Home / รักโบราณ / โศลกเพลิงผลาญใจ /  ตอนที่10 บุรุษแปลกหน้าในคืนจันทร์เสี้ยว3

Share

 ตอนที่10 บุรุษแปลกหน้าในคืนจันทร์เสี้ยว3

last update Last Updated: 2025-07-15 15:37:48

          อาจเพราะพิษไข้ทำให้ชายหนุ่มหลับๆ ตื่นๆ ไม่ค่อยรู้ตัวดีนัก แต่สัมผัสได้ว่ามีเงาร่างบอบบางเคลื่อนไหวอยู่ใกล้ๆ  อยู่จนมาถึงวัยยี่สิบเจ็ดปีแล้วแม้ยังไม่ได้แต่งงานแต่ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเข้าใกล้สตรี แต่เพิ่งเคยพบดรุณีน้อยที่นิสัยซื่อตรงเช่นนี้ วาจานางไม่สมกับวัยเลยสักนิด ใครเลยจะรู้ว่าสตรีผู้นี้เป็นคนที่ทำให้เขาเปิดปากเอ่ยวาจาทั้งที่ผ่านมา เขาได้ฉายาว่า ‘เยี่ยหรง-แม่ทัพใบ้’   หากไม่เพราะเข้ามาเพื่อสืบข่าวมารดาผู้ให้กำเนิด มีหรือแม่ทัพใหญ่เช่นเขาจะเฉียดใกล้ตำหนักเย็นเช่นนี้

            แผลเก่ากำเริบ เดิมที่บาดแผลนี้ได้ตั้งแต่ในยกทัพปราบโจรป่า เพื่อไม่ให้เป็นข่าวจึงปิดเงียบเรื่องบาดแผลนี้ แม้เชิญหมอจากวังหลวงมารักษา ต่างกล่าวเป็นเพียงบาดแผลเล็กน้อย ทว่าผ่านมานานนับเดือน แผลนี้ยังไม่หายเสียที ซ้ำยังทำให้ร่างกายเขาร้อนระอุราวอยู่ในกองเพลิง  บางคราวก็ทุเลาลงเองแต่บางครั้งก็โจมตีเล่นงานเขาจนแทบเอาตัวไม่รอด ฝ่ามือหยาบกระด้างสัมผัสที่บาดแผล นางกล่าวว่าตนเองไม่ใช่หมอแต่สามารถทำแผลและช่วยรักษาสลายพิษไข้ในกายของเขาได้ นับว่าไม่ธรรมดาจริงๆ   

          สองคืนที่เขายึดครองเตียงนอนของนางอย่างไม่ตั้งใจ เวลานี้ร่างกายฟื้นเรียวแรงดีจำเป็นต้องรีบกลับจวน ไม่เช่นนั้นคงได้เป็นเรื่องราวใหญ่โตแน่  เขาลุกขึ้นแล้วควานหาเสื้อมาสวม เป็นจังหวะที่หญิงสาวเดินเข้ามาในห้อง เจ้าของร่างสูงใหญ่จึงชะงักค้างราวกับถูกจับได้ว่าเตรียมจะหลบหนี  เพราะสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ให้บุรุษอื่นเข้ามา

            “จะไปแล้วรึ”  นางถามแล้วถือเทียนเข้าไปใกล้ เขาผงะถอยไปด้านหลังทำให้นางขมวดคิ้ว “แค่จะดูบาดแผลเท่านั้น มิได้จะล่วงเกินเจ้า” 

            แต่ละถ้อยคำที่เอ่ยมา ช่างไม่เหมาะสมกับเป็นกุลสตรีเลยสักนิด หรือที่ถูกส่งมาอยู่ที่นี่เพราะพูดจาห้วนเช่นนี้  แรกทีเดียวเขาก็คิดว่านางเป็นสาวใช้ แต่อยู่ด้วยสองวันสองคืนก็เห็นชัดว่าในตำหนักเย็นนี้มีนางอยู่เพียงคนเดียว แต่ล่ะวันจะมีขันทีมาส่งอาหารหนึ่งหรือสองมื้อ

            “แผลสมานดีแล้ว บาดแผลนี้ดูแล้วเป็นมานาน เจ้าควรใส่ใจมากกว่านี้”  นางพูดแล้วถอยหลังออกมาไม่ให้อีกฝ่ายต้องลำบากใจเกินไป

            “นี่เสื้อของเจ้า ฝีมือเย็บปักของข้าไม่ดีนัก แต่พอจะซ่อมเสื้อให้เจ้าได้”  นางยื่นเสื้อที่ซ่อมแซมให้เขา “ข้าต้องช่วยใส่หรือไม่”

            มือใหญ่คว้าไปแล้วเดินไปหลังฉากกั้นที่เก่าคร่ำครึ  หลินอวี่เหยาได้แต่อ้าปากค้าง หรือเขาจะเป็นนักพรตถือพรหมจรรย์ไม่เข้าใกล้สตรี จึงได้แสดงท่าทีรังเกียจนางถึงเพียงนี้  แต่ช่างเถิด คนผู้นี้ก็นับว่ามีความดีความชอบอยู่บ้างเพราะเขา นางจึงได้ทดสอบฝีมือการรักษาคนไข้ ได้ทบทวนความรู้จากที่เคยร่ำเรียนมา

            เรียกได้ว่า ‘ผลประโยชน์ต่างตอบแทน’

          เสียก็ตรงที่ พอเขารู้ตัวก็ทำเป็นคนไร้ปากไร้วาจาเงียบนิ่งเก็บคำเหมือนคนเป็นใบ้

            ช่างเถอะๆ เขาไม่อยากพูด จะไปบังคับให้พูดก็ไม่ใช่เรื่อง

            ชายหนุ่มแต่งกายเรียบร้อยจึงก้าวออกมา ร่างกายเขาสูงใหญ่กำยำเมื่อยืนใกล้นางจึงเห็นได้ชัดว่านางตัวเล็กนิดเดียว เขายื่นมือมาตรงหน้าแต่ไม่เอ่ยถ้อยคำ ทว่านางกลับเข้าใจความหมาย ยื่นมือไปหงายฝ่ามือขึ้น เขาก็วางถุงเงินใส่มือนาง

            “นี่...ให้ข้ารึ”  นางถามย้ำเพราะเกรงว่าจะเข้าใจผิด แต่เมื่อบุรุษเสมือนคนใบ้ผู้นี้พยักหน้า นางก็รีบเปิดถุงออกดู ไม่เก็บสีหน้าตื่นเต้นเลยสักนิด เพราะนางก้มหน้าอยู่จึงไม่เห็นสีหน้าบึ้งตึงของเขา  นางถึงกับหยิบเม็ดทองเล็กๆในถุงออกมากัดต่อหน้าเขา!

            “ของจริง?”  นางเห็นสีหน้าขมึงทึงของเขาแล้วก็รู้ว่าของจริง “ขอบคุณเจ้ามาก”

            หลินอวี่เหยาเห็นเขายกมือขึ้นแตะบริเวณบาดแผลของตน   นางจึงรีบพูดขึ้น “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าได้รับพิษอันใดมา เดิมทีคิดว่าเป็นแค่บาดแผลทั่วไป แต่ดูแลแผลนี้เกิดขึ้นนานและมีการรักษาแล้วแต่ร่างกายยังมีไอร้อนเหมือนคนเป็นไข้  หากครั้งหน้าเจ้ามีไข้ตัวร้อนอีก ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดร่างกายระบายความร้อนนั้นออกมา คิดว่าน่าจะบรรเทาได้มาก”

            เขายื่นนิ่งครู่หนึ่งก่อนผงกศีรษะรับแล้วเดินไปหยิบกระบี่ของตน

            “ท่านจอมยุทธ์เดินทางดีๆ ข้าไม่ไปส่งนะ”  นางกล่าวขณะที่เขาเดินผ่านนางไปที่ประตู  ชายหนุ่มชะงักและลังเลอย่างไม่เคยเป็นก่อนจะเป็นฝ่ายพูดขึ้น

            “ข้าแซ่เยี่ยชื่อคำเดียวว่าหรง หากวันหน้า แม่นางต้องการความช่วยมาที่จวนสกุลเยี่ยอยู่ทางทิศเหนือของเมืองหลวง”

          “ข้าแซ่หลินชื่ออวี่เหยา” นางรีบพูดขึ้นบ้าง “ฝากบอกคนที่บ้านเจ้าว่าวันหน้าข้าจะไปทวงบุญคุณ”

            ถ้อยคำไม่น่าฟังเลยสักนิด ทว่ากลับจุดรอยยิ้มที่บุรุษหนุ่มผู้เงียบขรึมได้ หลินอวี่เหยากัดริมฝีปากเก็บอาการหวั่นไหว ไม่ใช่ว่าไม่เคยเจอหนุ่มหล่อหน้าตาดี แต่คนผู้นี้ยิ้มแล้วดูอ่อนโยนเหลือเกิน

            คล้ายมีความคุ้นเคยบางอย่างผุดขึ้นในอก

          การเคลื่อนไหวรวดเร็วราวสายลมพัดผ่าน เพียงพริบตาเดียวบุรุษในชุดดำก็หายไปในทันที หากไม่เพราะทิ้งร่องรอยการมีอยู่ของเขา นางคงคิดว่าตนเองเจอภูตผีเข้าให้แล้ว

            หญิงสาวแหงนหน้ามองพระจันทร์ที่ใกล้เต็มดวงอีกครั้ง ก็คงเช่นเดียวกับชีวิตของนางที่กำลังจะกลับมาเปล่งแสงสว่างอีกหน เจ้าทองเม็ดน้อยๆ ที่ได้มาจะช่วยพลิกฟื้นชีวิตตำหนักเย็นของสนมที่ถูกทอดทิ้งให้ดีขึ้น!

             

           

           

           

           

               

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • โศลกเพลิงผลาญใจ    ตอนที่17 ความหวาดกลัวที่กัดกินหัวใจ

    หลินอวี่เหยายุ่งกับการทำความสะอาดบ่อน้ำด้านหลังเรือน นางไม่มีปัญหากับการลงมือทำอะไรเองเช่นนี้ แต่ติดที่ร่างกายนี้พละกำลังยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่นัก มื้อกลางวันนำอาหารที่เตรียมไว้ไปกินพร้อมกับสนมจื่อหนิง การผูกมิตรด้วยอาหารเป็นเรื่องพื้นฐานมาแต่ไหนแต่ไร นอกจากเรียนรู้มารยาทต่างๆแล้ว ยังได้ฟังเรื่องเล่ามากมาย สะสมข้อมูลให้สมองน้อยๆ ของนางอีกด้วย “ข้าตากดอกมะลิไว้ แต่ยังไม่พร้อมเป็นชามะลิ อาจารย์รอข้าหน่อยนะเจ้าค่ะ” หลินอวี่เหยาประจบด้วยแววตาวิบวับ จื่อหนิงเห็นแล้วก็เอ็นดู ในวัยนี้ของสตรีคืองดงามบานสะพรั่งแต่ต้องมาอยู่ในสถานที่เช่นนี้ช่างน่าเสียดายนัก “มีต้นมะลิด้วยรึ” “เจ้าค่ะ มีกุหลาบด้วย แล้วด้านหลังเรือนของข้ามีบ่อน้ำ ข้าลงไปทำความสะอาดลอกบ่อแล้ว ไหว้วานให้จูซินช่วยหาบัวมาลงที่บ่อ” “เจ้าจะทำสระบัวรึ” หญิงสาวโบกมือไปมา “เรียกสระบัวไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ แต่ก็พอปลูกบัวได้ หากไปได้ดีข้าจะทำชาดีบัว -ดีบัวช่วยบำรุงหัวใจ นับว่าเป็นสมุนไพรที่ดี” “ข้าไม่เคยรู้ว่าสกุลหลินเชี่ยวชาญเรื่องสมุนไพร” หลินอวี่เหย

  • โศลกเพลิงผลาญใจ    ตอนที่16 ข้าเป็นคนรับใช้เจ้ารึ

    จูซินกะพริบตาปริบๆ ไม่อยากจะเชื่อว่าเจ้ากิ่งไม้แห้งๆ เอ่อ ไม่สิ นั้นเคยเป็นซากกล้วยไม้มาก่อน แต่ยามนี้กลับฟื้นมีชีวิตอีกครั้ง “เจ้านี่คือซากกล้วยไม้ที่ข้าเคยเอามาหรือ?” จูซินยังไม่อยากเชื่อนัก “ใช่” หลินอวี่เหยายกน้ำแกงหัวไชเท้าออกมาวางบนโต๊ะที่ตั้งอยู่หน้าเรือน ซึ่งหญิงสาวสถาปนาให้มันเป็นโต๊ะรับแขกเพื่อไม่ให้ผู้อื่นเข้าไปยุ่งย่ามด้านเรือน “นี่อะไร” “น้ำแกงหัวไชเท้า ไม่มีเนื้อสัตว์ก็กินผักไปก่อน” นางยิ้มทะเล้นแล้วนั่งลง “กินกับหมั่นโถวได้ชุ่มคอดี” ขันทีน้อยมองอาหารบนโต๊ะ นอกจากน้ำข้าวกับผักดองที่เขายกมาให้นางทุกวัน มาบัดนี้มีหมั่วโถวก้อนอวบๆ กับน้ำแกงเพิ่มขึ้น อาหารการกินมิได้เลิศรสหรูหราแต่นับว่าดีกว่าแต่ก่อนมากนัก “หัวผักที่เจ้าให้ข้าเก็บมาก็ปลูกขึ้นด้วยหรือนี่” จูซินนั่งกินอาหารกับหลินอวี่เหยาด้วยความคุ้นชินแล้ว “ข้าต้องไปแย่งอาหารหมูมาเลยทีเดียว” หญิงสาวหัวเราะเสียงใสแล้วปรายตามองไปรอบกาย ความเพียรพยายามไม่สูญเปล่า รอบๆ เรือนมีพืชผักที่เพาะปลูกไว้พอได้เก็บกินบ้างแล้ว ด้านหนึ่งมีแปลง

  • โศลกเพลิงผลาญใจ   ตอนที่15 เลิกพูดเรื่องตายเสียทีเถิด

    “ท่านน้า กินแป้งย่างก่อนยังร้อนๆอยู่” หลินอวี่เหยาเปลี่ยนเรื่องแล้วหยิบแป้งย่างออกมาจากตะกร้า นางหันซ้ายหันขวาเห็นกาน้ำชาจึงเดินไปรินใส่ถ้วย ทว่ามันเป็นเพียงน้ำเปล่า “ข้าไม่รู้ว่าที่นี่ไม่มีน้ำชา ท่านน้าดื่มน้ำเย็นเช่นนี้หรือ?” นางรินน้ำแล้วประคองถ้วยน้ำกลับมาให้จื่อหนิง “ข้าจำไม่ได้แล้วว่าดื่มน้ำชาครั้งสุดท้ายเมื่อใดกัน” จื่อหนิงยิ้มบางเบา กลิ่นอาหารเย้ายวนทำให้นางยื่นมือไปหยิบแป้งย่างขึ้นมาบิเป็นคำเล็กๆ แล้วส่งเข้าปาก ค่อยๆ เคี้ยวและซึมซับรสชาติของอาหารแสนเรียบง่ายตรงหน้า แต่อยู่ในสถานที่นี้กลับกลายเป็นอาหารเลิศรส “พอกินได้ไหมเจ้าคะ” หลินอวี่เหยารู้ว่ารสมือของตนไม่ได้แย่นัก แต่ในโลกที่มีวัตถุดิบจำกัดนี้ ความมั่นใจจึงหดหายไปกว่าครึ่ง “ก็พอกินได้” จื่อหนิงพยักหน้ารับ แม้ตอนนี้ตกอับอยู่ตำหนักเย็นมานาน ตั้งแต่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนจนมาถึงตอนนี้ แต่เมื่อรื้อฟื้นกิริยามารยาทขึ้นมาอีกครั้ง นางก็นั่งหลังเหยียดตรงและกินอาหารคำน้อยๆ แลดูเป็นหญิงสาวตระกูลสูงส่ง หลินอวี่เหยาเห็นแล้วก็อดจินตนาการไม่ได้ว่า จื่อหนิงในวัยสา

  • โศลกเพลิงผลาญใจ    ตอนที่14  เครียดคือสิ่งใด

    “กล้วยไม้ใบเหลืองมีจุดดำ ใบแฉะ หรือเน่าที่ขอบใบ วิธีรักษาให้ตัดใบที่ติดเชื้อออกใช้ผงกำมะถันหรือน้ำปูนใสป้ายบริเวณที่ตัด กรรไกรที่ใช้ ใช้แล้วล้างเช็ดทำความสะอาดให้ดี เชื้อราติดที่คมกรรไกรได้ ช่วงนี้เปลี่ยนฤดูแล้ว เอากล้วยไม้ออกมาโดนแสงบ้าง กล้วยไม้ใบเหลือเพราะความเครียดก็มี” “เครียด? เครียดคือสิ่งใด” หลินอวี่เหยาหลุดปากไปแล้วก็นึกได้ว่าตอนนี้นางไม่ได้อยู่ในสถาบันวิจัยพันธุ์พืช นางกลอกตามองท้องฟ้าแต่เห็นแค่คานไม้เก่าคร่ำครึ หากคิดจะขึ้นไปแขวนคอก็เกรงว่าคานน่าจะหักลงมาก่อน “ข้าหมายถึงมีเรื่องวิตกกังวลมากเกินไป” “กล้วยไม้ก็มีเรื่องวิตกกังวลรึ” ซูจินทำหน้างุนงง “ข้าเห็นกล้วยไม้ของกุ้ยเฟยอยู่ดีมีสุขกว่าขันทีอย่างข้าเสียอีก” หญิงสาวยิ้มขำ นานวันเข้าขันทีน้อยก็เลิกวางตัวหยิ่งยโสใส่นาง หลินอวี่เหยาเข้าใจดี คนเราก็มักเป็นเช่นนี้เหยียบย่ำคนที่ต่ำกว่าเพื่อให้ตนเองรู้สึกสูงส่งขึ้น แต่ซูจินมีพื้นฐานจิตใจดีนางเองก็ไม่อยากเอาเปรียบความใจดีของเขา ทุกครั้งที่ไหว้วานสิ่งใด นางจะตอบแทนเขาเสมอ แม้เล็กน้อยก็หยิบยื่นให้ ครั้งก่อนฝากชุดผ้

  • โศลกเพลิงผลาญใจ    ตอนที่13 เยี่ยหรง 2

    “ท่านพ่อ ลูกกลับมาแล้วขอรับ” เยี่ยหรงประสานมือคารวะ แต่ท่านโหวมุมปากกระตุก คิดรึว่าเขาไม่รู้ว่าลูกชายกลับมาถึงเมืองหลวงหลายวันแล้ว แต่คิดไปว่าคงเหนื่อยล้าจากการปราบโจรและเดินทางกลับจึงคร้านจะใส่ใจ ทว่าผ่านมาหลายวันจนรู้ว่าเยี่ยหรงออกไปนอกจวน เขาจึงโมโหแทบควันออกหู รอให้มาหาไม่มา จึงต้องให้คนไปตามตัวเช่นนี้ เยี่ยเฟยฮุ่ยแต่งงานกับเย่าเฉิน เขามีภรรยาเดียวไม่รับอนุมีบุตรชายสามคน คือ เยี่ยเฉิงหลิงซึ่งจากไปในวัยแค่ยี่สิบ เยี่ยเฉิงอี้ และเยี่ยจิ่งอวี่ ทั้งสองเป็นทหารประจำชายแดนตะวันออกและตะวันตก แต่ทั้งสองแต่งภรรยามีทายาทตัวน้อย ทว่าเพราะประจำอยู่แดนไกล ภรรยาและลูกจึงอยู่เคียงข้างสามีที่นั้น ในเมืองหลวงนี้เยี่ยเฟยฮุ่ยกับเย่าเฉินอยู่กับสองคนปู่ย่า วาดหวังให้เยี่ยหรงบุตรชายคนเล็กแม้เป็นบุตรบุญธรรมแต่รักดุจลูกในไส้ได้แต่งงานกับสตรีที่คู่ควรเพื่อมีหลานให้ปู่ย่าได้อุ้มชู แรกทีเดียวก็อ้างเรื่องบ้านเมืองยังไม่สงบสุข แต่ตอนนี้หัวเมืองน้อยใหญ่ต่างเงียบสงบนานๆ จึงจะมีเรื่องให้ต้องยกทัพกันสักคราว แต่บุตรชายคนเล็กกลับยังไม่แต่งภรรยา แล้วเช่นนี้เมื่อไหร่จะ

  • โศลกเพลิงผลาญใจ   ตอนที่12 เยี่ยหรง 1

    “บาดแผลนี้ผู้ใดรักษาท่านแม่ทัพรึ” ชายหนุ่มที่ถูกถามเพียงแค่ปรายตามองหมอทหารที่กำลังทำแผลที่อกซ้ายค่อนมาทางหัวไหล่ บนร่างกายกำยำมีรอยแผลนับไม่ถ้วน บาดแผลที่เคยเกือบคร่าชีวิตไปแล้วก็ทิ้งแผลเป็นไว้ให้ดูต่างหน้า ทว่าแผลนี้ไม่นับว่าใหญ่นัก แต่กลายเป็นแผลเรื้อรังมาแรมเดือน ซ้ำยังทำให้พิษไข้ขึ้นมาเสียเฉยๆ “ทำไมรึ” หานเหยียนคือทหารข้างกายแม่ทัพใหญ่ ปีนี้เขาอายุยี่สิบแต่เพราะรูปร่างสูงใหญ่และหน้าตาดุดันจึงเหมือนคนวัยสามสิบเข้าไปแล้ว ก่อนหน้าที่จะเป็นทหารนั้นเคยเป็นโจรภูเขาที่แม่ทัพเยี่ยหรงยกทัพปราบเมื่อราวเจ็ดปีก่อน เขาเป็นเด็กกำพร้าที่เติบโตในรังโจร แม่ทัพเยี่ยหรงให้ความเมตตารับอุปการะ และเมื่อถึงวัยเขาก็เข้าสู่กองทัพ ไต่เต้าจนเป็นนายกอง แม้ตำแหน่งไม่สูงแต่ได้รับใช้ใกล้ชิดแม่ทัพใหญ่ ผู้อื่นต่างพากันริษยาในวาสนานี้ หลูจิ่งเซวียน-เป็นหมอประจำค่ายทหารและรับใช้ขึ้นตรงกับแม่ทัพใหญ่ผู้ได้ฉายาว่าแม่ทัพใบ้ ทั้งที่เขาไม่ได้เป็นใบ้แต่เพราะพูดน้อยจนผู้อื่นเข้าใจคิดว่าเป็นใบ้ เขาส่งสายตาตำหนิไปทางหานเหยียนซึ่งเป็นตัวต้นเหตุให้คิดว่าแม่ทัพหนุ่มผู้องอาจเ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status