝากล่องข้าวหลังจากห่อเสร็จให้หลานชาย ที่บ่นไม่ใช่ว่าขี้เกียจทำแต่เธอกลัวว่าหลานชายจะอายเขาที่อยู่ถึงมหาลัยแล้วแต่ยังห่อข้าวไปกินนี่สิ“ถ้าผมอายผมจะให้ยายห่อให้เหรอครับ”“ยอกย้อนอีก เอ้าเสร็จแล้ว..แล้วก็มานั่งกินข้าวซะ”“ยายนี่เกรี้ยวกราดจริงๆ”“เอ็งแล้วก็หัดทำตัวให้มันดูโตให้มันดูเอาตัวรอดให้ยายได้เห็นบ้าง ยายจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง” ยังมิวายที่จะบ่นหลานชายที่เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้แล้ว ดลธีก็ได้แต่ส่ายหน้าให้ความขี้บ่นของยายกระเช้า แล้วก็จัดการกับอาหารตรงหน้าไปเรื่อยๆ เพราะยังเหลือเวลาเข้าเรียนอีกเยอะ“ยายครับรู้แล้วใช่มั้ยที่ผมคบกับพี่โฉม”“รู้สิก็เอ็งบอกยาย”“อ่อครับ เธอน่ารักนะผมชอบเธอจริงๆ”“เฮ้อ!อ เรื่องความรักยายก็ไม่อยากจะไปยุ่งแต่เอ็งรักใคร