แต่เธอต้องมาใช้ชีวิตเป็นคุณหนูเจียงม่านผู้นี้จริงๆ น่ะหรือ
สตรีนาม เจียงม่าน ผู้นี้คือบุตรสาวเพียงคนเดียวของนายท่านเจียง เจียงถง เถ้าแก่หอสุราตระกูลเจียงแห่งเมืองฉางที่กำลังประสบปัญหาทางด้านการเงินจนเรียกได้ว่าเข้าขั้นวิกฤตอยู่ในขณะนี้
สวรรค์ เหตุใดส่งมาทั้งที กลับส่งให้มาอยู่ในร่างของคนที่ตอนนี้กำลังจะสิ้นเนื้อประดาตัวด้วยเล่า
"อึก ฮื้อ...กลั่นแกล้งกันเกินไปแล้วนะ"
ม่านไหมร้องตะโกนออกมาอย่างอัดอั้น ก่อนจะทรุดกายลงนั่งอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง ปลงตกกับชีวิตที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ไม่สบายเสียที
แต่ก็เอาเถอะ คงต้องลองดูกันสักตั้ง อย่างน้อยๆ ก็ยังมีชีวิตและลมหายใจอยู่ แต่ต่อไปอย่าได้มาเรียกเธอว่าม่านไหมเชียว ไม่หันหรอกนะบอกเอาไว้ก่อน ให้เธอใช้ชีวิตเป็นเจียงม่านแล้วก็ให้เลย ไอ้ที่อยู่ๆ จะมาทวงร่างคืนก็อย่าได้ฝัน สิงแล้วสิงเลยไม่ออกหรอกนะ หึ
เสียงข้าวของตกแตกที่ดังมาจากข้างใน ตามด้วยเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น ทำให้สองแฝดที่ยังคงถกเถียงกันอยู่นั้นดวงตาเหลือกลาน รีบพุ่งตัวเข้าไปในเรือนนอนของผู้เป็นนายอย่างรวดเร็ว ความห่วงใยว่าผู้เป็นนายนั้นจะได้รับอันตรายก็มีมาก ความกลัวว่าตัวเองจะเจ็บตัวก็มีอยู่ไม่น้อย แต่หากคุณหนูยังทำลายข้าวของอีก เกรงว่าต่อไปคงไม่มีสิ่งใดมาทดแทนให้อีกแล้ว
คุณหนูจวนของเรากำลังถังแตกนะเจ้าคะ
สองแฝดอยากจะตะโกนย้ำเตือนคุณหนูของพวกนางเกี่ยวกับเรื่องนี้เหลือเกิน แต่ก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะยิ่งคลั่งกว่าเดิม จึงเลือกที่จะเอาตัวเข้าแลก เพราะหากผู้เป็นนายยังเอาแต่อาละวาดทำลายข้าวของอยู่เช่นนี้ เกรงว่าต่อไปจะไม่มีแม้แต่ที่ซุกหัวนอนหรือแม้แต่เงินจะซื้อข้าวกิน
แต่ภาพที่ทั้งสองเห็นอยู่ตรงหน้านั้น ช่างดูไม่จืดเอาเสียเลย สองแฝดเผลอมองสบตากันอย่างโง่งม ก่อนจะค่อยๆ ก้าวเท้าเข้าไปหาร่างบอบบางของผู้เป็นนายอย่างระมัดระวัง สตรีผู้ที่ทรุดกายลงนั่งราบไปกับพื้น ขาทั้งสองกางออกกว้างเอนแผ่นหลังทอดกายพิงโต๊ะเครื่องแป้ง น้ำตาไหลพรากอย่างเสียกิริยา ใบหน้านองน้ำตานั้นดูแทบไม่ได้ ดวงตาปูดโปนบวมช้ำนั้นดูเหม่อลอย จ้องมองกระจกในมือไม่วางตา สตรีผู้นี้คือคุณหนูของพวกนางจริงๆ หรือ
"คะ คุณหนู"
"คุณหนูเจ้าคะ"
นัยน์ตาแดงก่ำกลอกกลิ้งไปมา ก่อนจะเหลือบมองใบหน้าจิ้มลิ้มของสาวน้อยทั้งสองที่หน้าตาเหมือนกันจนแยกไม่ออกกำลังจดจ้องมองมายังนางอย่างกริ่งเกรง ปลายนิ้วกลมป้อมของเด็กสาวที่นางสังเกตว่ามีไฝเม็ดเล็กอยู่บนริมฝีปากสะกิดลงบนหลังมือของนางเบาๆ
"ลู่ลู่ ลี่ลี่"
เสียงแหบแห้งเอ่ยเรียกนามของทั้งสองที่อยู่ในความทรงจำของเจ้าของร่างแผ่วเบา ก่อนจะยกแขนเรียวเล็กของตนขึ้นจนทั้งสองพากันสะดุ้ง
"ตกใจอะไรกัน เข้ามาช่วยพยุงข้าที"
หญิงสาวใช้ชายแขนเสื้อที่ยาวลุ่มล่ามซับน้ำตาบนใบหน้าอย่างลวกๆ ก่อนจะส่งค้อนให้เด็กสาวทั้งสองที่ยืนจ้องมองนางอย่างขลาดเขลาวงโต จะว่าไปนางกับเจียงม่านคนเก่านิสัยนั้นก็คล้ายคลึงกันอยู่ไม่น้อย ดูท่าจะขี้เหวี่ยงขี้วีนไม่แพ้กัน แต่นางก็หาใช่คนที่ไร้เหตุผล และไม่เคยรังแกคนที่อ่อนแอกว่า แต่ก็ใช่ว่าจะยอมให้ผู้อื่นมารังแกเช่นกัน
"จะ เจ้าค่ะคุณหนู เร็วเข้าสิลี่ลี่ มาช่วยข้าประคองคุณหนู เร็ว"
ลู่ลู่ที่รีบปรี่เข้ามาประคองนายสาว ก่อนจะส่งสายตาไปหาผู้เป็นน้องสาวที่ยังคงยืนตกตะลึง เอ่ยเร่งให้อีกฝ่ายรีบเข้ามาช่วยประคองผู้เป็นนาย ก่อนที่คุณหนูจะเกรี้ยวกราดขึ้นมาอีกครั้งเพราะความชักช้าของอีกฝ่าย
ลี่ลี่เดินตรงเข้ามาประคองผู้เป็นนายอย่างโง่งม สายตาไม่ละไปจากร่างบอบบางที่ทิ้งกายลงบนเตียง เอนแผ่นหลังพิงหมอนอิงหลับตาลงอย่างคนกำลังใช้ความคิด ไม่มีการโวยวาย ไม่มีท่าทีเกรี้ยวกราด ไม่มีการด่าทอ ซึ่งมันมิใช่วิสัย
ดูเหมือนคุณหนูของนางจะมีบางอย่างที่แปลกไป หรือว่าจะไม่สบาย แต่ตัวก็ไม่ได้ร้อนนี่นา
"น้ำชาเจ้าค่ะคุณหนู"
ลู่ลู่รินน้ำชาส่งให้ผู้เป็นนายอย่างเอาใจ
"ขอบใจนะลี่ลี่"
"เอ่อ ลู่ลู่เจ้าค่ะคุณหนู"
"อ้อ ฮ่าฮ่าฮ่า ขอโทษที ข้ายังรู้สึกเบลอๆ น่ะ แต่ก็ขอบใจนะลู่ลู่"
เจียงม่านส่งยิ้มแห้งให้อีกฝ่าย จดจำไว้ทันทีว่าผู้ที่มีไฝคือลู่ลู่ ส่วนอีกคนที่ตอนนี้กำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดราวกับกำลังคิดหนัก เหลือบตามองนางอยู่เป็นระยะ ทั้งยังลูบๆ คลำๆ ราวกับจะขอหวยคือแฝดผู้น้องลี่ลี่
ลี่ลี่ที่ยังมิรู้ตัวว่าถูกจับได้ว่าแอบมอง ใบหน้ากลมเกลี้ยงเกลานั้นเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่หยุด
นั่นอย่างไร แปลกไปจริงๆ ด้วย ขอโทษ ขอบใจ คำเหล่านี้คุณหนูเคยเอ่ยมันออกมาที่ใดกัน
"ทำไมลี่ลี่ เจ้ามองหน้าข้าเช่นนั้นทำไม มีอะไรแปลกไปอย่างนั้นรึ"
น้ำเสียงไม่สบอารมณ์กับท่าทางชวนหาเรื่องเต็มที่ของผู้เป็นนายทำให้ลี่ลี่ถึงกับสะดุ้งเฮือก รีบส่งยิ้มหวานที่ดูอย่างไรก็ขัดสายตาคนมอง
อ่า จะว่าไปคุณหนูก็ไม่ได้แปลกไปเท่าใดนัก
เจียงม่านหรี่ตามองอีกฝ่ายที่มองนางแปลกๆ ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว ไม่วายเอ่ยกดดันอีกฝ่าย ที่ตอนนี้คอเล็กๆ นั่นหดเกร็งจนดูน่าขัน
"ว่าอย่างไร เจ้ามีปัญหาอะไร"
"คุณหนูกล่าวหนักไปแล้วเจ้าค่ะ บ่าวเพียงแค่แปลกใจที่คุณหนูไม่ดุด่าทุบตีพวกบ่าวก็เท่านั้น"
ลี่ลี่หันมาแก้ตัวกับผู้เป็นนายเสียงอ่อย หลังจากที่หันไปขึงตาใส่แฝดผู้พี่ของตนทีหนึ่ง เพราะฝ่ายนั้นส่งสายตาตำหนิมาให้นาง ริมฝีปากขมุบขมิบโดยไร้เสียง ซึ่งนางจับใจความได้ว่า
อยู่ดีไม่ว่าดี สมน้ำหน้าเจ้า หาเรื่องดีนัก
"เอ้า แล้วข้าจะดุด่าทุบตีพวกเจ้าไปทำไมกัน"
"ก็คุณหนูกำลังอารมณ์ไม่ดีมิใช่หรอกหรือเจ้าคะ"
"ข้าอารมณ์ไม่ดีแล้วเกี่ยวอันใดกับการดุด่าทุบตีพวกเจ้า"
เจียงม่านส่งจอกชาคืนให้ลู่ลู่ หลังจากที่ดื่มหมดไปถึงสามจอก จอกชานี่ดูเหมือนจะมีขนาดเล็กเกินไปสำหรับนาง ในขณะเดียวกันใบหน้าก็ไม่คลายจากความสงสัย ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่อสิ่งใด
"ก็หากคุณหนูได้ดุด่าหรือว่าได้ทุบตีพวกบ่าวก็จะทำให้สบายตัวสบายใจขึ้นอย่างไรเล่าเจ้าคะ"
เสียงกรีดร้องของท่านราวกับกำลังอัดอั้น หงุดหงิดงุ่นง่าน ต้องการที่จะระบายถึงเพียงนั้น
แน่นอนว่าประโยคนี้ลี่ลี่ไม่มีวันหลุดพูดออกไปเด็ดขาด
"เอ้า อย่างนี้ก็ได้ด้วยหรือ"
"ได้สิเจ้าคะ ถ้าหากว่าทำให้คุณหนูรู้สึกดีขึ้นก็ย่อมได้ พวกบ่าวยินดีเจ้าค่ะ"
เป็นลู่ลู่ที่เอ่ยขึ้น ยอมเจ็บตัวสักเล็กน้อยดีกว่าปล่อยให้ผู้เป็นนายอึดอัดใจจนรู้สึกไม่สบายตัว ส่วนผู้เป็นแฝดน้องนั้นก็รีบผงกหัวรับเร็วรี่อย่างต้องการสนับสนุนคำพูดนั้นของอีกฝ่าย
สายตาใสซื่อของสองแฝดที่จ้องมองมา และท่าทางที่พร้อมจะพลีกาย ยอมเป็นกระสอบทรายให้นาง ทำให้เจียงม่านหัวเราะออกมาอย่างนึกเอ็นดู นางหาได้เป็นโรคประสาทจิตวิปริตเช่นดังเจียงม่านคนเก่าเสียหน่อย ดูท่าฝ่ายนั้นจะเป็นโรคจิตชอบทุบตีคนระบายความเครียด
"นี่ พวกเจ้าสองคนน่ะ ฟังข้านะ"
คุณหนูเจียงม่านคนใหม่ยืดกายลุกขึ้นนั่ง แผ่นหลังเหยียดตรง วางท่าเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ มองสบตาบ่าวตัวน้อยทั้งสองคนของตน เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดัดจนหวานเลี่ยนชวนขนหัวลุก
"ต่อแต่นี้ไป ข้าจะไม่ดุด่าหรือทุบตีพวกเจ้าอีกแล้ว เราจะอยู่กันอย่าง สันติ ยุติการใช้ความรุนแรง"
สองแฝดกะพริบตาปริบๆ มองใบหน้าและแววตาของผู้เป็นนายที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน ริมฝีปากฉีกรอยยิ้มหวานส่งมาให้พวกนางอย่างโง่งม ก่อนจะลอบสบตากัน
คุณหนูของพวกนางเสียสติไปแล้วจริงๆ ด้วย
เห็นสายตาของพวกนางที่มองมา เจียงม่านถึงกับจิ๊ปาก กอดอกมุ่ยหน้า เอ่ยถามไม่สบอารมณ์
"ไม่เชื่อหรือ"
"เชื่อ เชื่อเจ้าค่ะ บ่าวเชื่อ"
สองเสียงที่ประสานกันอย่างพร้อมเพรียง สมกับที่เป็นฝาแฝดกันนั้น ทำให้เรียวคิ้วงามกระตุก ริมฝีปากคว่ำลงเล็กน้อยอย่างขัดเคืองใจ ท่าทางเช่นนั้นช่างดูน่ารักน่าเอ็นดูในสายตาของบ่าวทั้งสองที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อน จนเผลอมองผู้เป็นนายตาพร่าแล้วพากันหัวเราะคิกคักอย่างไม่อาจอดใจได้ไหวกับท่าทางกระเง้ากระงอดนั้น
"บ่าวเชื่อคุณหนูเจ้าค่ะ อาบน้ำดีกว่านะเจ้าคะ บ่าวจะเตรียมน้ำให้"
ลี่ลี่รีบเอ่ยอย่างเอาใจ คุณหนูเป็นเช่นนี้ช่างดีจริงๆ ขอให้เป็นเช่นนี้ตลอดไปเถิดนะเจ้าคะ
"เช่นนั้นบ่าวไปเตรียมอาหารอร่อยๆ ไว้รอท่านะเจ้าคะ"
ลู่ลู่รีบเอ่ยอย่างกระตือรือร้นเช่นเดียวกัน รู้สึกว่าวันนี้ท้องฟ้าจะแจ่มใสกว่าทุกวัน
เจียงม่านยิ้มกว้างกับท่าทีของคนทั้งสอง รู้สึกว่าการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้แย่นัก อย่างน้อยนางก็มิได้โดดเดี่ยวเช่นที่ผ่านมา
ตระกูลเจียงในตอนนี้เป็นตระกูลอันดับหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องสุรา สุราของตระกูลเจียงกลายเป็นสุราสร้างชื่อของเมืองฉาง ทั้งยังโด่งดังไปทั่วทั้งแคว้นและแคว้นข้างเคียง เพียงเวลาไม่นานกิจการของหอสุราตระกูลเจียงก็ขยับขยายใหญ่โต และกำลังดำเนินการที่จะขยายกิจการไปยังเมืองต่างๆ รวมไปถึงเมืองหลวงของแคว้น และคาดว่าต่อไปในอนาคตก็จะไปเปิดกิจการยังต่างแคว้นอีกด้วย เรียกได้ว่าตระกูลเจียงเข้าสู่ยุคที่รุ่งโรจน์จนฉุดไม่อยู่ส่วนหอสุราตระกูลหม่านั้น ในตอนนี้ได้ปิดตัวลง หันมาเอาดีทางด้านการค้าข้าวสารและธัญพืช โดยมีหม่าลู่เฟิงที่ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลเป็นผู้ดูแลกิจการด้วยตัวเอง ดูเหมือนว่ากิจการนั้นจะไปได้ดีอยู่ไม่น้อยถึงแม้ว่าจะมีร้านค้าใหญ่อยู่หลายร้านก็ตาม ส่วนหม่าลี่เซียนข่าวว่านางกำลังตั้งครรภ์บุตรของเถ้าแก่เผย แต่เมื่อไม่กี่วันก่อน เถ้าแก่เผยได้ประกาศวางมือจากกิจการทั้งหมดและยกทุกอย่างให้บุตรชายของเขา ส่วนตนนั้นใช้เวลาอยู่กับภรรยาและเหล่าอนุทั้งหลาย จากบุรุษผู้รักมั่นในตัวภรรยาผู้ล่วงลับ แต่ยามเมื่อได้สัมผัสอารมณ์ความใคร่อีกครั้งกลับกลายเป็นบุรุษผู้หมกมุ่นในกามา บัดนี้จึงมีอนุภรรยาอยู่เต็มจวนเมืองฉางในตอ
"คนเก่งของข้า ลุกขึ้นมากินข้าวกินยาก่อนเถิด"เว่ยซีหยวนเอ่ยเรียกสตรีที่นอนสิ้นเรี่ยวสิ้นแรงอยู่บนเตียงน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ใบหน้าหล่อเหลาประดับไปด้วยรอยยิ้ม ประคองถาดใบเล็กที่มีข้าวต้มหอมกรุ่นและถ้วยยาที่ต้มเสร็จใหม่ๆ มาวางลงบนโต๊ะตัวเล็กข้างเตียง ก่อนจะโน้มกายลงจุมพิตแก้มนวลของสตรีที่ยังหลับตาพริ้มอย่างรักใคร่เมื่อคืนนี้นางช่างน่าเอ็นดูยิ่งนัก เขามีความสุขจนแทบจะล้นออกมานอกอก นางนั้นแสนซนและอยากรู้อยากลองไปเสียทุกอย่างแม้เขาคิดจะยั้งมือเมื่อรู้ว่าเป็นครั้งแรกของนาง แต่ถูกยั่วยวนเช่นนั้นก็หมดสิ้นความยับยั้งช่างใจ นางออดอ้อนน่าเอ็นดูถึงเพียงนั้น ใครจะไปอดใจได้ไหว จึงได้จัดหนักจัดเต็มจนเวลาล่วงเข้าวันใหม่ไปหลายชั่วยาม และนางเองก็ยังสู้ไม่ถอย สภาพจึงได้ออกมาเช่นตอนนี้หักโหมถึงเพียงนั้นเขาคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าหลังจากนั้นนางจะต้องป่วยเป็นแน่ จึงได้ลุกขึ้นไปเคี่ยวยาเตรียมไว้ให้นางตั้งแต่รุ่งสางและนางก็ป่วยจริงๆใบหน้าเล็กที่ซีดเซียวในคราแรก ตอนนี้ซับสีเลือดจนแดงก่ำมาจนถึงลำคอ แพขนตางอนขยับยุกยิก นั่นทำให้ชายหนุ่มที่คลอเคลียนางอยู่ไม่ห่างยกยิ้มขึ้น ดวงตาคมเผยประกายเจ้าเล่ห์สอดฝ่ามืออุ่นร้
เจียงม่านหัวใจเต้นแรงเมื่อถูกชายหนุ่มยกตัวจนลอยขึ้นจากพื้น ทั้งที่ริมฝีปากของทั้งสองยังคงแลกจูบกันอย่างดูดดื่ม สองแขนของนางกอดกระชับลำคอแข็งแกร่งเอาไว้ ยามเมื่ออีกฝ่ายก้าวเดินสองขาเรียวก็ยกขึ้นเกี่ยวรัดสะโพกสอบทรงพลังไว้แน่นจนเมื่อเขาวางนางลงบนเตียง ชายหนุ่มถึงได้ยอมปล่อยให้นางได้พักหายใจ แต่กระนั้นทั้งจมูกและริมฝีปากร้อนผ่าวก็หาได้ผละออกห่างจากใบหน้าของนางแม้แต่น้อย เขายังคงคลอเคลียพรมจูบไปทั่วใบหน้าของนางอย่างรักใคร่หลงใหล"ม่านม่าน เราแต่งงานกันเถอะนะ"เขาไม่อยากห่างจากนางอีกแล้ว ไม่อยากให้นางมองบุรุษอื่นอีก อยากให้ทั้งหัวใจและสายตาของนางมีเพียงแค่เขาเพียงคนเดียวเท่านั้นเสียงกระซิบแหบพร่าร้องบอกหญิงสาวที่กำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์พิศวาส ดวงตาคู่งามฉ่ำหวาน เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำ หญิงสาวไม่ได้ยินที่เขาเอ่ยถามแม้แต่น้อย ในแววตาของนางมีเพียงความสับสนมึนงง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงหยุดการกระทำทุกอย่างลงเจียงม่านไม่รู้เลยว่าการนิ่งเงียบไม่ตอบคำของนาง จะทำให้ชายหนุ่มที่เฝ้ารอคำตอบรู้สึกเช่นไร ความผิดหวังน้อยใจไหววูบในดวงตาของเขา หัวใจปวดหนึบวูบโหวง แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้นก็แทนที่ด้วยคว
ผ่านมาสองวันเจียงม่านก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นกับเว่ยซีหยวน อีกฝ่ายจงใจที่จะหลบหน้านางแน่แล้ว เพราะเขาหายหน้าหายตาไป ไม่มาหานางที่จวนเช่นดังปกติที่มักจะมาขลุกอยู่กับนางหรือมารับนางออกไปยังหอสุราด้วยกัน จนเรียกได้ว่าทั้งสองแทบจะตัวติดกันตลอดเวลาเขามักจะทำตัวติดกับนางเสมอ หรือหากแม้ว่ามีธุระก็จะส่งคนมาแจ้งพร้อมด้วยของฝาก แต่ครั้งนี้กลับหายหน้าหายตาไปเฉยๆ เสียอย่างนั้น และเมื่อนางเลือกที่จะเป็นฝ่ายไปหาเขาก่อน คนของอีกฝ่ายกลับแจ้งกับนางว่าเขาไม่ได้อยู่ในจวน เมื่อนางถามว่าอีกฝ่ายไปไหน กลับตอบกลับมาว่าไม่ทราบ ไม่รู้ว่าผู้เป็นนายไปไหนด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ทั้งยังไม่ยอมที่จะสบตานาง ท่าทางมีพิรุธเช่นนั้น พวกเขาคิดว่านางโง่หรืออย่างไร รอแล้วรอเล่าอีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมโผล่หัวมา จนย่างเข้าวันที่สาม ยอมรับว่าตอนนี้นางมีโทสะอยู่เต็มท้องคนบ้าผู้นั้นหลบหน้านางทำไมกัน นางไปทำอันใดให้อีกฝ่ายไม่พอใจ เหตุใดจึงไม่ยอมบอกกล่าว เล่นหายไปแบบนี้ใครมันจะไปรู้หรือจะเกี่ยวกับเรื่องในวันนั้น แต่มันก็ไม่มีสิ่งใดผิดพลาดมิใช่หรอกหรือ ตอนนี้ยังมีข่าวว่าเถ้าแก่เผยส่งแม่สื่อไปจวนตระกูลหม่าแล้ว อีกไม
"เจ้าจะยังรั้งรออันใด หรืออยากจะเป็นคนที่ขึ้นไปนอนบนเตียงนั่นเอง"เว่ยซีหยวนเมื่อตั้งสติได้ก็หันมาถลึงตาใส่กวนป๋อเหวินที่กำลังใช้สายตาต่อว่าเขากวนป๋อเหวินส่งค้อนวงโตให้ผู้เป็นสหายป่าเถื่อนของตน ก่อนจะลากร่างที่หนักอึ้งของเถ้าแก่เผยไปโยนลงบนเตียงด้วยแรงที่ไม่เบานัก ทั้งยังจับอีกฝ่ายเปลื้องผ้าจนเปลือยเปล่าหม่าลี่เซียนที่เห็นการกระทำของคนทั้งสองก็เบิกตาโพลง รับรู้ได้ว่าพวกเขาคิดจะทำสิ่งใด แต่ร่างกายที่กำลังสั่นสะท้านเพราะฤทธิ์กำยานปลุกกำหนัดทั้งยังความเจ็บปวดจากเหตุการณ์เมื่อครู่ ทำให้นางไม่อาจกระทำสิ่งใดได้ดั่งใจ ตอนนี้ความร้อนรุ่มกำลังเล่นงานนางอย่างหนัก อยากจะปลดปล่อยความต้องการภายในร่างกาย แต่การจะต้องร่วมเตียงกับชายแก่อ้วนฉุเช่นเถ้าแก่เผยนั้นทำให้นางไม่อาจที่จะยอมรับได้ จึงกัดกระพุ้งแก้มของตนอย่างแรงเพื่อรั้งสติเอาไว้ จนรสเลือดคละคลุ้งไปทั่วทั้งปากดวงตาแดงก่ำที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำจ้องมองบุรุษที่นางหลงใหลด้วยสายตาเจ็บปวดและเจ็บแค้น ก่อนที่เสียงหัวเราะขื่นขมจะเปล่งออกมาจากริมฝีปากสีซีดฮ่าฮ่าฮ่าหม่าลี่เซียนหัวเราะออกมาเสียงขื่น ในขณะที่น้ำตาของนางไหลพราก ช่างเป็นภาพที่น่าเวทนายิ่งนั
งานเลี้ยงในวันนี้เริ่มขึ้นได้สักพักแล้ว ทุกอย่างดำเนินไปด้วยบรรยากาศที่เป็นกันเอง เพราะผู้ที่มาร่วมงานในครั้งนี้ ล้วนเป็นเหล่าคหบดี พ่อค้าแม่ค้า และคนที่รู้จักมักคุ้นกันดีในเมืองฉางแห่งนี้เจียงม่านอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ เมื่อเป็นตัวนางเองที่ต้องมาอยู่ท่ามกลางแผนการร้ายของผู้อื่น ยามเมื่อคอยลุ้นในซีรี่ย์ที่เคยดูนั้นรู้สึกตื่นเต้นมากแล้ว ยามนี้กลับยิ่งตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าแม้ว่าจะรู้ตัวล่วงหน้า แต่พวกนางยังไม่รู้แน่ชัดว่าอีกฝ่ายคิดจะวางยาเว่ยซีหยวนเช่นไร หันไปมองเจ้าตัวก็เห็นว่าเขาไม่ยอมแตะต้องเครื่องดื่มหรืออาหารบนโต๊ะแม้แต่น้อย นั่นทำให้นางรู้สึกเป็นกังวล หากเป็นเช่นนี้เรื่องราวจะเป็นไปตามแผนการของอีกฝ่ายได้อย่างไรกันใช่ว่านางจะไม่หวงแหนหรือเป็นห่วงเขาแต่นางลงทุนลงแรงไปถึงเพียงนี้จะให้สูญเปล่าได้อย่างไรกัน อย่างไรเสียวันนี้หม่าลี่เซียนก็จะต้องมีสามีที่ไม่ใช่บุรุษของนางนางยอมทุ่มเงินมากมายเพื่อว่าจ้างคนมีฝีมือที่เป็นวรยุทธ์คอยดูแลอยู่ห่างๆ อย่างไรก็มั่นใจว่าเขาจะต้องปลอดภัย ก่อนที่จะถูกหญิงนางนั้นกลืนลงท้อง อีกทั้งยังมีคนของคุณชายกวนที่กระจายตัวอยู่อีกอย่างใช่ว่าพ่ออันธพาลของนางจะร