สิ้นประโยคใบหน้าที่ยิ้มพรายแปรเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกมิอาจกักเก็บความรู้สึกได้อีกต่อไป
“เสด็จแม่หมายความว่ายังไงนะเพคะ” ร่างเล็กยืนตัวสั่น ผินหน้าสลับไปมาระหว่างก้อนเนื้อกลิ่นเหม็นเน่า และพระมารดาของนาง
“เด็กดี” รู้อยู่แล้วว่านางจะต้องปฏิเสธ หลี่หย่าถิงชื่นชอบสีหน้าเช่นนั้นของบุตรสาวเสียจริง สิ้นหวัง เคียดแค้น และเจ็บปวด “ลูกสาว...ที่ล้ำค่าของข้า เมื่อครู่เจ้าเป็นคนพูดเองว่า อายุสิบเจ็ดแล้ว แต่กระนั้นก็ยังไม่มีชายใดมาสู่ขอ ข้าเองก็ปฏิบัติตนเป็นมารดาที่ดี มอบบุรุษให้เจ้าหนึ่งคน”
“เสด็จแม่ ละ...ลูกไม่ต้องการ” นางกำลังคิดหาวิธีเอาตัวรอดจากสถานการณ์เช่นนี้ ผู้ที่จะช่วยพูดให้นางได้คือเสด็จพ่อ เวลานี้มีเพียงเสด็จพ่อเท่านั้น
คล้ายกับรู้อยู่แล้วว่า บุตรสาวที่แสนน่ารักของตนกำลังคิดสิ่งใดอยู่
“ราชบุตรเขยไม่อยู่น่ะ ได้ยินว่า เสด็จพ่อของเจ้าออกไปบำเพ็ญพรตที่ภูเขาเซียน แต่อย่าเป็นห่วงไปเลยเด็กดี” นางจับเส้นผมของหลี่จื้อฉิงมาม้วนเล่น จากนั้นจึงเปลี่ยนไปเป็นการใช้กรงเล็บ ไล่จิกไปที่หนังศีรษะของบุตรสาว “หรือเจ้าไม่ชอบของขวัญที่แม่มอบให้” น้ำเสียงของหลี่หย่าถิงที่กล่าวกับบุตรสาวนั้นเยือกเย็นจับใจ
“เสด็จแม่ หม่อม...ฉัน...” คนตัวเล็กปรายตาจ้องมองไปที่ก้อนเนื้อเน่าเหม็นที่จับจ้องมาที่นาง แววตาเต็มไปด้วยการดูถูกและเหยียดหยาม
“ข้าให้เจ้าเลือกระหว่าง แต่งงานอยู่กินกับสามีที่แม่หาให้ หรือว่า... ให้ข้าส่งบิดาของเจ้าไปสวรรค์ เจ้าไม่อยากพบหน้าบิดาของเจ้าแล้วหรือ จือจือน้อยของแม่จะเป็นเด็กอกตัญญูงั้นหรือ”
แน่นอนว่านางย่อมต้องเลือกชีวิตของบิดา เขาเป็นผู้เดียวที่ดีต่อนาง นางมิอาจทำให้เขาต้องเดือดร้อนไปด้วยได้ จนถึงเวลานี้นางเริ่มเชื่อข่าวลือที่บอกว่าตนนั้นไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ขององค์หญิงใหญ่หลี่หย่าถิงผู้นี้แล้ว แววตาและการแสดงออกต่าง ๆ นานา ในช่วงเวลาที่ผ่านมาล้วนแล้วแต่ไร้ซึ่งความห่วงใย
“เพคะ หม่อม...ฉันจะแต่งงาน หม่อมฉันจะแต่งงานกับเขา”
มือที่จิกศีรษะของหลี่จื้อฉิงถูกคลายออก ร่างเล็กถูกผลักให้ไปนั่งเคียงข้างก้อนเนื้อเหม็นเน่า กลิ่นที่ลอยโชยออกมาจากตัวของบุรุษที่นั่งข้างกายนางเหม็นจนนางรู้สึกคลื่นเหียน
เจ้าก้อนเนื้อตัวเหม็นถูกบังคับให้กราบไหว้ฟ้าดินพร้อมกับสตรีตัวร้าย หลี่จื้อฉิงมองบุรุษที่หาความงามไม่ได้อย่างรังเกียจเดียดฉันท์
ทั้งสองคนถูกพาตัวกลับไปที่เรือนไข่มุกอันเป็นที่พำนักของหญิงสาว เมื่อมาถึงพบว่า ห้องของนางถูกประดับด้วยอักษรมงคล บนเตียงนอนของนางมีผ้าแพรสีขาววางเอาไว้บนนั้น นางอายุไม่น้อยแล้วย่อมรู้ดีว่าพวกเขาต้องการสิ่งใด
“ท่านหญิง องค์หญิงบอกว่า ขอให้ท่านและท่านเขยใช้ค่ำคืนนี้อยู่ด้วยกันพ่ะย่ะค่ะ” ตรวนในมือของก้อนเนื้อเหม็นเน่าถูกราชองครักษ์ปลดออกทั้งหมด โดยมิได้สนใจว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับสตรีตัวเล็กที่อยู่ด้วยกันหรือไม่
สิ้นประโยคทุกคนตรงนั้นก็ย้ายตัวเองออกไปยืนห่างไกล
เมื่ออยู่กันตามลำพังหลี่จื้อฉิงก็เริ่มเปิดปากสนทนากับเขา
“หยุดอยู่ตรงนั้น ไม่ต้องเดินเข้ามา” นางชี้นิ้วออกคำสั่งอย่างวางอำนาจ
“...” เขาเองก็ไม่ได้อยากจะเข้าไปใกล้สตรีเช่นนาง จึงได้แต่ยืนนิ่งอยู่ไม่ห่างจากหน้าประตูนัก
ชายหนุ่มประเมินสถานการณ์ เขาอยากรู้ว่า ลูกสาวของหลี่หย่าถิงจะเก่งกาจเพียงไหน แต่ดูท่าแล้วคงเป็นสตรีธรรมดาที่ไร้วรยุทธ์ ขอแค่เพียงเขาแย่งชิงกำไลที่อยู่บนข้อมือนางมาได้ แม้นจะต้องตัดแขนตัดขานางเขาก็จะทำ
“เจ้าไม่ได้อาบน้ำมากี่วันแล้ว” นางอุดจมูก พยายามจุดกำยานเพื่อให้กลบกลิ่นที่ลอยโชยออกมาจากตัวเขา
“...” เขาไม่ได้ตอบ ทำแค่เพียงแสยะยิ้มเท่านั้น
“ข้าถามทำไมไม่ตอบ” คนตัวเล็กหันไปโวยวาย
“เมียจ๋า...คืนนี้เรามาสนุกกันเถอะ” ท่าทางดุร้ายราวกับนางสิงห์ ไช่เสิ่งเจี๋ยจู่ ๆ ก็มีความคิดอยากจะกลั่นแกล้งนาง
กาน้ำชา ข้าวของที่นางพอจะหยิบฉวยได้ถูกเขวี้ยงใส่บุรุษที่ตัวเหม็น
“ต่อให้ต้องตาย ข้าก็จะไม่เป็นภรรยาเจ้า” หลี่จื้อฉิงโวยวาย มันต้องมีวิธีที่จะทำให้นางผ่านพ้นคืนนี้ไปได้ คนตัวเล็กคิดหากลอุบาย
เจ้าก้อนเหม็นเน่าเดินเข้ามาใกล้นางยิ่งขึ้น คนตัวเล็กย่นจมูก ทำจมูกฟุดฟิดราวกับได้กลิ่นอะไรบางอย่าง สายตามองไปยังโถกำยานกลิ่นควันลอยฟุ้งในอากาศ
“กำยานปลุกกำหนัด” ร่างเล็กทรุดตัวลงกับพื้น พวงแก้มขาวเนียนเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ ที่แท้ไม่ใช่แค่อักษรมงคลเท่านั้น หลี่หย่าถิงยังใช้กำยานปลุกกำหนัดหมายจะให้นางร่วมหอกับเขาคืนนี้ให้ได้
หญิงสาวมองไปที่ชายตัวเหม็น ท่าทางเขาไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านกับสิ่งที่เกิดขึ้น กำยานชนิดนั้นคงจะใช้ได้ผลกับนางแค่เพียงคนเดียว
“หลี่หย่าถิงคนสารเลว” เขาสบถออกมาก่อนจะมองไปที่ก้อนเนื้อสีขาวที่นอนทุรนทุรายอยู่บนพื้น “ท่านหญิงจื้อฉิง ท่านเป็นบุตรสาวของนางจริง ๆ หรือ” ชายหนุ่มปรายตามองแล้วถามคำถามอย่างไม่เข้าใจนัก
“หุบปากของเจ้าเสีย” คนตัวเล็กชี้หน้าของอีกฝ่าย ร่างกายร้อนรุ่มประดุจถูกเปลวไฟแผดเผา “มันต้องมีวิธี มันต้องมีวิธี” หลี่จื้อฉิงพึมพำ
“อ้อนวอนข้าสิ อ้อนวอนขอร้องให้ข้าช่วย” ไม่มีใครต้านฤทธิ์ของกำยานนี้ได้ ยกเว้นเขาที่ถูกวางยาพิษสารพัดชนิดมาตั้งแต่ยังเด็ก อีกทั้งโลหิตของเขายังมีคุณสมบัติในการต้านทานพิษทุกชนิด ขอแค่เพียงนางอ้อนวอน อ้อนวอนเขา
“ข้าไม่ขอร้องคนชั้นต่ำเช่นเจ้า” หลี่จื้อฉิงบริภาษ
พิษกำยานเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ไหนจะต้องต่อสู้กับการถูกวางยา อีกทั้งยังต้องทำให้เสด็จแม่เชื่อว่า นางร่วมรักกับเขาไปแล้วในคืนนี้ หัวสมองของหญิงสาวคิดพิจารณาเรื่องราว
ก้อนเนื้อเหม็นเน่าเดินมาหยุดต่อหน้านาง คุกเข่าเชยคางกลมมนขึ้นมาเชยชม น่าเสียดายที่เขาและนางพบกันในสถานการณ์เช่นนี้
“ท่านหญิงจื้อฉิง อย่างน้อยเราสองคนก็กราบไหว้ฟ้าดินกันแล้ว ให้ข้าช่วยเหลือท่านเถอะนะ”
ถุย!! หญิงสาวถ่มน้ำลายใส่หน้าของอีกฝ่าย
“คนชั้นต่ำและสกปรก อย่าได้คิดจะมาแตะต้องตัวข้า”
“ก็แล้วแต่เจ้า” เขาไม่ได้ยี่หระสนใจในตัวนางอยู่แล้ว
มีดพกเล่มเล็กที่นางแอบซ่อนเอาไว้ ถูกชักออกมาจากฝัก หลี่จื้อฉิงหมดหนทางแล้ว นางหวังว่าความเจ็บปวดจากบาดแผลจะช่วยทำให้ ความต้องการในเรื่องเช่นนั้นลดน้อยลงไป คนตัวเล็กค่อย ๆ คลานไปหยุดอยู่ที่เตียงนอนของตนเอง ที่มีผ้าแพรสีขาวถูกกางเอาไว้บนนั้น
“ที่มือไม่ได้ ที่แขนและขาก็ไม่ได้” หลี่จื้อฉิงพึมพำ หญิงสาวหลับตาลง ชายเสื้อตัวบางที่นางสวมใส่ถูกถลกขึ้นเล็กน้อย
ภายใต้การเฝ้ามองของก้อนเนื้อเหม็นเน่า เขาเองก็อยากรู้ว่านางจะจัดการทุกอย่างเช่นไร ก่อนที่นางจะตัดสินใจใช้มีดเล่มเล็กเล่มนั้นเฉือนไปที่เอวของตนเอง ผ้าแพรสีขาวบนที่นอนถูกหลี่จื้อฉิงใช้เช็ดซับโลหิตสีแดงฉาน ก่อนที่สุดท้ายนางจะทนความทรมานไม่ไหวสลบไป
เป็นเพราะทั้งซื่อหานและหงหลางต่างก็เป็นเทพและมารที่อยู่มาในยุคฟ้าปางก่อน เป็นเทพมารบรรพกาลที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่องค์ในยุคนี้ การที่ทั้งคู่คบหากันจึงไม่มีใครคัดค้านแม้กระทั่งเทียนตี้เองก็มิกล้ามีปากมีเสียง คงเพราะหวั่นเกรงกลัวว่า มหาเทพซื่อหานจะบุกมาพังตำหนักของตนไม่ก็ถูกมหาจอมมารขโมยผลไม้เซียนที่เขาปลูกเอาไว้ จึงปล่อยเลยตามเลยทำปิดหูปิดตาไม่สนใจ แม้จะกังวลเรื่องการรวมดินแดนเพียงไหนก็ตามในอดีตนางและเขาทะเลาะกันจนทำให้ดินแดนทั้งสองแยกขาดจากกัน นางแกล้งเขาด้วยการสร้างโซ่เส้นหนึ่งขังเขาเอาไว้ในตำหนัก หงหลางโกรธจัด นับตั้งแต่นั้นมา สองดินแดนจึงถูกแยกออกจากกัน ถึงเวลาที่เขาและนางจะช่วยกันรวมดินแดนผนึกแผ่นดินเข้าหากันอีกครั้งหนึ่งกลายเป็นว่าสิ่งที่หลันเว่ยลงมือกระทำไปทั้งหมดเป็นการช่วยส่งเสริมให้ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาวะเดิมอย่างที่สามภพเคยเป็น มารและเทพกลับมาคบหากันอย่างเปิดเผย อยู่ภายใต้ขอบเขตศีลธรรมอันดีงาม“ท่านพ่อท่านแม่อยู่ไหน” คุนอวี่ถามหาบิดาและมารดา จากเกาเจี๋ยและสือโต้ว
เพราะท่านพ่อท่านแม่กำลังอยู่ในช่วงเวลาปรับความเข้าใจกัน เด็กชายเบื่อ ๆ ไม่อยากรบกวนเวลาของพวกท่าน จึงออกไปเที่ยวเล่นดังเช่นปกติ แต่วันนี้ดันเตลิดเลยออกมาห่างจากตำหนักวิเวกของมารดาเกินไปสักนิด เดิมทีก้อนแป้งเองก็สนุกสนานกับการสำรวจสิ่งต่าง ๆ อยู่แล้ว รวมถึงมีตบะกลิ่นอายเซียนและมารผสมรวมกันอยู่ ปีศาจหรือเซียนระดับล่างมิอาจทำร้ายเขาได้ และทำให้เขาสามารถเข้าออกได้ทุกหนแห่งในสามภพป่าแถบนี้ประหลาดนัก ไร้เสียงของสัตว์สวรรค์ เด็กชายเดินเตร็ดเตร่ไปรอบ ๆ สายตาเหลือบไปเห็นดอกบัวสีทองอร่ามงดงามจับใจอยู่กลางบึงน้ำสีครามสวย“เจ้าดอกบัว” หากเก็บไปให้มารดาและบิดาเป็นของขวัญคงจะดีไม่น้อย เมื่อคิดแล้วก็ลงมือ กระบี่ที่บิดาเป็นผู้หลอมให้เป็นของขวัญถูกนำออกมา ก้อนแป้งน้อยเขวี้ยงกระบี่ออกไปหมายจะตัดดอกบัวสีทองออกมาจากบึงแต่ไม่เป็นอย่างที่เขาคิด ดอกบัวดอกนั้นหลบหลีกกระบี่มารของบิดาได้ ผ่านไปครู่หนึ่งดอกบัวสีทองก็แปลงกายเป็นสตรีใบหน้างดงาม“คุณชาย อย่าทำร้ายข้า” นางอ้อนวอนทั้งน้ำตา&ldq
หงหลางกางข่ายอาคมของตนเองครอบคลุมสวนดอกท้อซื่อหานตกใจ ร้องเสียงหลง“เจ้าจะทำอะไร”“ข้าไม่อยากให้ใครมาแอบดูพวกเราสองคนทำอะไรกัน” เขาไม่พูดเปล่า แต่มือไม้ยังวุ่นวายกับร่างกายของนาง“หงหลางหยุดก่อน” นางผายมือขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นข่ายอาคมของนางเอง“...” ชายหนุ่มทำหน้าประหลาดใจ“ชะ...ใช้ของข้า คนอื่นจะได้ไม่งงว่า เกิดอะไรขึ้นที่ตำหนักวิเวก” นางกล่าวอึกอักหงหลางยิ้ม “เจ้านี่น่ารักจริง ๆ น่ารักมาตั้งแต่หลายหมื่นปีก่อน” ท่าทางเขินอายของนางทำเอาเขาอดเอ็นดูไม่ได้เสื้อผ้าของนางถูกถอดออกอย่างรวดเร็ว จนร่างกายเปลือยเปล่าส่วนตัวของเขาเองก็เช่นกัน ผู้เป็นจอมมารขบเม้มร่างกายของนางจนเป็นรอยตราสีแดงไปทั่วทั้งร่าง กลืนกินทุกสัดส่วนอย่างโหยหา กลิ่นนี้ น้ำเสียงนี้ และความรู้สึกนี้ที่เขาเฝ้าตามหามาโดยตลอด ในที่สุดนางก็กลับมาปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกครา“ซื่อหาน ข้าคิดถึง
ทรมานอยู่บนโลกมนุษย์อยู่หนึ่งร้อยปี ไร้รัก ไร้ทายาท ปกครองแผ่นดินเฉียนซีตามปณิธานของหลี่จื้อฉิงอย่างเคร่งครัด หงหลางจึงได้กลับคืนสู่ร่างเดิมของตนเอง เขาจำเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ ความเจ็บปวด ความรัก เขาล้วนแต่ไม่สามารถลืมได้ ไม่คิดว่าการผ่านด่านเคราะห์ของเขาในครั้งนี้จะเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายเช่นนี้มหาจอมมารหงหลางตามหาจิตวิญญาณของสตรีผู้นั้นอยู่นานนับร้อยปี เฝ้าค้นหาทั่วทั้งสามภพมิอาจปล่อยวางได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการไหนก็มิอาจหานางจนพบ บุกขึ้นไปหาเทพซือมิ่งเพื่อสอบถามถึงสตรีที่มีนามว่าหลี่จื้อฉิง แต่บุรุษผู้นั้นเคร่งครัดในหน้าที่มิอาจเปิดเผยข้อมูลได้ในวันที่ดื่มสุราจนเมามาย เด็กชายหน้าตาน่ารักที่มีกลิ่นอายของมารและเซียนวิ่งเข้ามาในตำหนักศิลาจันทร์“ท่านพ่อ” เด็กชายยิ้มน่ารักเรียกเขาว่าพ่ออย่างไม่เคอะเขิน“เจ้าก้อนแป้งน้อย เจ้าเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร” โดยปกติทั่วไปหากเป็นเซียนที่มีตบะน้อยนิดมิอาจย่างกรายเข้ามาในตำหนักของเขาได้ แม้แต่เหยียบบนพื้นแผ่นดินมา เซียนระดับสูงก็มิ
เสียงเด็กวิ่งเล่นวุ่นวายทำให้ซื่อหานจำใจต้องลืมตาตื่น ร่างเล็กผินหน้ามองออกไปนอกตำหนัก ไม่เคยรู้มาก่อนว่าในตำหนักเซียนของนางจะมีเด็กมาอาศัยอยู่ยังไม่ทันที่นางจะได้ลุกไปไหน เด็กที่มีกลิ่นอายมารและเซียนผสมกันก็เปิดประตูวิ่งพรวดพราดเข้ามาหาทางที่เตียง“ท่านแม่ ท่านตื่นแล้ว” เด็กชายยิ้มตาหยี ที่ด้านหลังมีเซียนก้อนหินน้อยสือโต้วเดินตามเข้ามาซื่อหานใช้นิ้วแตะศีรษะของเด็กน้อยดันเจ้าก้อนแป้งสีขาวให้ห่างออกไปจากตัวนาง“ใครเป็นแม่ของเจ้ากัน” หญิงสาวมองก้อนแป้งสีขาวหน้าตาน่ารักอย่างงุนงง พร้อมกับมองไปยังสือโต้วที่ยืนทำหน้าตาตลกอยู่ด้านหลัง “เจ้าเป็นพ่อของเด็กคนนี้เหรอ”“ไม่ใช่ขอรับ ไม่ใช่เช่นนั้น ไว้มหาเทพตื่นให้เต็มที่เสียก่อนเดี๋ยวข้าน้อยและท่านเกาเจี๋ยจะเล่าให้ฟัง”“ท่านแม่ ท่านไม่รักข้าแล้วงั้นหรือ” เด็กชายร้องไห้“จู่ ๆ มาร้องไห้ได้ยังไงกัน” ซื่อหานเห็นเด็กชายผู้นี้ร้องไห้ หัวใจของนางพลันเจ็บปวด ตลอด
ครบกำหนดเวลาที่เขาวางเอาไว้แล้ว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววที่นางจะปรากฏตัวออกมา ลานประหารที่ไช่เสิ่งเจี๋ยใช้ในการสังหารชาวบ้านในหมู่บ้านถูกสร้างขึ้นอย่างลวก ๆ ณ จัตุรัสกลางเมือง ประชาชนแห่งเฉียนซีไม่มีใครกล้าโผล่หน้าออกมาดู เพราะหวั่นเกรงว่าจะถูกลูกหลง การค้าทุกอย่างหยุดชะงักเพราะความบ้าระห่ำเลือดเย็นของผู้ปกครองแผ่นดิน ข้าราชบริพารขุนนางในราชสำนักเองก็มิมีผู้ใดกล้าขัดเด็กชายตัวเล็ก ๆ ที่ถูกปิดหน้าปิดตาถูกนำตัวขึ้นไปวางไว้บนลานประหารที่เขาสร้างเอาไว้ ส่วนตัวของไช่เสิ่งเจี๋ยเองนั่งอยู่เหนือลานประหาร สายตาและท่าทางเหี้ยมโหดผิดมนุษย์ ดวงตากลายเป็นสีเทาไปนานแล้ว“จือจือ เจ้าจะไม่มาจริง ๆ หรือ เจ้าจะยอมให้เด็กน้อยที่น่าสงสารถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหดงั้นหรือ” เขาพูดยังไม่ทันขาดคำ ท่ามกลางบ้านเรือนที่เงียบกริบราวกับป่าช้า ไร้เสียงของผู้คน มีแค่เพียงเสียงของฝูงอีกาและลมฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ เศษใบไม้ปลิวว่อนทั่วทั้งทางบริเวณ หวีดหวิวน่าวังเวงใจ ครู่เงาร่