เมื่อแสงแรกของวันสาดส่องเข้ามาภายในเรือนไข่มุกของนาง หลี่จื้อฉิงที่นอนในถังน้ำตลอดทั้งคืนจึงลืมตาตื่นขึ้น ร่างเล็กลุกขึ้นจากถังน้ำ บาดแผลที่อยู่บริเวณเอวดูท่าจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ศีรษะรู้สึกปวดและวิงเวียนจนแทบเดินไม่ไหว
เสียงน้ำทำให้ไช่เสิ่งเจี๋ยที่นอนคุดคู้อยู่ไม่ห่างตื่นนอนพร้อมกับนาง ร่างสูงขยับเข้าไปใกล้
“ตัวเจ้าเหม็นมาก” นางยังคงพูดถึงกลิ่นตัวเหม็น ๆ ของเขาไม่หยุด
“ขออภัยนายหญิง ที่ข้าน้อยมีกลิ่นเช่นนี้” ท่าทีของเขาเปลี่ยนราวกับพลิกฝ่ามือ
หญิงสาวลุกกลับไปที่เตียงนอนถอดเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มออก โดยไม่ได้สนใจว่า ไช่เสิ่งเจี๋ยจะอยู่หรือตาย ทำทุกอย่างราวกับเขาเป็นอากาศธาตุ เรือนร่างขาวเนียน สัดส่วนสวยงามราวกับรูปสลัก ผู้ที่อายดันกลายเป็นไช่เสิ่งเจี๋ยที่ต้องเบือนหน้าหนี
เสื้อผ้าชุ่มน้ำถูกนางยัดไปที่ใต้เตียงอย่างมิดชิด เมื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว คนตัวเล็กสั่นกระดิ่งอยู่สองสามครั้งผ่านไปไม่นานนางกำนัลประจำเรือนไข่มุกก็กระวีกระวาดเข้ามาภายในห้อง
“ท่านหญิงตื่นบรรทมแล้ว” พวกนางไม่ได้ถามว่า เกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่กลับทำจมูกฟุดฟิดราวกับเหม็นอะไรบางอย่าง
ผู้เป็นนายของเรือนรู้ดีว่าพวกนางรู้สึกเช่นไร
“เอาตัวเขาไปอาบน้ำให้สะอาด หาข้าวหาปลาให้กิน จากนั้นค่อยพากลับมา” นางออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ราวกับไม่มีแรง
“ท่านหญิงป่วยหรือเพคะ” นางกำนัลลอบมองหลี่จื้อฉิงอย่างจับผิด
คนตัวเล็กแกล้งทำคอเสื้อหล่นเล็กน้อย ที่ไหล่ลาดเนียนมีรอยตีตราสีแดง บริเวณลำคอเองก็เช่นกัน สายตาของผู้เป็นนางกำนัลจับจ้องไปที่เตียงนอนยับยู่ยี่ ผ้าแพรสีขาวเปื้อนเลือดถูกวางเอาไว้บนนั้น
“ข้าจะป่วยหรือไม่ป่วย ไม่ใช่กงการอะไรของเจ้า” หลี่จื้อฉิงแผดเสียง ความจริงรอยแดงนั่นเป็นรอยที่นางหยิกตัวเอง
เหล่านางกำนัลก้มหน้าก้มตาไม่เอ่ยอะไร สตรีเอาแต่ใจเห็นแล้วไม่สบอารมณ์ เป็นดังเช่นทุกครั้งยามที่นางไม่พอใจ ข้าวของเครื่องใช้มักจะถูกโยนใสโดยไม่สนใจว่าใครจะได้รับบาดเจ็บหรือไม่
ไช่เสิ่งเจี๋ยและบรรดานางกำนัลต้องรีบพากันออกไปจากห้องนอนของนาง เพราะไม่อยากเจ็บตัวจากโทสะร้ายกาจ ของคนเอาแต่ใจ
ในเมื่อเป็นเช่นนั้นไช่เสิ่งเจี๋ยก็จำใจเล่นตามน้ำ นางสั่งให้เขาทำอะไรเขาก็ต้องทำ เขาเป็นองค์ชายตัวประกันแคว้นบ้านเกิดเมืองนอนแพ้สงคราม หลี่หย่าถิงและแม่ทัพปีศาจปั๋วจวิน รุกรานดินแดนเข่นฆ่าประชาชนบริสุทธิ์ เหยียบย่ำทำลายสุสานหลวงจนราพณาสูร และบีบคั้นให้ฝ่าบาทแคว้นเฉียนซี ซึ่งเป็นพระบิดาส่งเขาซึ่งเป็นองค์ชายรัชทายาทมาเป็นตัวประกันสงคราม เพื่อความสงบสุข ไช่เสิ่งเจี๋ยจำใจบอกลาบ้านเกิดเมืองนอน เดินทางมายังดินแดนที่เขาไม่รู้จัก
ไม่เพียงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดี รัชทายาทแห่งเฉียนซีถูกนำตัวไปใช้แรงงาน อดทนตกระกำลำบากอยู่ราวสี่ปี จึงถูกส่งมาเป็นของขวัญแด่บุตรสาวของหลี่หย่าถิง สตรีชั่วแห่งแคว้นฉางหมิง ทั้งแม่และลูกชั่วช้าสารเลวไม่ต่างกัน
แต่เพราะเหตุการณ์เมื่อคืน เขาต้องกลับมาคิดทบทวนเรื่องของพวกนางอีกครั้งหนึ่ง ไม่มีแม่คนไหนไม่รักลูกของตนเอง นอกเสียจากว่าหลี่จื้อฉิงมิใช่บุตรสาวแท้ ๆ ของนาง ข่าวลือเรื่องสัมพันธ์สวาทระหว่างแม่ทัพปีศาจปั๋วจวินกับองค์หญิงใหญ่ดูท่าจะเป็นเรื่องจริง ราชบุตรเขยเผิงเยี่ยนปิ่น องค์ชายตัวประกันจากแคว้นที่ล่มสลายไปแล้ว น่าจะไม่กล้ามีปากมีเสียงในเรื่องนี้ แม้จะถูกภรรยาของตนสวมหมวกเขียวให้ก็ตาม
ใคร ๆ ก็รู้ว่าผู้ปกครองแห่งฉางหมิงตัวจริงคือใคร อำนาจของหลี่หย่าถิงล้นมือผนวกกับชายชู้ของนางที่คือผู้กุมอำนาจทางการทหารเอาไว้กับตนเอง แม้แต่ฮ่องเต้แห่งฉางหมิงผู้เป็นพระอนุชายังต้องยอมศิโรราบ มิกล้ามีปากมีเสียง
เสื้อผ้าแพรพรรณราคาถูก ถูกนำมาให้กับไช่เสิ่งเจี๋ย เมื่อชำระล้างร่างกายจนสะอาดสะอ้าน ก็ถูกนำตัวกลับไปที่เรือนไข่มุกของสตรีสารเลว
อากาศช่วงต้นคิมหันต์ฤดูควรจะเป็นอากาศที่เย็นสบายไม่ร้อนอบอ้าวจนเกินไป แต่เป็นเพราะเมื่อคืนนางแช่อยู่ในถังน้ำทั้งคืนทำให้ร่างกายร้อนรุ่มราวกับถูกไฟเผา ประเดี๋ยวเดียวก็เปลี่ยนเป็นหนาวสั่น ผ่านไปครู่หนึ่งก็กลับมาร้อนรุ่ม อีกทั้งยังมีบาดแผลบริเวณเอวที่เจ็บปวดเจียนตาย ร่างกายที่เดิมทีอ่อนแออยู่แล้วกลับอ่อนแอยิ่งกว่าเดิม
“ท่านหญิง พระองค์ไม่สบาย” นางกำนัลประจำเรือนไข่มุกถามไถ่อย่างเป็นห่วง แม้ในใจอยากจะแช่งให้นางตาย ๆ ไปเสียก็ตาม “ให้หม่อมฉันไปตามหมอหลวงดีหรือไม่”
หลี่จื้อฉิงส่ายหัว นางไม่ต้องการให้หมอหลวงมายุ่งวุ่นวายกับร่างกายของนาง พวกเขาเป็นคนของเสด็จแม่ทั้งหมด หากหมอหลวงมาตรวจร่างกายของนางย่อมต้องพบกับสิ่งผิดปกติ โดยเฉพาะบาดแผลที่เอว แต่ในความโชคร้ายยังมีโชคดีอยู่บ้าง อาการป่วยของนางน่าจะถูกเล่าลือไปในทางที่ผิด
“ออกไปให้หมด” หลี่จื้อฉิงยังมีแรงก่นด่านางกำนัลของตนเอง “เจ้าก้อนเนื้อนั่นมาหรือยัง” ผู้ที่จะสามารถช่วยนางในเวลานี้ได้เหลือแค่เพียงเขาเท่านั้น เพราะชีวิตของก้อนเนื้อเหม็นเน่าที่นางไม่รู้จักชื่ออยู่ในมือของตน
หญิงรับใช้เบือนหน้าหนี ส่งสายตามองเหยียดสตรีน่ารังเกียจ ในใจนึกอยากจะฆ่าเสียให้ตาย แต่เป็นเพราะว่าชีวิตของครอบครัวของเฉินหว่านเซียนอยู่ในกำมือของสตรีผู้นี้ จึงมิอาจลงมือกระทำสิ่งใดได้ นอกจากสาปแช่งอยู่ในใจ
เฉินหว่านเซียนผุดลุกออกไปหน้าห้อง เพื่อดูว่าชายสกปรกผู้นั้นมาถึงหรือยัง เมื่อพบหน้าชายสกปรกเฉินหว่านเซียนถึงกับตะลึงในความงดงาม หล่อเหลา เส้นผมสีดำขลับถูกมัดรวบเอาไว้ง่าย ๆ ใบหน้านั่นงามยิ่งกว่าสตรีใดเสียอีก
“ท่านผู้นี้เป็นใคร” นางละล่ำละลัก ถามคำถาม
“ข้าคือคนของท่านหญิง” เขาตอบเสียงเรียบมิได้แสดงความรู้สึกใดออกไป แผ่นหลังเหยียดตรงท่าทางงดงามผ่าเผย นานมากแล้วที่ไม่ได้รู้สึกสะอาดสดชื่นเช่นนี้
“ท่านคือ...ท่านเขย” เฉินหว่านเซียนมิอยากจะเชื่อว่าเขาคือก้อนเนื้อเหม็นเน่าที่ถูกมอบให้เป็นของขวัญแก่สตรีผู้นั้น
แววตาที่หลงใหลในตัวของเขา ไช่เสิ่งเจี๋ยมิใช่ไม่รู้ว่าสตรีตรงหน้ารู้สึกเช่นไร ถ้าเป็นเช่นนั้นหญิงรับใช้ของนางปีศาจนั่น น่าจะมีประโยชน์กับเขาในวันข้างหน้า
“แม่นาง ได้โปรดอย่าเรียกข้าว่าท่านเขย ข้าเป็นเพียงสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่งของท่านหญิงเท่านั้น” น้ำเสียงนุ่มทุ้ม อ่อนโยน ตอบคำถามได้อย่างน่าสงสาร
หัวใจของเฉินหว่านเซียนอ่อนยวบ บุรุษสง่างามเช่นนี้ไม่สมควรถูกนำมากักขังผูกติดกับสตรีเช่นหลี่จื้อฉิงเลยจริง ๆ
“เขามาหรือยัง” หลี่จื้อฉิงเห็นว่าเฉินหว่านเซียนออกไปนานแล้วจึงตะโกนถาม
คนตัวสูงยิ้มเล็กน้อยโค้งตัว ยิ้มโปรยเสน่ห์ให้กับเฉินหว่านเซียน
“แม่นางข้าน้อยขอตัวก่อน วันหน้าหวังว่าจะได้คุยกัน”
เป็นเพราะทั้งซื่อหานและหงหลางต่างก็เป็นเทพและมารที่อยู่มาในยุคฟ้าปางก่อน เป็นเทพมารบรรพกาลที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่องค์ในยุคนี้ การที่ทั้งคู่คบหากันจึงไม่มีใครคัดค้านแม้กระทั่งเทียนตี้เองก็มิกล้ามีปากมีเสียง คงเพราะหวั่นเกรงกลัวว่า มหาเทพซื่อหานจะบุกมาพังตำหนักของตนไม่ก็ถูกมหาจอมมารขโมยผลไม้เซียนที่เขาปลูกเอาไว้ จึงปล่อยเลยตามเลยทำปิดหูปิดตาไม่สนใจ แม้จะกังวลเรื่องการรวมดินแดนเพียงไหนก็ตามในอดีตนางและเขาทะเลาะกันจนทำให้ดินแดนทั้งสองแยกขาดจากกัน นางแกล้งเขาด้วยการสร้างโซ่เส้นหนึ่งขังเขาเอาไว้ในตำหนัก หงหลางโกรธจัด นับตั้งแต่นั้นมา สองดินแดนจึงถูกแยกออกจากกัน ถึงเวลาที่เขาและนางจะช่วยกันรวมดินแดนผนึกแผ่นดินเข้าหากันอีกครั้งหนึ่งกลายเป็นว่าสิ่งที่หลันเว่ยลงมือกระทำไปทั้งหมดเป็นการช่วยส่งเสริมให้ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาวะเดิมอย่างที่สามภพเคยเป็น มารและเทพกลับมาคบหากันอย่างเปิดเผย อยู่ภายใต้ขอบเขตศีลธรรมอันดีงาม“ท่านพ่อท่านแม่อยู่ไหน” คุนอวี่ถามหาบิดาและมารดา จากเกาเจี๋ยและสือโต้ว
เพราะท่านพ่อท่านแม่กำลังอยู่ในช่วงเวลาปรับความเข้าใจกัน เด็กชายเบื่อ ๆ ไม่อยากรบกวนเวลาของพวกท่าน จึงออกไปเที่ยวเล่นดังเช่นปกติ แต่วันนี้ดันเตลิดเลยออกมาห่างจากตำหนักวิเวกของมารดาเกินไปสักนิด เดิมทีก้อนแป้งเองก็สนุกสนานกับการสำรวจสิ่งต่าง ๆ อยู่แล้ว รวมถึงมีตบะกลิ่นอายเซียนและมารผสมรวมกันอยู่ ปีศาจหรือเซียนระดับล่างมิอาจทำร้ายเขาได้ และทำให้เขาสามารถเข้าออกได้ทุกหนแห่งในสามภพป่าแถบนี้ประหลาดนัก ไร้เสียงของสัตว์สวรรค์ เด็กชายเดินเตร็ดเตร่ไปรอบ ๆ สายตาเหลือบไปเห็นดอกบัวสีทองอร่ามงดงามจับใจอยู่กลางบึงน้ำสีครามสวย“เจ้าดอกบัว” หากเก็บไปให้มารดาและบิดาเป็นของขวัญคงจะดีไม่น้อย เมื่อคิดแล้วก็ลงมือ กระบี่ที่บิดาเป็นผู้หลอมให้เป็นของขวัญถูกนำออกมา ก้อนแป้งน้อยเขวี้ยงกระบี่ออกไปหมายจะตัดดอกบัวสีทองออกมาจากบึงแต่ไม่เป็นอย่างที่เขาคิด ดอกบัวดอกนั้นหลบหลีกกระบี่มารของบิดาได้ ผ่านไปครู่หนึ่งดอกบัวสีทองก็แปลงกายเป็นสตรีใบหน้างดงาม“คุณชาย อย่าทำร้ายข้า” นางอ้อนวอนทั้งน้ำตา&ldq
หงหลางกางข่ายอาคมของตนเองครอบคลุมสวนดอกท้อซื่อหานตกใจ ร้องเสียงหลง“เจ้าจะทำอะไร”“ข้าไม่อยากให้ใครมาแอบดูพวกเราสองคนทำอะไรกัน” เขาไม่พูดเปล่า แต่มือไม้ยังวุ่นวายกับร่างกายของนาง“หงหลางหยุดก่อน” นางผายมือขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นข่ายอาคมของนางเอง“...” ชายหนุ่มทำหน้าประหลาดใจ“ชะ...ใช้ของข้า คนอื่นจะได้ไม่งงว่า เกิดอะไรขึ้นที่ตำหนักวิเวก” นางกล่าวอึกอักหงหลางยิ้ม “เจ้านี่น่ารักจริง ๆ น่ารักมาตั้งแต่หลายหมื่นปีก่อน” ท่าทางเขินอายของนางทำเอาเขาอดเอ็นดูไม่ได้เสื้อผ้าของนางถูกถอดออกอย่างรวดเร็ว จนร่างกายเปลือยเปล่าส่วนตัวของเขาเองก็เช่นกัน ผู้เป็นจอมมารขบเม้มร่างกายของนางจนเป็นรอยตราสีแดงไปทั่วทั้งร่าง กลืนกินทุกสัดส่วนอย่างโหยหา กลิ่นนี้ น้ำเสียงนี้ และความรู้สึกนี้ที่เขาเฝ้าตามหามาโดยตลอด ในที่สุดนางก็กลับมาปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกครา“ซื่อหาน ข้าคิดถึง
ทรมานอยู่บนโลกมนุษย์อยู่หนึ่งร้อยปี ไร้รัก ไร้ทายาท ปกครองแผ่นดินเฉียนซีตามปณิธานของหลี่จื้อฉิงอย่างเคร่งครัด หงหลางจึงได้กลับคืนสู่ร่างเดิมของตนเอง เขาจำเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ ความเจ็บปวด ความรัก เขาล้วนแต่ไม่สามารถลืมได้ ไม่คิดว่าการผ่านด่านเคราะห์ของเขาในครั้งนี้จะเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายเช่นนี้มหาจอมมารหงหลางตามหาจิตวิญญาณของสตรีผู้นั้นอยู่นานนับร้อยปี เฝ้าค้นหาทั่วทั้งสามภพมิอาจปล่อยวางได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการไหนก็มิอาจหานางจนพบ บุกขึ้นไปหาเทพซือมิ่งเพื่อสอบถามถึงสตรีที่มีนามว่าหลี่จื้อฉิง แต่บุรุษผู้นั้นเคร่งครัดในหน้าที่มิอาจเปิดเผยข้อมูลได้ในวันที่ดื่มสุราจนเมามาย เด็กชายหน้าตาน่ารักที่มีกลิ่นอายของมารและเซียนวิ่งเข้ามาในตำหนักศิลาจันทร์“ท่านพ่อ” เด็กชายยิ้มน่ารักเรียกเขาว่าพ่ออย่างไม่เคอะเขิน“เจ้าก้อนแป้งน้อย เจ้าเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร” โดยปกติทั่วไปหากเป็นเซียนที่มีตบะน้อยนิดมิอาจย่างกรายเข้ามาในตำหนักของเขาได้ แม้แต่เหยียบบนพื้นแผ่นดินมา เซียนระดับสูงก็มิ
เสียงเด็กวิ่งเล่นวุ่นวายทำให้ซื่อหานจำใจต้องลืมตาตื่น ร่างเล็กผินหน้ามองออกไปนอกตำหนัก ไม่เคยรู้มาก่อนว่าในตำหนักเซียนของนางจะมีเด็กมาอาศัยอยู่ยังไม่ทันที่นางจะได้ลุกไปไหน เด็กที่มีกลิ่นอายมารและเซียนผสมกันก็เปิดประตูวิ่งพรวดพราดเข้ามาหาทางที่เตียง“ท่านแม่ ท่านตื่นแล้ว” เด็กชายยิ้มตาหยี ที่ด้านหลังมีเซียนก้อนหินน้อยสือโต้วเดินตามเข้ามาซื่อหานใช้นิ้วแตะศีรษะของเด็กน้อยดันเจ้าก้อนแป้งสีขาวให้ห่างออกไปจากตัวนาง“ใครเป็นแม่ของเจ้ากัน” หญิงสาวมองก้อนแป้งสีขาวหน้าตาน่ารักอย่างงุนงง พร้อมกับมองไปยังสือโต้วที่ยืนทำหน้าตาตลกอยู่ด้านหลัง “เจ้าเป็นพ่อของเด็กคนนี้เหรอ”“ไม่ใช่ขอรับ ไม่ใช่เช่นนั้น ไว้มหาเทพตื่นให้เต็มที่เสียก่อนเดี๋ยวข้าน้อยและท่านเกาเจี๋ยจะเล่าให้ฟัง”“ท่านแม่ ท่านไม่รักข้าแล้วงั้นหรือ” เด็กชายร้องไห้“จู่ ๆ มาร้องไห้ได้ยังไงกัน” ซื่อหานเห็นเด็กชายผู้นี้ร้องไห้ หัวใจของนางพลันเจ็บปวด ตลอด
ครบกำหนดเวลาที่เขาวางเอาไว้แล้ว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววที่นางจะปรากฏตัวออกมา ลานประหารที่ไช่เสิ่งเจี๋ยใช้ในการสังหารชาวบ้านในหมู่บ้านถูกสร้างขึ้นอย่างลวก ๆ ณ จัตุรัสกลางเมือง ประชาชนแห่งเฉียนซีไม่มีใครกล้าโผล่หน้าออกมาดู เพราะหวั่นเกรงว่าจะถูกลูกหลง การค้าทุกอย่างหยุดชะงักเพราะความบ้าระห่ำเลือดเย็นของผู้ปกครองแผ่นดิน ข้าราชบริพารขุนนางในราชสำนักเองก็มิมีผู้ใดกล้าขัดเด็กชายตัวเล็ก ๆ ที่ถูกปิดหน้าปิดตาถูกนำตัวขึ้นไปวางไว้บนลานประหารที่เขาสร้างเอาไว้ ส่วนตัวของไช่เสิ่งเจี๋ยเองนั่งอยู่เหนือลานประหาร สายตาและท่าทางเหี้ยมโหดผิดมนุษย์ ดวงตากลายเป็นสีเทาไปนานแล้ว“จือจือ เจ้าจะไม่มาจริง ๆ หรือ เจ้าจะยอมให้เด็กน้อยที่น่าสงสารถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหดงั้นหรือ” เขาพูดยังไม่ทันขาดคำ ท่ามกลางบ้านเรือนที่เงียบกริบราวกับป่าช้า ไร้เสียงของผู้คน มีแค่เพียงเสียงของฝูงอีกาและลมฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ เศษใบไม้ปลิวว่อนทั่วทั้งทางบริเวณ หวีดหวิวน่าวังเวงใจ ครู่เงาร่