แชร์

บทที่ 8  

ผู้เขียน: สั่งไม่หยุด
เจาซีได้ยินเช่นนี้ ก็ตกใจจนหน้าซีดเผือดทันที ทว่าภายใต้ความขลาดกลัวและความดื้อรั้น ภายในใจกลับเกิดความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวขึ้นมาอย่างประหลาด ขณะที่กำลังคิดว่าในเมื่อฮูหยินจะตีตนเองให้ตายจริงแล้ว ก่อนที่นางจะต้องสิ้นใจตาย ต้องช่วยพูดเข้าข้างคุณหนูของตนเองสักสองประโยค

กลับคิดไม่ถึงเลยว่าหรงจือจือจะสืบเท้าเข้ามาหนึ่งก้าว เอาตัวเข้าขวางหน้าเจาซีไว้ แสดงเจตจำนงชัดเจนว่าห้ามมิให้ผู้ใดแตะต้องนาง

เจาซีเห็นเงาแผ่นหลังบอบบางอ่อนแอของคุณหนู แต่กลับรู้สึกว่ากว้างใหญ่ไร้สิ่งใดเปรียบ ริมฝีปากของนางสั่นไหวเล็กน้อย ในดวงตากำลังรื้นคลอด้วยน้ำตา “คุณหนู…”

บัดนี้ภายในใจของนางเกิดรู้สึกผิดขึ้นมาจนจะตายให้ได้ คุณหนูคอยเตือนสตินางไม่รู้กี่หนต่อกี่หน ให้เข้มแข็งหนักแน่น เงียบไว้อย่ามากวาจา เพราะด้วยฐานะของนางถึงอย่างไรแล้วก็เป็นเพียงแค่บ่าวรับใช้ ถูกจับผิดง่าย แต่เหตุใดหนอตนเองถึงไม่รู้จักจำใส่หัวไว้บ้าง!

นางหวังมองการกระทำของหรงจือจือ หัวคิ้วก็ขมวดขึ้นมา พร้อมถากถางอย่างรังเกียจ “เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอะไร? เจ้าคิดจะอกตัญญูต่อมารดา เพียงเพื่อปกป้องบ่าวชั้นต่ำคนหนึ่งหรือ?”

หรงจือจือมิได้สนใจความเจ็บปวดบนใบหน้าแล้ว สายตาที่มองนางหวังเย็นชาอย่างถึงที่สุด “ท่านแม่คิดมากเกินเหตุ เพียงแต่เจาซีเป็นสาวใช้ที่ท่านย่าซื้อตัวมาเพื่อปรนนิบัติรับใช้ลูก หากท่านมีคำสั่งให้โบยนางถึงชีวิต เกรงว่าท่านย่าคงไม่ยินดีแน่”

เจาซีทำอะไรผิดหรือ? อันที่จริงนางก็แค่อยากช่วยเปิดโปงความจริงที่หรงเจียวเจียวเข้ามายั่วยุโทสะตนเองก็เท่านั้น

ทว่าเจาซีไม่เข้าใจ สิ่งที่ท่านแม่ไม่โปรดปรานหาใช่เจาซีสอดปากไม่ดูสถานการณ์ที่ไหน สิ่งที่นางไม่โปรดปรานก็มีแต่บุตรีอย่างตนเองเท่านั้น! ฉะนั้น มารดาที่เห็นอะไรก็ขัดตาอยู่เป็นทุนเดิม มีหรือจะอนุญาตให้ตนเองและเจาซีออกปากแก้ต่าง?

นางหวังมีหรือจะฟังแล้วไม่เข้าใจ สิ่งที่เจ้าเด็กเวรคนนี้อยากจะสื่อ ก็คือขู่ว่าหากตนเองทำร้ายเจาซีจนสิ้นใจขึ้นมาจริง ๆ นางจะแจ้นไปฟ้องนายหญิงใหญ่ทันที!

ถ้อยคำนี้ทำให้สีหน้าของนางหวัง หมองคล้ำลงมาทันใด “นางเด็กอกตัญญู เจ้ากล้ายกท่านย่าของเจ้ามาข่มขู่ข้าหรือ!”

หรงจือจือตอบเสียงเบา “ท่านแม่พูดเกินเหตุ ลูกมิบังอาจเจ้าค่ะ ลูกเพียงแต่คิดด้วยความเป็นห่วงท่านแม่ กังวลใจว่าท่านแม่จะผิดใจกับท่านพ่อด้วยเหตุผลนี้ก็เท่านั้น”

ถ้อยคำนี้กระแทกไปถึงก้นบึ้งหัวใจของนางหวัง

หลายปีมานี้นายหญิงใหญ่ยิ่งไม่โปรดปรานลูกสะใภ้อย่างตนเองมากขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งไปกว่านั้นท่านพี่เองก็เป็นคนกตัญญูต่อบุพการี เพราะตนเองไม่สามารถทำให้แม่สามีพอใจได้ แม้ท่านพี่จะมิได้เอ่ยออกมา แต่กระนั้นก็มองออกว่าเขาเองก็มิได้พึงพอใจกับตนเองมากนัก

หากมีเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นประเด็นอีก จนทำให้นายหญิงใหญ่ไม่พอใจแล้วละก็ เกรงว่าท่านพี่คงขอแยกไปนอนที่ห้องหนังสือแน่ นางหวังรักมหาราชครูหรงจากใจจริง มีหรือจะทำใจยอมรับเรื่องนี้ไหว?

เมื่อใคร่ครวญกระจ่างแจ้ง นางหวังฝืนข่มไฟโทสะไว้ในใจ จ้องมองหรงจือจือพลางใช้วาจาแดกดัน “ลำบากเจ้าต้องมาเป็นห่วงแล้ว!”

หรงจือจือมีหรือจะคิดด้วยความเป็นห่วงตนเอง ชัดเจนแล้วว่าอีกฝ่ายรู้จุดอ่อนของตนเองกระจ่างแก่ใจ รู้ว่าสิ่งที่ตนเองเครียดและกลัวคืออะไร

หรงจือจือรู้ดี ที่ท่านแม่เอ่ยวาจานี้ออกมา ก็หมายความว่าเจาซีปลอดภัยแล้ว

ทว่าหรงเจียวเจียวยังคงไม่เข้าใจสิ่งที่แฝงอยู่ในนั้น จึงดึงมือของนางหวังไว้พร้อมเอ่ยว่า “ท่านแม่ ท่านเชื่อจริงหรือว่าพี่หญิงคิดคำนึงถึงท่าน? เจาซีก็เป็นแค่บ่าวรับใช้คนหนึ่งเท่านั้น นางเป็นห่วงสาวใช้ของตนเอง ไม่อยากให้ท่านตีนางจนสิ้นใจตาย ถึงได้ยกท่านพ่อมาอ้าง ท่านพ่อมีหรือจะคิดเล็กคิดน้อยกับท่านจริง!”

นางหวังมองนางปราดหนึ่ง ก่อนจะตัดบทด้วยเสียงหงุดหงิด “ช่างเถิด ไม่ต้องพูดถึงแล้ว!”

ทั้งที่เป็นบุตรของตนเองด้วยกันทั้งคู่ แต่บุตรีคนเล็กคนนี้ของนาง กลับมิได้เรียนรู้เอาความฉลาดของหรงจือจือมาด้วยเลยแม้เพียงสักนิด หากเจียวเจียวมีความฉลาดเฉลียวได้สักครึ่งหนึ่งของหรงจือจือ ตนจะลดความกังวลใจลงได้มากน้อยเท่าใดกัน?

หรงเจียวเจียวถูกนางหวังตะคอกใส่ ก็สะดุ้งตกใจ ไม่กล้าเสี้ยมให้มารดาฆ่าคนอีก

เพียงแต่แสดงท่าทางปกป้องนางหวัง พลางสอดสายตามองเจาซีที่อยู่ด้านหลังหรงจือจือ : “นางบ่าวชั้นต่ำ ท่านแม่ไว้ชีวิตเจ้าแล้ว เจ้ายังไม่รีบคำนับคุกเข่าขอบคุณอีกหรือ! โชคดีที่เจ้าได้เจอนายหญิงที่จิตใจกว้างขวางมีเหตุผลอย่างท่านแม่ของข้า ไม่เช่นนั้นต่อให้เจ้าจะมีสักกี่ชีวิตก็ไม่พอให้ฆ่าตายหรอก!”

หรงเจียวเจียวเกลียดหรงจือจือ ย่อมเกลียดสุนัขรับใช้ของหรงจือจือด้วย เจาซีในสายตาของหรงเจียวเจียว ก็คือสุนัขรับใช้ที่จงรักภักดีต่อหรงจือจือตัวหนึ่ง ประเภทที่ว่าแม้ไม่โยนกระดูกให้กิน ก็จะช่วยหรงจือจืออาละวาดกัดคนทำนองนั้น

นางหวังฟังจบ ก็รู้สึกว่าสมควรแล้วที่เจียวเจียวจะเป็นบุตรีที่ตนเองรักมากที่สุด คำพูดคำจารู้ใจเป็นที่สุด

เจาซีได้ยินถ้อยคำกลับขาวเป็นดำของเจียวเจียวแล้ว ก็โกรธขึ้นมาทันที

ใช่เพราะฮูหยินรู้เหตุรู้ผลมีจิตใจกว้างขวางจึงเว้นชีวิตตนเองที่ไหน เป็นเพราะคุณหนูของตนเองแย่งชิงโอกาสมีชีวิตรอดของนางไว้ได้ก่อนต่างหาก

ทว่าเพื่อเลี่ยงไม่ให้คุณหนูต้องลำบากใจอีก นางจึงคุกเข่าลง “ขอบพระคุณฮูหยินเจ้าค่ะ ที่ยกโทษให้ด้วยใจโอบอ้อมอารี!”

นางหวังปรายสายตามองนางอย่างดูแคลน และคร้านจะเอาใจไปคิดเรื่องของเจาซีแล้ว นางก็แค่บ่าวรับใช้ชั้นต่ำคนหนึ่งเท่านั้น

นางหันมามองหรงจือจือแทน : “เรื่องในจวนของเจ้า ข้าได้ยินมาหมดแล้ว! ช่างเป็นคนไร้ประโยชน์จริง ๆ ออกเรือนไปแล้วสามปี แม้แต่หัวใจของสามีตนเองยังเฝ้าเอาไว้ไม่ได้!”

“ก่อเรื่องน่าขายหน้าเช่นนี้ บัดนี้ยังมีใครในเมืองหลวงอีกที่ไม่นินทาว่าเจ้าไร้ประโยชน์? มีคุณธรรมอย่างนั้นหรือ มีแค่ชื่อเสียงคุณธรรมอย่างเดียวมันจะไปทำอะไรได้? ตราบใดที่คว้าใจบุรุษไว้ไม่ได้ ทั้งหมดนั่นมันก็เปล่าประโยชน์!”

“เขาไปแคว้นเจา เจ้าก็ไม่รู้จักเขียนจดหมายสักสองสามฉบับส่งไปหาเขา แสดงความคิดถึงห่วงใย ให้เขาพึงคิดถึงเป็นห่วงเจ้าเลยหรืออย่างไร? กลับปล่อยให้องค์หญิงแคว้นสิ้นเอกราชฉกฉวยโอกาสไป จนพวกข้าสกุลหรงต้องขายหน้าไปด้วย!”

หากเป็นเมื่อก่อน นางหวังจะต่อว่าตนอย่างไร จะก่นด่าตนอย่างไร หรงจือจือล้วนรับฟังและเก็บไปใส่ใจทั้งสิ้น

แต่บัดนี้ ทุกเรื่องราวที่สั่งสมรวมกันมา ทำให้หัวใจของนางเหนื่อยล้าเกินไปแล้ว นางไม่อยากอดทนอีกแล้ว

ด้วยเหตุนี้นางจึงเอ่ยอย่างราบเรียบ “ท่านแม่ ฉีจื่อฟู่จำเป็นต้องปลอมแปลงชื่อปกปิดที่อยู่เพื่อไปทำหน้าที่เป็นจารชน เขามิอาจรับจดหมายของลูกได้เจ้าค่ะ”

คนที่พอมีความรู้สักหน่อย ย่อมตระหนักได้ว่าคนที่ต้องออกไปเป็นจารชนนอกดินแดน เป็นเรื่องลับสุดยอดเพียงใด บางครั้งในดินแดนยังต้องสร้างภาพลวงว่าคนคนนั้นล้มหายตายจากไปแล้วก็มี หลอกลวงแม้กระทั่งคนในครอบครัวด้วยซ้ำไป

จะเอาอะไรไปส่งจดหมายหาเขา ติดต่อพูดคุยสารทุกข์สุกดิบ?

ท่านแม่ไม่มีทางไม่เข้าใจเหตุผลนี้ แต่ที่อีกฝ่ายพูดออกมาเช่นนี้ ก็แค่ไม่ชอบตนเองเท่านั้น กอปรกับคร้านจะครุ่นคิดถึงเหตุผลเหล่านี้ ฉะนั้นเมื่อคิดอะไรได้ก็ตำหนิเลยทันที

นางหวังสะอึกไป รู้สึกเสียหน้าอยู่ลึก ๆ เห็นชัดว่าตนเองเหมือนไร้หัวคิดอย่างไรอย่างนั้น

จึงดึงหน้าขรึมขึ้นทันที และเปลี่ยนประเด็นอีกครั้ง “เพราะฉะนั้นพอเจ้าเป็นภรรยาเอกของฉีจื่อฟู่ไม่ได้ ก็เลยกลับมาหาเรื่องน้องหญิงของเจ้า ขู่ขวัญรังแกน้องหญิงของเจ้าให้จบสิ้นไปพร้อมกันหรือ?”

“ข้าช่างมีกรรมจริง ๆ ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วข้าไปก่อกรรมทำเข็ญอะไรมา ถึงได้มีบุตรีชั่วช้าเหมือนอสรพิษอย่างเจ้า!”

“หากรู้แบบนี้ตั้งแต่แรก ตอนเจ้าเกิด ข้าน่าจะบีบคอเจ้าให้ตายไปเสียสิ้นเรื่อง! จะได้ไม่ต้องมีปัญหาวุ่นวายเกิดขึ้นเหมือนอย่างวันนี้!”

หรงจือจือเตือนสติด้วยคำพูดนุ่มนวล “ท่านแม่ ตอนข้าเกิด ท่านก็เคยบีบคอข้าไปครั้งหนึ่งแล้ว”

ควรเป็นนางมากกว่าที่ต้องถามว่า ชาติที่แล้วตนเองไปทำเรื่องเลวร้ายอะไรมา ถึงได้มีมารดาเลือกที่รักมักที่ชังและยังไร้เหตุผลเช่นนี้

นางหวังได้ยินก็ขึงตาใส่ทันที มองนางอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ไม่เคยคิดเลยว่าความลับนี้ หรงจือจือจะล่วงรู้ด้วย

นางตะคอกด้วยความโกรธทันที “ก็เป็นความผิดเจ้า! แค่ตอนเกิดมาก็คลอดยากแล้ว หันเท้าออกมาก่อนได้อย่างไร ทำให้ข้าเจ็บจนเกือบตายแล้วแท้ ๆ! ดูอย่างน้องหญิงของเจ้าสิ ข้าแทบไม่ต้องออกแรงเบ่งอะไร ก็คลอดออกมาได้สบาย นี่สิถึงจะเรียกว่าเด็กรู้จักบุญคุณ!”

“แต่เจ้า! วันที่เจ้าคลอดออกมา ข้าก็รู้แล้วว่าเจ้ามาเพื่อทวงแค้น! มิเช่นนั้น เจ้าจะอกตัญญูไม่รู้บุญคุณ ทรมานมารดาเจ้าจนเกือบตายได้อย่างไร?”

“บัดนี้ยิ่งแล้วใหญ่ เกือบพรากเอาชีวิตข้าไปแล้วยังไม่พอ ยังต้องถูกคนสกุลฉีลดขั้นให้เป็นเพียงอนุ ลากข้าไปอับอายขายหน้ากับเจ้าด้วย!”

“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าวันนี้เจ้าจะกลับมาให้มันได้อะไร เหตุใดเจ้าถึงไม่ผูกคอตายที่เรือนสกุลฉีไปเสียก็สิ้นเรื่อง หากเป็นเช่นนี้พวกข้ายังพอแห่ไปทวงความยุติธรรมจากสกุลฉี เรียกร้องชื่อเสียงเกียรติยศกลับคืนสู่คนในสกุล จะได้ไม่พาลกระทบไปถึงเรื่องสมรสของน้องหญิงเจ้าหลังจากนี้ด้วย!”
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 475

    นี่คือคำพูดที่ออกมาจากปากท่านแม่ได้จริง ๆ หรือ? ไม่ว่าจะว่าอย่างไร หรงจือจือก็เป็นลูกที่ท่านแม่อุ้มท้องมาสิบเดือนจนคลอดนะ!หรงเจียวเจียวเอ่ย “แต่ว่าท่านแม่ หากท่านพ่อรู้เข้า จะดีได้อย่างไร?”หรงจือจือมองหรงซื่อเจ๋อทีหนึ่ง แล้วหัวเราะเย้ยหยันทีหนึ่ง “น้องรองพูดถูก พวกนางสนใจข้าด้วยใจจริงจริง ๆ”และไม่ได้มีความตั้งใจจะกดน้ำเสียงแต่อย่างใดนางหวังและหรงเจียวเจียวที่อยู่ด้านใน พลันเงียบเสียงไปทันใดหรงจือจือย่างเท้าเดินเข้าไปนางหวังหันกลับมาด้วยความไม่สบอารมณ์ พลางมองหรงจือจือแล้วกล่าวว่า “เจ้ามาทำไม?”หรงจือจือ “ข้ามีบางอย่างอยากจะพูดกับน้องสามเป็นการส่วนตัว แต่คิดไม่ถึงว่าจะมาได้จังหวะพอดี ถึงกับทำให้ฮูหยินกับน้องสามเสียเวลาในการหารือวางแผนทำร้ายข้า”“แต่พวกท่านไม่ต้องร้อนใจไป เดี๋ยวพอข้าออกไปแล้ว พวกท่านปรึกษาหารือกันต่อก็สิ้นเรื่องแล้ว”คิดวางแผนทำร้ายคนอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร ครั้นนางหวังกับหรงเจียวเจียวได้ยินถึงตรงนี้ หน้าก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อยยิ่งอดไม่ได้ที่จะถลึงตาใส่สาวใช้ของพวกนาง เจ้าพวกไร้ประโยชน์ ไม่คิดเลยว่าจะประมาทเลินเล่อขนาดนี้ ไม่รู้จักเฝ้าอยู่ข้

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 474

    ดังนั้นตอนที่นางเซี่ยบอกให้เขาพิจารณาจงเจิ้งอวี๋ดู เขาจึงปฏิเสธไปทว่าสภาพของพี่ใหญ่ในวันนี้...ในจวนแห่งนี้มีบุตรชายสายตรงเพียงพวกเขาสองคน เรื่องมีลูกหลานสืบสกุล คงหวังพึ่งได้แค่ตนแล้ว พูดตามตรง ในเรื่องนี้พี่ใหญ่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์โดยรวมเท่าตนบางทีผู้ที่รู้รสชาติแห่งความรัก ถึงได้เป็นเช่นนี้กระมังเขาเพียงโชคดี โชคดีที่ตนไม่เข้าใจความรัก!นางเซี่ยมองเขาทีหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างเหนื่อยล้า มีบุตรชายทำตามการจัดการของตนสักคนก็ดี บุตรชายคนโตคงบีบไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้วจริง ๆ...จวนสกุลหรง หลังจากอ่านราชโองการจบคนสกุลหรงรับพระประสงค์พร้อมกัน กระทั่งหรงเจียวเจียวที่ถูกเฆี่ยน ไม่ให้คนประคองลุกขึ้นมาจากเตียงไม่ได้ และคุกเข่าร่วมฟังด้วยกันครั้นฟังจบสีหน้าของนางก็ซีดเผือดไปหมดเพียงเพราะฝ่าบาทมีพระราชโองการมา คิดว่าเรื่องที่จะสลับเกี้ยวเกรงว่าจะไม่สำเร็จแล้ว เช่นนี้จะเป็นการหลอกลวงฮ่องเต้สีหน้าของนางหวังเองก็ปั้นยากเช่นกันไหนเลยเฉินเยี่ยนซูจะสนใจความรู้สึกของพวกนางสองแม่ลูก มองไปที่หรงจือจือเท่านั้น พร้อมเอ่ยขึ้นทั้งหูที่แดงเล็กน้อย “เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อนนะ”หรงจือจือ “

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 473

    ครั้นเฉินเยี่ยนซูเห็นนางทำเช่นนี้ และยังได้ยินคำพูดเช่นนี้ ความเย็นเยียบที่กลอกไปมาอยู่ในนัยน์ตาหงส์ ก็พลันสลายไป เป็นความกระตือรือร้นและรอยยิ้มไม่ขาดสายจากนั้นก็พลิกไปจับมือของนางด้วยความทะนุถนอมเป็นอย่างมาก พร้อมเอ่ยขึ้นอย่างขึงขังว่า “แน่นอนอยู่แล้ว ข้าจะขอให้แต่งตั้งเจ้าเป็นฮูหยินแห่งแคว้นขั้นหนึ่ง”“ฮูหยินตราตั้งขั้นหกอะไร ไม่คู่ควรกับเจ้าเลยแม้แต่น้อย”ครั้นเขาพูดจบ รถม้าก็หยุดลงพอดีคนขับรถม้าเปิดประตูรถม้าออก คำพูดนี้ของเขาย่อมเข้าไปในหูของเซิ่งเฟิงที่อยู่ด้านนอกเช่นกัน เซิ่งเฟิงอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นแล้วกลอกตาขาวทีหนึ่งอีกครั้งเยี่ยมไปเลย นี่ท่านเสนาบดีเหยียบขึ้นไปบนอดีตสามีของท่านหญิงแล้ว!ไหนเลยที่หรงจือจือจะไม่เข้าใจ จู่ ๆ เขาก็เอ่ยถึงฮูหยินตราตั้งขั้นหกเพื่ออะไร? วันนี้ก็เพิ่งรู้เช่นกัน ดูท่าท่านเสนาบดีที่อยู่เหนือผู้คน เย็นชาและลำพอง ไม่คิดเลยว่าจะมีความคิดเปรียบเทียบพวกนี้ด้วยนางกลั้นขำ ไม่ให้มีเสียงออกมาส่วนเฉินเยี่ยนซูมองไปนอกรถ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงชืด ๆ ว่า “ราชโองการสมรส ประกาศเสียตอนนี้เถอะ”เซิ่งเฟิง “ขอรับ”...ในขณะที่คนสกุลหรงรับราชโองการน

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 472

    เมื่อครู่นางเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ได้รับความหนาวเย็นเล็กน้อย แต่ไม่ได้เป็นอะไรมาก หลังกลับไปท่านเสนาบดีจะต้องกินน้ำขิงติดต่อกันสามวัน หนึ่งวันไม่ต่ำกว่าสามครั้ง”เฉินเยี่ยนซูยังเม้มริมฝีปากบาง ในใจกระวนกระวายไปหมดหรงจือจือ “ท่านเสนาบดี?”เขาได้สติกลับมา ในตอนนี้ถึงพยักหน้าอย่างไม่แยแส “ดื่มน้ำขิงสามวันใช่หรือไม่? ข้าจะจำเอาไว้”เห็นอีกฝ่ายแสร้งทำเป็นสงบนิ่ง หรงจือจือก็คิดว่าอย่างไรตนก็ควรไว้หน้าเขาสองสามส่วน ฉะนั้นครานี้นางจึงไม่ได้โพล่งหัวเราะออกมาอีกหลังเงียบอยู่ครู่สั้น ๆท่านราชเลขาธิการก็อดกลั้นเอาไว้ไม่ไหว อดกลั้นเอาไว้ไม่ไหวจริง ๆ ก็ยังเอ่ยถามขึ้นว่า “นางเซี่ยยังไม่ละทิ้งความคิดชั่วร้ายเช่นเดิมหรือ?”หรงจือจือมองเขาทีหนึ่งเขารีบแสร้งทำเป็นไม่แยแส “ข้าเพียงแค่เอ่ยปากถามส่ง ๆ เท่านั้น อันที่จริง...”ทีแรกเขาอยากจะเอ่ยว่า อันที่จริงตนไม่ได้สนใจอะไร ปิดหูปิดตาหรงจือจือต่อ ซ่อนความคิดของตนทว่าเมื่อคำพูดนี้มาถึงข้างปาก ท่านราชเลขาธิการก็รู้สึกว่า หากบอกว่าตนไม่สนใจ ก็ฝืนตัวเองเกินไปจริง ๆกระทั่งดูปลอมจนเขายากจะรับไหวเล็กน้อยจึงหยุดไปทั้งดื้อ ๆหรงจือจือเ

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 471

    กระทั่งนางอดกลั้นเอาไว้ไม่ไหว อยากจะเล่าถึงความพยายามทั้งหมดของอู๋เหิงที่ทำในจวน และการต่อกรที่ทำกับตนเพื่อให้ได้แต่งงานกับหรงจือจือ ให้หรงจือจือฟังในคราวเดียว“ที่จริงหลายวันมานี้ อู๋เหิงเพื่อ...”หรงจือจือพูดขัด “พระชายาซื่อจื่อ ในเมื่อไร้วาสนา เช่นนั้นคำพูดพวกนี้ก็ไม่จำเป็นต้องพูดอีกแล้ว บางทีในอนาคตข้ากับคุณชายใหญ่ อาจจะได้พบเจอกันอีก ตอนนี้รู้เยอะเกินไป เมื่อเจอกันในอนาคตอาจอึดอัดใจ”ครั้นนางเซี่ยฟังถึงตรงนี้ ในใจก็เย็นเยียบไปโดยสิ้นเชิง ไหนเลยจะไม่เข้าใจ นี่หรงจือจือไม่พิจารณาเลยแม้แต่น้อยแม้จะรู้สึกว่าตนพูดเช่นนี้จะไร้ยางอายเกินไปเล็กน้อย ทว่าเพื่อบุตรชายแล้ว นางก็ยังก้มหน้าแล้วเอ่ยว่า “เจ้าไม่เรียกท่านแม่เลยแม้แต่น้อย? ก่อนหน้านี้แม่คิดถึงเจ้าทุกเรื่อง มักจะช่วยเจ้าพูด...”หรงจือจือถอนหายใจเบา ๆ ทีหนึ่ง ทีแรกนางไม่ยอมพูดให้ชัดเจน กลับยิ่งทำให้ดูเหินห่างอย่างชัดเจน ทว่าในเมื่อนางเซี่ยคิดจะบีบให้ตอบแทนบุญคุณหรงจือจือเองก็ทำได้เพียงต้องเอ่ยว่า “พระชายาซื่อจื่อ ชายาอ๋องผู้เฒ่านางเป็นคนดีจริง ๆ แต่ขอท่านอย่าลืมว่า ข้าเป็นคนช่วยชายาอ๋องก่อน”หลายปีมานี้ชายาอ๋องดีกับตนทุกเรื่

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 470

    เหอะๆ หากหรงจือจือกลายเป็นหญิงปากร้ายจริงๆ เขาจะคอยดูว่าท่านราชเลขาธิการยังจะได้อยู่อย่างสงบสุขอีกหรือไม่! ท่านราชเลขาธิการเลอะเลือนไปแล้ว แม้แต่เรื่องแบบนี้ก็จะสนับสนุนหรือ?……หรงจือจือตามเฉินเยี่ยนซูออกจากวังนึกไม่ถึงว่านางเซี่ยจะยังไม่จากไป กำลังรอพวกนางอยู่นอกวังนางเซี่ยมีสีหน้ากระอักกระอ่วน เอ่ยถามว่า “จือจือ ข้าขอคุยกับเจ้าได้หรือไม่?”หรงจือจือลังเลเล็กน้อย นึกถึงการดูแลที่พระชายาอ๋องเฉียนมีต่อตัวเองตลอดหลายปีมานี้ ก่อนหน้านี้นางหลงผิด พูดแนะนำให้ฉีอวี่เยียนแต่งไปอยู่บ้านพวกเขา พวกเขาก็ไม่เคยถือโทษเรื่องนี้แต่อย่างไร มิหนำซ้ำ วันนี้นางเซี่ยก็ช่วยขอความเมตตาให้กับนางด้วยเหตุนี้จึงตอบตกลงนางเห็นไปมองเฉินเยี่ยนซูที่เม้มปากเหมือนไม่สบอารมณ์ “ผมของท่านราชเลขาธิการยังแห้งไม่สนิท ด้านนอกอากาศหนาว ท่านไปรอข้าบนรถม้าก่อนเถิด”เฉินเยี่ยนซู “ได้”เขาเหมือนจะเชื่อฟังดีมาก มีเพียงเซิ่งเฟิงที่มองออกว่าเขากำลังอดทนที่จะไม่โยนนางเซี่ยออกจากแคว้นต้าฉีผู้ใดจะมองไม่ออกกันว่านางเซี่ยยังคิดที่จะโน้มน้าวอยู่?น่าเสียดาย เวลาอยู่ต่อหน้าภรรยา เขาจำเป็นต้องแสร้งทำเป็นสุภาพอ่อนโยนเข้าไว้

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status