ความจริงแล้วภายในใจอวี้ม่านหวาเข้าใจดีว่าฉีจื่อฟู่ไม่ได้รักนาง มีเพียงลูกในท้องของนางที่เขาพอจะพะวงถึงนางรู้สึกว่าตัวเองได้ยื่นข้อเสนอที่ไม่อาจปฏิเสธให้กับหรงจือจือหรงจือจือหัวเราะเยาะ “เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้ายังเหลือเยื่อใยให้ฉีจื่อฟู่?”อวี้ม่านหวาหรี่ตาลงและพูด “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เหลือเยื่อใย เพราะหากยังเหลือก็คงไม่ปล่อยให้สกุลฉีเดือดร้อนเพราะข้าเช่นนี้”มิหนำซ้ำ หากอีกฝ่ายชอบฉีจื่อฟู่จริงๆ ตัวนางก็คงไม่มีที่ยืนในสกุลฉีมานานแล้วแต่ว่า…“หญิงสาวชนชั้นสูงแบบเจ้าให้ความสำคัญกับชื่อเสียงและตำแหน่งแม่ศรีเรือนมากที่สุดมิใช่หรือ? ไม่อยากกลับไปทำหน้าที่ภรรยาที่สกุลฉีต่อหรืออย่างไร?”“เราต่างก็รู้ดีว่าการแต่งงานใหม่จะถูกผู้คนรังเกียจ!”หรงจือจือพูดขึ้นมาว่า “ข้าขอถามเจ้าเรื่องหนึ่ง”อวี้ม่านหวา “เรื่องอะไร?”หรงจือจือ “เจ้าได้มีส่วนร่วมในเรื่องของท่านย่าข้าหรือไม่?”อวี้ม่านหวามีสีหน้างุนงง “มีส่วนร่วมอะไร?”เมื่อเห็นว่าท่าทีของอวี้ม่านหวาดูไม่เหมือนเสแสร้ง หัวใจของอวี้ม่านหวาก็จมลง นั่นสินะ นี่นางกำลังคาดหวังอะไรอยู่กัน?ผู้สมรู้ร่วมคิดต้องเป็นคนในครอบครัวนางแน่นอนอย่างอวี้ม
หรงจือจือถาม “ท่านราชเลขาธิการมาที่นี่ได้อย่างไร? อาการบาดเจ็บของท่านหายดีแล้วหรือ?”เฉินเยี่ยนซูตอบอย่างราบเรียบ “อืม ดีขึ้นแล้วล่ะ”แต่หลังจากที่พูดจบ เฉินเยี่ยนซูก็มองไปทางเซินเฮ่อที่อยู่ด้านข้าง แววตาเย็นยะเยียบเล็กน้อยเซินเฮ่อบอกว่าหรงจือจือส่งคนไปแจ้งสกุลเฮ่อว่านางหวาดกลัวที่ต้องมาพบอวี้ม่านหวาเพียงลำพังเขาจึงได้รีบมาที่นี่ทันทีแต่ดูจากท่าทีของหรงจือจือแล้ว นางดูจะคาดไม่ถึงว่าเขาจะมาเซินเฮ่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ไม่กล้าสบตากับท่านราชเลขาธิการ เขารู้สึกว่าตัวเองทำถูกต้องแล้ว หากไม่มีความช่วยเหลือจากเขา ท่านราชเลขาธิการกับคุณหนูสกุลหรงจะผัดวันประกันพรุ่งไปถึงเมื่อไรก็ยังไม่รู้หรงจือจือปฏิบัติตามมารยาทอย่างเคร่งครัด “เชิญท่านราชเลขาธิการก่อนเจ้าค่ะ”เฉินเยี่ยนซูไม่พูดอะไร เขาหันตัวเดินนำไปก่อน ส่วนหรงจือจือเดินตามด้านหลังหนึ่งก้าว นางคิดในใจ หรือว่าเฉินเยี่ยนซูจะมาเพราะต้องการรู้ว่าอวี้ม่านหวาขอพบนางด้วยเรื่องอะไร?ด้วยเหตุนี้จึงเล่าถึงถ้อยคำที่อวี้ม่านหวาพูดกับตัวเองให้เฉินเยี่ยนซูฟังด้วยเสียงเจื้อยแจ้วไพเราะเฉินเยี่ยนซูฟังจบแล้วตอบกลับอย่างราบเรียบว่า “อืม”เซินเฮ่อข
รถม้าคันนี้เป็นคันที่ท่านย่าทุ่มเงินก้อนใหญ่เพื่อสร้างให้นาง โดยธรรมชาติแล้วย่อมไม่เกิดปัญหาโดยไม่มีสาเหตุเสียงของคนขับดังมาจากด้านนอก “ท่านหญิง ล้อรถหักขอรับ”หรงจือจือกับเจาซีลงจากรถม้าด้วยกันคนขับรถม้าเช็ดเหงื่อที่หน้าผากและพูดอย่างตื่นตระหนก “ท่านหญิง เคราะห์ดีที่เหตุการณ์นี้ไม่ได้ทำให้ม้าตกใจเตลิด มิเช่นนั้นแล้วล่ะก็ ผลลัพธ์คงเลวร้ายจนไม่อาจคาดคิด”หรงจือจือได้ยินเขาพูดแบบนี้ก็เข้าใจว่ามีคนทำอะไรบางอย่างกับรถม้า หมายจะเอาชีวิตของนาง!แต่นี่ไม่ใช่เวลามาสืบคดีกลางถนน นางลงไปตรวจดู เคราะห์ดีที่ชำรุดแค่ล้อรถ สามารถซ่อมด้วยการเปลี่ยนล้อใหม่นางระงับความโกรธบางส่วนไว้ในใจ นี่เป็นของที่ท่านย่าทิ้งไว้ให้นาง หากซ่อมไม่ได้ นางจะไม่ยอมรามือแค่นี้แน่!คนขับรถม้า “คุณหนู จะทำอย่างไรดีขอรับ? ที่นี่อยู่ห่างจากจวนของเราค่อนข้างไกล อีกทั้งอากาศก็หนาว…”หิมะทำท่าจะตกอีกแล้ว“ท่านไปนั่งพักที่โรงน้ำชาด้านข้างก่อนดีหรือไม่? บ่าวจะไปซื้อล้อรถมาเปลี่ยนก่อน”จังหวะที่หรงจือจือกำลังจะตอบกลับในขณะนั้นเองที่มีรถม้าคันหนึ่งเคลื่อนผ่านเข้ามา ครั้นเห็นว่าถนนถูกขวางกั้น บ่าวรับใช้จากทางนั้นก็เข้าม
ท่านย่าบอกเพียงให้เขารอไปก่อน ไม่ต้องรีบร้อนหรือว่า…นางจะปฏิเสธตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว?เขาไม่อาจซ่อนความผิดหวังในใจได้ แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรออกไปก็มีสาวใช้นางหนึ่งเดินเข้ามาหาหรงจือจือจากไม่ไกลสาวใช้นางนี้ยิ้มว่า “รถม้าของท่านหญิงหนานหยางมีปัญหาหรือเจ้าคะ? ท่านหญิงจิงหวาของพวกข้าเดินทางผ่านมาพอดีและต้องการพาท่านไปส่ง ไม่ทราบว่าท่านหญิงจะกรุณาให้เกียรติหรือไม่?”หรงจือจือถอนหายใจด้วยความโล่งอก แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดท่านหญิงจึงช่วยเหลือตน แต่มันก็ช่วยคลี่คลายปัญหาตอนนี้ได้พอดีรีบตอบกลับไปว่า “รบกวนท่านหญิงแล้ว”จากนั้น หรงจือจือหันไปมองจีอู๋เหิงและพูดอย่างสุภาพ “ขอบคุณสำหรับความหวังดีจากคุณชายใหญ่จีในวันนี้ ได้ยินว่าช่วงนี้คุณชายพูดช่วยเหลือข้าไม่น้อยเลย หรงจือจือรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้ท่านหญิงกำลังรออยู่ ขอตัวก่อน”จีอู๋เหิงประสานมือว่า “เชิญท่านหญิงก่อนเลย”สีหน้าเขาซีดขาวเล็กน้อย แววตาเจือด้วยความเศร้าโศกที่ไม่อาจปกปิดได้มิด ทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นคนฉลาด ในเมื่อหรงจือจือไม่ยอมรับน้ำใจจากเขา นั่นก็หมายความว่านางไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาหรงจือจือขึ้นไปบนรถม้าของท่
หรงจือจือพูดอย่างราบเรียบ “ก็แค่ของนอกกาย การได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขต่างหากที่สำคัญที่สุด”ตอนแรกจงเจิ้งอวี้รู้สึกดูแคลนในท่าทีอมทุกข์ของหรงจือจือ แต่เมื่อฟังถึงตรงนี้จึงค่อยเข้าใจว่าความยากลำบากของหรงจือจือนั้นน่าจะเกินกว่าที่นางจินตนาการไว้หากไม่หมดหนทางจริงๆ หญิงสาวคนใดจะคิดทำลายรูปโฉมของตัวเองกัน?ภายในใจอดรู้สึกเห็นใจขึ้นมาไม่ได้ “เจ้าอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม อย่าได้สิ้นหวังและอย่าทำอะไรสุดโต่ง”หรงจือจือ “แน่นอนเจ้าค่ะ”มีหญิงสาวคนใดไม่ชอบความสวยความงามบ้างกัน? หากไม่จำเป็นจริงๆ นางเองก็ไม่อยากทำแบบนั้นจงเจิ้งอวี๋มองนางด้วยความตื่นตกใจครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ข้ามีเรื่องอยากให้เจ้าช่วย!”หรงจือจือประหลาดใจเล็กน้อย ด้วยฐานะของจงเจิ้งอวี๋แล้วจะมีเรื่องอะไรที่ต้องให้นางช่วยกัน?นางพินิจพิเคราะห์แล้วตอบ “เชิญท่านหญิงพูดเจ้าค่ะ”จงเจิ้งอวี๋ “ช่วงนี้ข้าถูกใจบุรุษผู้หนึ่ง อยากให้เจ้าช่วยเป็นแม่สื่อ วางใจได้ หากงานนี้สำเร็จ ข้าจะตอบแทนเจ้าแน่นอน”ใบหน้าของหรงจือจือกระตุก รู้สึกว่าคำพูดนี้ฟังดูไร้ที่มาแปลกๆจวนอ๋องจวินต้องการหาคู่ให้จงเจิ้งอวี๋ เหตุใดต้องให้นางช่วยเหลือด้วย? อีกอย่
วันนี้รถม้าของหรงจือจือพังเสียหาย หากไม่ใช่ฝีมือของนางหวางก็คงเป็นฝีมือของหรงเจียวเจียว นางไม่สบอารมณ์มากยิ่งมาได้ยินถ้อยคำไร้สาระของหรงจือจือก็ยิ่งหมดความอดทนนางหันไปคว้าข้อมือของหรงเจียวเจียวหรงเจียวเจียวตกใจ “ท่านจะทำอะไร?”หรงจือจือจ้องนาง “มาสิ! พวกเราไปที่จวนของท่านราชเลขาธิการเดี๋ยวนี้ ไปถามเขาว่าช่วยเหลือข้าทุกครั้งเพราะเจ้าจริงหรือไม่”“หากเป็นเพราะเจ้าจริง เช่นนั้นต่อไปก็ขอให้เขาอยู่ห่างข้าให้ไกลหน่อย ข้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเขา!”นี่เป็นความในใจของหรงจือจือเช่นกัน หากเฉินเยี่ยนซูช่วยนางเพราะหรงเจียวเจียวจริงๆ เช่นนั้นนางก็ไม่อยากได้ความช่วยเหลือจากเขามีหลายเรื่องที่นางสามารถจัดการได้ด้วยตัวเอง เหตุใดต้องยอมให้หรงเจียวเจียวมาพูดให้รู้สึกสะอิดสะเอียนอยู่เรื่อยด้วย?หรงจือจือเห็นถึงความบ้าคลั่งในดวงตาหรงจือจือก็รู้สึกว่าความอดทนที่อีกฝ่ายมีต่อตัวเองมาถึงขีดจำกัดแล้วนางรีบชักข้อมือตัวเองออก “หรงจือจือ ท่านบ้าไปแล้วหรือ? มีคนที่ใดไปถามเรื่องแบบนี้กัน?”หรงจือจือยิ้มเยาะ “ทำไม เจ้าไม่กล้ารึ?”หรงเจียวเจียว “ข้าเป็นห่วงชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลต่างหาก…”หรงจือจือ
“แต่หากนางกลายเป็นฮูหยินราชเลขาธิการก็จะต่างออกไป”จากนั้น นางก็เห็นว่าใบหน้าหล่อเหลาดุจหยกขาวของเฉินเยี่ยนซูผู้สงบนิ่งแม้ภูเขาไท่ซานจะพังถล่มต่อหน้ากลายเป็นสีแดงก่ำหลังจากได้ยินในสิ่งที่นางพูดเฉินเยี่ยนซู “ตะ แต่งงานกับนางหรือ?”เซิ่งเฟิงหันหน้าไปทางอื่นด้วยความรังเกียจ ผู้ใดจะไปเชื่อกัน! ว่าท่านราชเลขาธิการผู้เก่งกาจด้านการวางกลยุทธ์จะติดอ่างเมื่อพูดถึงการแต่งงานกับนางในใจจงเจิ้งอวี๋เห็นสีหน้าของเฉินเยี่ยนซูแล้วยังจะมีสิ่งใดที่ไม่เข้าใจอีกกัน?นางรู้สึกประหลาดใจมาก ที่แท้แล้ว ราชเลขาธิการเฉินผู้ซึ่งถูกชาวโลกมองว่าไร้หัวใจก็มีนางในใจมาตั้งนานแล้วนางพูดว่า “ใช่เจ้าค่ะ ท่านราชเลขาธิการลองตรองดูเถิดว่าวิธีที่ข้าพูดเป็นวิธีที่ดีที่สุดจริงหรือไม่?”“ถึงแม้ว่าการแต่งงานจะถูกกำหนดโดยพ่อแม่ แต่สถานการณ์ตอนนี้ของท่านหญิงค่อนข้างพิเศษ”“นางเป็นคนฉลาด ข้ามองว่าหากท่านตระเตรียมคำพูดไปคุยกับนางด้วยตัวเอง นางอาจจะตอบตกลงก็เป็นได้”“เวลานี้ก็เย็นมากแล้ว ชิงหวาขอตัวกลับก่อน”ไม่ว่าผู้ใดก็รักสวยรักงามทั้งนั้น นางยอมให้ใบหน้าดวงงามของหรงจือจือถูกทำลายไม่ได้จริงๆ ด้วยเหตุนี้จึงมาพูดเรื่องนี
หลังจากที่หรงจือจือกลับถึงจวนก็ไม่ได้รีบกลับไปที่เรือนของตัวเองแต่อย่างใด แต่ไปที่ห้องหนังสือของมหาราชครูหรงมหาราชครูหรงเห็นนางเข้ามาก็เลิกคิ้วถาม “เรื่องที่คุกชั้นใน จัดการราบรื่นดีหรือไม่?”หรงจือจือ “ทุกอย่างราบรื่นดีเจ้าค่ะ”หรงจือจือไม่ได้ตอบอะไรมาก ส่วนมหาราชครูหรงก็ไม่ได้ถามอะไรมากเช่นกัน เรื่องที่ศาลหลงสิงมีเฉินเยี่ยนซูคอยดูอยู่ ไม่ต้องให้เขายื่นมือเข้าไปยุ่ง ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เขาก็อยู่ในช่วงไว้ทุกข์ ยิ่งไม่มีเหตุผลให้เข้าไปยุ่งด้วยเหตุนี้จึงพูดเพียงว่า “เช่นนั้นเจ้ามาที่นี่ด้วยเหตุอันใด?”หรงจือจือพูดเสียงเบา “วันนี้รถม้าของลูกล้อหัก ท่านพ่อน่าจะทราบดีว่านั่นเป็นรถม้าที่ท่านย่าสั่งทำให้ข้า”บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องพูดสิ่งต่างๆ ให้ชัดเจนมากเกินไป มหาราชครูหรงฟังถึงตรงนี้ก็เข้าใจแล้วเขาขมวดคิ้วถาม “เจ้าคิดว่าเป็นฝีมือผู้ใด?”หรงจือจือ “ลูกไม่ทราบเจ้าค่ะ”มหาราชครูหรงเปลี่ยนคำถาม “เช่นนั้นเจ้าอยากให้จัดการเรื่องนี้อย่างไร?”หรงจือจือพูดด้วยความเคารพ “ลูกหวังเพียงว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก”นางรู้จักบิดาของตัวเองดีเพียงใดอย่างไรนั้นหรือ? ครั้งนี้นางไม่ได้เป็นอ
เสิ่นเยี่ยนซูดวงตาเย็นยะเยือก และเดินไปตรงหน้าหรงเจียวเจียวเขามองนางด้วยสายตาที่เหนือกว่า พลางถามเสียงเย็นว่า “เจ้าว่าผู้ใดเป็นคนชั้นต่ำ?”เขามักจะมีอำนาจในฐานะผู้เหนือกว่าอยู่เสมอ ทำเอาหรงเจียวเจียวตกใจสีหน้าซีดเผือด อดไม่ได้ที่จะคุกเข่าและถอยหลังไปหนึ่งก้าว น้ำตาก็คลอเบ้า จนแทบจะไหลลงมาอีกครั้งนางกล่าวด้วยริมฝีปากที่สั่นเทา “ข้า ข้า ข้า...”ดวงตาที่เสิ่นเยี่ยนซูมองนาง มองราวกับเป็นของที่ตายแล้ว “วันนี้ข้าจะให้เกียรติมหาราชครูหรง”“เจ้าคุกเข่าอยู่ที่นี่สองชั่วยาม ตบหน้าหนึ่งร้อยที ก็จะสามารถลุกขึ้นได้”“หากครั้งหน้าข้าได้ยินคำพูดเช่นนี้อีก ลิ้นของเจ้าก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป องครักษ์หลงสิงมีวิธีดึงลิ้นออกมามากมาย เข้าใจหรือไม่?”หรงเจียวเจียวตกใจมากจนฉี่จะราดอยู่แล้ว นั่นเป็นครั้งแรกที่รู้ว่า ชายที่ตนเองชื่นชอบ มีด้านที่น่ากลัวเช่นนี้ด้วย จึงกล่าวด้วยตัวสั่นเทิ้มว่า “เข้า เข้าใจเจ้าค่ะ!”เสิ่นเยี่ยนซูหัวเราะเสียงเย็นทีหนึ่ง ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อและจากไปหรงจือจือเห็นเช่นนี้ ยังตกตะลึงอยู่เล็กน้อยแม้ท่านย่าจะเอ็นดูนาง แต่ก็ไม่ค่อยออกไปด้านนอก ดังนั้น นี่จึงเป็นครั้งแรก ที่นางสัม
สายตาที่ประจบของฮูหยินหลี่ มองไปทางหรงจือจือ “จือจือ ได้ยินว่าเจ้าเป็นสตรีผู้มีพรสวรรค์เป็นเลิศอันดับหนึ่งของเมืองหลวงมาตั้งนาน ไม่สู้เจ้าแต่งกวีเสียหนึ่งบท จะได้เปิดหูเปิดตาให้พวกข้าด้วย!”หรงจือจือกล่าวเสียงเรียบ “ข้าไม่ได้เตรียมตัว ให้คนอื่นแต่งดีกว่าเจ้าค่ะ”สีหน้าของฮูหยินหลี่ดูจะเก็บอาการไม่ค่อยอยู่แล้ว แต่ก็รู้ ว่าก่อนหน้านี้ตนเองประพฤติตัวไม่ดี หรงจือจือจะโกรธก็สมควร ดังนั้นจึงเดินไปตรงหน้าหรงจือจือเมื่อจับมือของนาง ขณะที่ยิ้มก็กล่าว “เจ้ามีความคิดที่ปราดเปรื่อง การแต่งบทกวีจำเป็นต้องเตรียมตัวเสียที่ใด? ตอนนี้สุ่มเขียนมาเสียหนึ่งบท คิดดูแล้วก็ดีมากแล้ว”หรงจือจือดึงมือของตนเองออกมาจากอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พูดขึ้นมาแล้ว ตอนนั้นป้าสะใภ้บอกว่า วันนี้ข้าไม่ได้รับเชิญไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”“ข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ จริง ๆ ก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควร ท่านเสนาบดี ทุกท่าน ขอให้เพลิดเพลินให้เต็มที่ ข้าขอตัวลาไปก่อนเจ้าค่ะ!”ขณะที่พูด หรงจือจือก็ลุกขึ้นเตรียมจะจากไปฮูหยินหลี่ตื่นตระหนกแล้ว จึงรีบกล่าว “นี่...จือจือ เข้าใจผิด! ล้วนเป็นเรื่องเข้าใจผิด! ป้าสะใภ้แค่เลอะเลือนไปชั่วขณะจึงพู
แม้หรงจือจือเห็นท่าทางของเซิ่งเฟิง ล้วนยังต้องหยิบผ้าเช็ดหน้ามาปิดมุมปากไว้เล็กน้อย ก็ไม่รู้ว่าเสิ่นเยี่ยนซูไปหาคนที่มีอารมณ์ขันเช่นนี้มาจากที่ใดช่างน่าสนุกยิ่งนัก!เดิมทีหรงเจียวเจียวไม่สบายใจ ยังถูกเซิ่งเฟิงก่อเรื่องเช่นนี้อีก ก็เกิดความคิดอยากตายขึ้นมาจริง ๆ แล้ว “ข้า ข้า...”คิดว่าวันนี้ชื่อเสียงของตนเองคงเสียหายเป็นแน่ นางจึงตัดสินใจทุ่มสุดตัวไปเลย!ขณะมองหรงจือจืออย่างดุร้ายก็กล่าวว่า “หรงจือจือ เจ้าตั้งใจขโมยงานแต่งของข้าใช่หรือไม่? เจ้าก็แค่ไม่อยากให้ข้ามีชีวิตที่ดี เจ้า...”หรงจือจือยังไม่ทันได้เอ่ยปากเสิ่นเยี่ยนซูก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “ไร้สาระ! เดิมทีก็เป็นของของนาง เหตุใดต้องพูดถึงการขโมยด้วย? เจ้าไม่ลองดูใบหน้าของลูกพี่ลูกน้องเจ้า และคิดดูอีกทีว่าควรจะพูดจาไร้สาระต่อไปหรือไม่”เพียงคำพูดเดียว ก็ทำให้หรงเจียวเจียวสั่นสะเทือนแล้วจากสีหน้าของเสิ่นเยี่ยนซู นางมองออก ว่าเขาไม่ได้กำลังล้อเล่นกับนาง หากตนเองโวยวายต่อไป มีหวังโดนตบหน้าจริง ๆ แน่เห็นนางสงบลงได้เสียทีฮูหยินหนิงกั๋วกงก็ยิ้มพลางกล่าว “ครั้งก่อนข้าไปงานเลี้ยงของสกุลฉี เห็นสกุลฉีวุ่นวายไปหมด แม่นา
เขาเอ่ยเน้นย้ำทีละคำอย่างชัดเจน “คุณหนูสามหรง เจ้าฟังให้ดี ก่อนหน้าวันนี้ แม้แต่หน้าตาของเจ้าเป็นเช่นไรข้าก็ยังไม่รู้ชัด ไม่เคยมีความคิดที่จะแต่งเจ้าเป็นชายาเลยแม้แต่น้อย”“ตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้ที่ข้าต้องการสู่ขอ ก็คือพี่สาวของเจ้ามาโดยตลอด หากเจ้ายังไม่เชื่อ ก็ลองกลับไปสอบถามบิดาของเจ้าดูเถิด”หรงเจียวเจียวส่ายศีรษะไปมา ไม่อาจยอมรับความจริงอันโหดร้ายนี้ได้นางยังคงคิดว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าหาใช่ความจริงไม่ แต่เป็นเพียงฝันร้ายอันน่าสะพรึงกลัวเท่านั้น นางยิ่งร่ำไห้สะอึกสะอื้นหนักกว่าเดิม “ไม่จริง เป็นไปได้อย่างไร... เป็นไปไม่ได้...”ในชั่วขณะนั้นเอง บ่าวรับใช้ของจวนตระกูลหลี่ ก็ได้พาเหวินหมัวมัวเข้ามาด้านในพอเหวินหมัวมัวเห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้า ก็รู้ได้ทันทีว่าคงเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นแล้วเป็นแน่เฉินเยี่ยนซูเหลือบมองเหวินหมัวมัวแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ดูท่าแล้ว เจ้าคงมาเพื่อจะบอกคุณหนูสามของเจ้ากระมัง ว่าแท้จริงแล้วผู้ที่ข้าต้องการหมั้นหมายด้วยคือผู้ใดกันแน่?”เมื่อท่านอัครมหาเสนาบดีเอ่ยถาม มีหรือที่เหวินหมัวมัวจะกล้าไม่ตอบ? นางรีบคุกเข่าลงกับพื้น ใบหน้าซีดขา
ครานี้ ทุกผู้คนต่างตกตะลึงงัน สายตาตำหนิหลายคู่พลันจับจ้องไปยังฮูหยินหลี่อะไรกัน! ในเมื่อไม่ได้หมั้นหมาย แล้วเหตุใดเจ้าจึงมาหลอกลวงพวกเรา? เช่นนั้นเมื่อครู่พวกเราก็ประจบเอาใจนางเสียเปล่าไปตั้งนานนะสิ?! เจ้ารู้หรือไม่ว่าการที่พวกเราต้องสรรหาคำเยินยอหรงเจียวเจียวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเมื่อครู่นั้น มันต้องสิ้นเปลืองความคิดอ่านไปมากเพียงใด? สมองแทบจะระเบิดอยู่แล้ว!ฮูหยินหลี่เองก็ตกตะลึงงันไปเช่นกัน ตามเหตุผลแล้ว นาวหวังไม่น่าจะวิปลาสถึงขั้นกุเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้! เมื่อเห็นสายตาตำหนิของผู้คนจับจ้องมา นางจึงพยายามอธิบายอย่างตะกุกตะกัก “ไม่... ไม่ใช่! ข้า... เจียวเจียว นี่มันเรื่องอันใดกันแน่!”หรงเจียวเจียวมองไปยังเฉินเยี่ยนซู ด้วยแววตาไม่อยากจะเชื่อ “ท่านอัครมหาเสนาบดี! ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าท่านจะเป็นคนเช่นนี้! ท่านเห็นข้าโกรธจนเอ่ยปากขอถอนหมั้น ท่านไม่คิดจะง้อก็แล้วไปเถิด แต่ยังจะกล่าวปดว่าไม่เคยมาสู่ขอข้าอีกอย่างนั้นหรือ?”เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ ประกอบกับเห็นท่าทางมั่นอกมั่นใจของหรงเจียวเจียว ผู้คนก็เริ่มรู้สึกสับสนขึ้นมาอีกครั้ง สายตาเต็มไปด้วยความกังขาจับจ้องสลับไปมาระหว่า
หรงเจียวเจียวชะงักไปครู่หนึ่ง “อ๊ะ?”จ้าวหมัวมัวกล่าวว่า “ท่านอัครมหาเสนาบดีคงต้องการจะแสดงอำนาจความเป็นสามี ทั้งยังต้องการจะดูท่าทีคุณหนูด้วยว่าจะยอมอ่อนข้อให้เขาหรือไม่ อย่างไรเสีย ฐานะฮูหยินของราชเลขาธิการผู้ทรงเกียรติ จะเป็นเพียงสตรีที่เอาแต่ใจตน พอเขาขุ่นเคืองก็เอาแต่ร้องขออภัยไปเสียทุกเรื่องไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”หรงเจียวเจียวมีสีหน้าลังเล “เป็นเช่นนั้นจริงหรือ?”จ้าวหมัวมัวกล่าว “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ต้องเป็นเช่นนี้เป็นแน่! คุณหนู ท่านต้องรู้จักแสดงความอ่อนแอบ้าง คนที่อยู่ในตำแหน่งสูงส่งและทรงอำนาจเช่นท่านอัครมหาเสนาบดี หรือจะยอมลดตัวลงมาง้อคุณหนูได้เล่าเจ้าคะ?”หากไม่เช่นนั้นแล้ว จะอธิบายได้อย่างไรว่าเหตุใดท่านอัครมหาเสนาบดีจึงจงใจสร้างความลำบากให้คู่หมั้นของตนต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้เล่า?เมื่อสองนายบ่าวปรึกษาหารือกันเสร็จสิ้นในที่สุดหรงเจียวเจียวก็รวบรวมความกล้าได้ นางรอจนกระทั่งบัณฑิตผู้หนึ่งแต่งบทกวีเสร็จสิ้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ท่านอัครมหาเสนาบดี... ข้ารู้ตัวว่าผิดไปแล้ว ท่านจะโปรดให้ข้าลุกขึ้นได้หรือไม่เจ้าคะ เจียวเจียวปวดเข่าเหลือเกิน พื้นก็ทั้งเย็นทั้งแข็
ทุกคนย่อมเห็นแผ่นหลังของหรงเจียวเจียวที่กำลังหันหลังจากไป และพอจะเดาได้ว่านางกำลังแสดงความเอาแต่ใจออกมาบรรดาสตรีที่สนิทสนมกับหรงเจียวเจียวต่างแอบตำหนิอัครมหาอัครมหาเสนาบดีเฉินอยู่ในใจ ว่าช่างไม่รู้จักถนอมบุปผาเทิดทูนหยกล้ำค่าเอาเสียเลย เหตุใดจึงไม่รู้จักไว้หน้าคู่หมั้นของตนเองเช่นนี้?เฉินเยี่ยนซูสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของหรงเจียวเจียวอยู่แล้ว จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หยุดอยู่ตรงนั้น!”ฝีเท้าของหรงเจียวเจียวพลันชะงัก นางคิดในใจ ในที่สุดเขาก็เรียกข้าแล้ว หรือว่าในใจเขายังคงเป็นห่วงข้าอยู่?นางแค่นเสียงหึเบาๆ แล้วหันไปมองเฉินเยี่ยนซู “ในใจของท่าน ไม่ใช่มีเพียงแต่พี่สาวของข้าหรอกหรือ? แล้วจะมารั้งข้าไว้อีกด้วยเหตุใด?”กล่าวจบ นางก็เช็ดน้ำตาพลางหันเสี้ยวหน้าอย่างดื้อรั้นให้เฉินเยี่ยนซูมองนางเชื่อว่าเมื่อเขาเห็นหยาดน้ำตาบนใบหน้าของนาง จะต้องสำนึกได้แน่ว่าตนเองทำผิดไปแล้ว นางเคยส่องกระจกพิจารณาดูตนเองยามร้องไห้อย่างละเอียดแล้ว รู้อยู่แก่ใจว่าท่าทางเช่นนี้จะยิ่งขับเน้นความงดงามแววตาของเฉินเยี่ยนซูเย็นชา “ในใจของข้ามีผู้ใดอยู่ ถึงตาเจ้ามาสอดปากวิจารณ์ด้วยหรือ?”หรงเจียวเจียวฟั
ถึงจะอยู่ที่บ้านตระกูลหลี่ แต่เมื่อนางทำผิด หากเฉินเยี่ยนซูไม่เอ่ยอนุญาต นางก็ไม่อาจนั่งได้เมื่อได้รับอนุญาตให้นั่งจากเฉินเยี่ยนซู หลี่เซียงเหยากลับยิ่งรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ นางรู้สึกราวกับว่าพี่เขยสาม ผู้นี้กำลังตบหน้านางอย่างแรง แล้วค่อยยื่นขนมหวานปลอบใจ ทว่าการตบหน้านี้ช่างหนักหน่วงเหลือเกินนางร่ำไห้ออกมา กล่าวด้วยน้ำเสียงตัดพ้อระคนน้อยใจ “ขอบคุณท่านอัครมหาเสนาบดีเจ้าค่ะ!”เมื่อครู่หรงเจียวเจียว ไม่ได้ออกหน้าช่วยนาง ตอนนี้จึงรีบเข้ามากล่าวกลบเกลื่อน “เหยาเหยา เห็นหรือไม่ ท่านอัครมหาเสนาบดียังคงให้ความสำคัญกับเจ้านะ ถึงได้อนุญาตให้เจ้าอยู่ในงานเลี้ยงแต่งบทกวีต่อ!”เฉินเยี่ยนซูเอ่ย “ย่อมต้องให้ความสำคัญ”หรงเจียวเจียวพลันยิ้มออก นางคิดว่าอย่างไรเสียท่านอัครมหาเสนาบดีก็ต้องไว้หน้านางบ้าง แต่คาดไม่ถึงว่าเฉินเยี่ยนซู จะเอ่ยประโยคถัดมาว่า “หากนางจากไปแล้ว ไม่มีนางอยู่ที่นี่เป็นข้อเปรียบเทียบ ผู้ใดจะรู้เล่าว่าจุดจบของการลบหลู่ท่านหญิงเป็นเช่นไร?”ทุกคน “…”เหล่าสตรีที่เมื่อครู่ร่วมวงนินทาหรงจือจือ ตอนนี้ต่างรู้สึกชาวาบไปทั้งศีรษะ!ส่วนหรงเจียวเจียวยิ่งหน้าเขียวคล้ำ นางเข้าใจในท
วันนี้หรงจือจือถึงได้รู้ว่า อันที่จริงเฉินเยี่ยนซูคนผู้นี้ใจดำอำมหิตเป็นอย่างมาก บางทีก่อนหน้านี้ที่เขาไม่รู้จักเจียวเจียวอาจเป็นเรื่องจริง แต่ตอนนี้ที่บิดเบือนความหมายของหรงเจียวเจียว เขาต้องจงใจเป็นแน่สายตาของทุกคนเองก็ตกไปที่ตัวหรงจือจือที่พวกเขากระแหนะกระแหนอยู่นานสองนานนี่...เหตุใดท่านเสนาบดีจัดการเรื่อง ไม่ให้หน้าหรงเจียวเจียวแม้แต่น้อยก็ช่างมันเถอะ ยังจะถามความเห็นของหรงจือจืออีก? นี่หากไม่รู้ ยังคิดว่าคู่ที่ดูตัวหมั้นหมายกัน เป็นหรงจือจือจริง ๆ เสียอีก!หรงจือจือทำทีท่าไม่เกี่ยวกับตน ตอบกลับชืด ๆ ว่า “เรื่องนี้ท่านเสนาบดีตัดสินใจก็พอเจ้าค่ะ”เฉินเยี่ยนซูพยักหน้า ก่อนจะกวาดสายตามองไปที่หรงเจียวเจียว “เจ้าแน่ใจหรือว่าจะถูกตบปากไปด้วย?”จากสายตาของเขา หรงเจียวเจียวมองออกว่า เขาพูดจริง และไม่ได้ล้อเล่นกับตน สีหน้าของนางก็ยิ่งซีดเผือดเข้าไปอีกนางรีบถอยหลังไปก้าวหนึ่ง “ข้า...ข้าไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้นเจ้าค่ะ!”หลี่เซียงเหยามองพี่หญิงสามของตนอย่างยากจะเชื่อทีหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะตนช่วยนางพูด ก็คงไม่ตกมาอยู่ในขั้นนี้ แต่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่อยากแยแสตนเฉินเยี่ยนซูกวาดสา