อาจเพราะพิษไข้ทำให้ชายหนุ่มหลับๆ ตื่นๆ ไม่ค่อยรู้ตัวดีนัก แต่สัมผัสได้ว่ามีเงาร่างบอบบางเคลื่อนไหวอยู่ใกล้ๆ อยู่จนมาถึงวัยยี่สิบเจ็ดปีแล้วแม้ยังไม่ได้แต่งงานแต่ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเข้าใกล้สตรี แต่เพิ่งเคยพบดรุณีน้อยที่นิสัยซื่อตรงเช่นนี้ วาจานางไม่สมกับวัยเลยสักนิด ใครเลยจะรู้ว่าสตรีผู้นี้เป็นคนที่ทำให้เขาเปิดปากเอ่ยวาจาทั้งที่ผ่านมา เขาได้ฉายาว่า ‘เยี่ยหรง-แม่ทัพใบ้’ หากไม่เพราะเข้ามาเพื่อสืบข่าวมารดาผู้ให้กำเนิด มีหรือแม่ทัพใหญ่เช่นเขาจะเฉียดใกล้ตำหนักเย็นเช่นนี้
แผลเก่ากำเริบ เดิมที่บาดแผลนี้ได้ตั้งแต่ในยกทัพปราบโจรป่า เพื่อไม่ให้เป็นข่าวจึงปิดเงียบเรื่องบาดแผลนี้ แม้เชิญหมอจากวังหลวงมารักษา ต่างกล่าวเป็นเพียงบาดแผลเล็กน้อย ทว่าผ่านมานานนับเดือน แผลนี้ยังไม่หายเสียที ซ้ำยังทำให้ร่างกายเขาร้อนระอุราวอยู่ในกองเพลิง บางคราวก็ทุเลาลงเองแต่บางครั้งก็โจมตีเล่นงานเขาจนแทบเอาตัวไม่รอด ฝ่ามือหยาบกระด้างสัมผัสที่บาดแผล นางกล่าวว่าตนเองไม่ใช่หมอแต่สามารถทำแผลและช่วยรักษาสลายพิษไข้ในกายของเขาได้ นับว่าไม่ธรรมดาจริงๆ
สองคืนที่เขายึดครองเตียงนอนของนางอย่างไม่ตั้งใจ เวลานี้ร่างกายฟื้นเรียวแรงดีจำเป็นต้องรีบกลับจวน ไม่เช่นนั้นคงได้เป็นเรื่องราวใหญ่โตแน่ เขาลุกขึ้นแล้วควานหาเสื้อมาสวม เป็นจังหวะที่หญิงสาวเดินเข้ามาในห้อง เจ้าของร่างสูงใหญ่จึงชะงักค้างราวกับถูกจับได้ว่าเตรียมจะหลบหนี เพราะสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ให้บุรุษอื่นเข้ามา
“จะไปแล้วรึ” นางถามแล้วถือเทียนเข้าไปใกล้ เขาผงะถอยไปด้านหลังทำให้นางขมวดคิ้ว “แค่จะดูบาดแผลเท่านั้น มิได้จะล่วงเกินเจ้า”
แต่ละถ้อยคำที่เอ่ยมา ช่างไม่เหมาะสมกับเป็นกุลสตรีเลยสักนิด หรือที่ถูกส่งมาอยู่ที่นี่เพราะพูดจาห้วนเช่นนี้ แรกทีเดียวเขาก็คิดว่านางเป็นสาวใช้ แต่อยู่ด้วยสองวันสองคืนก็เห็นชัดว่าในตำหนักเย็นนี้มีนางอยู่เพียงคนเดียว แต่ล่ะวันจะมีขันทีมาส่งอาหารหนึ่งหรือสองมื้อ
“แผลสมานดีแล้ว บาดแผลนี้ดูแล้วเป็นมานาน เจ้าควรใส่ใจมากกว่านี้” นางพูดแล้วถอยหลังออกมาไม่ให้อีกฝ่ายต้องลำบากใจเกินไป
“นี่เสื้อของเจ้า ฝีมือเย็บปักของข้าไม่ดีนัก แต่พอจะซ่อมเสื้อให้เจ้าได้” นางยื่นเสื้อที่ซ่อมแซมให้เขา “ข้าต้องช่วยใส่หรือไม่”
มือใหญ่คว้าไปแล้วเดินไปหลังฉากกั้นที่เก่าคร่ำครึ หลินอวี่เหยาได้แต่อ้าปากค้าง หรือเขาจะเป็นนักพรตถือพรหมจรรย์ไม่เข้าใกล้สตรี จึงได้แสดงท่าทีรังเกียจนางถึงเพียงนี้ แต่ช่างเถิด คนผู้นี้ก็นับว่ามีความดีความชอบอยู่บ้างเพราะเขา นางจึงได้ทดสอบฝีมือการรักษาคนไข้ ได้ทบทวนความรู้จากที่เคยร่ำเรียนมา
เรียกได้ว่า ‘ผลประโยชน์ต่างตอบแทน’
เสียก็ตรงที่ พอเขารู้ตัวก็ทำเป็นคนไร้ปากไร้วาจาเงียบนิ่งเก็บคำเหมือนคนเป็นใบ้
ช่างเถอะๆ เขาไม่อยากพูด จะไปบังคับให้พูดก็ไม่ใช่เรื่อง
ชายหนุ่มแต่งกายเรียบร้อยจึงก้าวออกมา ร่างกายเขาสูงใหญ่กำยำเมื่อยืนใกล้นางจึงเห็นได้ชัดว่านางตัวเล็กนิดเดียว เขายื่นมือมาตรงหน้าแต่ไม่เอ่ยถ้อยคำ ทว่านางกลับเข้าใจความหมาย ยื่นมือไปหงายฝ่ามือขึ้น เขาก็วางถุงเงินใส่มือนาง
“นี่...ให้ข้ารึ” นางถามย้ำเพราะเกรงว่าจะเข้าใจผิด แต่เมื่อบุรุษเสมือนคนใบ้ผู้นี้พยักหน้า นางก็รีบเปิดถุงออกดู ไม่เก็บสีหน้าตื่นเต้นเลยสักนิด เพราะนางก้มหน้าอยู่จึงไม่เห็นสีหน้าบึ้งตึงของเขา นางถึงกับหยิบเม็ดทองเล็กๆในถุงออกมากัดต่อหน้าเขา!
“ของจริง?” นางเห็นสีหน้าขมึงทึงของเขาแล้วก็รู้ว่าของจริง “ขอบคุณเจ้ามาก”
หลินอวี่เหยาเห็นเขายกมือขึ้นแตะบริเวณบาดแผลของตน นางจึงรีบพูดขึ้น “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าได้รับพิษอันใดมา เดิมทีคิดว่าเป็นแค่บาดแผลทั่วไป แต่ดูแลแผลนี้เกิดขึ้นนานและมีการรักษาแล้วแต่ร่างกายยังมีไอร้อนเหมือนคนเป็นไข้ หากครั้งหน้าเจ้ามีไข้ตัวร้อนอีก ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดร่างกายระบายความร้อนนั้นออกมา คิดว่าน่าจะบรรเทาได้มาก”
เขายื่นนิ่งครู่หนึ่งก่อนผงกศีรษะรับแล้วเดินไปหยิบกระบี่ของตน
“ท่านจอมยุทธ์เดินทางดีๆ ข้าไม่ไปส่งนะ” นางกล่าวขณะที่เขาเดินผ่านนางไปที่ประตู ชายหนุ่มชะงักและลังเลอย่างไม่เคยเป็นก่อนจะเป็นฝ่ายพูดขึ้น
“ข้าแซ่เยี่ยชื่อคำเดียวว่าหรง หากวันหน้า แม่นางต้องการความช่วยมาที่จวนสกุลเยี่ยอยู่ทางทิศเหนือของเมืองหลวง”
“ข้าแซ่หลินชื่ออวี่เหยา” นางรีบพูดขึ้นบ้าง “ฝากบอกคนที่บ้านเจ้าว่าวันหน้าข้าจะไปทวงบุญคุณ”
ถ้อยคำไม่น่าฟังเลยสักนิด ทว่ากลับจุดรอยยิ้มที่บุรุษหนุ่มผู้เงียบขรึมได้ หลินอวี่เหยากัดริมฝีปากเก็บอาการหวั่นไหว ไม่ใช่ว่าไม่เคยเจอหนุ่มหล่อหน้าตาดี แต่คนผู้นี้ยิ้มแล้วดูอ่อนโยนเหลือเกิน
คล้ายมีความคุ้นเคยบางอย่างผุดขึ้นในอก
การเคลื่อนไหวรวดเร็วราวสายลมพัดผ่าน เพียงพริบตาเดียวบุรุษในชุดดำก็หายไปในทันที หากไม่เพราะทิ้งร่องรอยการมีอยู่ของเขา นางคงคิดว่าตนเองเจอภูตผีเข้าให้แล้ว
หญิงสาวแหงนหน้ามองพระจันทร์ที่ใกล้เต็มดวงอีกครั้ง ก็คงเช่นเดียวกับชีวิตของนางที่กำลังจะกลับมาเปล่งแสงสว่างอีกหน เจ้าทองเม็ดน้อยๆ ที่ได้มาจะช่วยพลิกฟื้นชีวิตตำหนักเย็นของสนมที่ถูกทอดทิ้งให้ดีขึ้น!
ซ่งเหอเทียนจวินนั่งมองอาหารตรงหน้าแล้วปรายตาไปมองถาดเล็กๆ ของเจ้าเสือดำที่รูปร่างใหญ่กว่าแมวเล็กน้อย การกินอาหารเป็นความรื่นรมย์อย่างหนึ่งและนังหนูเหยาเหยาก็ฝีมือในการทำอาหารหญิงสาวมองตามสายตาของอาจารย์ปู่แล้วก็อธิบายด้วยรอยยิ้ม “ก่อนหน้านี้ข้านึกว่าเป็นแมวจึงทำอาหารจากเนื้อปลา แต่ดูเหมือนไม่ถูกปากเอาเสียเลย พอรู้ว่าเป็นเสือดำก็เลยลองเปลี่ยนเป็นเนื้อไก่เจ้าค่ะ”“เจ้าดูแลมันดีเกินไปหรือไม่ อย่างไรก็แค่ปีศาจตนหนึ่งกินของดีๆไปก็ไม่เกิดประโยชน์ใดหรอกนะ” พูดแล้วก็นึกเสียดายไก่นึ่งใบบัวตัวนั้นจริงๆ“อาจารย์ปู่ก็เป็นเซียนสมุนไพร ไม่ต้องกินอาหารก็ได้ แต่ท่านก็ยังชอบกินเลย”ซ่งเหอเทียนจวินกลอกตาไปมาอย่างไม่พอใจแล้วก็มองจานเบื้องหน้าที่เป็นปลาทอด “อย่าบอกว่าปลานี่คือปลาที่เจ้าแมวนั้นไม่กิน!”“เหยาเหยาจะทำอย่างนั้นได้อย่างเล่า” หญิงสาวหัวเราะเบาๆ “ปลากะพงผัดโหงวก๊วย อาจารย์ปู่เคยบอกว่าชอบมาก เหยาเหยาจึงทำให้ ส่วนปลาที่เจ้าแมว เอ่อ เสือดำน้อยไม่กินนั้น เหยาเหยากินเองเจ้าค่ะ”“แล้วไป”เสียงหัวเราะคิกคักทำให้เสือดำทำหน้าไม่พอใจนัก แต่เมื่อมือเรียวใช้ตะเกียบคืบเนื้อไก่แล้วจ่อที่ปากของมัน กลิ่นหอมเ
“เหยาเหยาเอ๋ย ที่เจ้ารักษาอยู่หาใช่แมวดำ แต่เสือดำต่างหาก” “สะ..เสือ...เสือดำ? เสือดำหรือเจ้าคะ” หญิงสาวเอียงคอมองเจ้าขนฟูตัวนุ่มที่นางอุ้มมารักษา ผ่านมาสามวันแล้วบาดแผลของมันดีขึ้นมาก ประจวบกับซ่งเหอเทียนจวินกลับมาที่สวนเสียนเฉ่า “เหยาเหยาถูกปีศาจหลอกเสียแล้ว” “ปีศาจ?” นางเบิกตากว้างจ้องมองเสือดำที่เข้าใจมาตลอดมันคือแมวดำ มิน่าน่าตัวมันถึงได้ใหญ่กว่าแมวทั่วไปนัก “เจ้านี่เป็นปีศาจหรือเจ้าคะ” “เก็บไอปีศาจได้อย่างดี หรือว่าบาดเจ็บหนักจนไอปีศาจเลือนหายไปล่ะ” ซ่งเหอเทียนจวินหัวเราะในลำคอแล้วยื่นปลายนิ้วไปหมายจะแตะหน้าผากเสือดำ แต่เจ้าปีศาจตัวจ้อยแยกเขี้ยวขู่แล้วถอยไปหลบข้างหลังเหยาเหยา “อาจารย์ปู่อย่าแกล้งเจ้าแมวน้อย เอ่อ เสือดำน้อยเลยเจ้าค่ะ” หลายวันที่อยู่ด้วยกัน เหยาเหยาเอาแต่เรียกมันว่าแมวน้อย นางไม่อยากตั้งชื่อเพราะกลัวการผูกพัน “เหยาเหยาชอบเจ้าเสือดำตัวน้อยนี่รึ” ซ่งเหอเทียนจวินลูบหนวดเคราสีเงินยวงของตนพลางยิ้มน้อยๆ ดวงตาจ้องมองปีศาจเสือดำตัวน้อย “ถ้าเหยาเหยาชอบ อาจารย์ปู่จะร่ายมนต์ทำพันธะสัญญาใ
“ตั้งแต่ข้าน้อยติดตามท่านแม่ทัพมา...หลายปีมานี้นับว่าคืบหน้ามากแล้ว คิดว่าอีกไม่นานท่านแม่ทัพคงได้รู้ความจริง” เยี่ยหรงเก็บงำความคิดของตนไว้เพียงผู้เดียว เขารู้ดีว่าท่านพ่อท่านแม่ล้วนต้องการให้เขา ‘ปล่อยวาง’ เรื่องที่ผ่านมา แต่เป็นเขาที่ไม่อาจปล่อยวางได้ เหมือนคนที่ถูกตรวนด้วยโซ่ที่มองไม่เห็น เขาเพียงแค่อยากรู้ว่าทำไมจึงมีคนต้องการชีวิตของกับมารดาทั้งที่เขายังเป็นเพียงก้อนเลือดในครรภ์เท่านั้น เสียงถอนหายใจแม้เพียงแผ่วเบาแต่กระทบโสตประสาทการรับรู้ของเยี่ยหรง ดวงตาดำปรายตามองเพียงเล็กน้อยก็ทำเอาหลูจิ่งเซวียนผวาเล็กน้อย แม้เขาเป็นเพียงหมอทหารแต่เพราะรักษาอาการบาดเจ็บเรื้อรังของท่านแม่ทัพมานาน อาจไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นคนสนิทแต่ก็เป็นคนที่แม่ทัพเยี่ยไว้ใจ แต่นั้นก็ยิ่งทำให้รู้ว่า ภายใต้ท่าทีนิ่งเงียบนี้ซ่อนความโหดเหี้ยมไว้ “อยากพูดอะไรก็พูดมา” เยี่ยหรงเอ่ยแล้วก้าวเท้าเดินด้วยฝีเท้ามั่นคง “ท่านแม่ทัพเคยคิดหรือไม่ว่า....มารดาของท่านอาจเป็นสนมหรือนางกำนัลของฮ่องเต้พระองค์ก่อน” “หรืออาจจะเป็นเพียงคนไม่สำคัญที่เกะกะขวางหูข
‘เพราะครั้งนี้ไม่ได้ไปรบ และเพราะขอสนมของฮ่องเต้ ทำให้ฮ่องเต้ทรงหวาดระแวงอนุญาตให้นำทหารติดตามไปได้แค่ห้าร้อยนาย...เจ้าต้องจัดการทุกอย่างด้วยตนเอง ใช้สติให้มาก’ เยี่ยเฟยฮุ่ยอบรมบุตรชายคนเล็ก ทำได้แต่แค่ส่ายศีรษะไปมาจนใจกับความดื้อรั้นของบุตรชายคนเล็กผู้นี้แล้ว ‘ลูกทราบแล้วขอรับ’ เขาก้มศีรษะรับคำสั่งสอนแล้วหันไปพูดคุยกับพี่ชายทั้งสอง ‘ฝากดูแลท่านแม่ด้วย’ ‘วางใจเถอะ เจ้าทำหน้าที่ของตนให้สำเร็จลุล่วงเถิด’ ‘ท่านแม่...หากว่ามีคนมาขอความช่วยเหลือ ขอท่านแม่เมตตาช่วยตามสมควร หรือมีสิ่งใดโปรดให้ม้าเร็วส่งข่าวถึงลูกด้วย’ ‘เจ้าก็อย่าได้เป็นกังวลไป เรื่องทางนี้แม่จัดการให้ได้’ ‘ยังจะมีหน้าห่วงสตรีอีกเรอะ! ที่ต้องลำบากเช่นนี้ก็เพราะผู้หญิงคนนั้น อยากเห็นหน้าเสียจริงว่าเป็นคนเช่นไร’ เยี่ยเฟยฮุ่ยอดหงุดหงิดไม่ได้ แต่ภรรยาของตนกลับหัวเราะออกมา ‘ข้าเป็นแม่ยังไม่กังวล ท่านพี่จะเป็นทุกข์ร้อนไปไย’ เย่าเฉินตบหลังมือของสามีที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาหลายสิบปี ‘หรงเอ๋อร์ของเรารู้จักห่วงใยสตรีแล้ว ย่อมเป็นเรื่องดี’
เพียะ!กว่าหลินอวี่เหยาจะได้สติ ซีกแก้มนวลก็เปลี่ยนเป็นสีแดงและความเจ็บมาแทนที่ หญิงสาวผสานสายตากับดวงตาโกรธเกรี้ยวที่จ้องมองอยู่ มือที่ง้างข้างในอากาศยังสั่นระริก หลินอวี่เหยามั่นใจว่าไม่เคยพบสตรีผู้นี้รวมทั้งความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไม่เคยรู้จักมาก่อนราวกับเพิ่งรู้สึกตัว องค์หญิงเซวียนจิ้งหว่านพลันได้สติ แม้แต่นางกำนัลข้างกายยังตกใจเพราะปกติแล้วเซวียนจิ้งหว่านมักเก็บงำความรู้สึกของตนเองมิดชิด ไม่ลงไม้ลงมือด้วยตนเองแต่สั่งให้นางกำนัลข้างกายหรือแม่นมเป็นคนจัดการแทน ภาพลักษณ์ของเซวียนจิ้งหว่านคือองค์หญิงผู้งดงามอ่อนหวาน ไม่เคยมีผู้ใดเห็นด้านมืดของนางหลินอวี่เหยาสูดลมหายใจลึก ดวงตากลมหรี่มองอีกฝ่ายแล้วเอ่ยขึ้นน้ำเสียงราบเรียบ“ข้าจำไม่ได้ว่ามีเรื่องใดบาดหมางกับท่าน”“นังแพศยา! เจ้าใช้เล่ห์กลใดล่อลวงแม่ทัพเยี่ยหรง!”ได้ยินเท่านี้ คิ้วเรียวงามก็เลิกขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มออกมา “อ่อ...เป็นเรื่องแม่ทัพเยี่ยหรงเองหรอกรึ”“เจ้า!” เซวียนจิ้งหว่านกระทืบเท้าอย่างไม่พอใจ นางง้างฝ่ามือแล้วฟาดใส่อีกฝ่าย ทว่าหลินแค่เบี่ยงตัวหลบมิได้ตอบโต้แต่อย่างใด ทว่าทำให้องค์หญิงเสียหลักล้มลงไปนั่งบน
องค์หญิงเซวียนจิ้งหว่านได้ยินเรื่องราวทั้งหมดด้วยใบหน้าเรียบนิ่งแต่มือที่อยู่ชายเสื้อนั้นกำแน่น นางแอบรักบุรุษผู้นั้นมานาน ที่ผ่านมาฮ่องเต้มักเปรยถึงแม่ทัพเยี่ยหรงที่ยังไร้คู่ครองและคิดจะให้นางอภิเษกกับแม่ทัพเยี่ยหรง นางเฝ้าวันที่จะได้สวมชุดแดงมงคลเคียงข้างแม่ทัพผู้องอาจ คิดเสมอมาว่าเมื่อเสร็จศึกชายแดน นางจะได้.... ทว่าเป็นนางที่เพ้อฝันไปฝ่ายเดียว แม้รู้ดีว่าที่ผ่านมาเป็นนางฝ่ายเดียวที่มีใจให้ แต่คิดว่า...หากใจของเขาไม่มีหญิงอื่น นางย่อมมีสิทธิ์ยืนในใจของเขา ที่แท้...เข้ามีนางในดวงใจและยังเป็นสตรีของฮ่องเต้อีกด้วย “หลินอวี่เหยาเข้าวังตอนที่นางอายุสิบห้า เข้าวังได้ไม่ถึงครึ่งปีก่อเรื่องใหญ่ถูกส่งไปรับโทษที่ตำหนักเย็น นางอยู่ที่นั้นมาสองปีกว่าเพิ่งจะได้ก้าวเท้าออกมา เหตุใดจึงพบแม่ทัพเยี่ยหรงได้ หรือว่าทั้งสองแอบลอบพบกันมาก่อนเพคะ” เว่ยซูอิ๋นเอ่ยถาม นางก็ไม่ได้พอใจที่เห็นฮ่องเต้ใส่ใจหลิวอวี่เหยานั้น หากมีหนทางนางก็ต้องหาทางกำจัดสตรีที่เข้ามาขวางทางเดินของนาง “นั้นสิ แม่ทัพเยี่ยหรงคิดไม่ซื่อกับบัลลังก์ของลูกเป็นแน่” ไทเฮาสีหน้าไม่ดีนัก