LOGIN“แม่นางหลิน เจ้าคิดดีแล้วรึ”
“แน่นอน ของพวกนี้ไม่มีประโยชน์กับข้าแล้ว ขอจูซินช่วยเอาเสื้อผ้าเหล่านี้เปลี่ยนเป็นข้าวและแป้งรวมทั้งเมล็ดพันธุ์ที่ข้าเขียนไว้ตามนี้”
ขันทีจูซินรับกระดาษยับๆ คลี่ออกอ่านแล้วเงยหน้ามองหญิงสาวตรงหน้าที่ยิ้มหน้าเจือนอยู่ หลินอวี่เหยาเข้าใจสายตานั้นดี แต่จะทำอย่างไรได้นางไม่ได้จับพู่กันมานานมากแล้ว เรียนและทำวิจัยมักใช้ภาษาอังกฤษ เมื่อจำเป็นต้องกลับมาใช้พู่กันจุ่มหมึกก็ไม่คล่องนัก ลายมือจึงอัปลักษณ์น่าเวทนาเช่นนี้
“ได้ ตามใจเจ้า แต่ข้าไม่รู้ว่าจะขายได้เท่าไร”
“ได้ๆ ท่านกงกงจัดการได้เลย”
“อย่าได้พูดให้ผู้ได้ยินเชียว” จูซินส่ายหน้าระอาใจ นางชอบยกยอเขาเช่นนี้เสมอเพราะเกรงจะไม่ได้สิ่งของตามที่นางขอ เขาเป็นเพียงขันทีขั้นต่ำแต่นางกลับพูดจาให้เกียรติและยังไม่เคยโวยวายอาระวาดใส่ ทั้งให้คำแนะนำเล็กๆน้อยๆ เสมอ รวมทั้งแผลในที่ร่มของเขา
“ข้าอยู่ที่นี่ไม่จำเป็นต้องมีเสื้อผ้าหรูหราเหล่านี้”
เจ้าของร่างคงมีความหวังที่จะได้พบฮ่องเต้ หรือได้กลับคืนสู่ตำแหน่งจึงยังเก็บชุดผ้าไหมไว้หลายชุด แต่สำหรับนางในเวลานี้ ของเหล่านี้ไม่จำเป็นเลย เสื้อผ้าที่ใส่แล้วอบอุ่น เตียงนอนที่มีฟูกนอนดีๆ ที่สำคัญคืออาหาร เรื่องดีที่นางค้นพบคือที่แห่งนี้มีสภาพอากาศที่ดีมาก นางได้สูดลมหายใจเต็มปอดและไม่ต้องตื่นมาทำงานแข่งกับเวลา เหมือนตอนนี้ได้ใช้ชีวิตลาพักร้อนจากการงานที่หนักหน่วง แต่นางไม่รู้ว่าจะไปจากที่นี่ได้อย่างไร
“ขันทีน้อย”
น้ำเสียงอ่อนระโหยที่ไม่ได้ยินบ่อยนักทำให้จูซินเงยหน้าจากชุดผ้าไหมล้ำค่าในมือ
“มีอะไรรึ”
“ทำอย่างไรข้าจะได้ออกไปจากที่นี่”
“เจ้าอยากออกไปพบฮ่องเต้?”
“มิใช่เช่นนั้น ข้าหมายถึงออกไปใช้ชีวิตนอกตำแหน่งเย็น เป็นคนธรรมดาสามัญผู้หนึ่งเท่านั้น”
“เรื่องนั้น...ฮ่องเต้เป็นผู้ตัดสิน หากพระองค์ต้องการให้เจ้าอยู่ที่นี่ เจ้าก็ต้องอยู่ หากต้องการให้เจ้าไป เจ้าก็ต้องไป”
“ไม่มีหนทางอื่นเลยหรือ?” เจ้าของร่างอยู่ตำหนักเย็นมาสองปียัง ไม่สิ ตั้งแต่ก้าวเข้าวังหลวงมายังไม่เคยได้ถวายการรับใช้เลยสักครั้ง ได้มีโอกาสได้เห็นพระพักตร์ก็ไกลแสนไกล แต่กระนั้นก็ยังถูกใส่ร้ายป้ายความผิดจนต้องถูกส่งมาตำหนักเย็น
“ก็มีนะ” จูซินพยักหน้า “เจ้าก็ตายกลายเป็นศพ เช่นนี้ก็ได้ออกไปแล้ว”
“ก็ข้ายังไม่อยากตายนี่” นางถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ช่างเถอะๆ ข้าน้อยขอรบกวนกงกงด้วยเจ้าค่ะ”
“ได้ๆ”
“จริงสิ ข้าไม่เห็นสนมจื่อหนิงเลย นางยังดีอยู่หรือไม่”
“ไม่มีผู้ใดอยากเข้าใกล้สนมเสียสติผู้นั้น” ซูจินส่ายหน้าไปมา “นางมักอาระวาดคลุ้มคลั่ง แต่ก็น่าแปลกที่อยู่ที่นี่มาได้ตั้งสิบปี”
“สิบปี!” หลินอวี่เหยาไม่อยากจะคิดเลยว่าหากน้องต้องใช้ชีวิตอุดอู้ในที่นี่นานสิบปีจะเป็นเช่นไร
“นางเคยเป็นสนมของฮ่องเต้พระองค์ก่อน ข้าก็ไม่ได้รู้เรื่องของนางมากนัก รู้เพียงแค่ว่านางได้รับความโปรดปรานก็เพราะเขียนบทกวีได้ไพเราะยิ่งนัก”
“อย่างนั้นรึ...ข้าไปพบนางได้หรือไม่”
จูซินนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ย “ความจริงมีช่องแคบๆ ด้านหลังเรือน เจ้าเดินออกจากทางนั้นตรงไปก็ถึงเรือนที่สนมจื่อหนิงอยู่ แต่อย่าให้ผู้อื่นพบเห็นก็พอ”
“ข้าทราบแล้ว ขอบคุณท่านมาก”
หลินอวี่เหยามักกล่าวยกยอจูซินบ่อยๆ ก็จริง แต่นางให้เกียรติจูซินมาก เขาเป็นขันทีขั้นต่ำแม้แรกๆ ดูเหย่อหยิ่งแต่ก็ยอมช่วยนางหลายครั้ง เพิ่มข้าวในข้าวต้มไม่ให้กลายเป็นเพียงน้ำข้าว เมื่อนางไหว้วานอะไร แม้จะมีเสียงบ่นอิดออดแต่ก็ช่วยเหลือทุกคราไป นางจึงรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ควรค่าให้นางเคารพอย่างแท้จริง
“อืม” ขันทีหนุ่มพูดได้เพียงแค่นั้น ปีนี้เขาอายุสิบหก เข้าวังมาตั้งแต่อายุสิบสอง เขากับนางอายุห่างกันไม่กี่ปีแต่ตำแหน่งต่างกัน หากนางไม่ถูกส่งมาตำหนักเย็น เขาก็คงเป็นฝ่ายที่ต้องคอยก้มศีรษะให้นาง แต่เมื่อนางไร้อำนาจวาสนาจึงไม่ต่างจากสาวใช้ผู้หนึ่ง ทว่านางกลับให้ความนับถือเขา และบ่อยครั้งที่มักพูดจาเหมือนอายุมากกว่า
จูซินได้แค่โคลงศีรษะไปมาแล้วก้าวออกมาจากเรือนของสนมหลิน แต่สายตาก็อดมองไปโดยรอบไม่ได้ หลังหิมะละลายเหมือนที่นี่เปลี่ยนแปลงไปมาก ต้นไม้ดอกไม้มาจากไหนกัน ที่แห่งนี้เคยมีของพวกนี้ด้วยหรือ?
“มีเรื่องใดรึ” นางถามเพราะเห็นเขายังไม่ออกไป หรือจูซินจะรู้ว่าก่อนหน้านี้นางแอบซ่อนบุรุษตัวโตไว้ แต่นางก็ทำลายหลักฐานหมดสิ้น ผ้าพันแผลที่เปื้อนเลือดก็เผาทิ้งไปหมดแล้ว
“เปล่า” เขาโคลงศีรษะไปมา “อืม...จู่ๆ ข้าก็นึกถึงเรื่องที่ได้ยินมา”
“เรื่องอะไร” หญิงสาวยิ้มกว้างแววตาอยากรู้อยากเห็น ชาติก่อนทำงานไม่มีเวลา ‘ใส่ใจ’ เรื่องคนอื่น แต่ตอนนี้นาง ‘ว่าง’ มาก และยังมีเวลาเหลือเฟื้ออีกด้วย
“ข้าได้ยินว่ากุ้ยเฟยโปรดปรานกล้วยไม้มาก ขันทีผู้หนึ่งดูแลกล้วยไม้ของกุ้ยเฟยไม่ดีถึงขนาดโดนโบยห้าสิบไม้ แต่ก็มีประกาศว่าถ้ามีคนทำให้กล้วยไม้ของกุ้ยเฟยฟื้นได้จะได้รับรางวัลอย่างงาม แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดทำได้ ข้าเห็นที่นี่เคยรกร้างแต่ตอนี้กลับเขียวชอุ่ม ซ้ำยังมีกุหลาบกับมะลิงอกงามอยู่ข้างกำแพง ข้าก็เลย ...ช่างเถอะๆ ข้าพูดอะไรไม่คิดเอง”
“กล้วยไม้รึ? ข้าช่วยได้นะ!”
“เจ้าพูดอะไรออกมา”
“ข้าไปดูเองไม่ได้ แต่ท่านไปดูแล้วมาบอกอาการข้าว่ากล้วยไม้นั้นเป็นเช่นไร ข้าจะลองวิเคราะห์ดูว่าจะทำให้มันฟื้นได้หรือไม่”
“เจ้า...แน่ใจ”
หญิงสาวส่ายหน้าแต่ก็ยังคงยิ้ม “ไม่เห็นอาการ วินิจฉัยไม่ได้ ต้องเห็นก่อนถึงจะบอกได้”
ในโลกปัจจุบันถูกปู่หลินเรียก ‘อัจฉริยะน้อย’ กว่าจะได้คำนี้มาผ่านการเคี่ยวกร่ำอย่างหนัก นางจำได้ว่าหลายคนเย่อยออย่างไร เทพมือเย็นฟื้นชีพต้นไม้ใกล้ตายมีชีวิตอีกครั้ง
“ข้าขอคิดก่อน หากทำไม่สำเร็จ ข้าก็เกรงว่าตนเองจะถูกโบย”
“ข้าเข้าใจ ท่านไปเถิด”
หญิงสาวมองบานประตูที่ปิดลงแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ ใครบอกว่านางมีเวลาว่างมากนักเล่า ยังมีหลายอย่างที่ต้องทำ นางไม่กล้าใช้ทองคำที่ชายผู้นั้นมอบให้ ขณะที่หาที่ซ่อนสมบัติชิ้นแรกอยู่นั้นก็พบชุดกระโปรงผ้าไหมงดงามหลายชุดถูกพับเก็บดูแลอย่างดี เป็นหญิงย่อมชอบของสวยงามแต่เวลานี้ของเหล่านี้ไม่จำเป็นอีกแล้ว ระหว่างเอาเม็ดทองไปขายกับเสื้อผ้า นางตัดใจจากเสื้อผ้าเหล่านี้ได้
ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นจะดูแลบาดแผลของตนดีหรือไม่ หวังว่าจะไม่ทำให้แผลที่นางเย็บไว้ปรินะ
เยี่ยหรงอ่านจดหมายที่ถูกส่งมาให้ คนที่บ้านรู้แล้วว่าออกรบครั้งนี้เขาได้รับบาดเจ็บหนัก ต้องการให้เขากลับไปพักฟื้นที่บ้าน ปีหนึ่งเขากลับบ้านกี่ครั้งเชียว เอาจริงๆ แล้ว เขารู้สึกว่าค่ายทหารต่างหากที่เขาเรียกว่าบ้านได้เต็มปากเต็มคำ ชายหนุ่มออกจากโรงพยาบาลกลับมานอนพักฟื้นที่ค่ายทหารแล้ว แม้คนอื่นจะคัดค้านอยากให้เขอยู่โรงพยาบาลให้นานกว่านี้ เขารู้ตัวดีว่าพักไม่กี่วันก็ดีขึ้นไม่รู้จะไปแย่งที่นอนคนเจ็บป่วยคนอื่นเพื่ออะไรกัน อีกอย่างเขาก็...ขัดเขินทุกครั้งที่พยาบาลสาวคนนั้นมาทำแผลให้เขา ร่างกายเขาดันมีปฏิกิริยาตอบสนองกับเธอเสียด้วย ปกติเรื่องพวกนี้เขาควบคุมตัวเองได้ดีเยี่ยม แต่ไม่รู้ทำไม...ถึงเป็นแบบนี้ไปได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งอับอาย เขาพับจดหมายใส่ซองตามเดิมแล้วเดินไปที่หน้าต่าง ใช้ชีวิตทหารมาหลายปี ไต่เต้าด้วยตัวเอง เขาต้องการถูกยอมรับจากความสามารถของตัวเอง ตอนนี้เป็นร้อยเอกเยี่ยหรงแห่งค่ายทหารหน่วยที่ 308 อีกไม่นานเขาก็ได้เลื่อนยศแล้ว ขณะที่ใจลอยคิดเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น สายตาก็เห็นหญิงสาวปั่นจักรยานเก่าๆ เข้ามาในเขตทหาร เขาเพ่งมองอย่างหงุดหงิดเพราะพื้นที่
แรงตีที่ข้อมือไม่ได้ทำให้เขาเจ็บแต่เรียกให้เขาได้สติ ชายหนุ่มรีบปล่อยมือทันทีทำให้หญิงสาวในชุดพยาบาลถอยห่างออกไปสองก้าว “สมกับเป็นผู้บัญชาการเยี่ยจริงๆ” อวี่เหยายกมือลูบลำคอของตน แต่ก็ต้องตกใจทีเห็นเขายันกายขึ้นนั่งและทำท่าจะดึงสายน้ำเกลือออก “อย่าค่ะ! ถ้าคุณดื้อฉันจะมัดคุณไว้กับเตียงนะ!” มีชีวิตอยู่มาตั้งอายุขนาดนี้เพิ่งเคยได้ยินคนขู่เขาแบบนี้เป็นครั้งแรก เยี่ยหรงจ้องมองหญิงสาว เธอสวมชุดพยาบาลและที่นี่คงเป็นโรงพยาบาลแน่นอน พลันนึกได้ว่าเมื่อครู่เขาพลั้งมือทำร้ายเธอไป “....” เยี่ยหรงขยับปากแต่ไม่มีเสียง พยาบาลสาวเห็นสีหน้าของคนเจ็บก็เข้าใจทันที เธอขยับเข้าไปใกล้แล้วเอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ต้องกลัวนะคะ ตอนผ่าตัดใส่เครื่องช่วยหายใจ คุณเลยเจ็บคออยู่ ทุกอย่างจะค่อยๆ ดีขึ้นค่ะ คุณนั่งนิ่งๆ อย่าดึงสายอะไรออกอีกนะ ฉันจะไปตามคุณหมอแล้วเอาน้ำมาให้คุณดื่ม” ร่างเพรียวบางหมุนตัวจากไปทันที เยี่ยหรงได้แต่ทำตามอย่างว่าง่าย อยากจะหัวเราะที่เขาตัวโตขนาดนี้แต่ถูกผู้หญิงตัวเล็กๆ ดุเอาเสียได้ ไม่กี่นาทีต่อมาคุณหมอก็สาวเ
ร้อน! เปลวไฟกำลังโหมกระหน่ำอย่างหนัก ร่างสูงใหญ่ยืนตระหง่านท่ามกลางเปลวเพลิง เสียงวูบวาบทั่วทุกทิศทาง ผู้คนวิ่งชนหนีตายอลหม่านแต่เขายังยืนนิ่งงัน ทว่าในสมองคล้ายได้ยินเสียงแว่วอยู่ข้างหู คล้ายใครบางคนอ่านบทกวีแสนเศร้าให้ฟัง “ผู้บัญชาการ!!!” เสียงตะโกนเรียกทำให้เขาได้สติ สหายร่วมรบถูกสะเก็ดระเบิด เขาไม่รอช้าแบกคนเจ็บขึ้นหลังทันที “ปล่อยผม! ทิ้งผมไว้ที่นี่” “ฉันสัญญากับแม่นายแล้วว่าจะพานายกลับบ้าน ก็ต้องทำตามสัญญา” เขากัดฟันทั้งที่ตัวเองก็บาดเจ็บไม่น้อย ในสนามรบที่เต็มไปด้วยทหารทั้งสองฝ่าย เสียงปืนดังรัวไม่ขาดสาย และระเบิดเป็นระยะๆ เขาแบกร่างของเพื่อนร่วมกองรบวิ่งกลับมาที่บังเกอร์ได้สำเร็จ “ผู้บัญชาการเยี่ย ท่านจะไปไหนอีกครับ” ลูกน้องถามเมื่อเห็นว่านายกองคว้าปืนยาวของสหายร่วมรบมาถือไว้ “จัดการพวกมันนะสิ” “ผู้บัญชาการ คนของเราเหลือแค่ไม่กี่คนแล้ว รอกองหนุนไม่ดีกว่าหรือครับ” “พวกนายอยู่นี่ ฉันไปจัดการเอง” “ผู้บัญชาการ!!” ความบ้าระห่ำของผู้ชายคนนี้ท
ห้าปีต่อมา คฤหาสน์ตระกูลเยี่ยมีเสียงหัวเราะของเด็กน้อย เด็กชายวัยสามขวบวิ่งถลามาหาหญิงสาวที่นั่งพิมพ์เอกสารอยู่หน้าจอโน้ตบุ๊ค เสียงร้องตกใจของคนรับใช้ทำให้หลินอวี่เหยาเงยหน้าขึ้นจากงานตรงหน้า ทว่าลูกชายยังมาไม่ถึงก็ถูกมือใหญ่ของคนเป็นพ่อคว้าคอเสื้อไว้ได้ทัน “ฮ่าวหมิง อย่ากระโจนใส่แม่แบบนั้นสิ” เยี่ยหรงเพิ่งกลับจากบริษัทพอดี เขาอุ้มลูกชายนั่งบนท่อนแขนแล้วอบรม “แม่อุ้มท้องน้องสาวอยู่ ถ้าลูกไปกระแทกท้องของแม่ก็กระทบกระเทือนถึงน้องสาวด้วย ลูกเข้าใจไหม” “ฮ่าวหมิงแค่อยากเล่นกับน้องสาว” เสียงเจื้อแจ้วเอ่ยตอบพร้อมดวงตากลมโตจ้องมารดา “เดือนหน้าก็ได้เจอหน้าน้องสาวแล้ว” คนเป็นพ่ออุ้มลูกชายแล้วเดินมานั่งข้างคนรักแล้วโน้มตัวลงมาอบรมคนเป็นแม่อีกคน “เดือนหน้าคุณก็จะคลอดแล้ว ยังทำงานอยู่อีก” “ฉันท้องไม่ได้ป่วยเสียหน่อย” หลินอวี่เหยาหัวเราะเสียงใส แต่ปลายนิ้วยังพร่างพรมบนคีย์บอร์ด จนกระทั่งเธอกดปุ่มเอ็นเทอร์และเซฟไฟล์งาน“เย่! เสร็จเรียบร้อยเสียที” “เย่ๆ” ฮ่าวหมิงร้องดีใจแม้ไม่เข้าใจว่าแม่ดีใจเรื่องอะไร
“อืม...” หญิงสาวรับคำแล้วยกมือขึ้นแตะแก้มของเขา “ทำไมคุณโง่แบบนี้ ไม่ต้องช่วยฉันก็ได้ คุณเจ็บเพราะถูกกระบี่เทพสวรรค์แทงทะลุหัวใจ แล้วยังถูกเง็กเซียนฮ่องเต้ลงโทษอีก” ดวงตาของชายหนุ่มมีหยาดน้ำเอ่อคลอ “วันที่ฉันตกเขาไปครั้งนั้น ดวงวิญญาณในร่างนี้ทะลุมิติไปในชาติที่คุณคือแม่ทัพเยี่ยหรง” หญิงสาวยิ้มเศร้าเคล้าน้ำตา “ฉันตายในชาตินั้นก็กลับมาที่นี่ ได้พบคุณอีกแล้ว” “ผมขอโทษ” เขากอดร่างบอบบางทั้งที่ตัวเองก็สั่นสะท้าน “ผมรู้ว่าตัวเองเป็นต้นเหตุให้คุณเจ็บปวด ผมเห็นแก่ตัว แต่ชีวิตผมขาดคุณไม่ได้” มือเล็กดันแผ่นอกเขาเบาๆ รับรู้ว่าเขาก็กลัวไม่ต่างกัน เธอดันเขาออกแล้วพูดเสียงสั่นเครือ “ใช่ คุณคือสิ่งที่ฉันหวาดกลัวที่สุด แต่คุณก็คือความสุขที่สุดในชีวิตฉัน ไม่ว่าจะมีเวลาอยู่ด้วยกันกี่นาทีหรือกี่ชั่วโมง มันก็คือความสุขที่ฉันยินดีรับไว้แม้จบอย่างเจ็บปวดก็ตามที” เธอวางมือตรงหัวใจของเขาแล้วยิ้มทั้งน้ำตา “เยี่ยหรง...คุณจะแต่งงานกับฉันไหมคะ” “เหยาเหยา...” “หลังจากนี้เ
จู่ๆ สายลมก็พัดแรง แรงจนสะพานแกว่งเหมือนมีมียักษ์มาแกว่ง หลินอวี่เหยาตัวเอียงไปมาจนร่างเซไปด้านหนึ่งของสะพาน เยี่ยหรงอยู่ด้านหลังแค่สองก้าวแต่เหมือนห่างไปสิบเมตร กระแสลมพัดแรงไม่ปกติ แม้รู้ดีว่าเรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นแต่สำหรับเขาไม่ปกติแน่นอน ทุกคนที่ก้าวข้ามไปแล้วถูกกระแสลมพัดแรงจนพวกเขาต้องหาที่ยึดเกาะ เพราะสะพานที่แกว่งไปมา ร่างเล็กเสียหลักหงายหลังตกสะพานแขวน!“เหยาเหยาระวัง!”“กรี๊ด!”เขายื่นมือไปสุดแขนแต่คว้ามือเธอไม่ทัน ร่างของหญิงสาวร่วงลงสู่แม่น้ำด้านล่าง เยี่ยหรงไม่รอช้าเขากระโดดตามไปทันที ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของทุกคน ครู่หนึ่งลมสงบแล้วหานเหยียนจึงวิ่งมากลางสะพานแล้วก้มมองลงไป เห็นเพียงเงาร่างเล็กๆ อยู่ในแม่น้ำ“บ้าเอ๊ย!” หานเหยียนสบถแล้วใช้โทรศัพท์ผ่านดาวเทียมสั่งการทันที “ใช้เฮลิคอปเตอร์ออกสำรวจปลายน้ำ เร็ว!”หานเหยียนสั่งการเฉียบขาด เขาให้คนอื่นๆ ดูแลทีมนักสำรวจที่เหลือ ส่วนตัวรีบหาทางไปที่ปลายแม่น้ำทันทีทำไมต้องมีเรื่องเช่นนี้กับเกิดท่านแม่ทัพของเขาด้วยนะ จะมีสักชาติไหมที่ทั้งสองได้ใช้ชีวิตครองคู่กันอย่างปกติสุขร่างเล็กร่วงลงในแม่น้ำอย่างรวดเร็ว เร็วจนหลินอวี่เหยาไม่







