“บาดแผลนี้ผู้ใดรักษาท่านแม่ทัพรึ”
ชายหนุ่มที่ถูกถามเพียงแค่ปรายตามองหมอทหารที่กำลังทำแผลที่อกซ้ายค่อนมาทางหัวไหล่ บนร่างกายกำยำมีรอยแผลนับไม่ถ้วน บาดแผลที่เคยเกือบคร่าชีวิตไปแล้วก็ทิ้งแผลเป็นไว้ให้ดูต่างหน้า ทว่าแผลนี้ไม่นับว่าใหญ่นัก แต่กลายเป็นแผลเรื้อรังมาแรมเดือน ซ้ำยังทำให้พิษไข้ขึ้นมาเสียเฉยๆ
“ทำไมรึ” หานเหยียนคือทหารข้างกายแม่ทัพใหญ่ ปีนี้เขาอายุยี่สิบแต่เพราะรูปร่างสูงใหญ่และหน้าตาดุดันจึงเหมือนคนวัยสามสิบเข้าไปแล้ว ก่อนหน้าที่จะเป็นทหารนั้นเคยเป็นโจรภูเขาที่แม่ทัพเยี่ยหรงยกทัพปราบเมื่อราวเจ็ดปีก่อน เขาเป็นเด็กกำพร้าที่เติบโตในรังโจร แม่ทัพเยี่ยหรงให้ความเมตตารับอุปการะ และเมื่อถึงวัยเขาก็เข้าสู่กองทัพ ไต่เต้าจนเป็นนายกอง แม้ตำแหน่งไม่สูงแต่ได้รับใช้ใกล้ชิดแม่ทัพใหญ่ ผู้อื่นต่างพากันริษยาในวาสนานี้
หลูจิ่งเซวียน-เป็นหมอประจำค่ายทหารและรับใช้ขึ้นตรงกับแม่ทัพใหญ่ผู้ได้ฉายาว่าแม่ทัพใบ้ ทั้งที่เขาไม่ได้เป็นใบ้แต่เพราะพูดน้อยจนผู้อื่นเข้าใจคิดว่าเป็นใบ้ เขาส่งสายตาตำหนิไปทางหานเหยียนซึ่งเป็นตัวต้นเหตุให้คิดว่าแม่ทัพหนุ่มผู้องอาจเป็นใบ้ก็เพราะลูกน้องเอาแต่พูดแทรกเช่นนี้ แต่คนความรู้น้อยใช้เป็นเพียงแค่กำลังกายส่วนสมองนั้นคงเท่าแม่ไก่ ต่อให้ส่งสายตาจนลูกตาถลนออกจากเบ้า หานเหยียนก็ไม่เข้าใจ
“นี่เป็นรอยเย็บ ข้าไม่เคยเห็นรอยเย็บเรียบเนียนเช่นนี้มาก่อน”
“เย็บแผล?” หานเหยียนยื่นหน้าเข้าไปดู เขาไม่รู้เรื่องการรักษาแต่ก็เห็นชัดว่าแผลนี้แตกต่างจากบาดแผลอื่น แทบทิ้งร่องรอยน้อยมากจริงๆ
‘ฝีมือเย็บปักข้าไม่ดีนัก’
ดวงตาของแม่ทัพหนุ่มมีรอยวูบไหวเล็กน้อย พลันคิดถึงใบหน้าของดรุณีน้อยที่กล่าววาจาใหญ่โตกับเขานัก
‘ข้าแซ่หลินชื่ออวี่เหยา ฝากบอกคนที่บ้านเจ้าว่าวันหน้าข้าจะไปทวงบุญคุณ’
รอยยิ้มที่หาได้ยากยิ่งปรากฏที่มุมปากแล้วยกมือขึ้นแตะบาดแผลที่ไม่ปวดแสบร้อนเช่นที่ผ่าน
“เป็นฝีมือหมอผู้ใดหรือขอรับ ข้าอยากแลกเปลี่ยนความรู้กับหมอท่านนี้”
“นางบอกว่าตนเองไม่ใช่หมอ” ‘แม้กระทั่งฟูกนอนของนางยังเย็บไม่เรียบร้อย แล้วนับประสาอะไรกับเย็บบาดแผลบนผิวหนังคน’
“นาง? ผู้ที่รักษาบาดแผลท่านแม่ทัพเป็นสตรี!”
น้อยนักที่จะมีหมอหญิงในแคว้นเหลียนอวี้แห่งนี้ เขาอยู่มาจนอายุสี่สิบยังพบแค่ไม่เกินห้าคนด้วยซ้ำไป
“คงไม่ได้พบนางง่ายนัก” แม่ทัพหนุ่มจับสาบเสื้อขึ้นปิดบาดแผลและผูกสายคาดเอวให้เข้าที่ หากไม่เพราะเข้าไปสืบเรื่องมารดา คงไม่ได้เข้าไปถึงที่นั้น และหากไม่เพราะบาดแผลกำเริบก็คงไม่พลาดท่าให้ทหารเวรยามเหล่านั้นรู้ตัว ยังไม่ทันได้เรื่องได้ราวเขาก็พบนางเข้าเสียก่อน
ดูอย่างไรนางก็อายุไม่เกินสิบหกหรือสิบเจ็ด แต่การพูดจาและวางตัวราวกับคนที่ผ่านโลกมามาก ซ้ำยังเรียกเขาว่า ‘เจ้า’ ทั้งที่รู้ว่าเขาอายุมากกว่า หรือเพราะสถานที่ที่นางอยู่เป็นเช่นนั้นจึงทำให้นางกลายเป็นสตรีเช่นนี้ได้ หากเป็นสตรีผู้อื่นถูกจู่โจมเช่นนั้นคงหวีดร้องเป็นลมไปแล้ว แต่นางกลับปัดมือเขาออกง่ายดาย
ช่างกล้านัก!
เสียงฝีเท้าคนก้าวเข้ามาใกล้ เขาจึงหยุดความคิดฟุ้งซ่านของตน บ่าวรับใช้เข้ามารายงาน
“ท่านแม่ทัพขอรับ ท่านโหวเชิญให้ไปพบขอรับ”
เขาเพียงปรายตามองก็ทำให้บ่าวรับใช้ตกใจจนตัวสั่นแล้วถอยออกไปอย่างรวดเร็ว หานเหยียนส่ายหน้าไปมา ไม่เข้าใจว่าทำไมผู้อื่นถึงได้หวาดกลัวแม่ทัพของเขานัก
แม่ทัพหนุ่มสาวเท้าเดินนำหน้า หานเหยียนก้าวตามหลัง แต่ถูกมือของท่านหมอหลูจิ่งเซวียนคว้าคอเสื้อไว้ก่อน หานเหยียนหันมาทำหน้างุนงง
“ไม่ต้องตาม”
“แต่หน้าที่ข้าต้องติดตามท่านแม่ทัพ”
“ที่นี่จวนท่านโหว เจ้าไม่ต้องติดตามแม่ทัพทุกฝีก้าว อีกอย่างพ่อลูกจะพบหน้ากัน เจ้าจะเสนอหน้าไปเพื่ออะไร”
หานเหยียนฟังแล้วก็ยิ้มเซ่อซ่าแล้สยกมือขึ้นท้ายท้อยแก้เก้อ หมอทหารได้แต่ส่ายหน้าระอาใจ นอกจากพละกำลังและความซื่อสัตย์แล้ว ยังหาความดีอย่างอื่นไม่พบเลย ก็ไม่แปลกใจที่ทุกวันนี้ยังหาภรรยาไม่ได้ ใครจะแต่งเอาวัวโง่เข้าบ้านกันเล่า หรือวัวอาจจะฉลาดกว่าด้วยซ้ำ
แต่สำหรับท่านแม่ทัพนั้น ไม่นับ ที่ยังไม่ตบแต่งภรรยานั้น....
ช่างเถอะๆ ว่าแต่บาดแผลท่านแม่ทัพ เป็นฝีมือหมอเทวดาผู้ใดกัน เขาอยากรู้จักเหลือเกิน
ชายหนุ่มแต่งกายเรียบง่ายสวมชุดผ้าไหมสีดำท่วงท่าการเดินองอาจ แม้ใบหน้าเคร่งขรึมแต่ก็เป็นที่เฝ้าคะนึงหาของสตรีทั่วเมืองหลวง
เยี่ยหรงจากเมืองหลวงไปสี่ปี ทำศึกอยู่ชายแดน น้อยครั้งจะกลับเมืองหลวง เมื่อกลับมาได้ไม่นานก็มีเหตุให้ไปปราบโจร กลับเข้าเมืองหลวงยังไม่แจ้งผู้ใดและไม่ไปรายงานตัวต่อฮ่องเต้ เขาแค่เบื่อหน่ายกับการเข้าวังจึงประวิงเวลา นี่คงมีคนตาดีไปรายงานทำให้บิดารู้ว่าเขากลับมาแล้ว
“ท่านพ่อ” เยี่ยหรงเอ่ยแค่แค่นั้น เสียงทุบโต๊ะดังปัง! ก็แทรกขึ้นมาก่อน บ่าวรับใช้ที่ยืนรออยู่ถึงกับตัวสั่น เยี่ยหรงยกมือโบกให้พวกเขาออกไป บ่าวรับใช้จึงรีบถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
เยี่ยเฟยฮุ่ยอดีตแม่ทัพใหญ่ซึ่งตอนนี้รับบรรดาศักดิ์เป็นโหว ตระกูลเยี่ยเป็นตระกูลแม่ทัพมาหลายชั่วอายุคน มีบุตรชายสามคนล้วนเป็นทหาร บุตรคนโตสิ้นใจในสนามรบ บุตรชายอีกสองคนประจำอยู่ชายแดนต่างเมือง ยี่สิบปีก่อนเขารับเด็กชายผู้หนึ่งเป็นบุตรบุญธรรมให้นามว่าเยี่ยหรง ไม่มีใครรู้ว่ามารดาผู้ให้กำเนิดเป็นใคร แต่ฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่ให้ความรักใคร่เอ็นดูดุจลูกในไส้ ไม่มีใครกล้าครหาเรื่องชาติกำเนิดของเยี่ยหรง
“กลับมาก็ไม่รู้จักมารายงาน ถ้าบ่าวรับใช้ไม่เห็น ข้าคงนึกว่าเป็นวิญญาณเจ้ากลับมาสั่งลาพ่อแม่”
วาจาร้ายกาจเช่นนี้กลับทำให้เยี่ยหรงยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม บุรุษผู้นี้อายุห้าสิบแต่มีเส้นผมแซมด้วยสีขาวแล้ว วันเวลาล่วงผ่าน ทำให้วัยชรามาเยือน หลังจากลงจากตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ก็หวังใช้ชีวิตสงบกับฮูหยิน แต่บุตรชายคนเล็กยังไม่แต่งภรรยา ทำให้มารดากังวลใจยิ่งนัก
เห็นบุตรชายไม่โต้ตอบก็ได้แต่ถอนหายใจ เป็นเสียอย่างนี้ ใครต่อใครจึงคิดว่าเยี่ยหรงเป็นใบ้ เรียกเขาว่าเยี่ยหรงแม่ทัพใบ้
ฝันอีกแล้ว หลินอวี่เหยานวดขมับ...ฝันอะไรไม่รู้ ตื่นมามึนงงและจำไม่ได้ทุกที หลังจากฝึกคัดอักษรโบราณมานาน หลินอวี่เหยาก็มั่นใจในลายมือของตนมากยิ่งขึ้น นางสรุป ‘ความน่าจะเป็น’ เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น หลังภัยแล้งเกิดน้ำท่วมหนักได้ เนื่องจากพื้นดินที่แห้งแล้งแข็งกระด้างจะดูดซับน้ำฝนได้ช้าลง ทำให้น้ำไหลบ่าท่วมพื้นผิวอย่างรวดเร็ว แทนที่จะซึมลงดิน นอกจากนี้ ภัยแล้งทำให้หน้าดินแห้งและพังทลายง่าย เกิดเป็นตะกอนที่อุดตันทางระบายน้ำ เมื่อมีฝนตกหนัก น้ำจึงไม่สามารถระบายได้ทัน เกิดเป็นน้ำท่วมขังในที่สุด หลายวันมานี่เอาแต่หมกตัวอยู่ในเรือน อ่านบันทึกต่างๆ และสรุปออกมา จากบันทึกที่นางอ่านมาหลายเล่ม ในรอบสิบปีฝู่หม่าจะเกิดภัยแล้งอย่างหนักจากนั้นก็ฝนตกแต่เพราะแล้งมานานจึงกลายเป็นน้ำท่วม ‘ความน่าจะเป็น’ บอกได้ว่าอีกไม่นานจะเกิดฝนตกแล้ว นางไม่อาจพยากรณ์อากาศได้แม่นยำ แต่อย่างไรก็ควรแจ้งให้แม่ทัพเยี่ยหรงรู้ก่อน นั่งทำงานอยู่นานติดต่อกันหลายวัน แม้แต่เฉิงฮัวกับซูจินยังเป็นห่วง แต่การทำแบบนี้ทำให้คิดถึงตอนที่ทำงานวิจัยไม่มีผิด อ้อ! ต่างก็ตรงที่ไม่ได้เข้าห้องแล
ซ่งเหอเทียนจวินนั่งมองอาหารตรงหน้าแล้วปรายตาไปมองถาดเล็กๆ ของเจ้าเสือดำที่รูปร่างใหญ่กว่าแมวเล็กน้อย การกินอาหารเป็นความรื่นรมย์อย่างหนึ่งและนังหนูเหยาเหยาก็ฝีมือในการทำอาหารหญิงสาวมองตามสายตาของอาจารย์ปู่แล้วก็อธิบายด้วยรอยยิ้ม “ก่อนหน้านี้ข้านึกว่าเป็นแมวจึงทำอาหารจากเนื้อปลา แต่ดูเหมือนไม่ถูกปากเอาเสียเลย พอรู้ว่าเป็นเสือดำก็เลยลองเปลี่ยนเป็นเนื้อไก่เจ้าค่ะ”“เจ้าดูแลมันดีเกินไปหรือไม่ อย่างไรก็แค่ปีศาจตนหนึ่งกินของดีๆไปก็ไม่เกิดประโยชน์ใดหรอกนะ” พูดแล้วก็นึกเสียดายไก่นึ่งใบบัวตัวนั้นจริงๆ“อาจารย์ปู่ก็เป็นเซียนสมุนไพร ไม่ต้องกินอาหารก็ได้ แต่ท่านก็ยังชอบกินเลย”ซ่งเหอเทียนจวินกลอกตาไปมาอย่างไม่พอใจแล้วก็มองจานเบื้องหน้าที่เป็นปลาทอด “อย่าบอกว่าปลานี่คือปลาที่เจ้าแมวนั้นไม่กิน!”“เหยาเหยาจะทำอย่างนั้นได้อย่างเล่า” หญิงสาวหัวเราะเบาๆ “ปลากะพงผัดโหงวก๊วย อาจารย์ปู่เคยบอกว่าชอบมาก เหยาเหยาจึงทำให้ ส่วนปลาที่เจ้าแมว เอ่อ เสือดำน้อยไม่กินนั้น เหยาเหยากินเองเจ้าค่ะ”“แล้วไป”เสียงหัวเราะคิกคักทำให้เสือดำทำหน้าไม่พอใจนัก แต่เมื่อมือเรียวใช้ตะเกียบคืบเนื้อไก่แล้วจ่อที่ปากของมัน กลิ่นหอมเ
“เหยาเหยาเอ๋ย ที่เจ้ารักษาอยู่หาใช่แมวดำ แต่เสือดำต่างหาก” “สะ..เสือ...เสือดำ? เสือดำหรือเจ้าคะ” หญิงสาวเอียงคอมองเจ้าขนฟูตัวนุ่มที่นางอุ้มมารักษา ผ่านมาสามวันแล้วบาดแผลของมันดีขึ้นมาก ประจวบกับซ่งเหอเทียนจวินกลับมาที่สวนเสียนเฉ่า “เหยาเหยาถูกปีศาจหลอกเสียแล้ว” “ปีศาจ?” นางเบิกตากว้างจ้องมองเสือดำที่เข้าใจมาตลอดมันคือแมวดำ มิน่าน่าตัวมันถึงได้ใหญ่กว่าแมวทั่วไปนัก “เจ้านี่เป็นปีศาจหรือเจ้าคะ” “เก็บไอปีศาจได้อย่างดี หรือว่าบาดเจ็บหนักจนไอปีศาจเลือนหายไปล่ะ” ซ่งเหอเทียนจวินหัวเราะในลำคอแล้วยื่นปลายนิ้วไปหมายจะแตะหน้าผากเสือดำ แต่เจ้าปีศาจตัวจ้อยแยกเขี้ยวขู่แล้วถอยไปหลบข้างหลังเหยาเหยา “อาจารย์ปู่อย่าแกล้งเจ้าแมวน้อย เอ่อ เสือดำน้อยเลยเจ้าค่ะ” หลายวันที่อยู่ด้วยกัน เหยาเหยาเอาแต่เรียกมันว่าแมวน้อย นางไม่อยากตั้งชื่อเพราะกลัวการผูกพัน “เหยาเหยาชอบเจ้าเสือดำตัวน้อยนี่รึ” ซ่งเหอเทียนจวินลูบหนวดเคราสีเงินยวงของตนพลางยิ้มน้อยๆ ดวงตาจ้องมองปีศาจเสือดำตัวน้อย “ถ้าเหยาเหยาชอบ อาจารย์ปู่จะร่ายมนต์ทำพันธะสัญญาใ
“ตั้งแต่ข้าน้อยติดตามท่านแม่ทัพมา...หลายปีมานี้นับว่าคืบหน้ามากแล้ว คิดว่าอีกไม่นานท่านแม่ทัพคงได้รู้ความจริง” เยี่ยหรงเก็บงำความคิดของตนไว้เพียงผู้เดียว เขารู้ดีว่าท่านพ่อท่านแม่ล้วนต้องการให้เขา ‘ปล่อยวาง’ เรื่องที่ผ่านมา แต่เป็นเขาที่ไม่อาจปล่อยวางได้ เหมือนคนที่ถูกตรวนด้วยโซ่ที่มองไม่เห็น เขาเพียงแค่อยากรู้ว่าทำไมจึงมีคนต้องการชีวิตของกับมารดาทั้งที่เขายังเป็นเพียงก้อนเลือดในครรภ์เท่านั้น เสียงถอนหายใจแม้เพียงแผ่วเบาแต่กระทบโสตประสาทการรับรู้ของเยี่ยหรง ดวงตาดำปรายตามองเพียงเล็กน้อยก็ทำเอาหลูจิ่งเซวียนผวาเล็กน้อย แม้เขาเป็นเพียงหมอทหารแต่เพราะรักษาอาการบาดเจ็บเรื้อรังของท่านแม่ทัพมานาน อาจไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นคนสนิทแต่ก็เป็นคนที่แม่ทัพเยี่ยไว้ใจ แต่นั้นก็ยิ่งทำให้รู้ว่า ภายใต้ท่าทีนิ่งเงียบนี้ซ่อนความโหดเหี้ยมไว้ “อยากพูดอะไรก็พูดมา” เยี่ยหรงเอ่ยแล้วก้าวเท้าเดินด้วยฝีเท้ามั่นคง “ท่านแม่ทัพเคยคิดหรือไม่ว่า....มารดาของท่านอาจเป็นสนมหรือนางกำนัลของฮ่องเต้พระองค์ก่อน” “หรืออาจจะเป็นเพียงคนไม่สำคัญที่เกะกะขวางหูข
‘เพราะครั้งนี้ไม่ได้ไปรบ และเพราะขอสนมของฮ่องเต้ ทำให้ฮ่องเต้ทรงหวาดระแวงอนุญาตให้นำทหารติดตามไปได้แค่ห้าร้อยนาย...เจ้าต้องจัดการทุกอย่างด้วยตนเอง ใช้สติให้มาก’ เยี่ยเฟยฮุ่ยอบรมบุตรชายคนเล็ก ทำได้แต่แค่ส่ายศีรษะไปมาจนใจกับความดื้อรั้นของบุตรชายคนเล็กผู้นี้แล้ว ‘ลูกทราบแล้วขอรับ’ เขาก้มศีรษะรับคำสั่งสอนแล้วหันไปพูดคุยกับพี่ชายทั้งสอง ‘ฝากดูแลท่านแม่ด้วย’ ‘วางใจเถอะ เจ้าทำหน้าที่ของตนให้สำเร็จลุล่วงเถิด’ ‘ท่านแม่...หากว่ามีคนมาขอความช่วยเหลือ ขอท่านแม่เมตตาช่วยตามสมควร หรือมีสิ่งใดโปรดให้ม้าเร็วส่งข่าวถึงลูกด้วย’ ‘เจ้าก็อย่าได้เป็นกังวลไป เรื่องทางนี้แม่จัดการให้ได้’ ‘ยังจะมีหน้าห่วงสตรีอีกเรอะ! ที่ต้องลำบากเช่นนี้ก็เพราะผู้หญิงคนนั้น อยากเห็นหน้าเสียจริงว่าเป็นคนเช่นไร’ เยี่ยเฟยฮุ่ยอดหงุดหงิดไม่ได้ แต่ภรรยาของตนกลับหัวเราะออกมา ‘ข้าเป็นแม่ยังไม่กังวล ท่านพี่จะเป็นทุกข์ร้อนไปไย’ เย่าเฉินตบหลังมือของสามีที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาหลายสิบปี ‘หรงเอ๋อร์ของเรารู้จักห่วงใยสตรีแล้ว ย่อมเป็นเรื่องดี’
เพียะ!กว่าหลินอวี่เหยาจะได้สติ ซีกแก้มนวลก็เปลี่ยนเป็นสีแดงและความเจ็บมาแทนที่ หญิงสาวผสานสายตากับดวงตาโกรธเกรี้ยวที่จ้องมองอยู่ มือที่ง้างข้างในอากาศยังสั่นระริก หลินอวี่เหยามั่นใจว่าไม่เคยพบสตรีผู้นี้รวมทั้งความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไม่เคยรู้จักมาก่อนราวกับเพิ่งรู้สึกตัว องค์หญิงเซวียนจิ้งหว่านพลันได้สติ แม้แต่นางกำนัลข้างกายยังตกใจเพราะปกติแล้วเซวียนจิ้งหว่านมักเก็บงำความรู้สึกของตนเองมิดชิด ไม่ลงไม้ลงมือด้วยตนเองแต่สั่งให้นางกำนัลข้างกายหรือแม่นมเป็นคนจัดการแทน ภาพลักษณ์ของเซวียนจิ้งหว่านคือองค์หญิงผู้งดงามอ่อนหวาน ไม่เคยมีผู้ใดเห็นด้านมืดของนางหลินอวี่เหยาสูดลมหายใจลึก ดวงตากลมหรี่มองอีกฝ่ายแล้วเอ่ยขึ้นน้ำเสียงราบเรียบ“ข้าจำไม่ได้ว่ามีเรื่องใดบาดหมางกับท่าน”“นังแพศยา! เจ้าใช้เล่ห์กลใดล่อลวงแม่ทัพเยี่ยหรง!”ได้ยินเท่านี้ คิ้วเรียวงามก็เลิกขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มออกมา “อ่อ...เป็นเรื่องแม่ทัพเยี่ยหรงเองหรอกรึ”“เจ้า!” เซวียนจิ้งหว่านกระทืบเท้าอย่างไม่พอใจ นางง้างฝ่ามือแล้วฟาดใส่อีกฝ่าย ทว่าหลินแค่เบี่ยงตัวหลบมิได้ตอบโต้แต่อย่างใด ทว่าทำให้องค์หญิงเสียหลักล้มลงไปนั่งบน