ホーム / รักโบราณ / โศลกเพลิงผลาญใจ / ตอนที่12 เยี่ยหรง 1

共有

ตอนที่12 เยี่ยหรง 1

last update 最終更新日: 2025-07-17 17:03:35

            “บาดแผลนี้ผู้ใดรักษาท่านแม่ทัพรึ”

            ชายหนุ่มที่ถูกถามเพียงแค่ปรายตามองหมอทหารที่กำลังทำแผลที่อกซ้ายค่อนมาทางหัวไหล่  บนร่างกายกำยำมีรอยแผลนับไม่ถ้วน บาดแผลที่เคยเกือบคร่าชีวิตไปแล้วก็ทิ้งแผลเป็นไว้ให้ดูต่างหน้า ทว่าแผลนี้ไม่นับว่าใหญ่นัก แต่กลายเป็นแผลเรื้อรังมาแรมเดือน ซ้ำยังทำให้พิษไข้ขึ้นมาเสียเฉยๆ

            “ทำไมรึ”  หานเหยียนคือทหารข้างกายแม่ทัพใหญ่  ปีนี้เขาอายุยี่สิบแต่เพราะรูปร่างสูงใหญ่และหน้าตาดุดันจึงเหมือนคนวัยสามสิบเข้าไปแล้ว  ก่อนหน้าที่จะเป็นทหารนั้นเคยเป็นโจรภูเขาที่แม่ทัพเยี่ยหรงยกทัพปราบเมื่อราวเจ็ดปีก่อน เขาเป็นเด็กกำพร้าที่เติบโตในรังโจร แม่ทัพเยี่ยหรงให้ความเมตตารับอุปการะ และเมื่อถึงวัยเขาก็เข้าสู่กองทัพ ไต่เต้าจนเป็นนายกอง แม้ตำแหน่งไม่สูงแต่ได้รับใช้ใกล้ชิดแม่ทัพใหญ่ ผู้อื่นต่างพากันริษยาในวาสนานี้

            หลูจิ่งเซวียน-เป็นหมอประจำค่ายทหารและรับใช้ขึ้นตรงกับแม่ทัพใหญ่ผู้ได้ฉายาว่าแม่ทัพใบ้ ทั้งที่เขาไม่ได้เป็นใบ้แต่เพราะพูดน้อยจนผู้อื่นเข้าใจคิดว่าเป็นใบ้  เขาส่งสายตาตำหนิไปทางหานเหยียนซึ่งเป็นตัวต้นเหตุให้คิดว่าแม่ทัพหนุ่มผู้องอาจเป็นใบ้ก็เพราะลูกน้องเอาแต่พูดแทรกเช่นนี้ แต่คนความรู้น้อยใช้เป็นเพียงแค่กำลังกายส่วนสมองนั้นคงเท่าแม่ไก่ ต่อให้ส่งสายตาจนลูกตาถลนออกจากเบ้า หานเหยียนก็ไม่เข้าใจ

            “นี่เป็นรอยเย็บ  ข้าไม่เคยเห็นรอยเย็บเรียบเนียนเช่นนี้มาก่อน”

            “เย็บแผล?”  หานเหยียนยื่นหน้าเข้าไปดู เขาไม่รู้เรื่องการรักษาแต่ก็เห็นชัดว่าแผลนี้แตกต่างจากบาดแผลอื่น  แทบทิ้งร่องรอยน้อยมากจริงๆ

            ฝีมือเย็บปักข้าไม่ดีนัก

ดวงตาของแม่ทัพหนุ่มมีรอยวูบไหวเล็กน้อย พลันคิดถึงใบหน้าของดรุณีน้อยที่กล่าววาจาใหญ่โตกับเขานัก

           ข้าแซ่หลินชื่ออวี่เหยา ฝากบอกคนที่บ้านเจ้าว่าวันหน้าข้าจะไปทวงบุญคุณ

รอยยิ้มที่หาได้ยากยิ่งปรากฏที่มุมปากแล้วยกมือขึ้นแตะบาดแผลที่ไม่ปวดแสบร้อนเช่นที่ผ่าน

“เป็นฝีมือหมอผู้ใดหรือขอรับ ข้าอยากแลกเปลี่ยนความรู้กับหมอท่านนี้”

“นางบอกว่าตนเองไม่ใช่หมอ”  ‘แม้กระทั่งฟูกนอนของนางยังเย็บไม่เรียบร้อย แล้วนับประสาอะไรกับเย็บบาดแผลบนผิวหนังคน’

“นาง? ผู้ที่รักษาบาดแผลท่านแม่ทัพเป็นสตรี!”

น้อยนักที่จะมีหมอหญิงในแคว้นเหลียนอวี้แห่งนี้ เขาอยู่มาจนอายุสี่สิบยังพบแค่ไม่เกินห้าคนด้วยซ้ำไป 

“คงไม่ได้พบนางง่ายนัก”  แม่ทัพหนุ่มจับสาบเสื้อขึ้นปิดบาดแผลและผูกสายคาดเอวให้เข้าที่ หากไม่เพราะเข้าไปสืบเรื่องมารดา คงไม่ได้เข้าไปถึงที่นั้น  และหากไม่เพราะบาดแผลกำเริบก็คงไม่พลาดท่าให้ทหารเวรยามเหล่านั้นรู้ตัว ยังไม่ทันได้เรื่องได้ราวเขาก็พบนางเข้าเสียก่อน

ดูอย่างไรนางก็อายุไม่เกินสิบหกหรือสิบเจ็ด แต่การพูดจาและวางตัวราวกับคนที่ผ่านโลกมามาก ซ้ำยังเรียกเขาว่า ‘เจ้า’ ทั้งที่รู้ว่าเขาอายุมากกว่า หรือเพราะสถานที่ที่นางอยู่เป็นเช่นนั้นจึงทำให้นางกลายเป็นสตรีเช่นนี้ได้  หากเป็นสตรีผู้อื่นถูกจู่โจมเช่นนั้นคงหวีดร้องเป็นลมไปแล้ว แต่นางกลับปัดมือเขาออกง่ายดาย

ช่างกล้านัก!

เสียงฝีเท้าคนก้าวเข้ามาใกล้ เขาจึงหยุดความคิดฟุ้งซ่านของตน บ่าวรับใช้เข้ามารายงาน

“ท่านแม่ทัพขอรับ ท่านโหวเชิญให้ไปพบขอรับ”

            เขาเพียงปรายตามองก็ทำให้บ่าวรับใช้ตกใจจนตัวสั่นแล้วถอยออกไปอย่างรวดเร็ว หานเหยียนส่ายหน้าไปมา ไม่เข้าใจว่าทำไมผู้อื่นถึงได้หวาดกลัวแม่ทัพของเขานัก

            แม่ทัพหนุ่มสาวเท้าเดินนำหน้า หานเหยียนก้าวตามหลัง แต่ถูกมือของท่านหมอหลูจิ่งเซวียนคว้าคอเสื้อไว้ก่อน หานเหยียนหันมาทำหน้างุนงง

            “ไม่ต้องตาม”

            “แต่หน้าที่ข้าต้องติดตามท่านแม่ทัพ”

            “ที่นี่จวนท่านโหว เจ้าไม่ต้องติดตามแม่ทัพทุกฝีก้าว อีกอย่างพ่อลูกจะพบหน้ากัน เจ้าจะเสนอหน้าไปเพื่ออะไร”

            หานเหยียนฟังแล้วก็ยิ้มเซ่อซ่าแล้สยกมือขึ้นท้ายท้อยแก้เก้อ หมอทหารได้แต่ส่ายหน้าระอาใจ นอกจากพละกำลังและความซื่อสัตย์แล้ว ยังหาความดีอย่างอื่นไม่พบเลย ก็ไม่แปลกใจที่ทุกวันนี้ยังหาภรรยาไม่ได้ ใครจะแต่งเอาวัวโง่เข้าบ้านกันเล่า หรือวัวอาจจะฉลาดกว่าด้วยซ้ำ

            แต่สำหรับท่านแม่ทัพนั้น ไม่นับ ที่ยังไม่ตบแต่งภรรยานั้น....

            ช่างเถอะๆ ว่าแต่บาดแผลท่านแม่ทัพ เป็นฝีมือหมอเทวดาผู้ใดกัน เขาอยากรู้จักเหลือเกิน

            ชายหนุ่มแต่งกายเรียบง่ายสวมชุดผ้าไหมสีดำท่วงท่าการเดินองอาจ แม้ใบหน้าเคร่งขรึมแต่ก็เป็นที่เฝ้าคะนึงหาของสตรีทั่วเมืองหลวง

            เยี่ยหรงจากเมืองหลวงไปสี่ปี ทำศึกอยู่ชายแดน น้อยครั้งจะกลับเมืองหลวง เมื่อกลับมาได้ไม่นานก็มีเหตุให้ไปปราบโจร กลับเข้าเมืองหลวงยังไม่แจ้งผู้ใดและไม่ไปรายงานตัวต่อฮ่องเต้ เขาแค่เบื่อหน่ายกับการเข้าวังจึงประวิงเวลา นี่คงมีคนตาดีไปรายงานทำให้บิดารู้ว่าเขากลับมาแล้ว

            “ท่านพ่อ”  เยี่ยหรงเอ่ยแค่แค่นั้น เสียงทุบโต๊ะดังปัง! ก็แทรกขึ้นมาก่อน  บ่าวรับใช้ที่ยืนรออยู่ถึงกับตัวสั่น เยี่ยหรงยกมือโบกให้พวกเขาออกไป บ่าวรับใช้จึงรีบถอยออกไปอย่างรวดเร็ว

เยี่ยเฟยฮุ่ยอดีตแม่ทัพใหญ่ซึ่งตอนนี้รับบรรดาศักดิ์เป็นโหว ตระกูลเยี่ยเป็นตระกูลแม่ทัพมาหลายชั่วอายุคน มีบุตรชายสามคนล้วนเป็นทหาร บุตรคนโตสิ้นใจในสนามรบ บุตรชายอีกสองคนประจำอยู่ชายแดนต่างเมือง ยี่สิบปีก่อนเขารับเด็กชายผู้หนึ่งเป็นบุตรบุญธรรมให้นามว่าเยี่ยหรง  ไม่มีใครรู้ว่ามารดาผู้ให้กำเนิดเป็นใคร แต่ฮูหยินของท่านแม่ทัพใหญ่ให้ความรักใคร่เอ็นดูดุจลูกในไส้ ไม่มีใครกล้าครหาเรื่องชาติกำเนิดของเยี่ยหรง

“กลับมาก็ไม่รู้จักมารายงาน ถ้าบ่าวรับใช้ไม่เห็น ข้าคงนึกว่าเป็นวิญญาณเจ้ากลับมาสั่งลาพ่อแม่”

วาจาร้ายกาจเช่นนี้กลับทำให้เยี่ยหรงยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม บุรุษผู้นี้อายุห้าสิบแต่มีเส้นผมแซมด้วยสีขาวแล้ว วันเวลาล่วงผ่าน ทำให้วัยชรามาเยือน หลังจากลงจากตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ก็หวังใช้ชีวิตสงบกับฮูหยิน แต่บุตรชายคนเล็กยังไม่แต่งภรรยา ทำให้มารดากังวลใจยิ่งนัก

เห็นบุตรชายไม่โต้ตอบก็ได้แต่ถอนหายใจ เป็นเสียอย่างนี้ ใครต่อใครจึงคิดว่าเยี่ยหรงเป็นใบ้ เรียกเขาว่าเยี่ยหรงแม่ทัพใบ้

この本を無料で読み続ける
コードをスキャンしてアプリをダウンロード

最新チャプター

  • โศลกเพลิงผลาญใจ    ตอนที่17 ความหวาดกลัวที่กัดกินหัวใจ

    หลินอวี่เหยายุ่งกับการทำความสะอาดบ่อน้ำด้านหลังเรือน นางไม่มีปัญหากับการลงมือทำอะไรเองเช่นนี้ แต่ติดที่ร่างกายนี้พละกำลังยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่นัก มื้อกลางวันนำอาหารที่เตรียมไว้ไปกินพร้อมกับสนมจื่อหนิง การผูกมิตรด้วยอาหารเป็นเรื่องพื้นฐานมาแต่ไหนแต่ไร นอกจากเรียนรู้มารยาทต่างๆแล้ว ยังได้ฟังเรื่องเล่ามากมาย สะสมข้อมูลให้สมองน้อยๆ ของนางอีกด้วย “ข้าตากดอกมะลิไว้ แต่ยังไม่พร้อมเป็นชามะลิ อาจารย์รอข้าหน่อยนะเจ้าค่ะ” หลินอวี่เหยาประจบด้วยแววตาวิบวับ จื่อหนิงเห็นแล้วก็เอ็นดู ในวัยนี้ของสตรีคืองดงามบานสะพรั่งแต่ต้องมาอยู่ในสถานที่เช่นนี้ช่างน่าเสียดายนัก “มีต้นมะลิด้วยรึ” “เจ้าค่ะ มีกุหลาบด้วย แล้วด้านหลังเรือนของข้ามีบ่อน้ำ ข้าลงไปทำความสะอาดลอกบ่อแล้ว ไหว้วานให้จูซินช่วยหาบัวมาลงที่บ่อ” “เจ้าจะทำสระบัวรึ” หญิงสาวโบกมือไปมา “เรียกสระบัวไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ แต่ก็พอปลูกบัวได้ หากไปได้ดีข้าจะทำชาดีบัว -ดีบัวช่วยบำรุงหัวใจ นับว่าเป็นสมุนไพรที่ดี” “ข้าไม่เคยรู้ว่าสกุลหลินเชี่ยวชาญเรื่องสมุนไพร” หลินอวี่เหย

  • โศลกเพลิงผลาญใจ    ตอนที่16 ข้าเป็นคนรับใช้เจ้ารึ

    จูซินกะพริบตาปริบๆ ไม่อยากจะเชื่อว่าเจ้ากิ่งไม้แห้งๆ เอ่อ ไม่สิ นั้นเคยเป็นซากกล้วยไม้มาก่อน แต่ยามนี้กลับฟื้นมีชีวิตอีกครั้ง “เจ้านี่คือซากกล้วยไม้ที่ข้าเคยเอามาหรือ?” จูซินยังไม่อยากเชื่อนัก “ใช่” หลินอวี่เหยายกน้ำแกงหัวไชเท้าออกมาวางบนโต๊ะที่ตั้งอยู่หน้าเรือน ซึ่งหญิงสาวสถาปนาให้มันเป็นโต๊ะรับแขกเพื่อไม่ให้ผู้อื่นเข้าไปยุ่งย่ามด้านเรือน “นี่อะไร” “น้ำแกงหัวไชเท้า ไม่มีเนื้อสัตว์ก็กินผักไปก่อน” นางยิ้มทะเล้นแล้วนั่งลง “กินกับหมั่นโถวได้ชุ่มคอดี” ขันทีน้อยมองอาหารบนโต๊ะ นอกจากน้ำข้าวกับผักดองที่เขายกมาให้นางทุกวัน มาบัดนี้มีหมั่วโถวก้อนอวบๆ กับน้ำแกงเพิ่มขึ้น อาหารการกินมิได้เลิศรสหรูหราแต่นับว่าดีกว่าแต่ก่อนมากนัก “หัวผักที่เจ้าให้ข้าเก็บมาก็ปลูกขึ้นด้วยหรือนี่” จูซินนั่งกินอาหารกับหลินอวี่เหยาด้วยความคุ้นชินแล้ว “ข้าต้องไปแย่งอาหารหมูมาเลยทีเดียว” หญิงสาวหัวเราะเสียงใสแล้วปรายตามองไปรอบกาย ความเพียรพยายามไม่สูญเปล่า รอบๆ เรือนมีพืชผักที่เพาะปลูกไว้พอได้เก็บกินบ้างแล้ว ด้านหนึ่งมีแปลง

  • โศลกเพลิงผลาญใจ   ตอนที่15 เลิกพูดเรื่องตายเสียทีเถิด

    “ท่านน้า กินแป้งย่างก่อนยังร้อนๆอยู่” หลินอวี่เหยาเปลี่ยนเรื่องแล้วหยิบแป้งย่างออกมาจากตะกร้า นางหันซ้ายหันขวาเห็นกาน้ำชาจึงเดินไปรินใส่ถ้วย ทว่ามันเป็นเพียงน้ำเปล่า “ข้าไม่รู้ว่าที่นี่ไม่มีน้ำชา ท่านน้าดื่มน้ำเย็นเช่นนี้หรือ?” นางรินน้ำแล้วประคองถ้วยน้ำกลับมาให้จื่อหนิง “ข้าจำไม่ได้แล้วว่าดื่มน้ำชาครั้งสุดท้ายเมื่อใดกัน” จื่อหนิงยิ้มบางเบา กลิ่นอาหารเย้ายวนทำให้นางยื่นมือไปหยิบแป้งย่างขึ้นมาบิเป็นคำเล็กๆ แล้วส่งเข้าปาก ค่อยๆ เคี้ยวและซึมซับรสชาติของอาหารแสนเรียบง่ายตรงหน้า แต่อยู่ในสถานที่นี้กลับกลายเป็นอาหารเลิศรส “พอกินได้ไหมเจ้าคะ” หลินอวี่เหยารู้ว่ารสมือของตนไม่ได้แย่นัก แต่ในโลกที่มีวัตถุดิบจำกัดนี้ ความมั่นใจจึงหดหายไปกว่าครึ่ง “ก็พอกินได้” จื่อหนิงพยักหน้ารับ แม้ตอนนี้ตกอับอยู่ตำหนักเย็นมานาน ตั้งแต่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนจนมาถึงตอนนี้ แต่เมื่อรื้อฟื้นกิริยามารยาทขึ้นมาอีกครั้ง นางก็นั่งหลังเหยียดตรงและกินอาหารคำน้อยๆ แลดูเป็นหญิงสาวตระกูลสูงส่ง หลินอวี่เหยาเห็นแล้วก็อดจินตนาการไม่ได้ว่า จื่อหนิงในวัยสา

  • โศลกเพลิงผลาญใจ    ตอนที่14  เครียดคือสิ่งใด

    “กล้วยไม้ใบเหลืองมีจุดดำ ใบแฉะ หรือเน่าที่ขอบใบ วิธีรักษาให้ตัดใบที่ติดเชื้อออกใช้ผงกำมะถันหรือน้ำปูนใสป้ายบริเวณที่ตัด กรรไกรที่ใช้ ใช้แล้วล้างเช็ดทำความสะอาดให้ดี เชื้อราติดที่คมกรรไกรได้ ช่วงนี้เปลี่ยนฤดูแล้ว เอากล้วยไม้ออกมาโดนแสงบ้าง กล้วยไม้ใบเหลือเพราะความเครียดก็มี” “เครียด? เครียดคือสิ่งใด” หลินอวี่เหยาหลุดปากไปแล้วก็นึกได้ว่าตอนนี้นางไม่ได้อยู่ในสถาบันวิจัยพันธุ์พืช นางกลอกตามองท้องฟ้าแต่เห็นแค่คานไม้เก่าคร่ำครึ หากคิดจะขึ้นไปแขวนคอก็เกรงว่าคานน่าจะหักลงมาก่อน “ข้าหมายถึงมีเรื่องวิตกกังวลมากเกินไป” “กล้วยไม้ก็มีเรื่องวิตกกังวลรึ” ซูจินทำหน้างุนงง “ข้าเห็นกล้วยไม้ของกุ้ยเฟยอยู่ดีมีสุขกว่าขันทีอย่างข้าเสียอีก” หญิงสาวยิ้มขำ นานวันเข้าขันทีน้อยก็เลิกวางตัวหยิ่งยโสใส่นาง หลินอวี่เหยาเข้าใจดี คนเราก็มักเป็นเช่นนี้เหยียบย่ำคนที่ต่ำกว่าเพื่อให้ตนเองรู้สึกสูงส่งขึ้น แต่ซูจินมีพื้นฐานจิตใจดีนางเองก็ไม่อยากเอาเปรียบความใจดีของเขา ทุกครั้งที่ไหว้วานสิ่งใด นางจะตอบแทนเขาเสมอ แม้เล็กน้อยก็หยิบยื่นให้ ครั้งก่อนฝากชุดผ้

  • โศลกเพลิงผลาญใจ    ตอนที่13 เยี่ยหรง 2

    “ท่านพ่อ ลูกกลับมาแล้วขอรับ” เยี่ยหรงประสานมือคารวะ แต่ท่านโหวมุมปากกระตุก คิดรึว่าเขาไม่รู้ว่าลูกชายกลับมาถึงเมืองหลวงหลายวันแล้ว แต่คิดไปว่าคงเหนื่อยล้าจากการปราบโจรและเดินทางกลับจึงคร้านจะใส่ใจ ทว่าผ่านมาหลายวันจนรู้ว่าเยี่ยหรงออกไปนอกจวน เขาจึงโมโหแทบควันออกหู รอให้มาหาไม่มา จึงต้องให้คนไปตามตัวเช่นนี้ เยี่ยเฟยฮุ่ยแต่งงานกับเย่าเฉิน เขามีภรรยาเดียวไม่รับอนุมีบุตรชายสามคน คือ เยี่ยเฉิงหลิงซึ่งจากไปในวัยแค่ยี่สิบ เยี่ยเฉิงอี้ และเยี่ยจิ่งอวี่ ทั้งสองเป็นทหารประจำชายแดนตะวันออกและตะวันตก แต่ทั้งสองแต่งภรรยามีทายาทตัวน้อย ทว่าเพราะประจำอยู่แดนไกล ภรรยาและลูกจึงอยู่เคียงข้างสามีที่นั้น ในเมืองหลวงนี้เยี่ยเฟยฮุ่ยกับเย่าเฉินอยู่กับสองคนปู่ย่า วาดหวังให้เยี่ยหรงบุตรชายคนเล็กแม้เป็นบุตรบุญธรรมแต่รักดุจลูกในไส้ได้แต่งงานกับสตรีที่คู่ควรเพื่อมีหลานให้ปู่ย่าได้อุ้มชู แรกทีเดียวก็อ้างเรื่องบ้านเมืองยังไม่สงบสุข แต่ตอนนี้หัวเมืองน้อยใหญ่ต่างเงียบสงบนานๆ จึงจะมีเรื่องให้ต้องยกทัพกันสักคราว แต่บุตรชายคนเล็กกลับยังไม่แต่งภรรยา แล้วเช่นนี้เมื่อไหร่จะ

  • โศลกเพลิงผลาญใจ   ตอนที่12 เยี่ยหรง 1

    “บาดแผลนี้ผู้ใดรักษาท่านแม่ทัพรึ” ชายหนุ่มที่ถูกถามเพียงแค่ปรายตามองหมอทหารที่กำลังทำแผลที่อกซ้ายค่อนมาทางหัวไหล่ บนร่างกายกำยำมีรอยแผลนับไม่ถ้วน บาดแผลที่เคยเกือบคร่าชีวิตไปแล้วก็ทิ้งแผลเป็นไว้ให้ดูต่างหน้า ทว่าแผลนี้ไม่นับว่าใหญ่นัก แต่กลายเป็นแผลเรื้อรังมาแรมเดือน ซ้ำยังทำให้พิษไข้ขึ้นมาเสียเฉยๆ “ทำไมรึ” หานเหยียนคือทหารข้างกายแม่ทัพใหญ่ ปีนี้เขาอายุยี่สิบแต่เพราะรูปร่างสูงใหญ่และหน้าตาดุดันจึงเหมือนคนวัยสามสิบเข้าไปแล้ว ก่อนหน้าที่จะเป็นทหารนั้นเคยเป็นโจรภูเขาที่แม่ทัพเยี่ยหรงยกทัพปราบเมื่อราวเจ็ดปีก่อน เขาเป็นเด็กกำพร้าที่เติบโตในรังโจร แม่ทัพเยี่ยหรงให้ความเมตตารับอุปการะ และเมื่อถึงวัยเขาก็เข้าสู่กองทัพ ไต่เต้าจนเป็นนายกอง แม้ตำแหน่งไม่สูงแต่ได้รับใช้ใกล้ชิดแม่ทัพใหญ่ ผู้อื่นต่างพากันริษยาในวาสนานี้ หลูจิ่งเซวียน-เป็นหมอประจำค่ายทหารและรับใช้ขึ้นตรงกับแม่ทัพใหญ่ผู้ได้ฉายาว่าแม่ทัพใบ้ ทั้งที่เขาไม่ได้เป็นใบ้แต่เพราะพูดน้อยจนผู้อื่นเข้าใจคิดว่าเป็นใบ้ เขาส่งสายตาตำหนิไปทางหานเหยียนซึ่งเป็นตัวต้นเหตุให้คิดว่าแม่ทัพหนุ่มผู้องอาจเ

続きを読む
無料で面白い小説を探して読んでみましょう
GoodNovel アプリで人気小説に無料で!お好きな本をダウンロードして、いつでもどこでも読みましょう!
アプリで無料で本を読む
コードをスキャンしてアプリで読む
DMCA.com Protection Status